เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 18, 2025, 04:02:38 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ รากเหง้า ของปัญหาชายแดนภาคใต้  (อ่าน 8735 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:37:48 PM »


เพื่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ปรากฏในมณฑลปัตตานี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงวางหลักรัฐประศาสโนบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ โดยพระราชหัตถเลขาที่ ๓/๗๘ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ มีสาระสำคัญดังต่อไปนี้

ข้อที่หนึ่ง ระเบียบหรือวิธีปฏิบัติการอย่างใดที่เป็นทางให้พลเมืองรู้สึกเห็นไปว่าเป็นการเบียดเบียน กดขี่ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกหรือแก้ไขเสียทันที การใดจะจัดขึ้นใหม่ต้องอย่าให้ขัดกับลัทธินิยมของอิสลามหรือยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี

ข้อสอง การกะเกณฑ์อย่างใด ๆ ก็ดี การเก็บภาษีอากรหรืออย่างใด ๆ ก็ดี เมื่อพิจารณาโดยส่วนรวมเทียบกันต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเมืองในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกันนั้นต้องเกณฑ์ ต้องเสียอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพิจารณาเทียบกันแต่เฉพาะอย่างต้องอย่าให้ยิ่งหย่อนกว่ากัน จนถึงเป็นเหตุเสียหายในการปกครองได้

ข้อสาม การกดขี่บีบบังคั้นแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาล เนื่องแต่การหมิ่นดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยฐานที่เป็นคนต่างชาติก็ดี เนื่องแต่การหน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ราษฎรเสียความสะดวกในการหาเลี้ยงชีพก็ดี พึงต้องแก้ไขระมัดระวังมิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรองรับผลตามความผิดโดยยุติธรรม ไม่ใช่สักแต่ว่าจัดการกลบเกลื่อนให้เงียบไปเสียเพื่อจะไว้หน้าสงวนศักดิ์ของข้าราชการ

ข้อสี่ กิจการใดทั้งหมดอันเจ้าพนักงานอันต้องบังคับแก่ราษฎร ต้องระวังอย่าให้ราษฎรต้องขัดข้องเสียเวลา เสียการในทางหาเลี้ยงชีพของเขาเกินสมควร แม้จะเป็นการจำเป็นโดยระเบียบการก็ดี เจ้าหน้าที่พึงสอดส่องแก้ไขอยู่เสมอเท่าที่สุดจะทำได้

ข้อห้า ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไปประจำตำแหน่งในมณฑลปัตตานี พึงเลือกเฟ้นแต่คนมีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็น ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้ตำแหน่งหรือส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว เมื่อจะส่งไปต้องสั่งสอนชี้แจงให้รู้ลักษณะทางการอันพึงประพฤติ ระมัดระวังโดยหลักที่ได้กล่าวในข้อหนึ่ง ข้อสาม และข้อสี่ข้างบนนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ในท้องที่พึงสอดส่องฝึกฝนอบรมกันต่อ ๆ ไปในคุณธรรมเหล่านั้น ๆ ไม่ใช่แต่คอยให้พลาดพลั้งลงไปก่อนแล้วจึงว่ากล่าวลงโทษ

ข้อหก เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดการวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ หรือบังคับการอย่างใดในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงสุขทุกข์ราษฎรก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง ถ้าไม่เห็นด้วยว่ามีมูลขัดข้องก็ควรหารือกับกระทรวงมหาดไทย แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวง ก็พึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย

(คัดจาก ดับไฟใต้ โดย พลโท กิตติ รัตนฉายา, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๖, หน้า๕๓-๕๕)
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #16 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:39:33 PM »

หลักรัฐประศาสนโนบายทุกข้อที่มีในสมัยรัชกาลที่ ๖ เพื่อใช้ในการปกครองมณฑลปัตตานี (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) มีนัยแสดงให้เห็นถึงความเป็นลักษณะพิเศษทางสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่นั้น ซึ่งไม่ควรใช้นโยบายการปกครองแบบสูตรสำเร็จเหมือนที่ใช้กันอยู่ในพื้นที่อื่น ๆ

กลไกสำคัญที่จะทำให้นโยบายการปกครองเฉพาะนี้มีความเป็นไปได้ดีหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับศักยภาพและความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นสำคัญ ทั้งนี้ สามารถวัดได้จากสถานภาพและปรากฏการณ์ทั่วไปของสังคมในที่นั่น ซึ่งแน่นอนว่าจะมีดีทั้งหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะข้าราชการหลาย ๆ คน มีความแตกต่างระหว่างบุคคลและหลากหลายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีนิสัยชนิดทำดีต่อหน้านาย มีอคติ และเลือกปฏิบัติ
ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชาวมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อตัวและแสดงออกค่อย ๆ ชัดเจนอย่างต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่งเมื่อรัฐบาลไทยใช้นโยบาย “การสร้างชาติ” แบบ “รัฐนิยม” ในสมัย พันเอก หลวงพิบูลสงคราม หรือต่อมารู้จักกันในนาม “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” มีอุดมการณ์ที่จะนำประเทศไทยให้เข้าสู่ระดับของนานาอารยประเทศทั่วโลก  และให้ความสำคัญกับเชื้อชาติไทย ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในฐานะ "เจ้าของประเทศ" ซึ่งเห็นได้จากการประกาศใช้รัฐนิยมฉบับแรกที่ว่าด้วย “ใช้ชื่อประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ” เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และ “กำหนดให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย กำหนดให้เรียกคนสยามว่าคนไทย” เพื่อเน้นความถูกต้องตามเชื้อชาติและความนิยมของประชาชนชาวไทย

นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีผลต่อภาวะด้านจิตใจของมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนั้นรุนแรงอย่างมาก เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้จัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ ขึ้นมาตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕

อิบรอฮีม ชุกรี ได้บันทึกปรากฏการณ์หลังจากการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติว่า เป็นการปกครองประเทศที่ใช้อำนาจรัฐ “บังคับ” ประชาชนมาก เช่น บังคับคนไทยทั้งหญิงและชายทุกคนแต่งกายแบบชาวตะวันตก และต้องสวมหมวก ต้องรับประทานอาหารด้วยช้อนและส้อม และต้องนั่งรับประทานอาหารกับโต๊ะและเก้าอี้ ห้ามผู้คนมลายูใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่งกายแบบมลายู ห้ามใช้นามบุคคลเป็นภาษามลายูหรืออาหรับ ห้ามใช้ภาษามลายู และห้ามนับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น ในสมัยนี้จึงได้ยกเลิกหน่วยงานต่าง ๆ ที่เป็นกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม และบอกว่า “ศาสนาพุทธเท่านั้นเป็นศาสนาประจำชาติ” ยิ่งกว่านั้น มีการนำพระพุทธรูปไปวางในโรงเรียนต่าง ๆ ในอำเภอสายบุรี และมีการบังคับให้นักเรียนกราบไหว้พระพุทธรูป ข้าราชการมุสลิมที่มีเพียงส่วนน้อยนั้นถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อตัวจากภาษามลายู หรือชื่อภาษาอาหรับให้เป็นภาษาไทย ส่วนตำแหน่งหน้าที่ราชการในระดับสูงนั้น เป็นตำแหน่งต้องห้ามสำหรับมุสลิม

ปฏิบัติการของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องและบีบคั้นภาวะจิตใจของมุสลิมผู้ถูกกระทำให้ละทิ้งสถานภาพของความเป็นมุสลิมและความเป็นมลายูให้หมดโดยสิ้นเชิง หากใครต่อต้านหรือขัดขืนก็จะถูกจับหรือปรับ และบางคนถูกตำรวจเตะและกระทืบ มีการดึงเสื้อคลุมของโต๊ะครูไปเหยียบย่ำบนพื้น แม่ค้าขายของมุสลิมในตลาดสดถูกทุบตีด้วยด้ามปืน เพราะสวมใส่เสื้อ “กบายา” และใช้ผ้าคลุมศีรษะ

นโยบายดังกล่าวนี้ เปิดโอกาสให้ชาวไทยพุทธและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นพุทธได้กระทำการทารุณ ดูถูกเหยียดหยามผู้คนมุสลิมและดูหมิ่นศาสนาอิสลามอย่างน่าเกลียดมาก

ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ รัฐบาลโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยกเลิกตำแหน่ง “กอฎี” ที่มีอยู่ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ส่วนกฎหมายอิสลามที่ว่าด้วยครอบครัว (การสมรส การหย่า) และว่าด้วยมรดก ซึ่งมีใช้มาก่อนนั้นแล้ว ก็ให้ยกเลิกทั้งหมด โดยให้เปลี่ยนมาใช้กฎหมายไทยและใช้อำนาจศาลไทย

ต่อการกระทำดังกล่าวนั้น ได้มีกลุ่มบุคคลมุสลิมแนวหน้าพยายามต่อรองร้องเรียนต่อรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ ผ่านนักการเมืองไทยพุทธ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานีที่มุสลิมยอมรับ คือ ขุนเจริญวรเวชช์ (เจริญ สืบแสง) ซึ่งก็ได้รับการพิจารณาได้ไม่ดีเท่าที่ควร
บรรยากาศทางการเมืองต่อจากนั้นก็เลวลงเรื่อย ๆ และรุนแรงที่สุดเมื่อ นายหะยีสุหลง (นามเต็ม คือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ บิดาของ นายเด่น โต๊ะมีนา สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดปัตตานี พ.ศ. ๒๕๔๓ – ปัจจุบัน) เป็นตัวแทนของชาวมลายูมุสลิมยื่นคำขอ ๗ ข้อ ต่อรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งพอที่จะสังเขปเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นได้ดังนี้ กล่าวคือ

เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ผู้นำชาวมุสลิมร่วมประชุมเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวกับศาสนาและสิทธิต่าง ๆ ของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ ๑๐๐ คน ที่ประชุมตกลงกำหนดคำขอ ๗ ข้อ ต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) ซึ่งรัฐบาล พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จัดตั้งในวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อสืบสวนและเสนอแนะปรับปรุงสภาพการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ที่กำลังเป็นอยู่

