เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 19, 2025, 06:55:57 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สา - ร ะ - ขัน  (อ่าน 4432 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #15 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:56:36 AM »

บทเรียน
          ขอพาไปเที่ยวเมืองนอกสักวัน

          สมพงษ์ร่อนฟ้ามาอยู่ที่กรุงเดลี ขณะที่เยื้องย่างถึงหอนาฬิกากลางเมือง ก็มีกระทาชายนายหนึ่งมากระซิบถามว่าอยากซื้อนาฬิกาบนหอนั่นหรือไม่

          เศรษฐีผู้ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้ามาแล้ว ตอบทันทีว่า "แน่นอน"

          "เอามาให้ฉันแสนหนึ่งสิ แล้วผมจะไปเอาบันไดมา"

          พอได้เงินแสนรูปีจากสมพงษ์ ชายผู้นั้นก็หายวับไป หลังจากรออยู่หลายชั่วโมง สมพงษ์ก็รู้ว่าเขาถูกหลอกแล้ว

          วันรุ่งขึ้น สมพงษ์เดินไปบนถนนเส้นเดิม และแล้วชายคนเดิมก็เข้ามาถามว่า อยากซื้อนาฬิกาบนหอนั่นหรือเปล่า หมอนั่นคงความจำไม่ค่อยดี จึงไปหลอกเหยื่อรายเดิมซ้ำอีก แต่สิ่งที่หมอนั่นจำได้แม่นยำถูกต้องก็คือข้อความว่า "เอาเงินมาให้ผมแสนหนึ่งสิ แล้วผมจะไปเอาบันไดมา"

          สมพงษ์ให้เงินเขาแสนหนึ่งเช่นเคย แต่คราวนี้พูดว่า

          "ฉันไม่ใช่ไอ้หน้าโง่นะเฟ้ย คราวนี้แกอยู่นี่ ฉันจะไปเอาบันไดมาเอง"

 

          เจอเหตุการณ์ครั้งเดียว สมพงษ์ก็รู้ว่าตนถูกหลอก เขาดูเหมือนจะสรุปบทเรียนได้เมื่อเจอหมอนั่นเป็นครั้งที่สอง แต่แล้วเขาก็สรุปบทเรียนผิด เพราะไปคิดว่า ความผิดพลาดครั้งแรก เกิดจากการปล่อยให้หมอนั่นไปเอาบันไดมา เขาคิดว่าทางที่ถูกเขาควรไปเอาบันไดเอง

ทำไมเขาถึงสรุปบทเรียนผิดพลาด คำตอบก็คือเขาไปให้ความสนใจกับบันไดมากกว่าตัวหมอนั่น ดังนั้นแทนที่จะจับตัวหมอนั่นเอาไว้ เขากลับนึกถึงวิธีการที่จะให้ได้บันไดอย่างแน่นอนที่สุด นั่นก็คือเขาต้องไปเอาบันไดมาเอง

          การที่สมพงษ์ให้ความสนใจกับบันไดมากกว่าตัวหมอนั่น มองในแง่หนึ่งก็คือ การให้ความสำคัญกับวัตถุหรือเทคโนโลยีมากกว่าตัวคน ด้วยเหตุนี้เรื่องของสมพงษ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนโง่เท่านั้น หากยังเป็นภาพสะท้อนพฤติกรรมของคนทุกวันนี้ด้วย เพราะว่าเวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา แม้เราจะรู้ว่ามีอะไรสักอย่างที่ผิดปกติ แต่ใช่หรือไม่ว่าแทบทุกครั้งเรามักสรุปว่าเป็นเพราะเทคโนโลยี มากกว่าเป็นเพราะทัศนคติหรือพฤติกรรมของผู้คน

          ตัวอย่างเช่นเมื่อมีปัญหาการจราจรติดขัด เราจะนึกถึงสะพานลอยหรือทางด่วนขึ้นมาทันที ครั้นสร้างแล้วการจราจรกลับแน่นขนัดอีก เราก็สรุปว่าเป็นเพราะสร้างสะพานลอยหรือทางด่วนน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นต้องสร้างเพิ่มอีก แต่เราแทบจะไม่ได้นึกถึงการปรับแก้พฤติกรรมหรือนิสัยของผู้คน เช่น หาทางทำให้คนใช้รถน้อยลงหรือหันมาใช้ขนส่งมวลชนมากขึ้น

          ในทำนองเดียวกัน เวลาเรามีความทุกข์ เราก็มักนึกถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาปรนเปรอตน ครั้นพบว่าความทุกข์ไม่ได้น้อยลง แทนที่จะดูปัญหาอยู่ที่ตัวเราหรือจิตใจของเราหรือไม่ กลับสรุปว่าเป็นเพราะเรามีของน้อยเกินไป ดังนั้นจึงต้องหาซื้อของมาเพิ่มอยู่เรื่อยไม่รู้จักจบสิ้น

          การสรุปบทเรียนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต ใครที่ไม่รู้จักสรุปบทเรียน ก็มีปัญหาไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม การสรุปบทเรียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องสรุปให้ถูกด้วย ถ้าสรุปผิด ปัญหาเก่านอกจากจะไม่ได้แก้แล้ว ยังเกิดปัญหาใหม่ตามขึ้นมาอีก แต่จะสรุปบทเรียนอย่างไรถึงจะถูก อันนี้ขึ้นอยู่กับวิธีคิดด้วย ใครที่คิดแคบ ๆ หรือยึดติดกับความคิดของตนไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง จะสรุปอย่างไรก็สรุปผิดวันยังค่ำ ดังเรื่องข้างล่างซึ่งก็เกิดขึ้นที่เมืองนอกเช่นกัน


          นายพลบ้านนอกซึ่งไม่ค่อยอ่านหนังสือ ชอบกินเหล้า พูดจาขวานผ่าซาก ได้รับเชิญไปงานราตรีสโมสรกลางกรุงลอนดอน เขามีความสุขมาก ที่ได้มีโอกาสเต้นรำบอลรูม กับคุณหญิงผู้เด่นดังในวงการไฮโซ ระหว่างเต้นรำ คุณผู้หญิงอยากสร้างบรรยากาศสนุก ๆ จึงยกปริศนาขึ้นมาถามว่า

          "ท่านคะ อะไรเอ่ย ตรงกลางกลมสีเหลือง รอบ ๆ เป็นแฉกสีขาว"

          นายพลตอบทันทีว่า "ก็รูทวารน่ะซีคุณหญิง"

          คุณหญิงตกใจจนช็อกและเป็นลมล้มลง เพราะไม่คิดว่าจะเจอถ้อยคำหยาบคายเช่นนั้น หลังจากพยุงเธอไปปฐมพยาบาล เพื่อนของนายพลก็ถามว่าเหตุใดเธอจึงเป็นลม นายพลก็เล่าให้ฟัง เพื่อนจึงบอกว่า

          "ไปทายยังงั้นได้ยังไง ที่จริงคำเฉลยก็คือ ดอกเดซี่ หรือจะตอบว่าไข่ดาวก็ได้"

           นายพลทำท่างงแล้วถามว่า "แล้วดอกเดซี่หรือไข่ดาวมันเข้าไปอยู่ในรูทวารได้ยังไง"
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #16 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 08:58:47 AM »

จุดบอด
          เช้านี้จิตแพทย์เข้าไปตรวจเยี่ยมผู้ป่วยโรคจิตเช่นเคย ขณะที่เดินเข้าไปในตึกผู้ป่วย ก็เห็นผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนพื้น ทำท่าเลื่อยไม้ แต่สักครู่ก็สังเกตว่ามีอะไรสักอย่างขยับเขยื้อนอยู่ข้างบน พอเงยหน้าก็เห็นผู้ป่วยหมายเลขสองห้อยหัวอยู่บนเพดาน

          เมื่อหมอถามผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ได้คำตอบว่า

          "หมอไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังเลื่อยไม้อยู่"

          แล้วหมอก็ถามผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งว่า ผู้ป่วยหมายเลขสองกำลังทำอะไร

          ผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งตอบว่า "เจ้านี่เป็นเพื่อนผมเอง แต่ไม่ค่อยเต็มเต็งเท่าไหร่ มันคิดว่าตัวเองเป็นหลอดไฟ"

          เมื่อหมอเงยหน้าไปมองอีกที ก็พบว่าผู้ป่วยหมายเลขสองกำลังหน้าแดงก่ำ หมอจึงบอกกับผู้ป่วยหมายเลขหนึ่งว่า

          "คุณช่วยเอาเขาลงมาได้ไหม ท่าทางเขาจะแย่แล้ว"

          "อะไรกันคุณหมอ ถ้าเอาเขาลงมา แล้วผมจะทำงานในที่มืดได้อย่างไร"

 

          นิทานเรื่องนี้สอนอะไร

          บางคนอาจตอบว่า คนบ้าแม้จะสังเกตได้ว่าใครที่บ้าแต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองบ้า เช่นเดียวกับคนเมาที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเมา

          แต่อันที่จริงนิทานเรื่องนี้สะท้อนความจริงที่กว้างกว่านั้น นั่นคือชี้ให้เห็นว่าคนเรามักจะมองเห็นความบกพร่องของคนอื่น แต่กลับมองไม่เห็นความบกพร่องของตนเอง อาจเป็นธรรมดาของมนุษย์ก็ได้ เพราะการมองเห็นคนอื่นนั้นง่ายกว่ามองเห็นตัวเองมาก

