@@@@ คนไทยไม่แพ้ใครในโลก...@@@@
หลังจากได้ปืนลมกระบอกแรกสมใจ ผมก็ลองเปิดสมุดโทรศัพท์เพื่อดูว่า ในอาณาบริเวณใกล้เคียงกับเมืองที่ผมอยู่มีใครขายปืนลมแบบที่ต่างจากแผนกเครื่องกีฬาตามห้างบ้าง ก็ได้เจอตัวแทน Beeman ระดับ 5 ดาว ซึ่งหมายถึงบริการดีแล้วยังรับซ่อมปืนอีกด้วย อยู่ห่างไปราว 45 นาที ชื่อเมือง Media ผมจึงโทรศัพท์ถามไถ่รายละเอียดและเส้นทางขับรถ (สมัยนั้นยังไม่มี GPS นะครับ) วันต่อมาก็ลองขับรถไปดู ปรากฏว่าสถานที่นั้น เป็นทั้งอู่ซ่อมรถ ร้านขายอาหลั่ย (สมัยนี้ไหงเขียน อะไหล่ ไปได้??) และขายปืนลม แถมชั้นล่างยังมีที่ลองยิงระยะราว 15 เมตรอีกด้วย วันแรกก็ได้ 1 กระบอกเลยคือ RWS Model 6 เป็นปืนอัดลมสั้น จากเยอรมันนี แบบใช้สปริงคู่ใส่สองสูปวิ่งสวนทางกัน จึงไม่มี recoil ซึ่งความจริงมีแต่ทิศทางตรงกันข้ามเลยเจ๊ากันไป สาเหตุที่ผมยังไม่ซื้อปืนยาวเพราะระยะแรกคงจะใช้ในบ้านระยะสั้น ๆ เท่านั้น (แต่หลายปีต่อมา ผมย้ายบ้านและต้องปรับแต่งใหม่ ผมเลยขอร้องผู้ออกแบบเอาไว้ 2 ประการคือ 1 ขอให้ห้องน้ำมีขนาดใหญ่และอยู่ติดห้องนอน ส่วนประการที่ 2 คือ ต้องการให้มีห้องโถงเป็นทางยาวให้ตรงและยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งในที่สุดได้ทางตรงแนวปืนออกมาราว 22 เมตรครับ) จอห์นคือเจ้าของร้านปืนลมที่ว่าซึ่งต่อมาจนปัจจุบันเป็นเพื่อนฝรั่งที่สนิทมากที่สุดของผม ตอนนี้ร้านรถเลิกไปยังเหลือร้านปืนลมและ paintball gun อีกทั้งยังรับซ่อมปืนเหมือนเดิม งานซ่อมปืนนั้นถ้าผมว่างผมก็จะไปช่วยที่ร้านหรือไม่บางครั้งก็รับมาทำที่บ้าน
จอห์นเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของชมรมปืนแห่งหนึ่งนามว่า DCFS หรือ Delaware County Field & Stream Association (
http://www.dcfs.org/ ) ซึ่งมีเนื้อที่อยู่บนเขาราวเกือบ 200 ไร่ มีสมาชิกกว่า 4000 คน มีสนามปืนทุกชนิด รวมทั้งสนามยิงธนู ส่วนสนามปืนลมตอนแรกมีสนามเดียว คือแบบคนยิงอยู่ในชายคา แต่เป้าจะอยู่กลางแจ้ง และเป้าที่ไกลที่สุดคือ ใบเลื่อยขนาด 6 นิ้ว ที่ระยะ 63 หลา (เป้านี้ผมทำสถิติยิงถูกติดต่อกันไว้ 13 ครั้งครับ) ต่อมามีการทำสนาม FT หรือ Field Target ซึ่งรายละเอียดผมจะมาเล่าอีกครั้งนะครับ เส้นทางราว 350 หลา และเป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นสนาม FT ที่สวยงามที่สุดในอเมริกาเลยทีเดียว