สำหรับคำขอเกี่ยวกับศาสนาและสิทธิต่าง ๆ ของมุสลิมในครั้งนั้น มีดังนี้
๑. ขอให้ปกครอง ๔ จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่งโดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน ๔ จังหวัด
๒. การศึกษาในชั้นประถมต้น จนถึงชั้นประถม ๗ (สมัยนั้นประถมศึกษามีถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๗) ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
๓. ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน ๔ จังหวัดเท่านั้น
๔. ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ ๘๐
๕. ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
๖. ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีเอกสิทธิออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
๗. ให้ศาลรับพิจารณาตามกฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดาโต๊ะยุติธรรม) ตามสมควรและมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด

การรับเรื่องร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ในครั้งนั้น มีรวมทั้งสิ้น ๒๐ เรื่อง แต่มี ๑๒ เรื่อง ได้รับการพิจารณา และอีก ๘ เรื่อง ไม่มีหลักฐานบอกแน่ชัดว่าได้รับการพิจารณาหรือไม่

เฉพาะเรื่องคำขอ ๗ ข้อ ของกลุ่มนายหะยีสุหลงนั้น ก็มีการติดตามเรื่องหลังจากนั้นอีก ๔ เดือนถัดมา โดยการที่ขุนเจริญวรเวชช์ได้ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งก็ได้รับคำตอบให้ทราบว่ากำลังพิจารณาอยู่ สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ขอ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของนายหะยีสุหลง หลาย ๆ ระลอกต่อมา จนท่านต้องจบชีวิตลงแบบไม่มีสุสานพร้อมด้วยลูกชายคนโตและเพื่อนอีก ๒ คน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗

ที่น่าสนใจในเหตุการณ์นี้คือ หะยีสุหลงมีเพื่อนที่เป็นพุทธ คือ นายเจริญ สืบแสง (ขุนเจริญวรเวชช์) แม้แต่การว่าคดีความเมื่อคราวหะยีสุหลงถูกจับกุมก็ได้รับความช่วยเหลือด้วยดีจากทนายที่เป็นชาวไทยพุทธ คือ นายสำราญ อิมะชัย และนายยอด รัตนคณิต ซึ่งนายเจริญ สืบแสง เป็นผู้ติดต่อให้ เมื่อนายหะยีสุหลงและพวกอีก ๒ คนถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีในศาลที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ แล้ว ก็มีทนายไทยพุทธสมัครใจว่าความเป็นทนายจำเลยอีก ๓ คน โดยไม่คิดเงิน ได้แก่ นายน้อม อุประมัย นายพันธ์ อินทุวงศ์ และหลวงอรรถพรพิศาล

ความขัดแย้งระหว่างมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐปรากฏชัดเจนอีกเหตุการณ์หนึ่งใน พ.ศ. ๒๔๙๐ เมื่อนายตำรวจไทยพุทธยศร้อยโท หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ถูกกลุ่มโจรของนายอาแว มะเซ็ง ลอบสังหาร โดยถูกกลุ่มโจรไปหลอกแจ้งความว่า มีการฆาตกรรมในหมู่บ้านปะลูกาสาเมาะ ตำบลปะลูกาสาเมาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ขอให้ไปชันสูตรศพ การปฏิบัติการของโจรครั้งนี้ทำให้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจโกรธแค้นมาก ชาวบ้านเล่าว่าชาวบ้านถูกบีบและบังคับให้บอกชื่อโจรผู้ก่อการดังกล่าวด้วยวิธีการที่ทารุณมาก และเมื่อไม่ได้คำตอบจึงกล่าวหาว่าชาวบ้านเลี้ยงโจรและให้ความสนับสนุนโจร ฝ่ายตำรวจจึงเผาหมู่บ้านให้วอดวายหมด ทำให้ชาวบ้าน ๒๕ ครัวเรือนไร้ที่อยู่อาศัย
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #17 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:41:06 PM »

ในปีต่อมา คือ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ เกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับชาวดุซงยอ อำเภอระแงะ (ปัจจุบันผนวกเป็นอำเภอจะแนะ) จังหวัดนราธิวาส ร่วมพันคน ชาวบ้านเรียกว่า “ปือแร ดุซงญอ” (สงครามดูซงญอ) ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไทยเรียกว่า “กบฏดุซงยอ”

ในตอนต่อไปจะเล่าถึง “สงครามดุซงยอ” จากบันทึก ตำนาน และปกรณัมที่มีหลักฐานปรากฏในที่ต่าง ๆ นะครับ

ภาพข้างล่างเป็นภาพ "หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์" (จากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #18 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:42:43 PM »

เรื่องของ “ดุซงญอ” นี้ เป็นประวัติการต่อสู้ของชาวมลายูมุสลิมกับเจ้าหน้าที่รัฐครั้งรุนแรงที่สุด มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต ๓๐ ศพ และมีชาวบ้านเสียชีวิตหลายร้อยศพ และยังคงเป็นที่เล่าขานกันมาจนถึงทุกวันนี้หากมีเหตุการณ์ปะทะกันรุนแรงเช่นในครั้งนั้น

บันทึกต่าง ๆ มีดังนี้

เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นในจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ก่อนที่รัฐบาลจะได้ทันลงมือดำเนินการอย่างไรเพื่อเป็นการแก้ปัญหา (การเรียกร้อง ๗ ข้อ ของชาวมลายูมุสลิม) กระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานทางโทรเลขจากนราธิวาสว่า “คนไทยมุสลิมประมาณ ๑,๐๐๐ คน ได้เข้าโจมตีสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนกลันตัน มีการต่อสู้กันเป็นเวลา ๒ วัน และมีคนตายเป็นจำนวนกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป
(ปิยนาถ บุนนาค, นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๑๖). (กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๔, หน้า ๑๐๔-๑๐๕.)

