เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 19, 2025, 06:56:00 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สา - ร ะ - ขัน  (อ่าน 4442 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:21:04 AM »

นุ่มนวล…แต่หนักแน่น
          สมภพขึ้นรถเมล์ไปมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีที่นั่ง จึงต้องยืนห้อยโหน ที่แน่กว่านั้นคือคนขับรถเมล์ใจร้อนเหลือเกิน ออกรถแบบกระโชกโฮกฮาก ขับรถห้อตะบึง และเบรกกะทันหันบ่อย ๆ จนสมภพเซถลาไปหลายครั้ง ขณะที่นึกบ่นอยู่ในใจ รถก็พุ่งถึงสี่แยก แล้วก็หยุดกะทันหันเพราะไฟแดงพอดี

          สมภพเสียหลัก ถลาถึงข้างที่นั่งคนขับ ทั้งรู้สึกเสียหน้าและโมโหคนขับ อยากจะต่อว่าให้เจ็บแสบ แต่ก็ได้สติขึ้นมา จึงพูดกับคนขับว่า

          "คุณครับ เรียกผมมามีเรื่องอะไรหรือ ทีหลังแค่กวักมือเรียกผมก็พอนะครับ"


 

          การจะต่อว่าใครนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะโทสะพร้อมจะหนุนส่งอยู่แล้ว แต่พอต่อว่าไปแล้ว เราแน่ใจหรือว่า ผลจะออกมาอย่างที่เราต้องการ แม้เรามุ่งหมายที่จะเตือนเขา แต่ผลกลับตรงกันข้าม คือแทนที่จะรับฟัง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กลับทำเหมือนเดิมและยิ่งกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังกลับหันมาเล่นงานเราอีก

          โกรธเขาไป เขาก็โกรธกลับมา เราก็เลยยิ่งโกรธมากขึ้น หมุนเวียนกันไปเช่นนี้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราใช้วิธีการที่นุ่มนวลแต่ก็ทำให้ผู้ฟังได้คิด และระมัดระวังมากขึ้น ไม่สร้างปัญหาแก่ผู้อื่นต่อไป

          สมภพเป็นตัวอย่างของคนที่ใช้วิธีตักเตือนด้วยความนุ่มนวลแทรกอารมณ์ขัน คนขับได้ยินแล้วคงอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้ม แม้รู้ว่าสมภพกำลังต่อว่าตนอยู่ก็ตาม ถ้าเป็นคุณพอฟังแล้วเห็นจะต้องขับรถช้าลง อย่างน้อยก็เพราะเกรงใจสมภพ

          การตักเตือนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยศิลปะ เพราะคนทั่วไปไม่ค่อยอยากให้มีคนมาบอกข้อผิดพลาด หรือความไม่เหมาะสมของตน เวลาจะตักเตือนใคร นอกจากจะต้องดูเวลา สถานที่ และอารมณ์ความรู้สึกของคนคนนั้นในขณะนั้นแล้ว คำพูดหรือวิธีการก็สำคัญด้วย

          เสนาะซื้อเตียงใหม่ประดับทองราคาแพงหลายล้านจากนอก อยากให้ใคร ๆ ได้มาเห็น จึงแกล้งป่วย เพื่อให้วงศาคณาญาติและเพื่อนฝูงเข้าไปในห้อง และมีโอกาสชื่นชมเตียงของตน

          เพื่อนร่วมงานชื่ออภิสิทธิ์ก็เข้ามาเยี่ยมด้วยเหมือนกัน ระหว่างที่ไต่ถามทุกข์สุขกัน เสนาะสังเกตเห็นอภิสิทธิ์นั่งไขว่ห้างดึงชายกางเกงให้สูงขึ้นจนเห็นรองเท้ายี่ห้อดัง

          "เป็นอะไรหรือ" เสนาะถาม

          "ก็เป็นโรคเดียวกับคุณนั่นแหละ" อภิสิทธิ์ตอบ

          อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่เห็นจะตักเตือนได้ยาก ทำตัวเป็นคนเกเรเพราะสำคัญตนว่าเป็นคนยิ่งใหญ่ หรือมีพ่อรวยคนแบบนี้ขืนไปตอบโต้ด้วยคำด่าหรือวิธีรุนแรงก็ยิ่งไปกันใหญ่ แต่ถ้าจะปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ ก็ดูกระไรอยู่ จะกลายเป็นคนยุยงส่งเสริมให้เป็นคนเกเรหนักขึ้น เจอแบบนี้เข้าก็เห็นจะต้องตอบโต้ด้วยความนุ่มนวลแต่หนักแน่น

 

          เฉลิมบุตรเป็นลูกรัฐมนตรี ไปไหนมาไหนก็ต้องวางก้ามเดินกร่าง วันหนึ่งขณะที่เดินอยู่บนฟุตบาทในซอยคาวบอยแถวสุขุมวิท เห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกำลังเดินสวนมา เนื่องจากทางตรงนั้นค่อนข้างแคบ เดินได้แค่คนเดียว จึงพูดขึ้นว่า

          "คนอย่างข้าไม่หลีกทางให้พวกปัญญาอ่อนหรอกเว้ย"

          ชายคนนั้นได้ยินเข้า มองหน้าเฉลิมบุตรสักพัก แล้วก็เดินลงจากฟุตบาท พร้อมกับพูดว่า

          "แต่ผมหลีกทางให้พวกนี้ครับ"
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:22:54 AM »

คนใจร้อน
          หนุ่มเลือดร้อนเข้าไปนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ทันไรก็ตะโกนว่า "ทำไมยังไม่ยกก๋วยเตี๋ยวมาสักที จะให้รอถึงชาติหน้าหรือไง"

          สักประเดี๋ยวเจ้าของร้านก็ออกมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวเต็มชาม แต่พอถึงโต๊ะพ่อหนุ่มก็เทก๋วยเตี๋ยวกองบนโต๊ะแล้วบอกว่า "ฉันต้องรีบใช้ชาม คุณเองก็รีบกินเข้า จะต้องรีบใช้โต๊ะ"

          ชายหนุ่มเดือดดาลมาก กลับถึงบ้านก็เล่าให้ภรรยาฟังแล้วบอกว่า "ฉันเนี่ยโกรธตายเลย" ภรรยาได้ฟังดังนั้นก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าแล้วพูดว่า "เนื่องจากเธอตายแล้ว ฉันจะไปแต่งงานใหม่"

          วันรุ่งขึ้นหลังจากภรรยาแต่งงานใหม่ เจ้าบ่าวคนใหม่ก็ขอหย่าโดยให้เหตุผลว่า "ก็เธอไม่ยอมมีลูกสักที"



          คนใจร้อนมักหงุดหงิดเวลาเจอคนที่ใจเย็น หรือเชื่องช้ากว่าตน แต่ลองได้เจอคนที่ใจร้อนและเร็วกว่าตน ก็จะรู้ว่ามันแย่กว่ามาก เวลาเราคาดคั้นเร่งรัดใคร เราไม่รู้ดอกว่าเราสร้างความทุกข์แก่เขาแค่ไหน ต่อเมื่อถูกคนอื่นคาดคั้นเอากับเราบ้าง จึงจะรู้ซึ้งแก่ใจว่าคนใจร้อนนั้นน่ารำคาญเพียงใด

          ทุกวันนี้ใครต่อใครดูเร่งรีบกันไปหมด เพราะเราพากันเชิดชูบูชาความเร็ว จะทำอะไรต้องให้เสร็จไว ๆ ถ้าจะเปิดปุ๊บก็ต้องติดปั๊บ ถ้าจะกินกาแฟก็ต้องเป็นอินแสตนต์คอฟฟี่ ส่วนก๋วยเตี๋ยวก็ต้องเป็นมาม่าไวไวถึงจะถูกใจ แม้กระทั่งเวลาทำสมาธิ ก็อยากบรรลุในวันนี้วันพรุ่ง

          เราต่างถูกสอนว่าเวลานั้นเป็นเงินเป็นทอง ดังนั้นจึงพยายามใช้เวลาอย่างประหยัดที่สุด ทุกอย่างต้องให้เสร็จในเวลาน้อยที่สุด จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น แต่น่าแปลกที่ว่ายิ่งรีบเท่าไร ยิ่งประหยัดเวลามากเท่าไร เวลาว่างกลับเหลือน้อยลง วันแล้ววันเล่า ชีวิตก็ยังยุ่งเหยิงตั้งแต่เช้ามืดจรดดึกดื่น

          เป็นเพราะคอยไม่เป็น เราจึงเย็นไม่ได้เสียที นั่นยังไม่เท่าไรหากว่าคนอื่น ๆ ใจเย็นกว่าเรา แต่ถ้าคนรอบตัวล้วนใจร้อนพอ ๆ กัน โลกนี้ก็คือนรกดี ๆ นี่เอง