การสมัครเข้าเป็นสมาชิกนั้น ต้องมีสมาชิกอาวุโส 3 คนเซ็นรับรอง ซึ่งจอห์น (สมาชิกหมายเลข 3 แสงดว่าเก๋ากึ้ก) และเพื่อนอีก 2 คน หมายเลข 2 กับเลข 5 เป็นคนเซ็นให้ผม ซึ่งผมได้หมายเลขพันกว่า ๆ มา ระยะแรกการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับชมรมขนาดใหญ่นั้น ต้องใช้เวลาทำความรู้จักและคุ้นเคยกับระบบและสังคมของเขา โดยเฉพาะหน้าตากะเหรี่ยง ๆ แบบผม (คนเอเชียในอเมริกา เราจะรวมเรียกกันไปเลยว่า กะเหรี่ยง) แหมพอมาถึงตอนนี้ แอบนึกถึงเรื่องนึงไม่ได้ต้องขอเล่าซะหน่อย เรื่องมีอยู่ว่า นักเรียนไทยที่ไปเรียนกฎหมายในกรุงวอชิงตันดีซี กำลังเดินคุยกันมา ก็มีกะเหรี่ยงผิวค่อนข้างคล้ำเดินสวนทางมา 2 คน นักเรียนไทยก็เลยหันมาถามกันว่า เอ็งว่าคนประเทศไหนว่ะ? อีกคนก็ตอบทันควันว่า พม่ามั้ง หนึ่งในสองกะเหรี่ยงผิวคล้ำที่เพิ่งเดินคล้อยหลังไปหันมาพูดชัดเจนเลยว่า พม่าพ่อมึงซะซิ.....(ขออภัยในภาษาพ่อขุนฯ แต่เค้าพูดอย่างนี้จิงจิ๊ง...) อ้าวเลยลืมว่าไปถึงไหน...555 สมาชิกส่วนใหญ่เป็นฝรั่งและผมก็ไม่เห็นพวกเราเลยสักคน ผมอดสังเกตุสายตาแปลก ๆ ที่แอบมองผมตอนเดินอยู่กับจอห์นในชมรมไม่ได้ จอห์นเองก็ยังรู้สึกแถมยังได้รับฟังคำถามแปลก ๆ ว่า ไปคบหรือเป็นเพื่อนกับคนต่างผิวได้อย่างไร ซึ่งงานนี้จอห์นรับหน้าได้เป็นอย่างดี แถมยังตอกกลับไปว่า ต่างผิวแล้วไม่ใช่คนหรือ? และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผลักดันให้ผมพยายามทำให้ดีที่สุด 2-3 ปีแรกผ่านไป ผมก็พยามฝึกหัดและทำความเข้าใจกับการทำงานของปืน การใช้กล้อง การคัดเลือกลูกปืน การดูทิศทางลม การมองเส้นทางของแสง การรับรู้สภาพดินฟ้าอากาศ และที่สำคัญ การเข้าอยู่ร่วมกับสังคมใหม่ จากการพูดคุยหลาย ๆ คนได้รู้แล้วว่า ผมมีปริญญาเอกและปริญญาโทถึง 4 ใบ อีกอย่างจอห์นก็ยังช่วยอีกแรงโดยการแนะนำตัวผมกับเพื่อนคนอื่น ๆ โดยขึ้นต้นว่า Doctor สิ่งสำคัญอีกจุดคือ ผมต้องศึกษากติกาและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ของชมรมให้ดี อย่าได้ไปปล่อยไก่ หรือทำตัวเป็นบ้านนอกเข้ากรุงโดยเด็ดขาด