ห ม า ย จั น ท ร์
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 563
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 6222
|
 |
« ตอบ #30 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 11:20:33 AM » |
|
น่าประหลาดกับเรื่องแปลกของคน
คนในพื้นที่เขายังอนุโมทนาด้วยเลย กฐินก็เป็นกฐินพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ เงินที่ได้มาก็มาจากศรัทธาที่จะบำรุงพุทธศาสนาของมหาชน คนที่เป็นผู้รวบรวมจนนำมาสร้างวัดพัฒนาได้ขนาดนี้ต้องมีความตั้งใจและศรัทธาอย่างสูง สูงจนคนในท้องถิ่นยอมรับ ดีกว่าพวกที่อยากมีชื่อเป็นที่ระลึกแต่ไม่เคยลงเงินลงแรงอีกหลายต่อหลายคน ไอ้ที่พากันวิจารณ์ด้านบนมันคับแคบจริงๆ ตามนี้ครับพี่....ผมก็ว่ามันแปลก ปกติวัดวา ต้องสร้างมานานเก่าพอสมควร ชื่อ-ชั้นอาราม ก็ต้องทราบกันอยู่
ถ้าวัดสร้างใหม่ ก็ไปอย่าง อย่าวัดหลวงพ่อสด ที่ราชบุรี แต่นี่มาเปลี่ยนชื่อวัดเก่าให้เป็นชื่อคนก็เลยมองว่าแปลก
ที่จริงไม่ได้สนใจหรอก ว่าไอ้อีไหนไปเสพสมกันมา เรื่องส่วนตัว แต่อย่างที่สมาชิกโพสไว้ความเหมาะสมอยู่ตรงไหนน่ะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Pandanus
Hero Member
   
คะแนน 6378
ออฟไลน์
กระทู้: 40176
เรื่องบังเอิญไม่มีจริง
|
 |
« ตอบ #31 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 11:23:24 AM » |
|
ผมไม่ต่อคำครับ
ไม่มีราคา....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
RMAY
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #32 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 11:26:57 AM » |
|
คนในพื้นที่เขายังอนุโมทนาด้วยเลย กฐินก็เป็นกฐินพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ เงินที่ได้มาก็มาจากศรัทธาที่จะบำรุงพุทธศาสนาของมหาชน คนที่เป็นผู้รวบรวมจนนำมาสร้างวัดพัฒนาได้ขนาดนี้ต้องมีความตั้งใจและศรัทธาอย่างสูง สูงจนคนในท้องถิ่นยอมรับ ดีกว่าพวกที่อยากมีชื่อเป็นที่ระลึกแต่ไม่เคยลงเงินลงแรงอีกหลายต่อหลายคน ไอ้ที่พากันวิจารณ์ด้านบนมันคับแคบจริงๆ
ยังงี้ไงครับ  เว็บบอร์ดมีไว้ให้พูดคุย วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น ฯลฯ ถ้าพูดวิจารณ์ไม่ได้ผมไม่รู้ว่าใครใจแคบกันแน่ครับ   เข้าใจแล้ว ครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
renold
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #33 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 11:31:01 AM » |
|
คนในพื้นที่เขายังอนุโมทนาด้วยเลย กฐินก็เป็นกฐินพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ เงินที่ได้มาก็มาจากศรัทธาที่จะบำรุงพุทธศาสนาของมหาชน คนที่เป็นผู้รวบรวมจนนำมาสร้างวัดพัฒนาได้ขนาดนี้ต้องมีความตั้งใจและศรัทธาอย่างสูง สูงจนคนในท้องถิ่นยอมรับ ดีกว่าพวกที่อยากมีชื่อเป็นที่ระลึกแต่ไม่เคยลงเงินลงแรงอีกหลายต่อหลายคน ไอ้ที่พากันวิจารณ์ด้านบนมันคับแคบจริงๆ
ยังงี้ไงครับ  เว็บบอร์ดมีไว้ให้พูดคุย วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น ฯลฯ ถ้าพูดวิจารณ์ไม่ได้ผมไม่รู้ว่าใครใจแคบกันแน่ครับ   เข้าใจแล้ว ครับ  
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 6127
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 55373
Let us go..!