          ลองช้าลงสักนิด เย็นลงสักหน่อย เราจะมีความสุขกว่านี้มาก อย่างน้อยตัวเราก็จะเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ไม่เหมือนกับผู้จัดการในเรื่องข้างล่าง

          จันทร์ต้นเดือนเริ่มด้วยความอลหม่าน ผู้จัดการเอียงคอหนีบหูโทรศัพท์ขณะสั่งงานเลขาฯ ส่วนมือก็กดแป้นคอมพิวเตอร์ไวเป็นระวิง ประเดี๋ยวก็รีบไปคว้าแฟ้มในตู้ พลิกเอกสารอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาโทรศัพท์ต่อ ครั้นวางหูโทรศัพท์เสร็จก็สั่งงานเลขาฯ ต่อ ส่วนมือหนึ่งก็เปิดบัญชีขึ้นมาดู แต่ไม่ทันไรก็หยุด พร้อมส่ายตามองหาอะไรสักอย่างบนโต๊ะซึ่งมีเอกสารกองสุ่มอยู่เต็ม ด้วยความหวังดี เลขาฯ จึงเอ่ยถามว่า

          "หาอะไรอยู่หรือคะ เผื่อดิฉันจะช่วยหาได้"

          "ดินสอของผมหายไปไหน"

          "เหน็บอยู่ที่หูของท่านไงคะ"

          "หูข้างไหนล่ะ บอกมาเร็ว ผมไม่มีเวลามากหรอกนะ"
 


 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:25:32 AM »

พูดไม่ครบ

          สองหนุ่มต่างคุยโอ้อวดสรรพคุณของกันและกัน

          สมควรเล่าว่า เมื่อคืนเพิ่งทะเลาะกับเมียมา ต่างคนต่างไม่ยอมกัน จนเมียโมโหถึงขั้นขว้างปาข้าวของ

          "แต่ในที่สุดเมียฉันก็ยอมคุกเข่าต่อหน้าฉัน" สมควรสรุป

          "โอ้โห แกทำยังไงเหรอ เขาถึงยอมขนาดนั้น" โอภาสถาม

          "ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้นเอง"

          "พอเมียแกคุกเข่าต่อหน้าแกแล้ว เขาพูดอะไรบ้างล่ะ"

          "เขาพูดว่า ไอ้ตัวร้าย ออกมาจากใต้เตียงเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันเอาตายแน่"



          ประโยคแรกกับประโยคสุดท้ายของสมควรนั้น เป็นคนละเรื่องและให้ผลต่อผู้ฟังต่างกัน แม้ประโยคทั้งสองจะเป็นความจริงทั้งคู่ แต่ฟังประโยคแรกย่อมไม่เพียงพอจะได้ความจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องฟังประโยคสุดท้ายด้วย

ความจริงนั้นถ้าพูดเพียงครึ่งเดียว ก็หาใช่ความจริงไม่ เพราะการพูดเช่นนั้นมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดภาพที่ตรงกันข้ามกับความจริง ใครที่ฟังประโยคแรกของสมควร ย่อมเห็นเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเห็นว่าสมควรกำลังเป็น 'ผู้ชนะ' ต่อเมื่อได้รับรู้ความจริงอีกครึ่งหนึ่ง ภาพทั้งหมดก็เปลี่ยนไป

          ความจริงนั้นไม่สามารถแยกมาเป็นส่วนๆ แล้วเลือกเอาแต่ละส่วนมาใช้หรือพูดตามใจได้ ถ้าทำ เช่นนั้นก็เท่ากับว่ากำลังบิดเบือนความจริง

          ในยุค 'ข้อมูลข่าวสาร' ทุกวันนี้ ข้อมูลต่าง ๆ ปลิวว่อนไปหมด สาดใส่เราทุกทิศทุกทาง โดยผ่านสื่อนานาชนิดข้อมูลเหล่านี้ต่างก็อ้างว่าเป็น 'ความจริง' แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าความจริงเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือหนึ่งในสี่เท่านั้น ไม่เชื่อก็ลองพิจารณาโฆษณาต่าง ๆ ตามโทรทัศน์หรือวิทยุ 'ความจริง' ที่เขาบอกเรานั้นล้วนแต่เป็นแง่ดี ให้ภาพที่สวยงามของสินค้า (ไม่ต่างจากภาพภรรยาคุกเข่าต่อหน้าสมควร) แต่โทษหรือข้อเสียของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น กลับไม่พูดถึง (ไม่ต่างจากสมควรที่ "อุบ" เรื่องที่ตัวเองหลบเมียอยู่ใต้เตียง)

          ในชีวิตประจำวันก็ดูไม่ต่างจากนี้ ความจริงที่เราได้รับฟังจากคำบอกเล่าของใครต่อใครนั้น บ่อยครั้งก็ไม่ครบถ้วนถ้าเราไม่ระวัง ก็จะไปนึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ดังนั้นสิ่งที่พึงตระหนักก็คือสอบถามให้แน่ชัดว่า มีความจริงอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้เล่าหรือเปล่า ก่อนที่จะเชื่ออะไร ไม่ว่าจากปากของใคร หรือสื่อชนิดใด ต้องให้แน่ใจว่าเราได้รับฟังความจริงครบถ้วนแล้ว

          ขณะเดียวกันเราเองก็ต้องไม่ลืมที่จะพูดความจริงให้ครบถ้วนด้วย การ 'อุบ' บางส่วนเอาไว้ ก็คือการพูดโกหกในอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นความเข้าใจผิดของคนฟังไม่ได้เลย

          ได้กล่าวแล้วว่า ความจริงนั้นเราไม่สามารถแยกเป็นส่วนเพื่อเอามาใช้ตามอำเภอใจได้ หากจะแยกเป็นส่วน ๆ ก็ต้องเอามาเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่แยกเป็นเสี้ยว ๆ ส่วน ๆ แบบไม่ปะติดปะต่อกัน อย่างเรื่องข้างล่าง

 

          โอภาสเป็นนักมังสวิรัติ เขาพยายามชี้ชวนให้สมควรหันมากินมังสวิรัติ อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพของตนเอง เพราะสมควรเป็นโรคเกาต์อย่างแรง กินยากี่ขนานก็ไม่หาย เจอสมควรทีไรก็พูดถึงเรื่องนี้แต่ก็ไม่ค่อยได้ผล จนโอภาสทำท่าจะท้อ

          แล้ววันหนึ่งทั้งสองก็มาพบกันอีก ไม่ทันที่โอภาสจะอ้าปาก สมควรก็บอกว่า

          "ข่าวดี รู้ไหม เดี๋ยวนี้ฉันกินเจแล้วนะ"

          "จริงเหรอ นึกไม่ถึงเลยแฮะ" โอภาสยิ้ม

          "แต่ฉันไม่ได้กินเจ ๑๐๐% นะ แค่ ๕๐% เท่านั้น"

          "ก็ยังดี แกทำยังไงถึงกินเจได้ ๕๐%"

          "ก็กินเนื้อคำเว้นคำไงล่ะ" สมควรเผยทีเด็ด
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #3 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:28:58 AM »

เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี
          ใครที่คิดว่าตัวเองโชคร้าย ทีหน้าทีหลังขอให้นึกถึงโกลด์สไตน์ คุณอาจเห็นโลกสดใสขึ้น

          โกลด์สไตน์เป็นยิวในสมัยนาซี พูดอย่างนี้ก็คงรู้นะครับว่าชีวิตของเขาเห็นจะไม่ราบรื่นเป็นแน่ เพราะนาซีนั้นเกลียดยิวเอามาก ๆ ยิวน้อยคนนักที่จะพ้นจากการรังควานของนาซีได้

          แล้ววันร้ายของโกลด์สไตน์ก็มาถึง ขณะที่เขากำลังเดินอยู่บนถนน ก็มีรถสีดำแล่นมาจอดข้าง ๆ แม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็อดตกตะลึงไม่ได้ เพราะคนที่ก้าวลงมาจากรถไม่ใช่นาซีธรรมดา หากเป็นตัวฮิตเลอร์เอง

          คุณคงเดาไม่ถูกว่าฮิตเลอร์ทำอะไร ฮิตเลอร์จ่อปืนบังคับให้โกลด์สไตน์คลานกับพื้น เสร็จแล้วก็ชี้ไปที่กองขี้หมาบนทางเท้า บังคับให้เขากินขี้หมากองนั้น

          โกลด์สไตน์ยอมทำตามโดยดี ไม่อิดออดแม้แต่น้อย ก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขี้หมากองนั้นอย่างเดียว ฮิตเลอร์เห็นท่าทางว่าง่ายสอนง่ายของโกลด์สไตน์แล้ว นึกขันจนอดหัวเราะไม่ได้ แต่ระหว่างที่เขาหัวร่องอหงายก็ทำปืนตก โกลด์สไตน์ได้ทีตะครุบปืนแล้วจ่อไปที่ฮิตเลอร์ บังคับให้ทำอย่างเดียวกับเขาบ้าง ทันทีที่ฮิตเลอร์คลานลงกับพื้นทำท่าจะคว้าขี้หมาส่วนที่ยังเหลือ โกลด์สไตน์ก็รีบโกยอ้าวออกจากที่นั่น