Nik Anuar Nik Mahmud กล่าวถึงเหตุการณ์ดุซงญอว่า เป็นการลุกขึ้นสู้ (kebangkitan) ที่ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า แต่เกิดขึ้นกะทันหัน เนื่องจากในวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ฝ่ายตำรวจยิงปืนไปยังชาวบ้านที่กำลังมีงานบุญกันอยู่ จากนั้นเจ้าหน้าที่กลัวชาวบ้านจะตอบโต้จึงถอยกำลังกลับไปยังตันหยงมัส แต่ในการรายงานไปยังหน่วยเหนือ ฝ่ายตำรวจรายงานไปว่าได้มีกองโจรชาวมลายูจำนวน ๑,๐๐๐ คน กำลังเตรียมการเพื่อก่อการกบฏ
(Nik Anuar Nik Mahmud, Sejarah Perjuangan Melayu Patani, 1785-1954, (Bangi: Penerbit University Kebangsaan Malaysia, 1999), p.77. (In Malay))

ในวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ๖๐ นาย เข้ามาเสริมกำลังที่ตันหยงมัส ขณะที่ชาวบ้านดุซงญอก็เตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับตำรวจ ที่เชื่อกันว่ากำลังเตรียมการจะกวาดล้างชาวมลายู วันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ รัฐบาลส่งเครื่องบินรบมาร่อนเหนือหมู่บ้านดุซงญอ เรือรบกลางทะเลบางนราก็ถูกสั่งให้เทียบท่าเรือเพื่อเตรียมส่งทหารมาสมทบกับกำลังตำรวจ วันที่ ๒๘ เมษายน เกิดการต่อสู้ครั้งร้ายแรงระหว่างชาวมลายูจำนวนราว ๑,๐๐๐ คน กับกองกำลังตำรวจที่หมู่บ้านดุซงญอ การต่อสู้เริ่มจากฝ่ายตำรวจสยามเข้าบุกโจมตีชาวมลายูที่ถูกทางการเชื่อว่ากำลังเตรียมการต่อต้านรัฐบาล การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไป ๓๖ ชั่วโมง ชาวบ้านก็ยอมแพ้ ผลการต่อสู้ทำให้ชาวมลายูทั้งที่เป็นสตรี ผู้ชรา และทารก เสียชีวิตเกือบ ๔๐๐ ศพ ส่วนตำรวจสยามเสียชีวิตประมาณ ๓๐ ศพ
(อิบรอฮีม ชุกรี, ประวัติราชอาณาจักรมลายูปะตานี หะสัน หมัดหมาน, มะหามะซากี เจ๊ะหะ และดลมนรรจน์ บากา (แปลและเรียบเรียง), (ปัตตานี: โครงการจัดตั้งสถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, พฤศจิกายน ๒๕๔๑) หน้า ๕๔. ชุกรีระบุว่าเหตุการณ์ดุซงญอเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ และความรุนแรงดำเนินไปเป็นเวลา ๓๖ ชั่วโมง)

ข้อเขียนของ Mohd. Zamberi A. Malek มีรายละเอียดบางอย่างแตกต่างออกไป เขาได้อ้างรายงานของตนku มะห์มูด มะหายิดดีน ที่ระบุว่า เหตุการณ์เริ่มจากที่ชาวบ้านดุซงญอมารวมตัวกันประมาณ ๖๐-๘๐ คน และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าโจมตีกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว ชาวบ้านแตกกระจายและหนีไปตั้งหลักที่ตันหยงมัส รวมกำลังกันได้ประมาณ ๑,๐๐๐ คน ก็ตัดสินในประกาศทำ “ญิฮาด” (การต่อสู้ยอมสละทุกสิ่งในหนทางของพระเป็นเจ้า) ชาวบ้านอ้างว่าตำรวจเป็นฝ่ายยิงเข้ามาในกลุ่มชาวบ้านก่อน เพราะคิดว่าชาวบ้านรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล เหตุการณ์เลวร้ายลงเมื่อชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเข้ามาสมทบด้วยเพราะโกรธแค้นที่ญาติพี่น้องของตนถูกทำร้าย ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรุงเทพฯ ส่งกำลังสามกองร้อยลงมาในพื้นที่ การปะทะกันเกิดขึ้นในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ระหว่างปะทะมีเครื่องบินของทหารอากาศไทย ๓ ลำ บินวนเวียนหาเป้าหมายชาวบ้าน มีรายงานด้วยว่ากองทัพเรือไทยนำเรือรบมาเทียบท่าที่อ่าวนราธิวาส มีข่าวลือว่ากองกำลังไทยต้องการกวาดล้างชาวมลายู “การโจมตีของตำรวจต่อชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธ” ในการปะทะกันนี้ ทำให้ชาวมลายูล้มตายประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ คน แต่ทางราชการกล่าวว่ามีเพียง ๓๐-๑๐๐ คนเท่านั้นที่บาดเจ็บและเสียชีวิต ในขณะที่ฝ่ายตำรวจเสียชีวิต ๓๐ คน เหตุการณ์นี้รู้จักกันในนาม “สงครามโต๊ะเปรัก ดุซงญอ” (Perang Tok Perak Dusun Nyor) เพราะผู้นำคือตวนฮัจยีอับดุลเราะห์มาน เดิมเป็นชาวรัฐเปรัก และชาวบ้านเรียกกันว่า โต๊ะ เปรัก
(Mohd. Zamberi A. Malek, Umat Islam Patani: Sejarah dan Politik. (Shah Alam: Hizbi, 1993), pp. 210-211. (In Malay))