|
 |
« ตอบ #34 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 12:22:40 PM » |
|
เน้นดูพระ ดูผู้ทรงศีลว่าอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ดีกว่า หากพระวัดสิเรียมพุทธาราม เป็นผู้มีจริยวัตรงดงาม หรือบวชเรียนธรรมวินัยเคร่งครัด ก็อนุโมทนากับวัดด้วย หากตรงกันข้าม คงได้เป็นข่าวอื้อฉาวครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ
Thanut Wansuk
|
|
|
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 5711
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 48212
|
 |
« ตอบ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 12:54:57 PM » |
|
เน้นดูพระ ดูผู้ทรงศีลว่าอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่ดีกว่า หากพระวัดสิเรียมพุทธาราม เป็นผู้มีจริยวัตรงดงาม หรือบวชเรียนธรรมวินัยเคร่งครัด ก็อนุโมทนากับวัดด้วย หากตรงกันข้าม คงได้เป็นข่าวอื้อฉาวครับ
วันนี้พูดเข้าท่า สาธุ สาธุ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
|
|
|
สหายแป๋ง คนดง
ถึงตัวเจ้าจะจากไปแต่ชื่อและความดีของเจ้าจะอยู่ในใจพี่เสมอ
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2284
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 53136
ป่าสร้างคนแต่คนกลับสร้างป่า ด้วยลมปาก
|
 |
« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:05:12 PM » |
|
ทำบุญให้ดูที่เจตนา ที่หลายท่านกล่าวมา ผมว่าน่าจะมาจากการเปลี่ยนชื่อวัด......จะเหมาะไม่เหมาะ จะควรไม่ควร ขออนุญาตงดแสดงความคิดเห็น เนื่องจากผมเป็นคนไทยอาศัยอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิบังอาจวิจารณ์ในสิ่งที่มีสถาบันหลักเกี่ยวข้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 817
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 10983
I'm going to make him an offer that he can't refus
|
 |
« ตอบ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:07:40 PM » |
|
ไม่รู้นะครับทุกท่าน ผมอาจคิดมากไป แต่ถ้ามองดูดี ๆ คือการลบหลู่ อย่างแยบคาย ............ประจวบเหมาะเสียเหลือเกินที่กลุ่มที่มีคนนำชื่อ "นที" จะเอาเพศที่ 3 นั่งบนกระทง ผมคิดมากไปมั่งครับ กับเรื่องพวกนี้  ความรู้สึกคือเหมือนมีใครมาตบหน้าครับ และผมอยากกระทืบคนที่มาตบหน้าผม ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ ตัวเมีย หรือระบุเพศไม่ได้ก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
A fear of weapons is a sign of retarded sexual and emotional maturity. - Sigmund Freud
ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์ - ซิกมุนด์ ฟรอยด์
|
|
|
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
   
คะแนน 586
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 8574
|
 |
« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:22:54 PM » |
|
ไม่รู้นะครับทุกท่าน ผมอาจคิดมากไป แต่ถ้ามองดูดี ๆ คือการลบหลู่ อย่างแยบคาย ............ประจวบเหมาะเสียเหลือเกินที่กลุ่มที่มีคนนำชื่อ "นที" จะเอาเพศที่ 3 นั่งบนกระทง ผมคิดมากไปมั่งครับ กับเรื่องพวกนี้  ความรู้สึกคือเหมือนมีใครมาตบหน้าครับ และผมอยากกระทืบคนที่มาตบหน้าผม ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้ ตัวเมีย หรือระบุเพศไม่ได้ก็ตาม รู้สึกเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
....ตามล่า...อีตอแหล
|
|
|
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 10195
ออฟไลน์
กระทู้: 47057
M85.ss
|
 |
« ตอบ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:41:49 PM » |
|
สะพานข้ามภูเก็ต ชื่ออะไรครับ  [/quote] สะพานสารสินครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
somsakbck
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 974
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 9671
เรามาเยือนโลกใบนี้แค่เพียงชั่วคราว...แล้วก็จะจากไป
|
 |
« ตอบ #40 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:44:03 PM » |
|
น่าประหลาดกับเรื่องแปลกของคน
คนในพื้นที่เขายังอนุโมทนาด้วยเลย กฐินก็เป็นกฐินพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ เงินที่ได้มาก็มาจากศรัทธาที่จะบำรุงพุทธศาสนาของมหาชน คนที่เป็นผู้รวบรวมจนนำมาสร้างวัดพัฒนาได้ขนาดนี้ต้องมีความตั้งใจและศรัทธาอย่างสูง สูงจนคนในท้องถิ่นยอมรับ ดีกว่าพวกที่อยากมีชื่อเป็นที่ระลึกแต่ไม่เคยลงเงินลงแรงอีกหลายต่อหลายคน ไอ้ที่พากันวิจารณ์ด้านบนมันคับแคบจริงๆ ตามนี้ครับพี่....ผมก็ว่ามันแปลก ปกติวัดวา ต้องสร้างมานานเก่าพอสมควร ชื่อ-ชั้นอาราม ก็ต้องทราบกันอยู่
ถ้าวัดสร้างใหม่ ก็ไปอย่าง อย่าวัดหลวงพ่อสด ที่ราชบุรี แต่นี่มาเปลี่ยนชื่อวัดเก่าให้เป็นชื่อคนก็เลยมองว่าแปลก
ที่จริงไม่ได้สนใจหรอก ว่าไอ้อีไหนไปเสพสมกันมา เรื่องส่วนตัว แต่อย่างที่สมาชิกโพสไว้ความเหมาะสมอยู่ตรงไหนน่ะครับ
ชาวบ้านเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการมีวัดของเขา....ถ้าชาวบ้านไม่เล่นด้วย วัดก็ไม่เจริญครับ...แต่กรณีนี้ ชาวบ้านรู้สึกจะชอบใจที่มีคนมาทนุบำรุงวัด...ภายภาคหน้าอาจจะดีก็ได้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 โลกมีทรัพยากรให้ทุกคนใช้ในการดำรงชีวิตได้อย่างเพียงพอ...แต่ไม่เพียงพอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว : มหาตะมะ คานธี
|
|
|
Pandanus
Hero Member
   
คะแนน 6378
ออฟไลน์
กระทู้: 40176
เรื่องบังเอิญไม่มีจริง
|
 |
« ตอบ #41 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 02:20:12 PM » |
|
ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย
ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมา เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า " วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี
ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี ) ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทาน เรื่องตากะยายฝังเงินเฟื้องไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่านด้วย ท่านได้เทศน์ว่า เพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้นมีสาเหตุมูลฐานในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่ จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดังที่หวังไว้ไปไม่ได้ คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น
เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่ แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน
ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่ เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย คงได้แค่เพียง ๓ ใน ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คงได้เพียง ๓ เฟื้อง คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้ แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น
เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมือนกัน ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เห็นอะไรๆ เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย
อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า ๔ ไพนั้นมีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒ เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น พระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์ น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง
และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย คือ พร้อมกันทั้ง ๓ ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก
คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือนใจผู้ที่อาจจะตีความคิดเอาเองว่า จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว
ที่มา : หนังสือ " เรื่องเขา เล่ากันมา "
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2010, 02:29:18 PM โดย Pandanus »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
coda
None of us is as smart as all of us.
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 1081
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 20779
เว็บไซต์
|
 |
« ตอบ #42 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 02:35:01 PM » |
|
ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย
ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมา เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า " วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี
ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี ) ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทาน เรื่องตากะยายฝังเงินเฟื้องไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่านด้วย ท่านได้เทศน์ว่า เพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้นมีสาเหตุมูลฐานในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่ จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดังที่หวังไว้ไปไม่ได้ คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น
เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่ แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน
ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่ เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย คงได้แค่เพียง ๓ ใน ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คงได้เพียง ๓ เฟื้อง คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้ แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น
เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมือนกัน ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เห็นอะไรๆ เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย
อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า ๔ ไพนั้นมีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒ เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น พระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์ น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง
และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย คือ พร้อมกันทั้ง ๓ ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก
คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือนใจผู้ที่อาจจะตีความคิดเอาเองว่า จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว
ที่มา : หนังสือ " เรื่องเขา เล่ากันมา " ... +1 ตัวโตๆ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sig228-kolok
KU47 AGGIE / SOTUS HS9VOL
ชาว อวป.
Hero Member
  
คะแนน 2947
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 40236
|
 |
« ตอบ #43 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 03:30:11 PM » |
|
 ตรงเป้าเข้าประเด็นครับน้าฉ๊อง 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sig_surath7171
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #44 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 03:42:56 PM » |
|
ขอยืมคำ ท่านขุนช้างฯ หน่อยครับ ''คนสมัยนี้มักเข้าวัดตามเทรนครับ มีครั้งหนึ่งผมหลุดปากด่าไป คนเรานี้นะปากบอกไปวิปัสนา แต่ออกมาก็ตอแหล แล้วจะเข้าวัดไปทำไม
หลายๆคนสมัยนี้ใช้ศาสนาในการสร้างภาพลักษณ์ครับ แก่นจะเป็นไงไม่สน คนเค้ามองกันที่เปลือก''ชื่อเดิมของวัด ไม่เป็นมงคลอย่างไร ครับ ใครเชี่ยวชาญ ช่วยอธิบายด้วยครับ วัดนี้ ต่อไปอาจสอนชาวพุทธว่า ใครมีเงินมาก บริจาคมากเปลี่ยนชื่อวัดเป็นชื่อท่านได้นะจ๊ะ ท่านไดบริจาคมากกว่าเดิม ก็ค่อยเปลี่ยนชื่ออีกทีนะจ๊ะ บริจาคมาก ได้บุญมาก นะจ๊ะ แล้วท่านจะได้ขี่จานบินกับอาตมาไปทัศนาจรที่สวรรค์ด้วยกัน นะจ๊ะ ในตู้บริจาค เต็มไปด้วยเงินตรา ในใจเต็มไปด้วยวัตถุโดยแท้ แม้แต่ศาสนาและวัด ยังมีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงโดยใช้ศาสนา และวัด เป็นข้ออ้าง เป็นจิตวิทยาเพื่อโน้มน้าวฝูงชน และชาวบ้าน ใครเชื่อว่า ชื่อเก่าของวัดไม่เป็นมงคล ขอให้เกิดชาติหน้าเป็นควาย มีผิวหนังเป็นสีแดง แล้วกันครับ 
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2010, 04:47:43 PM โดย ซิกสุราษฎร์ ::: รักในหลวง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|