          เมื่อเขากลับถึงบ้าน ภรรยาถามขึ้นว่า "เป็นไงบ้างคะวันนี้"

          "ก็เรื่อย ๆ" เขาตอบแล้วเสริมขึ้นว่า "เหมือนกับทุกวันนั่นแหละ… เพียงแต่คุณคงเดาไม่ถูกแน่ว่าวันนี้ผมไปกินมื้อเที่ยงกับใครมา"


          ไม่มีใครอยากกินขี้ แต่เมื่อโกลด์สไตน์จำต้องกินขี้ แทนที่จะตีอกชกหัวในความโชคร้ายของตัว เขากลับมองเหตุการณ์นั้นในอีกมุมหนึ่ง จนสามารถจะหยิบยกมาพูด ให้คนอื่นต้องอิจฉาหรือเซอร์ไพรส์ได้

          เมื่อเคราะห์กรรมมาถึง เราสามารถจะเลือกได้ว่าจะทุกข์ร้อนกับมันแค่ไหน หรือเฉย ๆ เสียก็ได้ ถ้าคุณไม่หมกมุ่นกับเรื่องร้าย คุณจะพบว่ามีแง่มุมดี ๆ ที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่คุณได้ บางทีมันอาจทำให้คุณอดหัวเราะไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ใช่คนซีเรียสจนเกินไปนัก อย่างตัวอย่างข้างล่าง

          ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งรอหมอเรียก มีใครคนหนึ่งเกิดตดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แต่กลิ่นแรงพอที่จะทำให้หลายคนอดรนทนไม่ได้ ต่างด่าว่ากัน มีเพียงคนเดียวที่หัวเราะออกมา

          "มีอะไรน่าหัวเราะเหรอเพ่" ชายคนหนึ่งถาม

          ชายผู้ไร้เดียงสาตอบ

          "ผมหัวเราะคนที่ตด เพราะเขาก็รุมด่าผมด้วย"

          มีเหตุผลที่เราสมควรจะโกรธคนที่มาด่าว่าเรา โดยเฉพาะเมื่อคนนั้นทำผิดแล้วกลับมาโยนความผิดให้เรา แต่ถ้าไม่ยึดติดกับเหตุผลหรือความถูกผิดจนเกินไปแล้ว คนคนนั้นก็น่าสงสารสมเพชอยู่หรอกที่คิดเอาตัวรอดด้วยวิธีโมเมแบบนี้ ลองคิดแบบชายผู้ไร้เดียงสาคนนั้นแล้วน่าหัวเราะอยู่ไม่ใช่หรือ

          ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เลวร้ายหรือย่ำแย่เพียงส่วนเดียว ลองคิดลองมองมุมใหม่ดู เราอาจจะพบสิ่งดี ๆ เข้าก็ได้

          ขอจบท้ายด้วยเรื่องของบุญชัย บอกก่อนนะครับว่าเรื่องนี้ไม่ตลก แต่มีสาระ

          วันหนึ่งบุญชัยไปเที่ยวเกาะสมุย ขณะที่เดินเข้าไปในสวนมะพร้าว ลิงตัวหนึ่งเกิดอารมณ์บ่จอยโยนมะพร้าวลงมาจากยอดเฉียดหัวเขาไปหน่อยเดียว เขาใจหายวูบ แต่พอตั้งสติได้เขาก็รีบคว้ามะพร้าวลูกนั้นขึ้นทันที เขาทำอะไรทราบไหมครับ แทนที่จะขว้างมะพร้าวใส่ลิงตัวนั้นเพื่อแก้แค้น บุญชัยกลับหยิบมะพร้าวกลับไปปอกกินที่บ้านด้วยความสบายใจเฉิบ

          ถ้าเป็นคุณล่ะ จะเอามะพร้าวขว้างตอบโต้ลิง หรือเอามะพร้าวไปกิน
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #4 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:31:38 AM »

เห็นแก่ได้
          เช้าวันหนึ่ง เศรษฐินีตื่นมาพบว่าสามีที่นอนอยู่ข้าง ๆ หัวใจวายตายไปแล้ว

          เศรษฐินีตื่นตะลึง รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากชั้นบน เรียกแม่บ้านเสียงดังลั่น

          ฝ่ายแม่บ้านพอได้ยินเสียงเศรษฐินี ก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นจากห้องครัว ถามว่า "คุณนาย เกิดเรื่องอะไรหรือคะ"

          เศรษฐินีหายใจละล่ำละลักพลางพูดว่า

          "นี่เธอ รู้หรือเปล่า เช้านี้นมสด ขนมปัง และไข่ดาวจัดแค่ชุดเดียวก็พอ ไม่ต้องจัดสองชุดแล้ว"



          คนตระหนี่ เห็นแก่เงิน มักกลายเป็นคนไร้น้ำใจไปโดยไม่รู้ตัว เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขาจะไม่สนใจว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่จะสนใจเพียงว่าตัวเองได้หรือเสียอะไรจากเรื่องดังกล่าว เวลาได้ยินข่าวว่าคนใกล้ชิดมีอันเป็นไป คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจของเขาคือ จะต้องจ่ายเท่าไร แทนที่จะเป็นห่วงลูกหลานและญาติพี่น้องของผู้ตายว่าเป็นทุกข์เพียงใด สำหรับเศรษฐินีในเรื่องข้างต้น แม้ว่าปฏิกิริยาแรกสุดของเธอคือ ความเสียดายเงิน ที่จะต้องสูญเสียไปกับอาหารเช้าที่ไม่มีคนกิน (หรืออาจดีใจด้วยซ้ำที่ลดค่าอาหารไปได้อีกนิดหน่อย) แต่สักพักเธอคงต้องกุมขมับเมื่อนึกถึงเงินที่ต้องจ่ายค่าจัดงานศพให้สามี

           รากเหง้าของความตระหนี่ คือการคิดแต่จะเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง พูดง่าย ๆ คือเห็นแก่ได้ ทัศนคติเช่นนี้ทำให้กลายเป็นคนหยาบกระด้าง แม้จะมีวาจาไพเราะ แต่ก็ไม่น่ารักหรือชวนคบหา คนเช่นนี้นอกจากจะทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ เพราะความเห็นแก่ได้ของตนเองแล้ว ยังทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้ง่ายด้วย ดังเรื่องนี้.

 

          หนุ่มพิสิฐเศร้าโศกมากเมื่อรู้ว่าภรรยาสาวสวยตายกะทันหัน ในงานศพ เขาสะอึกสะอื้นไม่หยุด ครั้นถึงวันเผาเขาแทบเป็นลม

          "โถ พิสิฐ" เพื่อนพูดปลอบขณะขับรถพาเขากลับบ้าน "ผมรู้ว่าคุณทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่เชื่อเถอะ อีกไม่ถึงหกเดือน คุณก็จะได้พบสาวสวยและแต่งงานใหม่แน่นอน"

           พิสิฐหันมามองหน้าเพื่อนและส่งเสียงดังลั่น "อีกตั้งหกเดือนเชียวเหรอ แล้วจะให้ผมทำอะไรคืนนี้"

          มาถึงตรงนี้ ผู้อ่านทราบหรือยังว่าพิสิฐร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเพราะอะไร
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #5 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:35:07 AM »

มองแยกส่วน
          บุญยกตกปลาอีท่าไหนไม่รู้ ไปเหยียบถูกเบ็ดของตัวเองเข้า เงี่ยงฝังลึกกลางฝ่าเท้า จึงวิ่งไปหาหมอ

          หมอเห็นเข้าก็ไม่รอช้า หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดก้านเบ็ดออก เสร็จแล้วก็บอกว่า "เอ้า ไปได้แล้ว"

          บุญยกอุทธรณ์ว่า "เงี่ยงเบ็ดยังฝังอยู่เลยหมอ"

          หมอส่ายหัวแล้วพูดว่า "นั่นเป็นเรื่องของหมอรักษาภายใน ผมเป็นหมอรักษาภายนอก หน้าที่ของผมเสร็จแล้ว"