จากบันทึกข้างต้น อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

ประการแรก  กรณีดุซงญอนี้เรียกต่างกันอย่างชัดเจน เพราะฝ่ายราชการเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น “กบฏ” หรือ “การจลาจล” ขณะที่ไม่มีผู้ใดในฝ่ายนักวิชการมลายูมุสลิมที่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “กบฏ” ตรงกันข้าม คำภาษามลายูที่นำมาใช้เรียกเหตุการณ์นี้มีอย่างน้อยสองคำ คือคำว่า “Kebangkitan” หรือ “การลุกขึ้นสู้” กับคำว่า “Perang” ซึ่งแปลว่า “สงคราม”

ประการที่สอง ในขณะที่รายงานของทางราชการแสดงว่าเหตุการณ์ดุซงญอเป็นผลของการเตรียมการวางแผนต่อต้านรัฐบาลกรุงเทพฯ แต่ในฝ่ายมลายูมุสลิมกลับเห็นว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เกิดอย่างกะทันหันไม่ใช่ขบวนการที่มีเป้าหมายและการจัดองค์กรทางการเมืองตั้งแต่แรก

(จากบทความ ความเงียบของอนุสาวรีย์ลูกปืน : ดุซงญอ-นราธิวาส, ๒๔๙๑ โดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
แต่ทำไมถึงเกิดเหตุปะทะกันขึ้นได้ ลองไปฟังจากปากคำของผู้อยู่ในเหตุการณ์ดูนะครับ

รัตติยา สาและ รายงานว่า ชาวบ้านเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ปือแร ดุซงญอ” (สงครามดุซงญอ) (คำวา “ปือแร” เป็นคำ ๆ เดียวกับคำว่า perang ในภาษามลายูที่แปลว่า “สงคราม” แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อ่านออกเสียงท้องถิ่นเป็น “ปือแร”) เป็นเรื่องที่เกิดจากความเข้าใจผิด โดยอ้างผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนที่รายงานต่อรัฐบาลว่า การจลาจลเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด เนื่องจากมีการประชุมของชาวมลายูมุสลิมเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับไสยศาสตร์ คือพิธีอาบน้ำมันมนต์เพื่ออยู่ยงคงกระพัน ชาวบ้านเล่าว่า ตัวผู้นำพิธีกรรมนี้มีพลังภายในมาก ท่านถือศีลอดและนั่งท่องบทอัล-กุรอาน จนพื้นที่นั่งซึ่งเป็นปูนนั้น แตกเป็นรอยร้าว เป็นที่เกรงขามสำหรับผู้ที่ได้รู้เห็นเป็นอย่างมาก เล่ากันต่อมาว่าศิษย์ของท่าน ๑ คน สามารถนำผู้อ่านให้ปลอดจากอาวุธได้จำนวนเป็นสิบ (สังเกตว่าเหตุการณ์ตรงนี้คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดปัตตานีเมื่อตอนต้นปีนี้ที่มีการกล่าวอ้างกัน) มีอดีตทหารเกณฑ์คนหนึ่ง (ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดสงขลา) ซึ่งถูกส่งตัวเข้าไปในบริเวณดังกล่าวยืนยันว่า “เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เป็นการกบฏ แต่เป็นความระแวงของฝ่ายบ้านเมืองว่าชาวบ้านกำลังซ่องสุมกำลังคนเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลและต้องการแบ่งแยกดินแดน”
(รัตติยา สาและ, การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส. (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. ๒๕๔๔), หน้า ๑๖๓.)
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #19 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:46:07 PM »


เหตุการณ์ดุซงญอเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยมากมาย แต่ที่สำคัญคือนับเป็นการปะทะกันครั้งใหญ่ที่สุดระหว่างฝ่ายราชการโดยเฉพาะกับฝ่ายตำรวจ และฝ่ายชาวบ้านมลายูมุสลิม ฝ่ายตำรวจตายไป ๓๐ นาย ในขณะที่หลักฐานจากฝ่ายที่มิใช่ราชการระบุว่าฝ่ายชาวบ้านเสียชีวิตมากกว่าฝ่ายราชการหลายเท่า