หมั่นสังเกตุสมาชิกอื่น ๆ และอ่านป้ายต่าง ๆ ให้เข้าใจ เช่น สำหรับสนามปืนลม ห้ามใส่กระสุนเกิน 5 นัด ถ้าปืนของเราเป็นปืนแบบมีแม็กกาซีนและแบบยิงติดต่อได้หลายนัด การวางปืนจะมีตำแหน่งต่าง ๆ ให้ เช่นวางพักยาว หรือวางพักระหว่างยิง ถ้าวางพักระหว่างยิง ก็ต้องหักลำกล้องทิ้งไว้ หรือห้ามขึ้นลำ และต้องหันปลายกระบอกไปทางเป้าเสมอ
พอผมรู้ตัวว่าน่าจะพร้อมที่จะเข้าแข่ง ก็สมัครเข้าแข่ง FT เป็นครั้งแรก ทางชมรมจะแจกตารางการแข่งขันตลอดปีให้ และจะมีการแข่งขันสารพัดรูปแบบ ทั้งปืนสั้นและปืนยาว และมีเป้าต่าง ๆ กัน และต่างระยะกัน ตลอดจนมีกติกาต่าง ๆ กันด้วย ซึ่งผมจะมาเล่าอีกครั้งถึงรายละเอียด ส่วนรางวัลที่ได้ก็ต่างกันออกไป มีทั้งเงินสด ถ้วยรางวัล ประกาศณียบัตร หรือแม้แต่กระทั่งพวกอาหาร เช่น เนื้อสเต็ก เป็นต้น การแข่งขันนั้นจะมีการเก็บคะแนนรวม เพื่อจะได้รู้ว่าใครจะเป็นแชมป์ประจำปีของชมรม ดังนั้นคนที่จะได้แชมป์ก็จะต้องเข้าแข่งขันให้มากครั้งที่สุด ส่วนปลายปีจะมีการแข่งขันใหญ่ คือ แชมป์ประจำรัฐ แต่จะมีนักแม่นปืนระดับแชมป์จากชมรมและรัฐอื่นมาแจมด้วย เช่น New York, Delaware, New Jersey, Connecticut, Washington DC เป็นต้น ครั้งแรกผมเลือกใช้ Bull Pup Daystate CR94 ซึ่งผมเป็นคนออกแบบด้ามและพานท้ายเองทั้งหมด และผมจะมาเล่ารายละเอียดเจ้ากระบอกนี้อีกที ผลการแข่งขันออกมาคือ ผมไปเสมอกับแชมป์ของชมรมสมัยนั้น จึงต้องมีการตัดเชือกโดยการยิงต่ออีก 1 นัด เขายิงก่อนแต่ผิด พอถึงตาผม...ยกขึ้นเล็ง ใจเต้นแบบบอกไม่ถูก จะบอกว่า ตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ก็ไม่น่าจะใช่ พอเข้าเป้าก็กด...แต่เงียบสงัด เพราะลมหมดพอดี (ลมของปืนนะครับ ส่วนลมของผมเองก็อ่อยไปด้วย) สมาชิกที่คอยผลต่างก็หันหน้ามองกันแบบงง ๆ เพราะไม่เคยมีปัญหานี้มาก่อน เสียงส่วนหนึ่งก็บอกว่าให้ผมยิงใหม่ แต่เจ้าแชมป์คนนั้นบอกว่า กดไกแล้วก็เท่ากับยิงไปแล้ว เรียกว่ายิงผิดเหมือนกัน แต่เขายังเสริมอีกว่า ถือว่าอุปกรณ์ของผมบกพร่อง ปรับเป็นแพ้... ไม่ว่ากัน (ผมคิดในใจเพราะตัวเขาเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าชมรม) ต่อแต่นั้นมาอีก 5 ปีรวด ผมไม่เคยแพ้คน ๆ นั้นอีกแม้แต่ครั้งเดียว...