          ยุคนี้เป็นยุคที่นิยมมองแบบแยกส่วน อะไร ๆ ก็ถูกซอยเป็นส่วน ๆ จนแยกขาดจากกัน เห็นได้ชัดในวงการหมอ ร่างกายของคนเราถูกแบ่งซอยเป็นส่วน ๆ ถี่ยิบ แต่ละส่วนก็ให้หมอแต่ละคนรับไปดูแล ราวกับแบ่งสัมปทานกันเลย คนหนึ่งรักษาเฉพาะตา อีกคนก็ต้องรักษาเฉพาะหู อีกไม่นานแม้แต่หูซ้ายกับหูขวาก็ต้องแบ่งให้หมอแต่ละคนรักษากระมัง แต่บ่อยครั้งโรคภัยไข้เจ็บมันไม่ยอมจำกัดเขตตามเส้นแบ่งเขตของหมอ อย่างอาการของนักตกปลาคนนี้ มันไม่ยอมแบ่งเป็นโรคภายนอกหรือภายในตามหมอ หมอเฉพาะทางก็เลยรักษาได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ

          อันที่จริงอย่าว่าแต่หมอเลย คนทั่วไปก็มองแยกส่วนกันจนเป็นนิสัย แม้แต่ชาวพุทธ เรามักแยกซอยชีวิตของเราออกเป็นส่วน ๆ เวลาเข้าวัด (หรือเข้าห้องพระ) ก็ใจบุญสุนทาน ยุงริ้นไม่ตบ แต่เวลาทำมาหากินก็คิดแต่จะเอากำไร เอาเปรียบลูกค้า หาไม่ก็คำนึงแต่ประโยชน์อย่างเดียว นี่เรียกว่าแยกโลกออกจากธรรม ทั้ง ๆ ที่โลกกับธรรมนั้นไม่อาจแยกจากกันได้

          นักปฏิบัติธรรมจำนวนมากเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรม หมายความเพียงแค่การนั่งหลับตาบริกรรมเงียบ ๆ อยู่คนเดียว หรือนึกว่าจะปฏิบัติธรรมได้ก็ต่อเมื่อหลีกเร้นไปอยู่วัดเท่านั้น แต่ที่จริงจะอยู่บ้าน อยู่บนท้องถนน หรืออยู่ในที่ทำงาน ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสติ สมาธิ วิริยะ ขันติ ศรัทธา ศีล ปัญญา เราสามารถจะบำเพ็ญธรรมเหล่านี้ได้ในทุกที่ ชีวิตทางธรรมกับชีวิตทางโลกนั้นต้องประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

          ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านก็ไม่ใช่สิ่งที่จะแยกจากกันได้เด็ดขาด ตัวเรากับคนอื่นนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แยกจากกันได้ยาก ถ้าคนอื่นไม่เอื้อเฟื้อ เราก็อยู่ลำบาก และถ้าเราเห็นแก่ตัว คนอื่นก็เดือดร้อน แต่คนเป็นอันมากพยายามที่จะแยกตัวเองออกจากคนอื่น เรื่องข้างล่างนี้เราเคยได้ยินหรือไม่

          ขณะที่รถโดยสารกำลังแล่นอยู่บนถนนสุขุมวิท พนักงานเก็บสตางค์เห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งห้อยโหนอยู่บนบันไดรถ บางครั้งตัวก็ยื่นออกนอกรถ พนักงานเก็บสตางค์เลยขอให้หนุ่มคนนั้นขึ้นมายืนข้างรถเพราะมีที่ว่าง "ขนาดเตะตะกร้อทั้งวงได้" เขาว่าอย่างนั้น แต่หนุ่มใหญ่ก็ไม่ยอม พนักงานเก็บสตางค์เลยพูดว่า

          "พี่ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวก็โดนรถเฉี่ยวหรอก"

          "เรื่องของกู" หนุ่มใหญ่บอก

          "ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้าเกิดพี่โดนรถเฉี่ยว มันจะเดือดร้อนพวกผม"

          เขาตะโกนห้วนทันทีว่า

          "เรื่องของมึง"

          เรื่องของ 'กู' กับเรื่องของ 'มึง' ใครว่าจะแยกออกจากกันได้ ถ้ายังไม่เชื่อก็ดูอีกเรื่องหนึ่ง

          ชายคนหนึ่งเจ็บขาจนทนไม่ไหว เลยบอกภรรยาให้ขุดกำแพงจนเป็นรูทะลุไปถึงห้องของเพื่อนบ้าน เสร็จแล้วเขาก็ยื่นขาข้างที่เจ็บนั้นลอดกำแพงไปยังห้องของเพื่อนบ้าน

          ภรรยาสงสัย ถามว่าทำไมทำเช่นนั้น ก็ได้คำตอบว่า

          "ถ้าขาไปทรมานที่อื่น ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องของฉัน"

          ปัญหาของเรา ถึงแม้เราจะโยนให้เป็นเรื่องของคนอื่น แต่ในที่สุดมันก็วกกลับมาเป็นเรื่องของเราจนได้

          เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #6 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:37:06 AM »

ช่วยตัวเอง

          กุหลาบกำลังเดือดร้อนเพราะเจ้าหนี้รังควานไม่เลิก ในยามยากเช่นนี้เธอมองไม่เห็นทางอื่น นอกจากมีศาลพระพรหมเป็นที่พึ่ง

          "ท่านขา ลูกช้างศรัทธานับถือท่านมาตลอด ไม่เคยขออะไรเลย แต่คราวนี้ขอได้โปรดช่วยลูกช้างสักครั้งเถิด โปรดดลบันดาลให้ลูกช้างถูกล็อตเตอรี่ด้วยเถิด"

          หลายวันผ่านไป จากอาทิตย์เป็นเดือน แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดกลางดึกคืนวันหนึ่ง กุหลาบก็ดั้นด้นไปยังศาลพระพรหมอีก ตัดพ้อด้วยความสิ้นหวังว่า

          "ทำไมท่านไม่ให้โอกาสลูกช้างเลย"

          ทันใดนั้นกุหลาบก็ได้ยินเสียงดังมาจากศาลพระพรหมว่า

          "เจ้าก็ให้โอกาสข้าบ้างสิ ทำไมเจ้าไม่ซื้อล็อตเตอรี่สักที"

 

          เวลาเราจะขอความช่วยเหลือจากใคร สิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้คือ ถามตัวเองว่าเราช่วยตัวเองเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็อย่าไปหวังว่าคนอื่นเขาจะช่วยเหลือเราได้อย่างที่ต้องการ เดี๋ยวนี้เรางอมืองอไม้กันง่ายขึ้นทุกที คงเพราะเห็นว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มบ้านเต็มเมือง และคิดว่าเพียงมีเงินซื้อเครื่องเซ่น เทวดาก็จะต้องช่วยเราแน่นอน ถ้าคิดเช่นนี้ก็แสดงว่า เรากำลังดูถูกเทวดาว่าทำตัวเหมือนนักการเมืองและข้าราชการไทยจำนวนมาก ซึ่งสามารถซื้อได้ด้วยเงิน

          ถ้าเราพยายามช่วยเหลือตัวเองเต็มที่แล้ว และเป็นความเพียรที่ถูกต้องชอบธรรม พึงมั่นใจได้ว่าความดีเหล่านั้นจะช่วยเราแน่นอน แม้จะไม่ได้เรียกร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยเหลือก็ตาม ดูอย่างพระมหาชนก ซึ่งเมื่อถึงคราวเรือล่มลอยคออยู่กลางสมุทรอย่างไม่มีอนาคต แทนที่จะขอให้เทวดาช่วยเหลือ กลับตั้งหน้าตั้งตาว่ายน้ำตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นฝั่งเลย ในที่สุดนางมณีเมขลาอยู่เฉยไม่ได้ ต้องลงมาช่วยเหลือ พาเหาะขึ้นฝั่ง

          ปาฏิหาริย์ในเรื่องพระมหาชนกอาจดูเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นคติธรรม สอนใจได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ชี้ว่าชาวพุทธไม่ได้หวังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่ปุถุชนคนธรรมดานั้นต้องมีบ้างต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นบางครั้ง ในกรณีเช่นนั้นก็ควรพากเพียรพยายามอย่างเต็มที่เสียก่อน มิฉะนั้นแล้วการบนบานศาลกล่าวก็ย่อมไร้ผล

          อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือตนเองไม่ได้หมายความเพียงแค่การซื้อล็อตเตอรี่เท่านั้น ที่จริงควรทำมากกว่านั้น ทำอะไรบ้าง ดูตัวอย่างจากเรื่องข้างล่างพอเป็นแนวทางก็แล้วกัน



          สมเจตน์ขึ้นนั่งบนรถแล้วพนมมือท่วมหัว ขอให้เทวดาปกป้องให้แคล้วคลาดจากอุบัติภัยและอันตรายทั้งปวง ตลอดการเดินทาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างหลังว่า

          "เจ้าลืมบางอย่างไป"

          สมเจตน์จำเสียงเทวดาอารักษ์ได้ "จริงด้วยขอรับ" พูดจบก็สวดอิติปิโสหนึ่งจบ

          "เจ้าลืมบางอย่างไป" เสียงเดิมดังมาอีก

          "จริงด้วยขอรับ" สมเจตน์นึกขึ้นได้ จึงสวดคาถาชินบัญชรหนึ่งจบ

          "เจ้าลืมบางอย่างไป" เสียงเดิมดังมาอีก

          "ลูกช้างลืมอะไรหรือขอรับ" สมเจตน์ทำท่างง ๆ

          "เจ้าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย" เทวดาตอบอย่างหนักแน่น
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #7 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:39:26 AM »