          เมื่อเรารู้จุดอ่อนของมนุษย์ (และตัวเราเอง) เช่นนี้แล้ว ก่อนที่เราจะตำหนิหรือว่ากล่าวใคร ก็ควรจะมองกลับมาที่ตัวเราเองเสียก่อน ว่าเราเป็นเหมือนอย่างคนนั้นหรือไม่ การเหลียวมองตัวเองอยู่บ่อย ๆ ด้วยความซื่อตรง จะช่วยให้เราไม่กล่าวโทษหรือประณามใครง่าย ๆ กลับจะมีความเห็นใจเขาด้วยซ้ำ เพราะแท้จริงแล้วเราเองก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับเขา

          การย้อนมองตนอยู่บ่อย ๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเห็นคนอื่นเป็นตัวปัญหาน้อยลงเท่านั้น หากยังช่วยให้เราเกิดความระมัดระวัง ไม่สร้างปัญหาแก่คนอื่นด้วย

          ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่ค่อยมองดูตัวเอง มักกลายเป็นคนที่ชอบสร้างปัญหาแก่ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ เขาเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เวลาเกิดอะไรขึ้น ก็คิดแต่เพียงว่าตัวเอง (จะ) เป็นฝ่ายถูกกระทบหรือไม่ แต่ไม่เคยมองว่าตนเอง (จะ) ไปกระทบใครหรือเปล่า ดังตัวอย่างข้างล่าง


          วงซิมโฟนี กำลังซ้อมกันอย่างจริงจัง เพราะเป็นการซ้อมครั้งสุดท้าย แต่ขณะที่ซ้อม ก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากข้างล่างเวที วาทยากรเหลียวไปมอง ก็เห็นคนงานหนุ่ม กำลังตอกตะปูเสียงดังสนั่น

          วาทยากรทนไม่ไหวจึงสั่งหยุดซ้อม และหันไปมองคนงานผู้นั้นด้วยสายตาวิงวอน

          "เชิญซ้อมต่อไปเถอะครับ" คนงานตอบอย่างสบายอารมณ์ "เสียงเพลงไม่รบกวนผมหรอก"

 
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #17 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:01:17 AM »

เจ้าระเบียบ
          บอกก่อนนะครับว่าสองเรื่องข้างล่างนี้ไม่ใช่เรื่องขัน ถ้าใครเกิดขำขึ้นมา อย่าว่าก็แล้วกัน

          หญิงผู้หนึ่งมาขึ้นเช็คเพื่อแลกเงินกับพนักงานธนาคาร

          "ขอดูบัตรประชาชนครับ" พนักงานทำตามระเบียบของธนาคาร

          "อะไรกัน" หญิงผู้นั้นอุทานด้วยความตกใจ แล้วพูดว่า "สมเกียรติ นี่ฉันเป็นแม่ของเธอนะ"

          จบเรื่องที่หนึ่ง

          วิมลจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ จึงวัดเท้าด้วยตัวเองอย่างพอดิบพอดี แต่พอไปถึงร้าน ก็พบว่าลืมเชือกวัดไว้ จึงรีบกลับบ้านไปเอาเชือกวัด

          ครั้นกลับไปที่ร้านขายรองเท้า ปรากฏว่าร้านปิดแล้ว จึงกลับบ้านด้วยความหงุดหงิด เพื่อนบ้านทราบความ จึงถามว่า "ทำไมไม่ลองรองเท้าเองล่ะ"

          วิมลตอบ "ฉันเชื่อเชือกที่วัดมากกว่าตัวเอง"

          เรื่องที่สองจบแล้วครับ


          ทั้งสองเรื่องบรรยายสถานการณ์ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เรื่องทั้งสองสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมอย่างเดียวกัน นั่นคือการยึดติดกับระเบียบแบบแผน หรือเกณฑ์วัดอย่างเหนียวแน่น จนไม่เพียงแต่จะมองข้ามวิจารณญาณ หรือความรู้สึกนึกคิดของตนเองเท่านั้น หากยังมองข้ามความเป็นจริงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่เห็นทนโท่ว่าแม่มาเบิกเงิน แต่สมเกียรติก็ยังต้องขอดูบัตรประชาชนของแม่ เพียงเพราะธนาคารมีระเบียบเช่นนั้น

          คนอย่างวิมลแม้จะดูเซ่ออย่างไม่น่าเชื่อ แต่ใช่หรือไม่ว่า บ่อยครั้งเราเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นไข้หรือเปล่า จนกว่าเทอร์โมมิเตอร์จะยืนยัน ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกรุม ๆ ก็บอกอยู่แล้ว

          การเชื่อสิ่งนอกตัวมากกว่าตัวเองยังรวมไปถึงการติดยึดกับวัตถุสิ่งของ จนเอาสิ่งนั้นมาเป็นเกณฑ์วัดคุณค่าของตนเอง คนเป็นอันมากไม่มั่นใจในตัวเองจนกว่าจะได้ใส่โรเล็กซ์ ขี่เบนซ์ หรือมีบ้านราคาหลายล้าน คุณค่าของตนเองนั้น อันที่จริงดูได้จากคุณความงามความดีและสติปัญญาของตนเอง ถ้ามีองค์คุณเหล่านั้นอยู่กับตัว ก็มั่นใจในตัวเองได้ โดยไม่ต้องเอาทรัพย์สมบัตินอกตัว หรือสินค้ายี่ห้อดังมาเป็นเครื่องวัด

          ระเบียบแบบแผน เกณฑ์วัด ค่านิยมของสังคม ถ้าไปยึดมันเป็นสรณะ จนละเลยความเป็นจริงหรือมองข้ามเนื้อหาสาระ กลายเป็นการหลงติดรูปแบบเมื่อไร ก็กลายเป็น 'สีลัพพตปรามาส' เมื่อนั้น ผลก็คือเกิดความทุกข์ทั้งเราและเขา

          ระเบียบแบบแผนนั้นควรมีขึ้นเพื่อรับใช้เรา แต่บ่อยครั้งเราก็ยึดมั่นจนกลายเป็นนายเรา พ่อแม่เป็นอันมาก กำหนดกฎระเบียบขึ้นมาในบ้านเพื่อหวังให้ลูกเป็นคนดีมีความสุข แต่แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นกับระเบียบ จู้จี้จุกจิกเอาเป็นเอาตายกับมัน จนลืมมองดูผลที่เกิดกับลูก ปรากฏว่าระเบียบที่ยึดเหนียวแน่นกลับเป็นตัวผลักไสให้ลูก ๆ ปฏิเสธกฎเกณฑ์ กลายเป็นคนไม่มีวินัยตามใจตัว หาไม่ก็ทำให้ลูกไม่มีความสุขเวลาอยู่บ้าน คิดแต่จะหนีบ้านหรือห่างพ่อแม่ให้ไกล เลยไปมั่วสุมกับเพื่อนไม่ดีแทน ถ้าเจอแบบนี้ อย่าไปโทษลูกเลย โทษตัวเองเถิด

          แม้แต่ระเบียบหรือกฎเกณฑ์ที่มุ่งหมายพัฒนาตนให้เป็นคนดี ที่เรียกว่าศีลหรือวินัย ก็ต้องระวังไว้เหมือนกัน ถ้าไปติดยึดมาก ๆ จะเกิดปัญหาได้ อย่างเรื่องข้างล่าง

 

          ชายผู้หนึ่งมาปรึกษาหมอ บอกว่าเป็นโรคปวดหัวอย่างแรงตลอดเวลา ขอให้คุณหมอช่วยหน่อย

          คุณหมอเริ่มวินิจฉัยทันที

          "คุณดื่มเหล้ามากเกินไปหรือเปล่า"

          "เหล้าน่ะเหรอ คนอย่างผมไม่แตะต้องของสกปรกพรรค์นั้นหรอก" ชายหนุ่มตอบ

          "คุณสูบบุหรี่หรือเปล่า"

          "บุหรี่น่ะน่ารังเกียจจะตาย มีแต่คนโง่ที่คาบมัน"

          "แล้วคุณไปเที่ยวซุกซนบ้างไหม"

          "ผมเป็นคนมีธรรมะนะครับคุณหมอ"

          "บอกหมอซิ" หมอพูด "อาการปวดหัวของคุณ มันเจ็บแปลบ ๆ เหมือนมีอะไรกดใช่ไหม"

          "ครับ" ชายหนุ่มตอบ

          "หมอรู้แล้ว ปัญหาของคุณก็คือรัศมีความดีของคุณรัดแน่นเกินไปนั่นเอง สิ่งที่คุณต้องทำคือคลายมันออกซะบ้าง"

          การอยู่ในศีลธรรม ไม่ข้องแวะกับอบายมุขนั้นเป็นของดี แต่พึงทำด้วยความเข้าใจ มิใช่ไปติดยึดมันจนเกิดอหังการ เห็นตนเองดีเลอเลิศ ส่วนใครที่ไม่ได้ทำอย่างตัวก็มองว่าแย่หมด จุดมุ่งหมายของศีลหรือวินัยนั้นคือ เพื่อให้ชีวิตมีสุขและเจริญงอกงาม แต่ถ้าเอามาใช้ยกชูหาง โดยที่ตัวเองไม่รู้สึกมีความสุขจากศีลเลย ศีลนั้นย่อมกลายเป็นของหนักที่ต้องแบกเอาไว้ตลอดเวลา จากเคร่งกลายเป็นเครียด และเป็นทุกในที่สุด
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
wiched
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 137
ออฟไลน์

กระทู้: 811



« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:02:01 AM »

