ความกังวลใจของ นางภรภัทร อุณหเลขจิตร อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 214 หมู่ 14 ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง เจ้าของกิจการห้างหุ้นส่วนจำกัด นานาปิโตรเลี่ยม ที่เปิดให้บริการเติมน้ำมันบางจาก ตั้งอยู่ถนนลำปาง-งาว ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง เกิดข้อสงสัยในธุรกิจที่ตัวเองทำ ทำไมขาดทุนอยู่ตลอด

ยอดสั่งน้ำมันแต่ละเดือนมีจำนวนมากแต่เงินที่ได้กลับมากลับไม่ครบอย่างที่ควรจะเป็น
แม้ตอนแรกจะพุ่งเป้าไปที่ปัญหารถขนน้ำมัน อาจจอดแอบถ่ายน้ำมันกันกลางทาง แต่เมื่อตรวจเช็กอย่างละเอียดกลับไม่พบถึงต้นสายปลายเหตุที่ปริมาณน้ำมันหายไปจากบ่อโดยไม่ทราบสาเหตุ
ความทุกข์ที่เจ้าของปั๊มพยายามหาทางแก้ไข หากขืนปล่อยให้เวลาเนิ่นนานจะสร้างความสูญเสียมีมูลค่ามหาศาล
จึงตัดสินใจขึ้นโรงพัก สภ.เมืองลำปาง ขอความช่วยเหลือให้ตำรวจช่วยสืบหากลโกงที่มีความแยบยล เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา
แม้เหยื่อจะไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่มั่นใจมีการยักยอกเงินค่าน้ำมันแน่ๆ !??

ตํารวจและเจ้าของปั๊มน้ำมันย้อนไปตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่โดยรอบ จนพบความผิดปกติของเด็กปั๊มรวม 7 คน เวลาทำงานมักจะเดินมาตรวจเช็กที่มิเตอร์อยู่บ่อยครั้ง จึงเฝ้าสังเกตจับตามาโดยตลอด
จนกระทั่งทั้งชุดพากันหยุดงานพร้อมกันเป็นเวลา 4-5 วัน
เป็นข้อพิรุธใหม่ที่นายจ้างเริ่มระแคะระคาย ซึ่งส่งถึงมือตำรวจเพื่อใช้เป็นเบาะแสในการตรวจสอบทันที
การแกะรอยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกรับหน้าที่เฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของเด็กปั๊มชุดดังกล่าวอย่างไม่คลาดสายตา

ส่วนอีกทีมตรวจสอบประวัติและความเป็นอยู่ของแต่ละคนอย่างละเอียด
ทั้ง 7 คนประกอบด้วย น.ส.นาย อินเหล็ก อายุ 34 ปี นายมานพ แก้วโมลา อายุ 35 ปี นายสราวุธ สุมาธิ อายุ 35 ปี นายเรืองเดช ปฏิสนธ์ อายุ 33 ปี นายอำนวย แก้วโมลา อายุ 40 ปี นายติ๊ก วงศ์มี อายุ 35 ปี และนางอนงค์ ป่าพันธ์ อายุ 33 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจ.ลำปาง
แล้วเจอความผิดปกติของเด็กปั๊มทั้ง 7 จนได้ เพราะทุกคนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี ใช้จ่ายเงินอย่างฟู่ฟ่า มีเงินซื้อที่ดิน รถยนต์ และเงินเก็บในแบงก์อีกหลายแสน ผิดจากเพื่อนเด็กปั๊มคนอื่นๆ ที่เริ่มงานมาพร้อมๆ กัน
ข้อมูลที่ได้นำไปวิเคราะห์จนมั่นใจมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ
ในที่สุด พ.ต.ท.สมควร เกตุเทศ สวส. สภ.เมืองลำปาง ตัดสินใจนำตัวเด็กปั๊มที่อยู่ในข่ายสงสัยมาสอบปากคำเพื่อหาความจริง โดยมีพ.ต.อ.พิทักษ์ นาสมวาส ผกก. สภ.เมืองลำปาง พ.ต.ท.โสภณ ผลกันทา รองผกก.สส. ร่วมสอบปากคำ
ทั้งหมดยอมสารภาพสิ้นว่าร่วมกันโกงเงินค่าน้ำมันจริง เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2550 โดยแอบจดจำจากช่างซ่อมแซมปรับแต่งมิเตอร์มาซ่อมเวลาเครื่องเสียจนรู้วิธีการทำงานของเครื่อง
เมื่อถอดสายไฟที่มิเตอร์วัดปริมาณน้ำมันออก จะทำให้ตัวเลขบอกจำนวนลิตรที่มีท่อต่อไปยังบ่อน้ำมันใต้ดินหยุดทำงาน ส่วนตัวเลขจำนวนเงิน และปริมาณน้ำมันที่เติมให้ลูกค้าจะวิ่งเหมือนเดิม
ขั้นตอนการโกงมีนายสราวุธ นายมานพ และนายอำนวย ทำหน้าที่เป็นคนเปิดกุญแจ ส่วนน.ส.นาย ซึ่งเป็นแคช เชียร์เก็บเงินค่าน้ำมัน ใช้วิธีแยกเงินไว้ 2 ตะกร้า
ตะกร้าแรกจะเก็บเงินที่ได้จากมิเตอร์ที่ทำงานปกติ ส่วนเงินที่ได้จากช่วงถอดสายมิเตอร์จะใส่ไว้ตะกร้าที่สอง
เมื่อครบตามเป้าที่ตั้งไว้วันละ 10,000 บาท น.ส.นายจะส่งสัญญาณให้เพื่อนรู้ เพื่อต่อสายไฟมิเตอร์กลับให้ตัวเลขวิ่งเหมือนเดิม
หลังจากหมดเวลางานจะเช็กตัวเลขวัดปริมาณน้ำมันว่าเติมไปกี่ลิตร แล้วนำเงินตามจำนวนมิเตอร์ที่เก็บไว้ที่ตะกร้าแรกส่งให้เจ้าของปั๊ม ส่วนเงินที่ได้แบ่งกัน นำไปซื้อบ้าน ที่ดิน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และใช้ส่วนตัว
ซึ่งแต่ละเดือนจะได้เงินประมาณ 5-6 แสนบาท รวมเป็นเวลากว่า 3 ปี มีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
ตำรวจจึงไปตรวจค้นที่บ้านพร้อมอายัดทรัพย์สิน อาทิ เงินสดกว่า 9 แสนบาท โฉนดที่ดิน บ้านและที่ดิน สมุดบัญชีธนาคารหลายแห่ง โทรศัพท์มือถือ รถจักรยานยนต์ 4 คัน รถยนต์กระบะอีซูซุ 1 คัน
แจ้งข้อหาทั้งแก๊งร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง หรืออยู่ในความครอบครองของนายจ้าง โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
"คดีนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับเจ้าของปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ ต้องคอยเฝ้าระวังตรวจสอบการทำงานของลูกจ้างให้ดี เนื่องจากว่ามีการทำกันเป็นขบวนการ และมีมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก แม้เงินหายไปวันละ 10,000 บาทอาจจะรู้สึกเป็นเรื่องเล็ก เพราะวันหนึ่งสามารถขายน้ำมันได้หลายแสนบาท อย่างเช่นปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุสามารถขายน้ำมันได้ถึงวันละ 3-4 แสนบาท แต่เมื่อเงินหายไปเป็นเวลาติดต่อกันหลายปี ก็เป็นเงินมหาศาลนับสิบล้าน"
เป็นอุทาหรณ์ให้เจ้าของปั๊มน้ำมันอื่นๆ รีบหาทางแก้ลำโดยด่วน