หลงตามความคิด

          นักธุรกิจผู้หนึ่งกำลังนั่งกินอาหารในภัตตาคาร ใกล้จะอิ่มอยู่แล้ว ก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินมาทัก

          "ว่าไง กิตติชัย" ชายแปลกหน้าตะโกนลั่น "เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นหรือ เมื่อก่อนตัวยังเตี้ยอยู่เลย เดี๋ยวนี้สูงปรี๊ด ผิวก็ขาว ไม่เหมือนเมื่อก่อนดำเป็นถ่านเลย แถมยังหูกางกว่าเดิมอีก นั่งเรือไม่ต้องกางใบเลยก็ยังได้"

          นักธุรกิจผู้นั้นตอบอย่างหนักแน่น "ขอโทษครับผมไม่ได้ชื่อกิตติชัย"

          "ฮั่นแน่" ชายแปลกหน้าอุทาน "แม้แต่ชื่อก็เปลี่ยนด้วย"



          คนเราพอปักใจเชื่ออะไรเสียแล้ว ก็จะกอดความเชื่อนั่นเอาไว้ แม้หลักฐานหรือข้อมูลที่ได้รับจะไม่ตรงกับความเชื่อหรือภาพที่วาดไว้ในใจ ก็จะไม่ยอมละทิ้งความคิดความเชื่อนั้นง่าย ๆ แต่จะสรรหาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดความเชื่อของตน

          ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเชื่อฝังหัวแล้ว บางทีตา หู ลิ้นและอายตนะอื่น ๆ ก็พลอยคล้อยตามความคิดไปด้วย เศรษฐินีที่เชื่อว่าเด็กรับจ้างในบ้านแอบขโมยแหวนเพชรของตนไป มองทีไร ก็เห็นเด็กคนนั้นมีพิรุธตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะเดิน จะย่าง หรือพูดอะไรก็ส่ออาการของขโมย แต่พอพบว่าแหวนเพชรของตนไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ตกอยู่ในซอกโต๊ะ ทีนี้พอเห็นเด็กคนนั้นอีก กลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีพิรุธหรืออาการผิดปกติแต่อย่างใด ที่จริงเด็กก็เด็กคนเดิม แต่ภาพของเด็กในสายตาของเศรษฐีนีนั้นเปลี่ยนไป ภาพเปลี่ยนไปเพราะความคิดเปลี่ยนไปนั่นเอง

          เป็นเพราะความคิดส่งผลต่อการรับรู้ของเรา และสามารถสรรหาเหตุผลมารองรับได้ร้อยแปด จึงอย่าได้แปลกใจหากคนบางคนจะหลงเชื่อนักต้มตุ๋นอย่างหัวปักหัวปำ ไม่ว่าใครจะมาชี้แจงอย่างไร เขาก็ไม่เปลี่ยนใจ และทั้ง ๆ ที่หลักฐานปรากฏทนโท่ เขาก็ไม่สนใจ ยังศรัทธานักต้มตุ๋นเหมือนเดิม

          ความคิดความเชื่อของคนเรามีกลไกลนานัปการ ที่จะปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกเล่นงานง่าย ๆ แถมใช้กลไกนี้สร้างตัวมันให้เข้มแข็ง ดูน่าเชื่อถือ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรจะระแวดระวังความคิดของเราให้ดี อย่าเชื่อมันง่าย ๆ เพราะมันสามารถหลอกเราจนเสียคนได้หากเราไม่รู้ทันมัน

          ความคิดนั้นเป็น 'คนใช้' ที่ดีของเรา แต่เป็นนาย 'นาย' ที่แย่ ดังนั้นจึงควรมีสติ อย่าปล่อยให้มันเป็นนายเรา หรือครอบงำเรากระทั่งว่า เวลามันฟุ้ง เราก็บ้าจี้ฟุ้งตามมัน มันจะปรุงแต่งอย่างไร ก็ไปเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง

          เรื่องต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า อย่าไปหลงเชื่อความคิดปรุงแต่งของเรามากเกินไป

 

          ภาคภูมิเพิ่งมาถึงภูเก็ตเป็นครั้งแรก ขณะที่คอยเพื่อนอยู่ที่สถานีขนส่ง ก็เห็นชายแต่งกายภูมิฐานยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงถามว่า

          "ลุง ตอนนี้กี่โมงแล้ว"

          ชายสูงอายุผู้นั้นมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็ตอบว่า "ไปไกล ๆ เลย"

          ภาคภูมิตะลึง พูดขึ้นว่า "ผมถามลุงดี ๆ ทำไมต้องพูดแบบนี้"

          ตอนแรก ๆ ชายชราก็แสร้งทำเป็นหูทวนลม แต่เมื่อถูกรบเร้าเซ้าซี้ไม่เลิก ก็หลุดออกมาว่า "แกอยากรู้หรือฉันจะบอกให้" แล้วก็พรรณนายืดยาวว่า

          "ฉันรู้นะ ตอนแรกนายก็ถามเวลา ถ้าฉันตอบนายก็จะถามตอบเรื่องดินฟ้าอากาศ เรื่องทะเล เรื่องท่องเที่ยว เรื่องธุรกิจ จิปาถะ พอคุ้นเคยกันเข้า ฉันก็ต้องแสดงความเอื้อเฟื้อตามมรรยาทเจ้าบ้าน เชิญนายไปเที่ยวที่บ้าน"

          "อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น นายก็จะพบกับเมทินี ลูกสาวที่น่ารักของฉัน ทีนี้นายกับลูกสาวของฉันก็อาจจะชอบพอกันขึ้นมา ในที่สุดนายก็จะขอแต่งงานกับลูกสาวของฉัน จะให้ลูกสาวของฉันแต่งงานกับนาย เหรอ ไม่มีทาง ลูกสาวของฉันจะอยู่อย่างไร กับคนที่ไม่มีแม้แต่นาฬิกาสักเรือนเดียว"

          "เพราะฉะนั้นเพื่อตัดเรื่องยุ่งยากทั้งหมด ฉันยอมเสียมารยาทไล่นายไปดีกว่าที่จะบอกว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว"
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #8 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:41:27 AM »

ฟ้องตัวเอง
          ไวพจน์เดินเข้าไปในร้านกาแฟ เห็นคนมุงรอบโต๊ะตัวหนึ่ง พอแหวกเข้าไปก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังเล่นหมากรุกอยู่แต่ที่นึกไม่ถึงก็คือ อีกด้านหนึ่งของตารางหมากรุก เป็นหมาขนเกรียนใช้ตีนเขี่ยเบี้ยอยู่

          "โอ้โฮ หมาตัวนี้เก่งจังเลย เล่นหมากรุกก็เป็น" ไวพจน์

          "เก่งอะไรกัน เล่นมาห้าตา มันแพ้ผมสามตาแล้ว ชมให้ถูกคนหน่อย" นักเล่นหมากรุกตอบ

          ชายหนุ่มแสดงอาการดูถูกหมาที่เล่นแพ้ตนตั้งสามตา เลยรู้สึกว่าตนเองเก่ง แต่กลับไม่เฉลียวใจว่า ถ้าเขาเก่งจริง ทำไมจึงแพ้หมาไปถึงสองตา ขณะที่แสดงอาการอวดตัวว่าเก่งนั้น เขาได้ฟ้องว่าตัวเองว่าโง่เขลา



          ตัวตนหรืออัตตานั้น มักหาโอกาสยกหูชูหางตัวเองเสมอ คนที่ไม่เท่าทันตัวเองจึงมักหาช่องคุยโม้โอ้อวด หรือพูดข่มผู้อื่น แต่ความอยากคุยโม้พูดข่มนั้น บ่อยครั้งก็แรงกล้ามากจนทำให้ลืมตัว จึงเผลอประจานตัวเองโดยสำคัญผิด คิดว่าเป็นการแสดงความเก่งกล้าสามารถ

          เวลาเราคิดจะยกหูชูหางตัวเองหรือพูดตำหนิใคร ก่อนจะพูด ลองตรวจตราตัวเองให้แน่ชัดถี่ถ้วน หาไม่จะหน้าแตกง่าย ๆ

          นอกจากการตำหนิคนอื่นว่า 'โง่' แล้ว การกล่าวหาคนอื่นว่า 'บ้า' ก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อก็ดูตัวอย่างข้างล่าง

          ภารณ หนุ่มใหญ่ ปรึกษาจิตแพทย์ว่า

          "ภรรยาผมเป็นบ้าไปแล้ว เธอคิดว่าตัวเองเป็นรถตุ๊กตุ๊กตลอดเวลา"