+1 ครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยอ่านครับ....... ไหว้
บันทึกการเข้า
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #19 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:03:18 AM »

ว่าง่าย
          วันนี้ขอพาไปเที่ยวโรงเรียนแพทย์

          อาจารย์เริ่มชั่วโมงแรกของการสอนด้วยการพานักศึกษาใหม่เข้าห้องทดลอง ในมือของอาจารย์เป็นแก้วใสใบหนึ่ง มีน้ำสีเหลืองค่อนแก้ว

          "นี่เป็นปัสสาวะ คนที่จะเป็นหมอ ต้องมีใจกล้าและละเอียดถี่ถ้วน"

          อาจารย์เริ่มบรรยาย

          "ต่อไปนี้ ขอให้ทุกคนทำตามอาจารย์ แหย่นิ้วลงไปในถ้วยแล้วยื่นนิ้วใส่ปาก จากนั้นให้ใช้ลิ้นเลียดู"

          นักศึกษาใหม่ทำหน้าเหยเกหันไปมองกันเลิกลั่ก ชั่วโมงแรกก็เอากันยังงี้เชียวหรือ หลายคนนึกในใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็เห็นอาจารย์แหย่นิ้วมือขวาลงไปในถ้วยปัสสาวะ ไม่ใช่แหย่เฉย ๆ ยังกวนน้ำจนหมุนติ้ว แล้วชักนิ้วออกมายื่นนิ้วเข้าปากดูดเสียงดังจ๊วบ

          "อู๊ย…"

          นักเรียนครางกันเป็นแถว แต่ทำไงได้ ไหน ๆ อาจารย์ก็ลงทุนทำเป็นตัวอย่างแล้ว ลองทำตามอาจารย์ดู ยังไงก็ไม่ตายอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงพากันแหย่นิ้วลงไปในถ้วยปัสสาวะ แล้วใส่ปากเลียอย่างพะอืดพะอม

          เมื่อทำเสร็จสรรพแล้ว อาจารย์ก็พูดพลางแย้มยิ้มว่า

          "พวกเธอโง่จริง ๆ อาจารย์บอกให้ทุกคนใจกล้าและถ้วนถี่ ทำไมไม่มีใครสังเกตว่า อาจารย์แหย่นิ้วชี้ลงไปในถ้วยปัสสาวะ แต่ยื่นนิ้วกลางเข้าปาก ไม่ได้เลียนิ้วชี้สักหน่อย"


          การเชื่อฟังอาจารย์นั้นเป็นของดี แต่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสติและปัญญาประกอบด้วย ปัญหาก็คือ การเชื่อฟังหรือศรัทธานั้น บางครั้งก็เป็นตัวบดบังปัญญา เพราะพอวางใจเสียแล้ว ก็เลยไม่ยอมใช้ความคิด ขณะเดียวกันก็หย่อนความสังเกต จนบางทีกลายเป็นความเผอเรอ สิ่งที่ควรเห็นก็เลยไม่เห็น กลายเป็นว่าทั้ง 'ตาใน' และ 'ตาเนื้อ' ก็พลอยถูกบดบังไปด้วยเพราะศรัทธาตัวเดียว

          สภาวะอย่างนี้แหละ ที่ให้ใครต่อใครถูกหลอกเพราะไปหลงเชื่อคนที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์ เมื่อฝากจิตฝากใจให้เขาหมด เขาจะเล่นกลอย่างไร ก็ไม่เคยเห็นพิรุธสักอย่างทั้ง ๆ ที่สามารถจับผิดได้มากมาย หากรู้จักสังเกต มีสติตื่นตัว และคิดเป็น

          เป็นเพราะการเชื่อฟังอาจารย์มีจุดอ่อนดังว่า ในกาลามสูตรพระพุทธองค์จึงสอนว่า อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะท่านผู้นั้นเป็นครูของเรา ต่อเมื่อใช้ปัญญาพิจารณาจนแลเห็นด้วยตนเองว่าถูกต้องมีประโยชน์ จึงค่อยทำตามท่าน

          อาจารย์ที่ดีจะไม่สบายใจเลยหากเห็นศิษย์เชื่อตนเองอย่างเชื่อง ๆ ท่านจะคอยกระตุกศิษย์ให้เห็นโทษของการหลงเชื่อแบบนั้น เพื่อจะได้รู้จักใช้หัวคิดของตนเองและมีสติตื่นตัวใฝ่สังเกต เหมือนกับที่อาจารย์หมอเรื่องข้างต้นสอนเด็กชนิดเห็นกันจัง ๆ สอนแบบนี้แหละถึงจะฝังเข้าไปในหัวแทนที่จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

          การเป็นคนว่าง่ายนั้นเป็นเรื่องดี จัดว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่รู้จักคิดหรือมีความเฉลียว อาจทำให้เป็นคนเซ่อไปได้อย่างเรื่องข้างล่าง

          จิระไปพักค้างคืนที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้สถานีรถไฟครั้นตื่นขึ้นมาก็พบว่าสายแล้ว จึงรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าตรงไปที่สถานีรถไฟ

          แต่พอลงมาถึงล็อบบี้โรงแรมเพื่อคืนกุญแจ ก็นึกได้ว่าลืมสายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือทิ้งไว้ในห้องน้ำ จึงบอกพนักงานโรงแรมว่า

          "น้องช่วยขึ้นไปที่ห้อง ๖๐๓ ดูว่าสายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือของพี่อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า เร็วหน่อยนะ อีกห้านาทีรถไฟจะออกแล้ว"

          พนักงานได้ยินดังนั้นก็รีบทำตาม ไม่รอให้ลิฟต์ลงมาด้วยซ้ำ รีบวิ่งขึ้นบันไดไปถึงชั้นหก

          สามนาทีต่อมาก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาในสภาพมือเปล่าแล้วบอกว่า

          "พี่พูดถูกครับ สายสร้อย มีดโกนหนวด และนาฬิกาข้อมือทิ้งอยู่ในห้องน้ำจริง ๆ ครับ"
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #20 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:05:52 AM »

เปลี่ยนใจ

          เรือรบลำหนึ่งถูกสั่งให้ออกลาดตระเวนในคืนเดือนมืด คืนนั้นทัศนวิสัยแย่มากเพราะมีหมอกหนา

          ดังนั้นกัปตันจึงอยู่บนสะพานเรือคอยเฝ้าดูความเป็นไป

          "มีแสงไฟอยู่ข้างหน้าครับ" ลูกเรือตะโกนบอก

          "แสงไฟอยู่กับที่หรือเคลื่อนไหว" กัปตันถาม

          "อยู่กับที่ครับกัปตัน" กัปตันนึกขึ้นได้ว่า มีเรือรบอีกลำหนึ่งปฏิบัติภารกิจใกล้ ๆ กัน จึงสั่งเจ้าหน้าที่วิทยุว่า

          "วิทยุบอกเรือลำนั้นว่าเรากำลังจะชนกัน ขอให้คุณหันหัวเรือ ๒๐ องศา"

          สักพักก็มีวิทยุตอบกลับมา "เราขอแนะนำให้คุณหันหัวเรือ ๒๐ องศา"

          กัปตันรู้สึกขุ่นขึ้นมา จึงบอกต่อว่า "วิทยุกลับไปว่าผมเป็นกัปตัน ขอให้คุณหัน ๒๐ องศา"

          "ผมเป็นกะลาสีเรืออันดับ ๒ ครับ" อีกฝ่ายตอบกลับมา "ท่านหัน ๒๐ องศาดีกว่าครับ"

          ถึงตอนนี้ กัปตันเดือดดาลเป็นกำลังตะโกนว่า "วิทยุไปว่า นี่เป็นเรือรบ บอกให้เขาหัน ๒๐ องศาเดี๋ยวนี้"

          "ที่นี่เป็นประภาคารครับ" อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ

          เท่านั้นแหละ กัปตันเรือรีบตะโกนบอกลูกน้องของตนให้หันหัวเรือทันที

 

          พฤติกรรมของคนเรานั้นเปลี่ยนยาก ยิ่งถ้าเป็นเจ้านายหรือมียศศักดิ์อำนาจมากเท่าไรก็ยิ่งเปลี่ยนยากเท่านั้น มีแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้พฤติกรรมของเราเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันก็คือ 'ทัศนคติ' เมื่อทัศนคติเปลี่ยน พฤติกรรมก็เปลี่ยนตามอย่างกัปตันในเรื่องข้างบนทันทีที่รู้ว่าแสงไฟข้างหน้าคือประภาคาร ไม่ใช่เรือรบ เขาไม่รีรอเลยที่จะหันหัวเรือของตนโดยไม่ต้องให้ใครสั่ง

          ทำไมกัปตันรีบหันหัวเรือ ก็เพราะเขารู้ว่าเรือจะล่ม ถ้าไม่ทำเช่นนั้นหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า ทำให้เขาเลิกดึงดันที่จะแล่นเรือไปตามทิศเดิม เขารู้ชัดว่า เส้นทางเดิมนั้นไปไม่รอดแน่ จึงใช้เส้นทางใหม่ทันที

          คนเรานั้นมีนิสัยที่จะทำตามแนวทางเดิม ๆ ที่คุ้นเคย จะบอกให้เปลี่ยนเท่าไรก็ไม่เปลี่ยน ต่อเมื่อเห็นกับตาว่าแนวทางเดิมนั้นพาไปสู่หายนะ จึงจะยอมเปลี่ยน