อย่างไรก็ตาม 3 ปีหลังจากนั้น ในวาระชิงแชมป์ประจำรัฐปลายปี ผมได้ทั้งแชมป์ของชมรมและแชมป์ประจำรัฐติดต่อกันมา 3 ปีรวด ซึ่งเท่ากับที่แชมป์คนนั้นทำมาก่อน และยังไม่มีใครได้ 4 ปีติดต่อกัน ผมได้ข่าวว่าแชมป์คนนั้นได้ติดต่อส่งหมายเทียบเชิญ (ทำนองจ้างมือปืนน่ะครับ) นักแม่นปืนลมทีมหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ เพราะทีมนี้มีพ่อกับลูกพร้อมลูกน้องสำหรับขนของเดินทางไปกวาดถ้วยมาทั่วประเทศ แถมยังมีเว็ปขายอุปกรณ์แข่งขันที่เขาออกแบบเองอีกหลายอย่าง... ถึงณ.เวลานั้น สมาชิกหลายคนรู้จักผมเป็นอย่างดี เพราะนอกจากผมจะช่วยซ่อมปืนให้พวกเขาแล้ว พอดีมีแชมป์โลกชาวอังกฤษคนหนี่งได้ติดต่อผมมา เพื่อทำเรื่องของผมลงแม็กกาซีน Airgun World (อีกล่ะไว้ผมจะเอารายละเอียดที่เขาลงมาเล่าสู่กันฟัง) ซึ่งถือว่าเป็นแม็กกาซีนเกี่ยวกับปืนลมที่ดังที่สุด พอพวกเขาได้อ่านเขาก็ได้รู้จักและเข้าใจในตัวคนเอเชียคนนี้มากขึ้น ขนาดผมไปดูงานโชว์ปืนหลายแห่งไกลเกือบถึงแคนาดา ก็ยังมีคนจำได้และเข้ามาทักทายว่าเห็นหน้าในแม็กกาซีนตั้งหลายคน
ถึงวันแข่งขัน ผมเชื่อว่าผมเตรียมตัวมาดีพอสมควร โดยหมั่นไปซ้อมเป็นประจำ แต่ทางชมรมก็มีไม้เด็ดคือ ณ.ที่สนามแข่งจริง ทางเจ้าหน้าที่จะเข้าไปจัดการเปลี่ยนแปลงเป้าต่าง ๆ เสียใหม่ ก่อนการแข่งขันและปิดตายสนาม ห้ามใครเข้าไปเมียงมองเป็นอันขาด... ต้องขออธิบายนิดนึงว่า การแข่งขันแบบ FT นั้น มันกินกันที่การคะเนคำนวณระยะเป้าว่าห่างจากจุดยิงเท่าไหร่ ถ้าเราคำนวณพลาดไปเพียง 1 หลา การปรับกล้องก็จะคลาดเคลื่อน ทำให้ยิงผิดได้ หรือแม้แต่ว่าเราคำนวณระยะถูก แต่เกิดลมพัดเข้าด้านข้าง หรือแสงแดดส่องสวนทางกล้อง หรือกิ่งไม้บดบังทัศนวิสัย หรือ หรือ หรือ เราก็พลาดได้เสมอ หรือแม้แต่เสียงคนพูดข้าง ๆ หรือตะโกนดีใจที่เขายิงถูก ถ้าจิตและสมาธิเราไม่นิ่งก็จะรบกวนกระบวนท่าของเรายิ่งนัก
วันนั้นผมตัดสินใจใช้ Steyr- LG 100 ที่ผ่านการโมมาถึง 2 ครั้ง (งานนี้ก็ต้องติดหนี้กันเอาไว้ก่อน แล้วผมจะมาเล่าว่า โมอะไรบ้าง รู้สึกผมจะติดเอาไว้พอควร ยังไง ๆ ก็ต้องทวงกันนะครับ ไม่งั้นผมลืมด้วย...555) มาถึงตอนนี้ก็นึกถึงเรื่องหนี้ ๆ สิน ๆ เรื่องหนึ่ง ก็ขอเล่าเสียเลยไม่งั้นลืมแน่.. เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนผมคนหนึ่งให้เงินเพื่อนอีกคนหนึ่งยืมไป