ปิยนาถ บุนนาค ใน นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๑๖ (๒๕๓๔) ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน ๒๔๙๑ มีคนตายเป็นจำนวนกว่า ๑๐๐ คนขึ้นไป (หน้า ๑๐๔-๑๐๕)

อิมรอน มะลูลีม ใน วิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่ารัฐบาลไทยกับมุสลิมในประเทศ (๒๕๓๘) ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕-๒๖ เมษายน ๒๔๙๑ มีผู้เสียชีวิต ๓๐-๑๐๐ คน (หน้า ๑๖๑)

แต่งานของ อิบรอฮีม ชุกรี นักประวัติศาสตร์มลายูมุสลิม ในงานเขียนเรื่อง ประวัติราชอาณาจักรมลายูปะตานี (๒๕๔๑) ระบุว่า เหตุการณ์รุนแรงนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๑ ดำเนินไปเป็นเวลา ๓๖ ชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตเป็นสตรี ผู้ชรา และทารก เกือบ ๔๐๐ คน ส่วนฝ่ายตำรวจไทยเสียชีวิตประมาณ ๓๐ คน (หน้า ๕๓-๕๔)

มูฮัมหมัด ซัมบารี เอ. มาเล็ก เขียนไว้ในหนังสือภาษามลายูเรื่อง Umat Islam Patani : Sejarah dan Politik (ประชาชาติอิสลามปะตานี : ประวัติศาสตร์และการเมือง) (๑๙๙๓) ระบุว่า การปะทะกันเกิดขึ้นในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๙๑ ทำให้ชาวมลายูล้มตายประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ คน ฝ่ายตำรวจเสียชีวิต ๓๐ คน ในขณะที่ทางราชการไทยกล่าวว่ามีเพียง ๓๐-๑๐๐ คนเท่านั้นที่บาดเจ็บและเสียชีวิต (pp.210-211)

Syed Serajul Islam ในบทความภาษาอังกฤษเรื่อง “The Islamic Independence Movements in Patani of Thailand and Mindanao of The Philippines” ตีพิมพ์ในวารสาร Asian Survey (1998) ระบุว่า จำนวนผู้เสียชิวตที่เป็นชาวมลายูมุสลิมในกรณีนี้คือ ๑,๑๐๐ คน (p.446, fn.9)

จากข้อมูลที่แตกต่างกันทั้งวันที่เกิดเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตนี้ไม่สำคัญเท่ากับคำถามทางวิชาการที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์สองข้อ คือ

ข้อแรก เหตุการณ์นี้ถูกจดจำอย่างไร? (สำหรับความทรงจำของฝ่ายราชการไทย เหตุการณ์นี้ถูกจดจำในฐานะ “กบฏ” หรือ “การจลาจล” ขณะที่ไม่มีนักวิชการมลายูมุสลิมผู้ใดเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “กบฏ” เลย แต่กลับเรียกว่า การลุกขึ้นสู้ หรือ สงคราม เหตุการณ์รุนแรงเรื่องเดียวกัน รับรู้ จดจำ และมองได้จากหลายมุมมอง ถ้าไม่เลือกมองมุมของราชการที่ดูจะครอบงำสังคมอยู่จะเห็น “ความจริง” เป็นเช่นไร

ข้อสอง วิธีการที่ผู้คนจดจำเหตุการณ์มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาที่สลับซับซ้อน อย่างปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเข้าใจวิธีการที่เหตุการณ์ถูกจดจำรับรู้กระทำได้ยาก หากไม่เห็นนัยทางสัญลักษณ์และประวัติศาสตร์ที่แฝงฝังอยู่ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากเหตุการณ์ดุซงญอ ทำให้ผู้คนหลบลี้หนีข้ามไปมาเลเซียนับพันคน เหตุการณ์ดุซงญอเป็นสัญลักษณ์แห่งการลุกขึ้นสู้ของผู้คนในปัตตานีต่อ “รัฐไทย” นับแต่นั้นมา แต่ในมุมของ “รัฐไทย” ส่วนหนึ่งเหตุการณ์ดุซงญอนี้ถูกจดจำไว้เป็น "อนุสาวรีย์รูปกระสุนปืน" (น่าแปลกที่อนุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุปะทะกัน คือ ตำบลจะแนะ อำเภอระแง จังหวัดนราธิวาส อนุสาวรีย์แห่งนี้ไม่มีเครื่องหมายหรือคำอธิบายใด ๆ แต่ได้ความจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นี่ว่า "เป็นอนุสาวรีย์ที่เก็บกระดูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตที่ดุซงญอ" แต่ไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ ว่า เก็บกระดูกของเจ้าหน้าที่ตำรวจกี่คน หรือใครบ้าง) คอลัมนิสต์มุสลิมท่านหนึ่งจึงได้ตั้งคำถามว่า ที่ทำเป็นอนุสาวรีย์รูปกระสุนปืนนี้ “เพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของเจ้าหน้าที่ที่สามารถปราบปรามประชาชนสำเร็จกระนั้นหรือ ?”
(อัฮหมัด สมบูรณ์ บัวหลวง, “ดูซงญอ ฤาคือกบฏ”, คำบรรยายใต้ภาพอนุสาวรีย์กระสุนปืน, หน้า ๗)