          จะว่าไปเรือลำนี้ยังเก่งที่ไหวตัวทัน ผิดกับสยามรัฐนาวาซึ่งชนกับความวิบัติเต็มเปาจนเศรษฐกิจพังพินาศ ถึงตอนนี้ค่อยสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทั้ง ๆ ที่มีคนเตือนถึงอันตรายของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบรวยลัดมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จนบัดนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข็ด คิดจะรวยทางลัดอีกเหมือนเดิม นี่เป็นเพราะว่าทัศนคติยังไม่เปลี่ยนอย่างแท้จริง เศรษฐกิจพอเพียงเลยกลายเป็นแค่เทคนิควิธี แทนที่จะเป็นเรื่องของจิตสำนึก

          อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนทัศนคติก็ยังเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นกุญแจไขไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรม ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงสอนเรื่องสัมมาทิฏฐิเป็นข้อแรกของอริยมรรค ไม่ว่าเราจะต้องการให้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการศึกษาเศรษฐกิจ การเมือง หรือสิ่งแวดล้อม ต้องไม่ลืมเรื่องการเปลี่ยนทัศนคติให้เป็น สัมมาทิฏฐิ

          แต่อย่าลืมว่าการเปลี่ยนทัศนคติที่แท้จริงต้องให้ลึกลงไปถึงใจ จนกลายเป็นการเปลี่ยนใจ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงในระดับสมองหรือเหตุผลเท่านั้น นั่นเป็นแค่การรู้จำหรือนึกคิดเอาเอง ซึ่งให้ผลไม่ยั่งยืน เชื่อหรือไม่ก็ดูจากเรื่องข้างล่างนี้แล้วกัน



          ชายคนหนึ่งเห็นไก่เป็นไม่ได้ จะตื่นกลัวหัวหด ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นฝักข้าวโพดตลอดเวลา เลยกลัวว่าไก่จะมาจิกตน

          ในที่สุดเขาถูกพาไปหาจิตแพทย์ หมอแนะนำให้เขาพักที่โรงพยาบาลหนึ่งเดือนเต็ม ระหว่างนั้นหมอก็แนะให้เขาพูดกับตัวเองว่า "ผมเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด" วันละ ๑๐๐ ครั้ง และเขียนข้อความดังกล่าวใส่กระดาษวันละ ๑๐๐ เที่ยว

          ชายคนนั้นทำตามคำสั่งหมอด้วยดี พอครบเดือนเขาก็บอกหมอว่า "ผมแน่ใจแล้วครับว่าผมเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด"

          หมอได้ยินก็ดีใจ สั่งให้พยาบาลพาเขาเดินจากอาคารผู้ป่วยไปรับยาบำรุงสมองอีกตึกหนึ่ง ก่อนที่จะปล่อยให้เขากลับบ้าน แต่ขณะที่เดินข้ามตึกนั่นเอง เขาก็กระโดดหนีด้วยความตกใจเมื่อเห็นไก่ฝูงหนึ่งคุ้ยเขี่ยอยู่ที่ลานหญ้าหน้าตึก

          "อย่ากลัวไก่ คุณเป็นคน ไม่ใช่ฝักข้าวโพด คุณก็รู้นี่" พยาบาลบอก

          "ผมรู้ว่าผมเป็นคน แต่ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไก่มันก็รู้ด้วย"

          คนที่มั่นใจว่าตนเองเป็นคนแน่ จะไม่ห่วงหรอกว่าไก่หรือคนอื่นมองตนอย่างไร เป็นเพราะชายคนนี้ยังไม่เปลี่ยนทัศนคติอย่างแท้จริง เขาจึงแคร์ความเห็นของคนอื่น ความเป็นคนของเขายังอยู่แค่ระดับสมองหรือความจำ แต่ยังไม่ลงลึกไปถึงใจ

          ฉันใดก็ฉันนั้น เศรษฐกิจพอเพียงที่พูดกันทั้งเมืองก็เป็นเพียงการท่องจำ แต่ไม่ใช่การเห็นคล้อยหรือเปลี่ยนใจอย่างแท้จริง
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #21 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:07:57 AM »

แอ็กชั่นกับรีแอ็กชั่น
          พรศักดิ์กับสมทรงแต่งงานได้ไม่ถึงสามปีก็มีปากเสียงกันเป็นอาจิณ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร เสนออะไร เป็นต้องถูกแย้งถูกค้านจนกลายเป็นการทะเลาะกันในที่สุด

          คืนนี้เช่นกัน ทั้งสองมีปากเสียงกันตั้งแต่หัวค่ำ ไม่มีใครยอมลงให้กัน ต่างเข้านอนด้วยความมึนตึง แต่ก่อนปิดไฟเข้านอน พรศักดิ์ก็นึกขึ้นได้ว่ามีนัดแต่เช้า อยากจะขอให้สมทรงช่วยปลุก แต่ด้วยมานะทิฐิ ไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน จึงหาทางออกด้วยการเขียนบันทึกใส่กระดาษส่งให้สมทรง มีข้อความว่า

          "พรุ่งนี้หกโมงเช้าอย่าลืมปลุกด้วย"

          เช้าวันรุ่งขึ้นพรศักดิ์ก็สะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเคารพธงชาติดังจากโรงเรียนข้างบ้าน ระหว่างที่ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า ก็เกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน เพราะโมโหสมทรงที่ไม่ยอมปลุก ตั้งใจว่าพบหน้าเมื่อไรจะต้องระเบิดใส่ให้สาแก่ใจ

          แต่แล้วขณะที่เขาเอื้อมมือไปหยิบแว่นตาที่หัวเตียง ก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงมา มีข้อความว่า "ตื่น ๆ ๆ หกโมงแล้ว"

 

          เราทำกับคนอื่นอย่างไร ก็ควรเตรียมใจที่จะเจออย่างนั้น จากคนอื่นด้วยเช่นกัน ไม่ควรหวังให้คนอื่นทำกับเรามากไปกว่านั้น ถ้าเราอยากให้เขาพูดกับเรา เราต้องเริ่มต้นเป็นฝ่ายพูดก่อน หากเราปรารถนาน้ำใจไมตรีจากเขา คนที่จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็คือเรา

          ทำอะไรไป ก็ได้อย่างนั้นกลับคืน นี้เป็นธรรมดา คนโบราณจึงว่าหว่านพืชเช่นไร ก็ได้ผลเช่นนั้น กฎแห่งกรรมก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องลงทุนแรง ถ้านิ่งเฉยหรืองอมืองอเท้า เพียงแต่เซ่นสรวงหรืออ้อนวอนขอให้เทวดาหรือพระเจ้าช่วยตนอย่างโน้นอย่างนี้ อย่าคิดเลยว่าจะได้รับความช่วยเหลือ อยากได้ ๑๐๐ แต่ลงทุนแค่หนึ่ง จะไม่เป็นการค้ากำไรเกินควรหรือ ในทำนองเดียวกัน ถ้าอยากให้ลูกเป็นคนดี มีน้ำใจ เราก็อย่าเลี้ยงลูกแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ หรือปรนเปรอด้วยวัตถุและเงินทอง โดยไม่เคยมีเวลาให้ความรักหรือแบบอย่างที่ดีแก่ลูก อยากให้ลูกมีคุณภาพคับแก้ว เราก็ต้องเป็นฝ่ายเทคุณภาพลงไปให้เต็มแก้วก่อน

          เดี๋ยวนี้มักมีเสียงบ่นว่าเด็กรุ่นใหม่หลงใหลวัตถุ เอาแต่แต่งตัวแข่งขันเลียนแบบญี่ปุ่นกับฝรั่ง วัน ๆ เฝ้ามองหาว่าจะมีเวทีคอนเสิร์ตที่ไหนให้ไปช่วยกันกรีดร้องบ้าง ฯลฯ แต่ก่อนที่เราจะต่อว่า หรือทำอะไรมากไปกว่านั้น ลองถามตัวเองก่อนดีไหมว่า ที่เขามีอาการเช่นนั้นเป็นเพราะเราช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมให้เขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่ สังคมที่มุ่งวัตถุและเดินตามต่างชาติ คือมรดกที่เราซึ่งเป็นคนรุ่นพ่อแม่ของเขากำลังสร้างให้เขามิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นเราจะหวังให้เขาเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร


          ครูที่อยากให้ศิษย์เก่ง ก็ต้องพร้อมจะให้เวลาศิษย์ หาไม่ก็จะลงเอยอย่างเรื่องต่อไปนี้

          ทุกเช้าวันจันทร์ อาจารย์บุญชู มีกำหนดต้องไปบรรยายให้นักศึกษาฟัง ตลอดทั้งเทอม แต่บังเอิญเป็นช่วงที่เขาต้องประชุมบริษัท ซึ่งเป็นงานไซด์ไลน์ของเขา เขาหาทางออกด้วยการพูดใส่เทป แล้วให้ผู้ช่วยนำไปเปิดในห้องเรียน เป็นเช่นนี้หลายครั้ง

          มีคราวหนึ่ง การประชุมเลิกก่อนกำหนด อาจารย์บุญชูจึงเข้าไปที่ห้องเรียน พอเดินเข้าห้องก็พบว่าภายในห้องไม่มีนักศึกษาแม้สักคนเดียว แต่หน้ากระดาน เทปยังดังไม่หยุด ส่วนหน้าเครื่องเทปนั้น มีเครื่องบันทึกเสียงนับสิบเครื่องกำลังทำงานอยู่เช่นกัน