นานแล้วไม่ได้คืน จึงมาขอให้ผมขับรถพาไปทวง ตอนไปถึงบ้านคนถูกยืม ผมนั่งรอในรถ แต่เพื่อนที่เป็นเจ้าหนี้เดินเข้าไป ก็มีหมาวิ่งออกมาเห่าใส่ (ลูกหนี้มักเลี้ยงหมา แต่หมามักจะผอม...555) เพื่อนผมยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วก็ล้วงกระเป๋าควักเอาเหรียญออกมา ขว้างใส่หมา โดนเข้าที่หน้าอย่างจัง หมาร้องเอ๋งแล้ววิ่งลับไป... (อีกละครับเรื่องสัตว์ร้องนี่ เล่ากันยาว เพราะสัตว์ไทยกับสัตว์ฝรั่ง ร้องต่างกัน เช่นหมูเราร้อง อู้ด ๆ แต่ของเขาร้อง อ๊อย ๆ ไก่เราร้อง เอ่กอี้เอ่กเอ่ก ของเขา ค๊อกกะดูเดิ้นดู อ้อ..หมาเขาร้อง รัฟ ๆ ไม่ใช่ โฮ่ง ๆ แบบเรา ฯลฯ ) ในที่สุดลูกหนี้ก็ออกมา เจ้าหนี้ก็ทวงเอา ๆ แต่ลูกหนี้ไม่ยักกะพูดอะไรสักคำ จนในที่สุดเจ้าหนี้ทนไม่ไหวพูดใส่หน้าลูกหนี้ไปว่า เราให้เงินนายยืมไปเป็นพัน ไม่พูดอะไรสักคำ นี่เอาเหรียญบาทเขวี้ยงใส่หัวหมา มันยังร้องเอ๋งให้ฟังเลย ปัทโธ่ &%$#@& )
กลับมาต่อ...ก่อนการแข่งขัน จะมีการประชุมชี้แจงกติกาและการจัดรอบนักยิงปืน ทีมที่ว่าเขาชื่อ A-Team ครับ ซึ่งเปิดตัวเป็นคนสุดท้าย เรียกว่ามากันเป็นขบวน แต่งชุดขาวขลิบแดงมีเสื้อคลุมพร้อม แถมมีลูกน้องจูงรถลากมาอีก 2 คันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ครบเครื่อง คนแข่งเดินตัวเปล่าสบายเฉิบ ต่างจากพวกเราที่ต้องแบกปืนและอุปกรณ์กันเองจนหลังโก่ง... สมาชิกหลายคนเดินเข้าไปจับไม้จับมือ ด้วยความยินดีแต่ก็ไม่เท่ากับเจ้าแชมป์เก่าคู่ปรับผม ที่นอกจากจะเข้าไปสนทนาดังลั่น แถมประกาศทำนองว่า เตรียมที่มาใส่ถ้วยรางวัลไปได้เลย การแข่งขันผ่านพ้นไปได้ระยะหนึ่ง หัวหน้า A-Team เดินเข้ามาหาผมแล้วถามว่า ที่ยิงผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ผมตอบไปแบบเนิบ ๆ ว่า Since the last misses, I havent missed yet. ซึ่งก็แปลไปได้ว่า ตั้งแต่การยิงผิดครั้งสุดท้ายแล้ว ผมยังไม่เคยยิงผิดอีกเลย เขาก็ทำท่างง ๆ ก่อนที่จะผละจากไป หลายชั่วโมงผ่านไปทุกคนยิงเสร็จก็มารวมตัวกันที่เรือนรับรองด้านหน้าเพื่อเป็นการประกาศผล และในฐานะที่เจ้าแชมป์เก่าคู่ปรับผมเป็นหัวเรือใหญ่ (ลืมบอกไปครับว่าเจ้านี่ชื่อ โจ เป็นตำรวจมาก่อน) เขาจะเป็นคนจัดการทั้งหมด ทุกคนต่างมายืนล้อมรอฟังผล