          "พรุ่งนี้เช้า ขอให้คุณช่วยพาภรรยามาหาผมหน่อย" จิตแพทย์แนะนำ

          "จะพามาหาหมอได้ยังไง คลินิกหมออยู่ถึงชั้นที่สิบ"

          "ไม่เห็นยากอะไรเลย คุณกับภรรยาก็ขึ้นลิฟต์มา"

          "เอารถตุ๊กตุ๊กขึ้นลิฟต์มันง่ายเสียเมื่อไหร่ครับคุณหมอ" ภารณตอบ

          ใครกันแน่ที่บ้า ใครกันแน่ที่เพี้ยน คุณบอกได้ไหมครับ
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #9 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:43:42 AM »

คำตอบคือตัวปัญหา
          ชายคนหนึ่งได้หมวกมาใบใหม่ เขาภูมิใจนักหนากับหมวกใบนี้ ไปไหนมาไหนก็สวมหมวกใบนี้

          วันหนึ่ง เขาตั้งใจเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่ขาดไม่ได้คือสวมหมวกใบนี้ไปด้วย แต่เนื่องจากเป็นหมวกสักหลาดปีกใหญ่ เวลาสวมใส่ยามบ่ายจึงร้อนอบอ้าวมาก เดินไปได้ไม่นานเหงื่อโชกไปทั้งหัว จนต้องแวะพักใต้ต้นไม้แล้วเขาก็ถอดหมวกมาพัดให้เย็นลง ระหว่างที่พัดไปก็บอกกับตัวเองว่า "วันนี้หากไม่มีหมวกใบนี้ ฉันคงร้อนตายแน่"



          ชายผู้นี้ปลาบปลื้มกับหมวกใบใหม่ที่สามารถพัดคลายความร้อนได้ แต่ไม่ได้มองว่า ที่ตนร้อนจนเหงื่อโชกนั้น ก็เป็นเพราะหมวกใบเดียวกันนี่แหละ

          มีสิ่งของมากมายหลายอย่าง ที่เราเข้าใจว่า ช่วยลดความยุ่งยากเดือดร้อนในชีวิต แต่หากลองใคร่ครวญดูจะพบว่าความยุ่งยากนั้นแท้จริงมิได้มาจากไหน หากมาจากสิ่งของต่าง ๆ ที่เราชื่นชมนั่นแหละ รถยนต์นั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน แม้มันจะช่วยให้เราไม่ต้องทุกข์ทรมานระหว่างการจราจรแน่นขนัด ควันพิษมลภาวะจะมากมายเพียงใด ก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะอยู่ในรถติดแอร์ แต่มิใช่เป็นเพราะรถยนต์หรอกหรือ การจราจรทุกวันนี้ถึงแน่นขนัดและเต็มไปด้วยมลพิษ

          อุปกรณ์ไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยทุ่นเวลาให้เราท่ามกลางชีวิตที่วุ่นวาย แต่ใช่หรือไม่ว่า สาเหตุที่ชีวิตเราวุ่นวายและมีเวลาว่างน้อยลง ก็เนื่องมาจากเรามัวแต่ทำมาหากิน เพื่อจะได้มีเงินมาซื้ออุปกรณ์เหล่านี้ ถ้าหากเราลดความต้องการในเทคโนโลยีเหล่านี้ เราจะมีเวลามากขึ้น ชีวิตจะวุ่นวายน้อยลง เพราะไม่จำเป็นต้องหาเงินให้มาก ๆ อย่างที่มักเป็นกัน

          ดูเผิน ๆ เครื่องเอกซเรย์ก็ช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งได้แต่เนิ่น ๆ แต่บ่อยครั้งมันเองนั่นแหละที่มีส่วนทำให้คนเป็นมะเร็งกันมากขึ้น

          มองให้กว้างออกไป เขื่อนต่าง ๆ ที่เราชื่นชมว่าช่วยป้องกันน้ำท่วม หรือช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งนั่น สืบสาวไปจะพบว่า สาเหตุที่น้ำท่วมบ่อยขึ้น ภัยแล้งรุนแรงขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะการทำลายป่าเพื่อมาสร้างเขื่อนนั่นเอง

          สิ่งที่เราคิดว่าเป็นทางออกนั้น บ่อยครั้งมันคือตัวปัญหา ดังนั้นก่อนที่เราจะนิยมยกย่องสิ่งใดก็ตามว่าช่วยให้ชีวิตเรายุ่งยากน้อยลง ควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามันไม่ใช่ต้นตอแห่งความยุ่งยากในชีวิต (และในสังคม)

          ถ้าเราแยกไม่ออกว่าอะไรคือตัวก่อปัญหากันแน่ ต่อไปเราก็คงแยกไม่ออกว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือวิธีบรรเทาทุกข์ ในที่สุดเราอาจเป็นอย่างเศรษฐีในเรื่องข้างล่างก็ได้

 

          ทองหนักเป็นเศรษฐีระดับพันล้านที่ร่ำรวยจากกองมรดก เขาไม่เคยรู้ว่าคนจนเขาอยู่กันอย่างไร เช้าวันหนึ่งกลางฤดูหนาว เขามองออกไปนอกคฤหาสน์ เห็นขอทานคนหนึ่งยืนต้านลมหนาวอยู่ใต้ต้นไม้ ตัวสั่นเทา เขารู้สึกแปลกใจ จึงถามบริวารว่า

          "ทำไมคนคนนี้ถึงตัวสั่นเทาขนาดนั้น"

          "ก็เพราะว่าอากาศหนาวมากครับ" บริวารตอบ

          ทองหนักแปลกใจอย่างยิ่งจึงพูดว่า

          "อ้าว สั่นอย่างนี้ทำให้เขาหายหนาวไม่ใช่หรือ"
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #10 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:46:06 AM »

เสียศักดิ์ศรี
          วงศ์ชัยถูกภรรยาทุบตี จึงหนีไปซ่อนใต้เตียง ภรรยาร้องตะโกนว่า

          "ออกมาเร็ว ๆ"

          "ไม่ออก" วงศ์ชัยโต้ทันควัน

          "ออกมานะ ไม่งั้นเจอดีแน่" ภรรยาขู่

          "ลูกผู้ชายพูดว่าไม่ออก แน่นอนต้องไม่ออก"


          วงศ์ชัยถือตัวว่าเป็นลูกผู้ชายที่ต้องรักเกียรติรักศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีอย่างหนึ่งของลูกผู้ชายที่นับถือกันก็คือ พูดคำไหนคำนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมกลับคำพูด เมื่อบอกว่าไม่ออกก็ต้องไม่ออก แต่เขาลืมไปว่า การหนีเมียไปอยู่ใต้เตียงนั้น เป็นการสวนทางกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่เขายึดถือ

          แต่จะว่าไป การหนีเมียไปอยู่ใต้เตียงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญเท่าใดนัก สำหรับคนเป็นอันมาก ศักดิ์ศรีของเขาไปอยู่ที่อื่นมากกว่า เช่น 'หน้าตา' บ่อยครั้งหน้าตามีความสำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่น กลายเป็นว่าจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้เสียหน้าก็แล้วกัน ใครมาทำให้เสียหน้า ถือว่าลบหลู่ศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรง

          ชายคนหนึ่งซื้อของในห้างสรรพสินค้า ถึงคราวจะต้องจ่ายเงิน พอเห็นคนต่อแถวกันยืดยาวที่เคาน์เตอร์รับเงิน ก็ใช้วิธีลัดคิวพรวดไปจ่ออยู่หลังคนที่กำลังจ่ายเงิน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังก็พูดเตือนอย่างสุภาพให้เขาไปต่อคิว เขากลับบ่ายเบี่ยง หลังจากโต้เถียงสักพัก ก็เกิดโมโห ขู่ว่าจะตบหากว่าผู้หญิงนั้นยังไม่หยุดพูด

          ผู้ชายจำนวนไม่น้อยถูกปลูกฝังมาว่าตนเป็นเพศที่เหนือกว่า ส่วนผู้หญิงเป็นฝ่ายที่ต้องเชื่อฟังสถานเดียว ชายผู้นั้นคงได้รับการเลี้ยงดูมาเช่นนั้น จึงรู้สึกเสียศักดิ์ศรีมากที่ถูกหญิงผู้นั้นตำหนิ แต่เขาหาได้ตระหนักไม่ว่า การที่เขาเอาเปรียบผู้อื่นด้วยการลัดคิวนั้น แท้ที่จริงเป็นการบั่นทอนเกียรติหรือศักดิ์ศรีของตนเอง เขาไม่ตระหนักก็เพราะเอาศักดิ์ศรีของเขาไปผูกติดกับหน้าตา แทนที่จะผูกติดกับคุณงามความดี