          แอ็กชั่นเท่ากับรีแอ็กชั่น นี้เป็นกฎสากลครับ
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #22 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:10:09 AM »

ไม่ยอมแพ้
          พ่อลูกคู่หนึ่งขึ้นชื่อลือเลื่องว่าไม่ยอมแพ้ใคร วันหนึ่งพ่อจัดงานเลี้ยงที่บ้าน จึงให้ลูกชายไปตลาดซื้อเครื่องเคราทำกับข้าว

          ขณะที่ลูกชายเดินกลับบ้าน พอถึงสะพานแคบ ก็มีชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา ทั้งสองต่างไม่ยอมให้ทางกัน ต่างอ้างว่าเดินขึ้นสะพานก่อน จึงสมควรต้องไปก่อน เถียงกันอยู่นานตกลงกันไม่ได้จึงยืนขวางอยู่อย่างนั้นนานนับชั่วโมง

          ส่วนพ่อรอไม่ไหว เพราะแขกมาถึงแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอาหารเลย จึงออกไปตามหาลูก ถึงที่เกิดเหตุ พอรู้เรื่องเข้าก็เดือดดาล พูดกับลูกชายว่า

          "ลูกกลับบ้านไปทำอาหารเลี้ยงแขกก่อน พ่อจะยืนแทนที่ลูกเอง"



          คนบางคนนั้นไม่ยอมแพ้ใคร คิดแต่จะเอาชนะลูกเดียวแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ยอมลงให้ ผลสุดท้ายก็เป็นฝ่ายเดือดร้อนเอง ถ้าลูกเพียงแต่ยอมหลีกทางให้ ก็ทำอาหารเลี้ยงแขกได้ตรงเวลา และถ้าพ่อไม่ดื้อดึงแข็งขืนคิดเอาชนะแทนลูก ป่านนี้ก็ได้สังสรรค์พร้อมหน้ากับแขกแล้ว

          คนที่ดึงดันจะเป็นฝ่ายชนะอย่างเดียว มักลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ สงครามหรือการวิวาทบาดหมางทุกครั้ง แม้จะมีฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็น 'ผู้ชนะ' แต่ที่จริงทุกฝ่ายกลับเป็นผู้แพ้เพราะวิบัติยับเยินกันหมด

          คนที่มีปัญญานั้นรู้ดีว่าบางครั้งการดึงดันเอาชนะมีแต่จะนำความสูญเสียมาให้ อย่างเรื่องเล่าข้างบนนี้มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดแต่จะเอาชนะ ชนะแล้วก็ไม่ได้อะไร มีแต่ความถือตัวเท่านั้นที่เพิ่มพูนขึ้น ส่วนประโยชน์ที่ควรจะได้กลับหลุดลอยไปหมด

          ลองถามตัวเองดูบ้างว่าที่เราคิดจะเอาชนะเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดรอบคอบแล้วหรือ ภรรยาที่ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาชนะสามี (ที่มีหัวใจหลายห้อง) มักลงเอยด้วยการสูญเสียสามีไปนักต่อนักแล้ว พ่อแม่ที่คิดจะเอาชนะลูกจอมดื้อ กี่คนแล้วที่ต้องเจ็บปวดเพราะความดื้อดึงของตน การโอนอ่อนหรือยอมในบางเรื่องที่ไม่สลักสำคัญนั้น บ่อยครั้งสามารถชนะใจคนอื่นได้ ด้วยเหตุนี้โบราณถึงว่า 'แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร'

          ถ้าอยากเป็นผู้ชนะ ลองเอาชนะกิเลสหรือมานะ (ความถือตน) จะมิดีกว่าหรือ

          นอกจากการไม่ยอมแพ้ใครแล้ว การไม่ยอมเสียเปรียบใคร ก็ก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าตัว อย่างเรื่องข้างล่างนี้

          สองพี่น้องออกเงินซื้อรองเท้าหนังคู่หนึ่ง แต่ปรากฏว่า พี่ชายสวมรองเท้าคู่นั้นเกือบตลอดเวลา เพราะต้องออกไปทำงาน น้องชายไม่แฮปปี้เพราะออกเงินเท่ากัน เวลากลางคืนพี่ชายหลับ น้องชายจึงเอารองเท้ามาสวมเดิน

          เมื่อรองเท้าขาด พี่ชายชวนให้น้องออกเงินซื้อรองเท้าคู่ใหม่

          น้องชายสั่นหัวทันที แล้วตอบว่า "ขืนซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ฉันคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนเช่นเคย"

          ถ้าไม่อยากเสียเปรียบ ก็ต้องเตรียมใจที่จะเสียอย่างอื่นแทน ลองตรวจดูก็แล้วกันว่าคุ้มหรือไม่
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
PsanP_IT.31(ไพศาล ๓)
๑๙๑๑ เลอะโคลน!!
Sr. Member
****

คะแนน 82
ออฟไลน์

กระทู้: 745


« ตอบ #23 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:10:33 AM »

อ่านเพลินเลย...ขอบคุณครับสำหรับแง่คิดดีๆ.. ไหว้
บันทึกการเข้า

จะสร้างสรรค์วันชื่นคืนสุข ม่ายเอาซานุก ปายเพียงวันๆ ! เอิ๊ก^-^
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #24 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:12:23 AM »

ไปสวรรค์
          คุณอยากไปสวรรค์ไหมครับ อยากหรือไม่อยากก็ลองฟังเรื่องของวิชาญดู

          หลังจากหมดลม วิชาญก็พบว่าตนได้มาอยู่ในที่ที่สวยงามตระการตา สักพักบุคคลในเสื้อขาวก็เดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า "ท่านอยากได้อะไรเรียกกระผมได้ ไม่ว่าอาหาร เสื้อผ้าแม้แต่สุรานารีที่นี่มีพร้อม กระผมพร้อมจะสนองท่านทุกอย่าง"

          วิชาญดีใจอย่างยิ่ง นึกขอบคุณฟ้าดินที่ส่งเขามาอยู่ที่นี่ โดยไม่รอช้า เขาตักตวงความสุขทุกอย่างเท่าที่เคยฝันเอาไว้เมื่อยังอยู่ในโลก แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเบื่อขึ้นมา จึงเรียกหาบุคคลในเสื้อขาวแล้วถามว่า "ฉันเบื่อเต็มทีแล้ว อยากจะมีอะไรทำ ช่วยหางานให้ฉันหน่อย"

          "เสียใจครับ กระผมช่วยท่านไม่ได้ ที่นี่ไม่มีงานให้ท่านทำ" บุคคลในเสื้อขาวตอบ

          วิชาญฉุนขึ้นมาทันที โพล่งขึ้นว่า "ถ้าอย่างงั้น ที่นี่ก็เป็นนรกชัด ๆ"

          "แล้วท่านคิดว่าท่านกำลังอยู่ที่ไหนล่ะครับ" บุคคลในเสื้อขาวตอบ


          ใคร ๆ ก็มักอธิษฐานว่า ชาติหน้าขอให้ไปเกิดในที่ที่อุดมด้วยทรัพย์สมบัติ มีสิ่งเสพปรนเปรอ ความสุขพรั่งพร้อม ชนิดที่นั่งกินนอนกินก็ไม่มีวันหมด โดยเข้าใจว่านั่นแหละคือสวรรค์ แต่ใครจะไปรู้ บางทีสถานที่ที่ว่าวาดภาพเอาไว้นั้นความจริงอาจเป็นนรกก็ได้ ถ้าคุณเป็นยมบาลและอยากให้คนแห่กันลงนรกเยอะ ๆ คุณจะชักชวนคนได้อย่างไรหากไม่วาดภาพนรกให้สวยงามปานสวรรค์ แม้แต่ "ซ่องนรก" ก็ยังต้องตกแต่งประดับประดาให้น่าเข้าเลยมิใช่หรือ

          เป็นเพราะเราไม่รู้จักสวรรค์ที่แท้จริง เราจึงไปไม่ถึงสวรรค์สักที ไม่ใช่แต่สวรรค์ในชาติหน้าเท่านั้น แม้แต่สวรรค์ในชาตินี้เราก็อาจไม่เคยได้สัมผัสเลย เพราะไปหลงคิดว่าสวรรค์คือแหล่งเสพสุขทั้งปีทั้งชาติ แทนที่จะเข้าใจว่าสวรรค์นั้นมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ท่ามกลางการทำงานและการเอื้อเฟื้อผู้อื่น ขอเพียงแต่เรารู้จักทำงานให้เป็น คือทำด้วยใจรัก มีฉันทะ และมีสติอยู่กับงานที่ทำ ความปีติปราโมทย์แช่มชื่นใจก็จะเกิดขึ้นเอง การไม่มีงานทำต่างหากที่เป็นนรก หาใช่สวรรค์ไม่ ถ้าไม่เชื่อก็ถามผู้เฒ่าทั้งหลายในบ้านพักคนชราดูก็ได้

          ลองสำรวจดูอีกครั้งว่าสถานที่ที่เราอยากไปเมื่อตายแล้วนั้นเป็นสวรรค์จริง ๆ หรือเปล่า มันอาจเป็นอย่างอื่นก็ได้ต้องเตือนไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างชายในเรื่องข้างล่าง

          สามีภรรยาคู่หนึ่งตกลงกันว่า ถ้าใครตายก่อน จะต้องกลับมาหาคนที่ยังอยู่ แล้วมาบอกว่าไปเจออะไรหลังกลับบ้านเก่าแล้ว นุชนารถนั้นกลัวว่าสวรรค์จะไม่มีจริง โชคดีที่วัฒน์ผู้เป็นสามีเกิดตายก่อน ไม่กี่วันจากนั้น ผู้เป็นภรรยาก็ได้รับการติดต่อ

          "นุชนารถ"

          "นี่คุณหรือเปล่า วัฒน์?"