ช่วงแรกก็จะเป็นของเด็ก และกลุ่มปืนธรรมดาที่ไม่มีการโม และในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยคือผลของพวก Open Class คือโมกันเข้าไปเต็มเหยียด โจเริ่มประกาศด้วยคำพูดที่ว่า Youre not going to believe this คือ พวกคุณอาจจะไม่เชื่อผลครั้งนี้ ว่าแล้วเขาก็ประกาศตำแหน่งที่สามด้วยคะแนน 77 เต็มร้อย แล้วเขาก็บอกว่าที่สองกับที่หนึ่งห่างกันเพียง 3 แต้ม คือที่สองได้ 95 แต่ที่หนึ่งได้ 98 แต้ม.... And the Winner of the Pennsylvania State Champion Field Target Open Class is.......Tanasit Siriluck หลังจากที่สมาชิกหลายคนมาทำความยินดีกับผมที่พิชิตมือปืนระดับชาติได้ แล้วก็ได้ยินเสียงดัง ๆ ระหว่างหัวหน้า A-Team กับเจ้าหน้าที่ชมรม ได้ความว่า ระหว่างการแข่งขัน FT นี้ ได้มีการแข่งขันปืนอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน และพวกปืน Skeet ที่ใช้ลูกปราย (เป็นลูกตะกั่วเม็ดกลม ๆ เล็ก ๆ ขนาดเมล็ดถั่วเขียวนะครับ) ยิงขึ้นฟ้าหาเป้าบิน บางทีลูกปรายก็เลยมาร่วงใส่ในสนามแข่งขัน FT ซึ่งเกิดเป็นประจำ แต่หาได้มีอันตรายใด ๆ ไม่ เพราะหมดกำลังแล้ว ตกลงมาเปาะแปะเบากว่าเม็ดฝนด้วยซ้ำ หัวหน้า A-Team บ่นว่ากล้องของเขาตัวละพันกว่าดอลล่าร์ แล้วเจ้าเม็ดกระสุนเล็ก ๆ อาจตกมาใส่ ทำให้กล้องเขาเสียหายได้ สมาชิกส่วนใหญ่ก็อมยิ้มในความไร้เดียงสา เพราะพวกเรารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่อยากบอกเลยครับว่า ตั้งแต่นั้นมา นายโจก็กลับมาเป็นเพื่อนผมคนหนึ่ง แถมยังขอซื้อปืนไปจากผม 2 กระบอก ถังดำน้ำขนาดเล็ก 1 ถัง แล้วเขาก็ให้บัตรเบ่งผมมา 2 ใบ คือถ้าผมถูกตำรวจจับเรื่องเกี่ยวกับรถ เขาจะยกโทษให้เฉย ๆ
นอกจากถ้วยรางวัลแล้ว ทางชมรมยังทำเสื้อสามารถให้ 1 ตัว สลักชื่อให้ด้วยครับ รวม ๆ แล้วผมได้เสื้อมา 4-5 ตัวกระมัง ส่วนถ้วยรางวัลน่าจะ 20 กว่าใบ กับประกาศฯและอาหารอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน ผมได้ลงรูปตัวอย่างบางส่วนรวมกันไว้ด้านล่าง จะได้อ่านบทความแบบไม่ต้องกระโดดไงครับ...
RWS Model 6



น้ำหนักถ่วงด้านหน้าติดข้างใต้ ที่จับซึ่งต้องหมุน 180 องศาสำหรับขึ้นลำครับ พอขึ้นลำเสร็จก็ต้องหมุนกลับที่เดิม


ถ่ายยากผมเลยต้องเอาแผ่นดำมาไว้ข้างหลังดังนี้ครับ