          สังคมไทยเวลานี้ เต็มไปด้วยคนที่ไม่รู้สึกเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีแม้แต่น้อยที่คอร์รัปชั่น ค้ายาบ้า หรือเอาเปรียบคนอื่น แต่จะรู้สึกว่าศักดิ์ศรีถูกลบหลู่อย่างแรง หากความชั่วของเขาถูกเปิดเผย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ นั่นก็เพราะศักดิ์ศรีของเขาอยู่ที่หน้าตายิ่งกว่าคุณธรรม

          การให้ความสำคัญกับหน้าตามาก ทำให้ผู้คนทุกวันนี้สนใจแต่วัตถุ จนลืมเรื่องที่เป็นแก่นสาร กระเป๋า รองเท้า ราคานับหมื่น นาฬิกาเรือนแสน รถยนต์แพง ๆ กลายเป็นปัจจัยชีวิตที่ขาดไม่ได้ แม้กระทั่งสำหรับวัยรุ่นเดี๋ยวนี้จะทำอะไรก็ต้องให้สวยให้ดูดีก่อน ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง ถ้าคุณเจอแบบนี้จะทำอย่างไร ตัวอย่างข้างล่างอาจช่วยคุณได้

 

          มาร์ค ทเวน เป็นนักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงมาก เขาเป็นคนไม่ค่อยพิถีพิถันกับการแต่งกาย แต่ภรรยาของเขามีรสนิยมวิไล ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ต้องแต่งตัวให้ดูหรูสง่าไว้ก่อน

          คราวหนึ่งเขาไปงานเลี้ยงวันเกิดบ้านเพื่อนโดยไม่ผูกเนกไท ภรรยาเห็นเข้าก็บ่นว่าทำให้เสียหน้า มาร์ค ทเวน เลยกลับไปที่ห้องพัก เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเนกไทเส้นหรูออกมา บรรจุใส่กล่องอย่างประณีต แล้วส่งกล่องนั้นไปที่บ้านเพื่อนคนนั้นด้วยตัวเอง

          บนกล่องใบนั้นมีข้อความว่า

          "เมื่อกี้ผมมานั่งที่บ้านคุณ ๓๐ นาที แต่ไม่ได้ผูกเนกไท ต้องขอโทษอย่างมาก ทั้งยังถูกภรรยาตำหนิ เวลานี้ผมส่งเนกไทมา ขอให้พวกคุณชมสัก ๓๐ วินาที แล้วคืนผมด้วย ขอบคุณมาก"
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #11 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:48:13 AM »

[.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 08, 2010, 11:16:55 AM โดย pasta » บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #12 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:49:57 AM »

เท่าทุน

          แก่นกับเพื่อนโชคดีแต่หัววัน อยู่ ๆ ก็เจอลาพลัดหลงมาตัวหนึ่ง ทั้งสองกำลังร้อนเงินอยู่พอดี จึงตกลงให้แก่นจูงลาไปขายที่ตลาด

          ระหว่างทางพบชายคนหนึ่งหิ้วปลามาสองตัว ชายผู้นั้นถามว่า

          "พี่ชาย ลาตัวนี้จะขายไหม"

          "ขายสิ"

          "ถ้างั้นพี่ชายช่วยถือปลาให้ผมด้วย ผมจะลองขี่มันดู ถ้าถูกใจค่อยมาตกลงเรื่องราคากัน"

          ชายคนนั้นขี่ลาวนอยู่หลายรอบ ยิ่งวนก็ยิ่งไกลออกไปทุกที จนหายวับไป แก่นรออยู่นานก็รู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว จึงได้แต่ถือปลากลับไป เพื่อนเห็นเข้าก็ถามว่า

          "ขายลาไปแล้วใช่ไหม"

          "ฮื่อ" แก่นตอบ

          "ขายได้เท่าไร"

          "ขายได้เท่าทุน แต่ปลาสองตัวนี้เป็นกำไร"



          เรื่องนี้มองได้หลายแง่มุม อาจมองว่าเป็นเรื่องของโชคที่หลุดลอยจากมือของคนโง่ก็ได้ แต่จะมองให้ลึกไปกว่านั้นก็ได้

          แก่นคงไม่ใช่คนที่ฉลาดนัก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถูกหลอกจนเสียลาไป แต่ถ้ามองให้ดี ก็จะเห็นสัจธรรมจากคำพูดของเขา ใช่หรือไม่ว่า ทั้งสอง 'เท่าทุน' ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้ลามาฟรี ๆ เมื่อเสียลาไปฟรี ๆ จะเรียกว่า 'ขาดทุน' ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องมีอะไรที่ต้องเสียใจ ที่จริงแก่นพูดถูกแล้วที่บอกว่าเขา 'ได้กำไร' เพราะได้ปลาสองตัวมาจากเดิมที่ไม่มีอะไรเลย ดังนั้นจึงน่าที่จะดีใจด้วยซ้ำ

          คนเรามักจะเสียใจทุกครั้งที่สูญเสียอะไรไปโดยไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมา เราเสียใจที่เงินหาย เสียรถ เสียบ้าน ฯลฯ แต่เรามักลืมไปว่าที่จริงเราแค่ 'เท่าทุน' เราไม่ได้ 'ขาดทุน' หรือสูญเสียอะไรไปเลย เพราะแต่เดิมเราก็ไม่ได้มีสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ถ้าสาวกันจริง ๆ แล้ว แต่เดิมเราก็มีแต่ตัวเปล่า ๆ เท่านั้น เราคลานออกมาจากท้องแม่โดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่อย่างเดียว

          ถ้ามองจากจุดที่ว่า เราเกิดมาตัวเปล่า ก็จะพบว่าถึงแม้เราจะสูญเสียอะไรไปมากมาย เราก็ยัง 'กำไร' อยู่ เพราะตอนนี้เราก็ยังมีทรัพย์สินติดตัว มีครอบครัว วิชาความรู้ และอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ คุณอาจบอกว่าของที่สูญเสียไปนั้น ไม่ได้เกิดจากโชคเหมือนอย่างสองคนในเรื่องที่ได้ลามาเปล่า ๆ แต่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงและวิชาความรู้ของคุณเอง แต่ลองสืบสาวดูก็จะพบว่า 'ทุน' ที่คุณลงไปนั้นส่วนใหญ่ก็ได้มาฟรี ๆ เหมือนกัน น้ำนมและอาหารทั้งหลายที่เลี้ยงคุณมาแต่เกิด จนทำให้มีกำลังวังชาและกำลังความคิดนั้น ใช่ว่าคุณเป็นคนซื้อมาหรือลงทุนลงแรงหามาเอง ก็เปล่า การศึกษาที่ได้รับจากพ่อแม่และครูอาจารย์ ก็ไม่ได้เกิดจากเงินทองของคุณเลยแม้แต่น้อย ถึงที่สุด ร่างกายของคุณก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ที่ดูแลเอาใจใส่ตั้งแต่เป็นตัวอ่อน ชีวิตทรัพย์สิน และอะไรต่ออะไรที่คุณมีนั้นเป็นของที่คุณได้มา 'ฟรี ๆ' แทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป อย่างแย่ที่สุดคุณก็เพียงแต่ 'เท่าทุน' เท่านั้น

          ในเมื่อสิ่งที่คุณมีอยู่เวลานี้เป็นของฟรีแทบทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น 'ของคุณ' จริง ๆ กรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งหลายจึงเป็นเพียง 'สมมติ' เท่านั้น สมมตินั้นใช้การได้ในบางที่ บางแห่ง บางเวลาเท่านั้น (เช่นกรรมสิทธิ์ในภรรยาใช้ได้ในอินเดียสมัยก่อน แต่ใช้ไม่ได้ในเมืองไทย พ.ศ. นี้) แต่บ่อยครั้งเราคิดว่า สมมติเป็นความจริงสูงสุด และดังนั้นเราจึงติดยึดกับมัน การติดยึดกับมันมาก ๆ นอกจากจะทำให้เราทุกข์เวลาสูญเสียมันไปแล้ว ยังอาจทำให้เรากลายเป็นคนโง่ได้อย่างเรื่องข้างล่าง

 

          ลูกค้าคนหนึ่งไปซื้อของที่ร้านชำ

          "ขอซื้อน้ำตาลทรายขาวหนึ่งกิโล"

          เจ้าของร้านหยิบกล่องสังกะสีใบหนึ่งลงมาจากชั้น กล่องนั้นปิดฉลากพริกป่น ลูกค้าจึงท้วงว่า

          "ผมต้องการน้ำตาลทรายขาวนะครับ ไม่ใช่พริกป่น" เจ้าของร้านหัวเราะ ตอบว่า

          "อย่าห่วง กล่องนี้บรรจุน้ำตาลทรายขาว แต่ผมกลัวว่ามดแดงมันจะขึ้นน้ำตาล ก็เลยเอาฉลากพริกป่นปิดหลอกมันไว้ไง"
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #13 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:52:04 AM »