          "ใช่แล้ว ผมเอง ผมกลับมาตามที่ตกลงกัน"

          "ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง"

          "แบบว่าพอผมตื่นมาตอนเช้า ก็มีเซ็กซ์ กินข้าวเสร็จก็มีเซ็กซ์อีก แล้วก็อาบแดด จากนั้นก็มีเซ็กซ์อีกสองครั้งแล้วกินข้าวเที่ยง มีเซ็กซ์ต่ออีกครั้งตั้งแต่บ่าย เย็น จนค่ำแล้วก็นอน ตื่นขึ้นก็ทำอย่างเดิมอีก"

          "โอ วัฒน์ คุณต้องอยู่ในสวรรค์แน่ ๆ เลย"

          "ใครว่า ตอนนี้ผมเป็นกระต่ายอยู่ที่เขาดินต่างหาก" วัฒน์ตอบอย่างเซ็ง ๆ

          มาถึงตอนนี้แล้ว คุณอยากไปสวรรค์อย่างที่ฝันเอาไว้หรือเปล่า
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #25 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:14:24 AM »

คืนดี
          หลังจากไม่ยอมมองหน้ากันอยู่หลายวัน ภรรยาก็อยากคืนดีกับสามี จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า "คุณขา…เรามาคืนดีกันดีกว่า อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลย เอาอย่างนี้ดีไหม เรามาตกลงกัน คุณอย่าตบตีฉัน ส่วนฉันก็จะเลิกด่าว่าคุณ"

          "ตกลง เราคืนดีกัน แต่เธอต้องทำอย่างที่พูดนะ ขืนด่าว่าฉันอีก ฉันจะอัดเธอติดข้างฝา" สามีพูด

          "เชอะ! เจ้าคนปากเสีย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังจะมาคิดตบตีฉันอีก" ภรรยาโต้ตอบทันควัน

 

          การคืนดีไม่ใช่เป็นเรื่องการทำสัญญาหรือข้อตกลง สัมพันธภาพจะงดงามหรือสานต่อยั่งยืนได้ มิได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมภายนอกอย่างเดียว หากยังต้องอาศัยปัจจัยที่ลึกไปกว่านั้น นั่นคือจิตใจ ก่อนที่จะคิดปรับพฤติกรรมของตนหรือเรียกร้องให้คนอื่นเปลี่ยนนิสัย เราต้องปรับจิตหรือเตรียมใจของตนเป็นเบื้องแรก เช่น อดทนอดกลั้นให้มากขึ้น ทำใจให้หนักแน่น ไม่หุนหันพลันแล่นไปตามนิสัยเดิม หมั่นมองอีกฝ่ายในแง่ดี และพร้อมจะให้อภัยหากเขายังไม่เปลี่ยนอย่างที่พูด หรือไม่เป็นไปอย่างที่หวัง

          แทนที่จะคาดหวังให้เขาทำดีกับเราก่อน เราเองควรเป็นฝ่ายเริ่มต้น แทนที่จะให้เขาระวังมือระวังเท้าของตน เราเองควรเป็นฝ่ายระวังจิตของตัว คอยดูใจ ไม่เผลอตอบโต้ทันทีที่ผิดหูผิดใจ หรือปล่อยตัวไปตาม วัฏจักรเดิม สติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการคืนดี สำคัญกว่าการทำข้อตกลงมากมายนัก

          ปราศจากสติเสียแล้ว สัญญาก็ถูกฉีกก่อนที่น้ำหมึกหรือน้ำคำจะเหือดแห้งเสียอีก เมื่อมีสติแล้ว ปัญญาก็ตามมา ปัญหาต่าง ๆ หากเกิดขึ้น ก็สามารถแก้ไขได้อย่างถูกต้องตรงจุดด้วยวิธีการที่สันติ

          ชีวิตในครอบครัวนั้นมักจะมีเรื่องให้ผิดหวังหรือขัดใจเสมอ แต่ถ้ามีสติและปัญญา รู้จักอดกลั้นทำใจให้เยือกเย็นสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบา ถึงคราวพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง ก็สามารถแสดงออกหรือบอกกล่าวด้วยความนุ่มนวล ไม่ต้องถึงกับต่อว่า เรียกว่ามีอุบายในการแก้ปัญหา ลองดูตัวอย่างเรื่องข้างล่าง



          วิทูรย์เอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยใส่ใจภรรยา ไปไหนมาไหนก็ไม่ซื้ออะไรมาฝากสมศรีภรรยา

          ค่ำวันหนึ่ง…วิทูรย์กลับจากที่ทำงานด้วยความเหนื่อยอ่อน พอเข้าประตูบ้านเห็นขนมเค้กก้อนใหญ่อยู่บนโต๊ะ ซ้ำเทียนเล่มเล็ก ๆ สิบเล่มปักอยู่

          "วันนี้เป็นวันเกิดของใครหรือ ทำไมมีขนมเค้กก้อนโต"

          "สำหรับเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ตัวนี้ค่ะ ฉันใส่มาสิบปีแล้วจึงจัดงานครบรอบสิบปีให้มันค่ะที่รัก"
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #26 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:16:48 AM »

ศัตรูคู่ปรารถนา
          ตอนนี้ก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เอนกายให้สบายนะครับ ดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้วให้ชุ่มใจ แล้วมาฟังเรื่องน่าสนใจสองเรื่อง แต่บอกก่อนนะครับว่าเรื่องแรกไม่ใช่เรื่องขำขันอย่างคุ้นเคยกัน

          ขอเริ่มเลยนะครับ

          ชาวอังกฤษคนหนึ่งรอดตายจากเรือแตก เขาไปติดค้างบนเกาะร้างแห่งหนึ่งอยู่หลายปีโดยไม่เห็นหน้าผู้คนเลย แต่ในที่สุดก็มีเรือลำหนึ่งพลัดหลงมาที่เกาะนี้ พวกลูกเรือประหลาดใจที่พบว่ามีเพียงคนเดียวอยู่บนเกาะ ด้วยความสงสัย จึงถามชายผู้นั้นว่า เหตุใดเขาจึงต้องสร้างโบสถ์ขึ้นมาสองหลัง

          "คืออย่างนี้ครับ" ชายบนเกาะร้างอธิบาย "หลังหนึ่งเป็นโบสถ์ที่ผมนับถือ ส่วนอีกหลังเป็นโบสถ์ที่ผมไม่นับถือไงครับ"

          อย่าเพิ่งงงนะครับ ขอต่อเรื่องที่สองเลย

          เช้าวันจันทร์ แม่ขึ้นไปปลุกลูกถึงที่นอน

          "ตื่น ๆ ได้เวลาไปโรงเรียนแล้ว"

          "ผมไม่อยากไปโรงเรียนเลย" ลูกพูดอย่างงัวเงีย

          "บอกแม่สักสองข้อว่า ลูกมีเหตุผลอะไรถึงไม่อยากไปโรงเรียน"

          "หนึ่ง นักเรียนทุกคนเกลียดผม สอง ครูทุกคนเกลียดผม"

          "นั้นไม่ใช่เหตุผลเลย ถึงอย่างไรก็ต้องไปโรงเรียน" แม่ยืนกราน

          "แม่ช่วยบอกผมสักสองข้อว่า มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปโรงเรียน" ลูกย้อนถาม

          "หนึ่ง ลูกอายุ ๕๒ ปี แล้วสอง ลูกเป็นครูใหญ่โรงเรียนนี้"



          น่าเอ็นดูนะครับครูใหญ่คนนี้ ส่วนท่านที่เป็นครูใหญ่ ก็อย่าเพิ่งโกรธนะครับ นี่เป็นเรื่องขำขัน

          แต่ถึงจะเป็นเรื่องขำขันก็มีสาระและอิงความจริงอยู่ไม่น้อย ถ้าเราเกิดเป็นครูใหญ่คนนั้น เราเองก็คงไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนกัน สนุกเสียเมื่อไรเวลาถูกแวดล้อมด้วย คนที่เกลียดเราถึงแม้ว่าเราจะมีอำนาจเหนือเขา ถึงจะเป็นครูใหญ่หรือผู้จัดการก็ไม่ได้ช่วยเท่าไร

          ไม่ว่า 'ลูก' จะเป็นเด็กชั้นประถม หรือครูใหญ่ ก็ต้องการความรัก ความรักซึ่งรออยู่ที่โรงเรียน ชักนำให้ทั้งนักเรียนและครูใหญ่อยากไปโรงเรียนพอ ๆ กัน นี่เป็นความจริงสากลที่ใช้ได้กับทุกที่ สำนักงาน บ้าน แม้แต่วัด จะมีชีวิตชีวาก็เพราะมีความรักหล่อเลี้ยงและดึงดูดใจ

          ทุกคนต้องการความรักจากผู้อื่น ไม่อยากเป็นที่เกลียดชังของใคร แต่แล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่ค่อยอยากจะเผื่อแผ่ความรักให้แก่คนอื่นที่มิใช่พวกตน ตรงกันข้ามเรากลับเกลียดชังหรือโกรธใครต่อใครได้ง่ายเหลือเกินน่าคิดก็คือว่า ทั้ง ๆ ที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากให้ใครมาเกลียดตัวเรา แต่ทำไมเราจึงชอบสร้างศัตรูอยู่เสมอ