ภาพนี้เป็นภาพอนุสาวรีย์กบฎดุซงญอ ถ่ายโดย ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๕

(บทความและภาพถ่ายคัดจากหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๗)
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #20 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:47:56 PM »


การปิดฉากเหตุการณ์เลวร้ายหลาย ๆ เหตุการณ์ด้วยวิธีการแก้ปัญหาแบบ “ดับไฟชั่วคราว” เพื่อความอยู่รอดไปวัน ๆ ของ “ฝ่ายก่อการ” และผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนอย่างที่เป็นไปแล้วนั้น จึงเปิดโอกาสให้เกิด “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” หลายกลุ่มตามมาภายหลัง หลัง พ.ศ. ๒๔๙๗ และมีการจับกุมผู้นำในพื้นที่ด้วยข้อหาต่าง ๆ เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ มีการจับกุม นายหะยีอามีน โต๊ะมีนา (ฮาฌี มิง) ด้วยข้อหา “บ่อนทำลายชาติ” ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ รัฐบาลจับกุมครูเปาะสู วาแมดิซา ชาวบ้านท่าธง ตำบลท่าธง อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ด้วยข้อหา “กบฎแบ่งแยกดินแดน”

ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔, พ.ศ. ๒๕๑๕ มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาสบ่อยมาก ซึ่งชาวบ้านบอกว่าเป็นผลจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ราชการบางหน่วยงานเพื่อปราบปรามโจรผู้ร้ายที่ซ่องสุมอยู่ในหมู่บ้าน หลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของคำกล่าวหาและต้องหนีเข้าป่าไปร่วมขบวนการกับหน่วย บี.เอ็น.พี.พี., หน่วย บี.อาร์.เอ็น., หน่วยพูโล (PULO) และหลายคนถูกจับตัวเข้าร่วมขบวนการของคอมมิวนิสต์มลายา ที่มีอิทธิพลในพื้นที่อำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงปาดี อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา หรือไม่ก็เป็นผู้ก่อการร้ายเรียกค่าไถ่และเรียกค่าคุ้มครอง

บี.เอ็น.พี.พี. (BNPP = Barisan Nasional Pembebasan Patani/ = National Pront Liberation of Patani) เรียกเป็นภาษาไทยว่า “ขบวนการปลดแอกแห่งชาติปัตตานี” หรือ “แนวกู้เอกราชแห่งปัตตานี”

ดังนั้น เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ซึ่งนำโดยตึงku ฌาลัล นาเซ็ร (นายอดุลย์ ณ สายบุรี) ทายาทเจ้าเมืองสายบุรี โดยความเห็นชอบและความร่วมมือของอีกสามขบวนการแนวหน้า ได้แก่ ฆึมปัร (GEMPAR = Gabungan Melayu Patani Raya หรือ “แนวร่วมมลายูปัตตานียิ่งใหญ่”) บี.อาร์.เอ็น. (BRN = Barisan Revolusi Nasional หรือ “ขบวนการปฏิวัติแห่งประชาชาติ”) และพูโล (PULO = Patani United Liberation Organization/Pertubuhan Persatuan Pembebasan Patani หรือ “องค์การร่วมเพื่อกอบกู้อิสรภาพปัตตานี”) การปฏิบัติการช่วงแรกมักเป็นไปในรูปกองโจร ซึ่งนำโดย เปาะเย็ฮ หรือ นายดือเร็ฮ มะดีย็อฮ หรือ “เปาะเยะ” โดยยึดมั่นและศรัทธาว่า “การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งดินแดนปัตตานีกลับคืนมาจากไทยนั้น ย่อมมิอาจสำเร็จได้ด้วยการโปรยนานาดอกไม้ แต่จะต้องด้วยการโบยบินของบรรดากระสุนปืน” หลังจากเปาะเยะเสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ขบวนการนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “แนวร่วมอิสลามปลดแอกปัตตานี” หรือ Barisan Islam Pembebasan Patani (BIPP = บี.ไอ.พี.พี.)

เหตุการณ์ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๔-๒๕๑๕ ซับซ้อนและวุ่นวายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ชาวบ้านบอกว่า ฝ่ายตรงกันข้ามกับเจ้าหน้าที่เตือนว่า ถ้าจะเดินทางผ่านถนนสายปัตตานี-นราธิวาส ช่วงตั้งแต่ตลาดต้นไทร ตำบลปะลูกาสาเมาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส หลังเวลา ๔ ทุ่ม จนถึง ๖ โมงเช้า ต้องไม่ลืมเปิดไฟหน้ารถให้ต่ำ มีการห้ามใช้ไฟสูงอย่างรถของฝ่ายเจ้าหน้าที่ และจะต้องเปิดไฟในรถให้สว่าง เพื่อเป็นสัญญาณขอเปิดทางให้ผ่าน

ที่หมู่บ้านตือลาฆอ มือแด (บ้านทอน) ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส มีเจ้าหน้าที่ “ตำรวจมุสลิม” เข้าไปจับกุมผู้นำศาสนาซึ่งกำลังละหมาด โดยกล่าวหาว่าชายผู้เป็นเหยื่อคนนั้นมีส่วนสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับโจร ตัวอย่างนี้แสดงให้ทราบว่า “ความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ที่เป็นปัญหากับประชาชนชาวมุสลิมนั้น ไม่จำกัดเฉพาะ “คนพุทธ”