ความพอดี
          วันนี้ขอย้อนกลับไปสมัยราชวงศ์ซ้อง

          เจ้าเมืองต้องการส่งข่าวด่วนให้แม่ทัพที่ชายแดน แต่เกรงว่าจะไม่ทันการ จึงให้ม้าตัวหนึ่งแก่ผู้นำสาร

          ผู้นำสารได้ม้าแล้วก็ตีม้าเต็มเหยียด ส่วนตัวเองวิ่งตามหลังม้า ขุนนางผู้หนึ่งเห็นเข้าก็อดสงสัยไม่ได้ จึงถามว่า "เรื่องนี้เร่งด่วนนัก ทำไมเจ้าไม่ขี่ม้า"

          ผู้นำสารตอบว่า

          "วิ่งหกขาก็ต้องเร็วกว่าสี่ขาสิครับ"



          สี่ขาเร็วกว่าสองขาก็จริงอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหกขาต้องเร็วกว่าสี่ขา ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ แต่บ่อยครั้งคนเราก็เผลอคิดอย่างนั้น เช่นคิดว่า ยิ่งมีเงินมากเท่าไร ก็ยิ่งสุขมากเท่านั้น ถ้าเงินแสนทำให้มีความสุข เงินสิบล้านก็ยิ่งทำให้สุโขสโมสรเพิ่มขึ้น แต่ชีวิตจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ มีเงินมากมายมหาศาลดังกล่าวกลับจะทำให้สุขน้อยลงกว่าตอนที่มีแค่แสน เพราะไหนจะต้องคอยห่วงกังวลว่าใครจะมาขโมยไป ไหนจะต้องครุ่นคิดว่าจะเอาเงินไปลงทุนที่ไหนถึงจะได้ผลตอบแทนสูงสุด ไหนจะต้องปวดหัวที่ใครต่อใครก็มาขอเงิน ครั้นไม่ให้ก็กลัวจะผิดใจกันแถมยังคิดไม่ตกว่าจะเอาเงินไปซื้อรถยี่ห้อไหน หรือเที่ยวประเทศไหนดี เพราะมีทางเลือกมากมายจนงงไปหมด ฯลฯ

          ความสุขนั้นไม่ใช่กราฟเส้นตรงที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนเงินและทรัพย์ที่มี แต่คล้ายกับกราฟรูประฆังหรือครึ่งวงรี คือตอนที่ไม่มีเงินเลยก็ทุกข์ พอมีเงินก็เริ่มมีความสุข ทีแรกความสุขก็เพิ่มตามจำนวนเงิน แต่ถ้าเลยจุดพอดีไปแล้ว มีเงินเพิ่มขึ้นกลับจะทำให้ความสุขลดลง ถึงตอนนี้ยิ่งมีมากเท่าไร เส้นความสุขก็ยิ่งดิ่งลงมากเท่านั้น

          จึงไม่น่าแปลกใจที่คนรวยล้นฟ้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร แค่จะนอนให้หลับก็ต้องกินยาเป็นกำ ถ้าไม่อยากให้ความสุขลดลง ควรกลับไปหาความพอดี ซึ่งเป็นจุดที่ความสุขพุ่งสูงสุด ความพอดีที่ว่าก็คือชีวิตที่พออยู่พอกิน ไม่ยากจนและไม่ฟุ้งเฟ้อ หากมีความสะดวกสบายพอสมควร

          ถ้าสี่ขาคือความเร็วที่เหนือสองขาและหกขา ความพอดีก็คือความสุขที่เหนือความยากไร้และความฟุ้งเฟ้อนั่นเอง

          ก่อนจบขอแถมเรื่องเบา ๆ ที่แฝงข้อคิดจากราชวงศ์ซ้องเช่นกัน

 

          ชายคนหนึ่งถือไม้ยาวจะเข้าประตูเมือง ครั้งแรกถือแบบแนวตั้ง แต่เนื่องจากประตูเมืองสูงไม่พอ จึงเข้าไม่ได้ ครั้นเปลี่ยนมาถือแบบแนวนอน ก็ติดอีกเพราะประตูเมืองกว้างไม่พอ

          ชายชราคนหนึ่งเห็นเข้า จึงออกความคิดว่า

          "ถึงฉันจะไม่ใช่ผู้รู้ แต่ก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง ทำไมเธอไม่ตัดไม้ลำนี้เป็นสองท่อนเล่า"

          คุณคิดว่า เรื่องนี้แฝงข้อคิด หรือเปรียบเปรยอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนเราบ้างหรือไม่ ลองคิดดูเล่น ๆ ก็แล้วกัน ใครนึกออกก็ช่วยเขียนมาบอกบ้าง
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #14 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:53:57 AM »

หนีไม่พ้น

          เด็กน้อยสวมหมวกสะพายเป้ราวกับจะออกเดินทางไกล แต่กลับเดินวนรอบตึกรามบ้านช่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นชั่วโมง ๆ ตำรวจจราจรอดสงสัยไม่ได้ เลยเข้าไปถามเด็กน้อยว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า

          "ผมกำลังหนีออกจากบ้าน" เด็กน้อยตอบ

          "เหรอ แล้วทำไมหนูถึงเดินวนล่ะ"

          "จ่าก็รู้ว่าคุณแม่ไม่ยอมให้ผมข้ามถนนเด็ดขาด ขืนผมข้ามมีหวังโดนแม่ดุแน่"



          ฟังเหตุผลของเด็กน้อยแล้วก็น่าหัว เด็กน้อยอยากจะทำงานใหญ่ แต่กลับทำได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะกลัวเรื่องขี้ปะติ๋ว

          แต่ก็อย่าขำจนลืมมองตนเอง บ่อยครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ต่างจากเด็กคนนี้ หลายคนอาจจะเคยรู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย เบื่อหน่ายเต็มทีแล้วกับการไขว่คว้าหาวัตถุมาปรนเปรอ มีของแพงยี่ห้อดัง ๆ มาใช้ ก็ใช่ว่าจะเป็นสุขที่ไหน เหนื่อยก็เหนื่อย พอกันทีชีวิตแบบนี้

          แต่พอจะโบกมืออำลาชีวิตฟุ้งเฟ้อ ก็กลับเป็นห่วงว่าถ้าใส่นาฬิกาถูก ๆ คนเขาจะมองเราอย่างไร ถ้าไม่ใส่เสื้อยี่ห้อดัง ๆ เขาคงคิดว่าเรากระจอก ถ้าไม่เที่ยวห้าง ก็จะว่าเราผิดมนุษย์มนา ฯลฯ

          คนเป็นอันมากเบื่อหน่ายกับชีวิตบริโภค แต่ไม่สามารถหนีจากไปได้ ก็เพราะกลัวโน่นกลัวนี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วทั้งนั้น ลัทธิบริโภคนิยมครอบงำคนส่วนใหญ่ได้ ไม่ใช่เพราะมันมีเสน่ห์ชวนหลงไหลเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะมันรู้จักขู่ให้คนกลัว เวลาใครอยากจะหนีจากมัน มันก็ขู่ว่า ระวังนะ เดี๋ยวจะไม่เท่ ไม่ทันสมัย

          ความเท่ ความทันสมัย ถึงแม้ว่าจะเสกสรรก็บันดาลได้จากของหรูของแพง ก็ไม่คุ้มเลยกับความวุ่นวาย เหนื่อยอ่อนเพราะต้องไขว่คว้า แทนที่จะเอาเวลาไปใช้กับสิ่งที่มีคุณค่า เช่น เพิ่มพูนความรู้ อยู่กับครอบครัว หรือแสวงหาความสงบสุขในจิตใจ

          ทุกวันนี้ผู้คนสยบยอมกับบริโภคนิยมจนเห็นวัตถุสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด สำคัญกว่าความสงบสุขภายใน สำคัญกว่าครอบครัว แม้กระทั่งคนรักก็ยังไม่สำคัญเท่า

 

          ชายหนุ่มจด ๆ จ้อง ๆ กางเกงยี่ห้อดังในห้างสรรพสินค้า เขารู้สึกพอใจ ทำท่าจะซื้อแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ พนักงานขายสงสัย เขาเลยให้เหตุผลว่า "แฟนผมเค้าคงไม่ชอบ"

          หนึ่งอาทิตย์ต่อมาเขากลับมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มและซื้อกางเกงตัวนั้นกับตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวที่มีรูปทรงเดียวกัน

          "แฟนคุณเปลี่ยนใจแล้วหรือคะ" พนักงานถาม

          "เปล่าหรอก" ชายหนุ่มตอบ "ผมเปลี่ยนแฟนแล้วต่างหาก"

          เปลี่ยนยี่ห้อกางเกงนั้นยาก เปลี่ยนแฟนยังง่ายกว่าเยอะ
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.134 วินาที กับ 23 คำสั่ง