          เป็นไปได้ไหมว่า ลึก ๆ แล้ว เราต้องการ 'ศัตรู' เพื่อจะได้มี 'เป้า' สำหรับเป็นที่ระบายโทสะ คนเราเวลาเกิดโทสะหรือความโกรธแล้ว มักจะหาที่ระบาย เราจึงต้องมีเป้าสำหรับเป็นที่ปลดเปลื้องความโกรธของเรา เป้าอะไรจะดีกว่าเป้าที่อยู่นอกตัว เป้านั้นก็คือ 'ศัตรู' นั่นเอง

          คนเราต้องการมีศัตรู มิใช่เพียงเพื่อเป็นที่ระบายโทสะเท่านั้น หากยังเพื่อเป็น 'แพะรับบาป' เวลาเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เราจะได้โทษคนอื่นได้อย่างสะดวกใจ การมีศัตรู (หรือคนที่เราไม่ชอบหน้า) ช่วยให้เราโทษเขาได้ถนัดถนี่ทั้ง ๆ ที่บ่อยครั้งสาเหตุนั้นเกิดจากเรา แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนผิด ด้วยสาเหตุนี้เราจึงต้องสร้างศัตรูขึ้นมาเพื่อรับผิดแทนเรา

          นี้คือเหตุผลที่ว่าชายอังกฤษในเรื่องแรกต้องสร้างโบสถ์ขึ้นมาสองหลัง โบสถ์หลังแรกเป็นโบสถ์ในศาสนาหรือลัทธินิกายที่เขานับถือ ส่วนโบสถ์หลังที่สองเป็นโบสถ์ในลัทธินิกายที่เขาเกลียดหรือต่อต้าน แม้จะอยู่คนเดียวในเกาะร้าง เขาก็ยังต้องการที่ระบายความเกลียดและความโกรธ โบสถ์หลังที่สองคือ 'ศัตรู' ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่รับรองอารมณ์ดังกล่าว รวมทั้งเป็นที่สำหรับกล่าวโทษเวลาเกิดปัญหา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมา ถึงตรงนี้ก็คงเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมคนเยอรมันสมัยก่อนจึงจงเกลียดจงชังชาวยิว และทำไมนักการเมืองและข้าราชการบ้านเราจึงชอบ 'ปลุกผีคอมมิวนิสต์' อยู่เรื่อย ๆ

          คงเห็นแล้วนะครับว่า กิเลสหรือ 'ตัวตน' ของเรานั้นมันเจ้าเล่ห์ ถ้าเราขืนยอมตามกิเลสหรือหลงตัวตน เราก็จะมีศัตรูเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน แผ่เมตตาให้ 'ศัตรู' เหล่านั้นไม่ดีกว่าหรือครับ แล้วกลับมามองตัวเองว่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่เราหรือเปล่า แต่ถ้าพบว่าตัวเราเองเป็นสาเหตุก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้ตัวเองด้วย

          โกรธตัวเองมาก ๆ ระวังจะเป็นสารพัดโรคนะครับ
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #27 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:18:43 AM »

คนช่างรอ
          กำนันบุญไปเยี่ยมลูกสาวซึ่งแต่งงานอยู่กินกับชาวอเมริกัน เมื่อไปถึงอเมริกา ลูกเขยก็ต้อนรับเต็มที่ เรียกได้ว่าเลี้ยงดูปูเสื่อสามวันสามคืน วันที่สาม กำนันบุญจึงถามลูกเขยว่า

          "ถามจริง ๆ เถอะ เลี้ยงดูขนาดนี้ ยูเอาเงินมาจากไหน"

          "อ๋อ ดูโน่นซีครับพ่อตา" ลูกเขยตอบพลางชี้ไปทางแม่น้ำแล้วถามว่า

          "เห็นอะไรไหม"

          "เห็น ก็แม่น้ำไง"

          "แล้วเห็นสะพานไหม"

          "เห็น"

          "นั้นแหละครับ สะพานที่ผมสร้างขึ้น เวลารถผ่านแต่ละคัน ก็ต้องเสียสตางค์ให้ผม เงินก็มาจากนั้นแหละครับ"

          ปีต่อมา ลูกเขยมาเที่ยวเมืองไทยพร้อมภรรยา กำนันบุญเลี้ยงตอบแทนอย่างเอิกเกริกสามวันสามคืนเหมือนกัน ลูกเขยจึงตั้งคำถามเดียวกันว่า พ่อตาเอาเงินมาจากไหน

          "เห็นแม่น้ำนั้นไหม" กำนันบุญถาม

          "เห็น"

          "เห็นสะพานไหม"

          "ไม่เห็นสะพานเลย" ลูกเขยตอบ

          "ก็นั้นแหละ เงินที่เราเลี้ยงกันอยู่นี่ก็เป็นเงินสำหรับสร้างสะพานของตำบลนี้แหละ"


          นิทานข้างต้น เป็นเรื่องของคนสองประเภท ประเภทแรกร่ำรวยเพราะน้ำพักน้ำแรงของตน อีกประเภทมีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย เพราะคดโกงมา ถ้ามองมากกว่านั้นก็จะเห็นว่า คนประเภทแรกจัดอยู่ในพวก 'ใฝ่ทำ' ประเภทหลังนั้นเป็นพวก 'ใฝ่เสพ'

          คนใฝ่ทำนั้น เวลาอยากได้อะไรก็พยายามทำด้วยตัวเอง หรือหามาด้วยความเพียรของตน ส่วนใฝ่เสพนั้น สนใจที่จะเสพอย่างเดียว ไม่อยากทำ ถ้าจะทำก็ทำด้วยวิธีลัดสั้นที่สุด เช่น ขโมย คดโกง หรือทุจริต หาไม่ก็ทำอย่างขอไปที รอว่าเมื่อไรจะได้เวลาเลิกงาน

          เนื่องจากคนใฝ่เสพนิยมวิธีลัดสั้นที่สุด เพื่อจะได้สิ่งเสพโดยเสียแรงน้อยที่สุด จึงมักกลายเป็นพวกพึ่งพาอิทธิปาฏิหาริย์ อยากได้อะไรก็บนบานศาลกล่าว วิธีเซ่นสรวงแบบหนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นก็คือ ซื้อบุญ ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยหวังผลตอบแทนร้อยเท่าพันทวีจากเงินที่ลงทุนไป นับว่าเป็นผลรุนแรงยิ่งกว่าหวยใต้ดินเสียอีก

          ผลที่ตามมาก็คือ คนเหล่านี้กลายเป็นคนช่างรอ รอผลดลบันดาล รอโชค หรือรอฟลุก ถ้าหนักเข้าก็อาจกลายเป็นคนน่าหัวอย่างชายข้างล่างนี้

          ขณะที่ชายคนหนึ่งเดินผ่านต้นมะม่วง ลูกมะม่วงก็สุกตกลงมาสองลูก จึงเดินไปเก็บ แต่แทนที่จะปอกเปลือกกินหรือเดินต่อไป กลับยืนแหงนคออยู่ใต้ต้นมะม่วง

          ผู้เฒ่าเห็นชายผู้นั้นยืนอยู่นานสองนาน จึงถามว่า

          "พ่อหนุ่ม กำลังทำอะไรเหรอ"

          "กำลังรอว่าเมื่อไหร่ข้าวเหนียวจะตกลงมาสักที" ชายหนุ่มตอบ
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #28 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:20:58 AM »

ชีวิตอิสระ
          ที่ไหน ๆ ก็ไปมาแล้ว วันนี้ขอพาไปชมบรรยากาศหน้าห้องขังดีกว่า

          หนุ่มสามคนถูกศาลตัดสินลงโทษ ๒๐ ปีเหมือนกัน โดนข้อหาอะไร คนเล่าไม่ได้บอก แต่ก่อนแยกเข้าห้องขังเดี่ยว ผู้คุมอนุญาตให้แต่ละคนเอาของติดตัวไปได้อย่างเดียว คนแรกขอหนังสือ คนที่สองขอพระพุทธรูป ส่วนคนที่สามขอบุหรี่ ๒๐ ลัง

          ๒๐ ปีผ่านไป…เมื่อประตูคุกเปิดออก ชายคนแรกออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บอกกับผู้คุมว่า

          "ผมจะไปเป็นทนายความแล้วครับ ขอบคุณที่ให้ตำรากฎหมายผมไปศึกษาจนทะลุปรุโปร่ง"

          ส่วนคนที่สองก็ก้าวออกจากห้องขังอย่างสำรวม

          "ผมตัดสินใจจะไปบวชพระ ส่วนพระพุทธรูปในห้องขัง ผมขอมอบแก่เรือนจำ"

          ไม่นานคนที่สามก็เดินออกมา สีหน้าบูดบึ้งราวกับไม่ได้ถ่ายมานาน

          "ผู้คุม ขอไม้ขีดไฟด้วย เร็ว ๆ หน่อย"


          ที่จริงก็หน้าเห็นใจมาก ๆ อุตส่าห์ขนบุหรี่ไปถึง ๒๐ ลัง แต่ไม่มีไฟแช็กหรือไม้ขีดไฟเลย สิงห์อมควันที่ไหนเจอแบบนี้ก็แย่ทั้งนั้น แต่ตอนนี้วางความสงสารเอาไว้ข้าง ๆ มาดูว่าเรื่องข้างบนนี้บอกอะไรเราบ้าง

          นิทานเรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึง ความแตกต่างของคนสามประเภท ประเภทแรกเป็นคนใฝ่รู้ ประเภทที่สองเป็นคนสนใจศาสนา ส่วนคนประเภทสุดท้ายเป็นคนติดบุหรี่ ทั้งคนใฝ่รู้และสนใจศาสนา ชีวิตไม่ต้องการอะไรมาก ขอเพียงแค่สิ่งของอย่างเดียวชีวิตก็เป็นสุข ส่วนคนสุดท้ายนั้น ชีวิตกลับยุ่งยากมากกว่า จะไปไหนต้องแบกของพะรุงพะรัง ถ้าเกิดเอาของไปไม่ครบก็วุ่นวาย ได้บุหรี่แล้วยังไม่พอ ต้องมีไม้ขีดไฟหรือไฟแช็กอีก ได้ไฟแช็กแล้วแต่ไม่มีแก๊ซก็เกิดเรื่องอีก นี่ดีนะที่อยู่ในคุก หากไปที่อื่นก็อาจต้องการจานรองบุหรี่หรือที่เก็บเถ้าบุหรี่ด้วย

          สองคนแรกนั้น เวลา ๒๐ ปีผ่านไปแบบไม่สูญเปล่า สามารถพัฒนาฝึกฝนตนให้มีอนาคตรุ่งโรจน์ ส่วนคนสุดท้ายจมปลักอยู่กับความหม่นหมองทุกข์ระทม เพียงเพราะขาดไม้ขีดไฟเท่านั้น ชีวิตของคนที่สาม เรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ไร้อิสระทั้งกายและใจ ใจนั้นอยู่ในอำนาจของไม้ขีดไฟแบบเต็มร้อย

          ความจริงนิทานเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนติดบุหรี่เท่านั้น ถ้ามองให้ลึก ๆ ยังเป็นคติสอนใจคนที่ติดวัตถุอีกด้วย ถึงไม่ติดบุหรี่ หากติดวัตถุอื่น เช่น วิดีโอ เครื่องเสียง เครื่องประดับ อาหาร ฯลฯ ก็คงจะทุกข์แบบเดียวกับคนที่สาม เพราะได้รับอนุญาตให้เอาของไปได้ชิ้นเดียว ขณะที่ความสุขจากวัตถุเหล่านั้นต้องการอุปกรณ์หลายอย่าง

          คนที่ติดรสชาติ วัตถุดังกล่าว ไปไหนมาไหนจึงวุ่นวายพอ ๆ กับคนติดบุหรี่ ไปวัดก็ไม่เป็นสุข แม้จะไปเที่ยวเกาะเที่ยวป่า ก็ต้องขนของไปจนพะรุงพะรัง แล้วถ้าเกิดเอาไปไม่ครบ ก็หน้าบูดบึ้งโวยวายตามสูตร ลองสังเกตเวลาไปแคมปิ้ง จะทำราวกับขนบ้านไปทั้งหลังเลย เที่ยวอย่างนี้จะสนุกอย่างไร

          ขนาดไปเที่ยวยังไม่สนุกก็ติดโน่นติดนี่ แล้วชีวิตประจำวันจะอึดอัดแค่ไหน ก็คงนึกออก ชีวิตที่ติดวัตถุจึงเป็นชีวิตที่หนักอึ้งเหมือนแบกหินไว้ตลอดเวลา เพราะวัตถุต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่จะได้มาฟรี ๆ ต้องขวนขวายแบกหา บางทีหาด้วยเล่ห์ไม่ได้ ก็ต้องเอาด้วยกล ชีวิตก็เลยยอกย้อนซ่อนกลเข้าไปใหญ่

          ถ้าอยากมีชีวิตเบาสบาย เคล็ดลับมีนิดเดียว คือ คลายความหลงใหลติดยึดในวัตถุเสีย ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องซิกแซ็กวุ่นวายหรือกังวลใจ

          ครั้งหนึ่ง ขุนนางผู้มั่งคั่งไปหาเพื่อนผู้หนึ่งที่บ้าน เห็นเขากำลังกินถั่วฝักยาวเป็นอาหารเย็นพอดี จึงพูดขึ้นว่า "ถ้าคุณรู้จักประจบสอพลอกษัตริย์เสียบ้าง ก็คงไม่ต้องประทังชีวิตด้วยถั่วฝักยาวหรอก"

          เพื่อนผู้สมถะจึงย้อนว่า "ถ้ารู้จักประทังชีวิตด้วยถั่วฝักยาวละก็ คงไม่ต้องประจบสอพลอกษัตริย์หรอก"

          ถ้าหลงใหลอาหารฮ่องเต้ ชีวิตก็ยุ่งยาก แต่ถ้าเมินอาหารฮ่องเต้ได้ ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะ จริงไหม
 



 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #29 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 09:23:45 AM »

เด็กโกหก
          คุณแม่โกรธจนเหลืออด สอนแล้วสอนเล่า แต่ลูกสาววัยสี่ขวบก็ยังชอบพูดปดอยู่ จึงพูดขู่ว่า "ถ้าลูกขืนพูดโกหกอีก แม่มดจะมาจับลูกไป"

          "ลูกไม่กลัว" ลูกสาวย้อน

          "ทำไมไม่กลัว" คุณแม่ซัก

          "เพราะถ้ามีแม่มดจริง ก็จับแม่ไปก่อนแล้ว"



          ศีลธรรมหรือคุณงามความดีนั้น ไม่อาจสอนด้วยคำพูดได้ ถ้าจะให้ได้ผลต้องแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่าง ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เด็กหรือนักเรียนจึงจะซึมซับเข้าไปในจิตใจของเขาได้ ในทางตรงข้าม ถึงแม้จะสอนจนปากเปียกปากแฉะเพียงใด แต่พ่อแม่หรือครูไม่ได้ทำเป็นแบบอย่าง เด็กก็ยากที่จะเป็นอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องการได้

          เป็นเพราะเรามักเข้าใจว่าความดีนั้น 'สอน' กันได้เราจึงชอบ 'สอน' แต่ไม่ค่อยที่จะ 'ทำ' หรือ 'เป็น' ให้เขาเห็น จริง ๆ แล้วน่าจะคิดว่าความดีนั้นสอนกันได้จริงหรือจะว่าไป เด็กจะเป็นคนดีได้ มิใช่เพราะ 'ถูกสอน' ดอก หากเป็นเพราะเขา 'เรียนรู้' จากชีวิตจริง หรือจากแบบอย่างต่างหาก

          การศึกษาสมัยนี้ โดยเฉพาะในโรงเรียน ในบ้านเน้นเรื่อง 'การสอน' ของผู้ใหญ่มากว่าที่จะให้ความสำคัญกับ 'การเรียนรู้' ของเด็ก เราไปเน้นกันมากว่าพ่อแม่หรือครูควรจะพูดอย่างไรกับเด็ก หรือจะเอา 'ข้อมูล' ใส่หัวเด็กอย่างไรบ้าง แต่กลับไม่ค่อยสนใจว่าเด็กเรียนรู้อะไรบ้างจากผู้ใหญ่

          เคยสงสัยไหมว่า ทั้ง ๆ ที่สังคมสมัยนี้ไม่ค่อยได้ 'สอน' อะไรให้เด็ก แต่ทำไมเด็กกลับ 'เรียนรู้' อะไรต่ออะไรจากสังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว ความมักง่าย ใฝ่เสพ ฯลฯ นั้นเป็นเพราะเด็ก ๆ เห็นสิ่งเหล่านั้นจากชีวิตจริงในสังคมรอบตัว ความดี (และความชั่ว) ซึมซับเข้าไปในตัวเด็ก (และผู้ใหญ่) ได้ ส่วนใหญ่มิใช่เพราะมีใครมาสอน แต่เป็นผลแห่งการเรียนรู้ของตัวเองจากสิ่งรอบตัวต่างหาก ดังนั้น ถ้าแม่อยากให้ลูกพูดคำสัตย์ แม่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้ลูกได้เรียนรู้ วิธีนี้ได้ผลกว่าการสั่งสอน เทศนาเป็นไหน ๆ

          ที่จริงหลักการที่ว่านอกจากจะจำเป็นสำหรับพ่อแม่และครูแล้ว ยังใช้ได้กับพระด้วย ถ้าไม่เชื่อก็ดูเรื่องข้างล่างนี้

          ขณะที่บาทหลวงกำลังจะกลับวัด ก็เห็นเด็กสี่ห้าคนกำลังนั่งโต้เถียงกันกลางวงเป็นเหรียญและแบงก์อยู่จำนวนหนึ่ง บาทหลวงจึงเข้าไปถามว่าทำอะไรกัน

          "พวกผมกำลังแข่งขันกันครับว่า ใครจะโกหกเก่งกว่ากัน" เด็กตอบแล้วพูดต่อไปว่า "คนที่โกหกเก่งที่สุดจะได้เงินกองนี้ไป"

          "อะไรกัน พวกเธอริอ่านโกหกกันตั้งแต่เล็กเลยหรือนี่ ตอนพ่อเป็นเด็ก พ่อไม่เคยโกหกเลย"

          "เฮ้ย พวกเรา ยกเงินกองนี้ให้หลวงพ่อก็แล้วกัน" เด็กคนหนึ่งพูดสวนขึ้นมา

          เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ไม่จำเพาะฝรั่งเท่านั้น หลวงพ่อหลวงพี่ก็น่าจะเก็บไปคิดด้วย
 
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.137 วินาที กับ 21 คำสั่ง