ที่หมู่บ้านมาแฮ บ้านอีโยะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส มีกลุ่มเจ้าหน้าที่จากหน่วยปราบปรามพิเศษ ได้เข้าไปทำลายทรัพย์สินของชาวบ้าน และข่มขู่ภรรยาของผู้ต้องสงสัยว่าเลี้ยงโจรและมีความเกี่ยวข้องกับคดีการจับตัวทนายชื่อดังในจังหวัดนราธิวาสซึ่งเป็นชาวพุทธเชื้อสายจีน ทำให้เหยื่อผู้นั้นต้องหนีเข้าป่า

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากวิธีการปราบปรามของเจ้าหน้าที่บางหน่วยที่ถูกส่งไปปฏิบัติการในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในบางหมู่บ้านสร้างความขยาดกลัวให้กับบรรดาคนหนุ่มสาวมาก เป็นเหตุให้ชายฉกรรจ์หลายคนต้องถอยออกจากหมู่บ้านไปตั้งหลักทำมาหากินในจังหวัดไกล ๆ เช่น ที่กรุงเทพฯ ที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ ซึ่งก็มีหลายคนประสบผลสำเร็จ ได้กลับมาซื้อที่ดิน ซื้อสวนยาง และเปิดกิจการในพื้นที่บ้านเดิมเมื่อมั่นใจว่าเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

ปอเนาะพ่อมิ่ง บ้านพ่อมิ่ง ตำบลคอกกระบือ อำเภอปะนาเระ จังหวัดนราธิวาส ต้องกลายเป็นปอเนาะร้างชั่วคราว เพราะเกิดการฆ่าโต๊ะครูมะเต็ฮโดยชาวพุทธ และทำให้หะยีดอแมซึ่งเป็นเจ้าของปอเนาะต้องหนีออกไปต่างประเทศ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผู้ก่อการร้ายอย่างเซ็ง ท่าน้ำ ออกปฏิบัติการเพื่อล้างแค้น เหตุการณ์นี้สงบลงได้เพราะใช้คนกลางที่เป็นเพื่อนของฝ่ายชาวพุทธและชาวมุสลิมช่วยประนีประนอมให้

(คัดตัดตอนและปรุงใหม่จากหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย รัตติยา สาและ พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๔๔ (โครงการย่อยภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งมีศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.))

และแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็เกิดเรื่องใหญ่ซึ่งนำไปสู่การประท้วงใหญ่ที่ปัตตานีในเดือนธันวาคม ๒๕๑๘
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #21 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:52:40 PM »


ผลลบของเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวบ้านเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งอาจเกิดจากการปราบปรามของเจ้าหน้าที่  ชาวบ้านหลายรายต้องเป็นเหยื่อรองรับกระสุนแทนผู้ร้ายเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะกัน การซื้อหาข้าวปลาอาหารก็ต้องถูกจำกัดปริมาณ เพราะชาวบ้านถูกระแวงว่าจะเอาไปเลี้ยงโจร หรือไม่ก็คอมมิวนิสต์ ฝ่ายหลังก็ระแวงว่าจะเป็นสายให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ ชาวบ้านเลยตกที่นั่งลำบาก

ชาวบ้านที่ไปทำสวนในอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส หลายคนต้องหนีกลับมาอยู่ในหมู่บ้านเดิมเพราะกลัวจะถูกคนของกลุ่มโจร บี.อาร์.เอ็น. ฆ่า ฐานไม่ยอมเสียค่าคุ้มครอง ชาวบ้านบอกว่าในเขตป่าศรีสาคร ฝ่ายพูโลกำหนดให้จ่ายค่าคุ้มครองหักเป็นราคายางเดือนละ ๑ วัน แต่ถ้าเป็นฝ่าย บี.อาร์.เอ็น. ก็จะเรียกเก็บสัปดาห์ละ ๑ วัน

ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ได้เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริงที่หลายคนในพื้นที่ที่เกิดเหตุมิอาจจะปฏิเสธได้ หลายชีวิตต้องประสบกับเหตุการณ์นั้นโดยตรงยังมีชีวิตอยู่และสามารถลำดับเรื่องให้ฟังได้เป็นฉาก ๆ แค่อีกหลายชีวิตได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทายาทของคนกลุ่มหลังนี้มีหลายคนไม่ค่อยกล้าปริปากพูดถึงเหตุการณ์ร้ายซึ่งคนในครอบครัวของตนถูกกระทำ และมักจะบอกปัดเมื่อมีคนถามว่า “อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย มันน่ากลัว น่าโกรธและแค้นมาก” คำพูดทำนองนี้เหมือนยืนยันให้รับรู้ว่า “พวกเขามีความรู้สึกเก็บกด”

ความรู้สึกอย่างนี้มีส่วนสำคัญมากในอันที่จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันจิตวิญญาณของพวกเขาบางคนให้มีความกล้าพอที่จะให้ความร่วมมือกับกลุ่มบุคคลในบางขบวนการซึ่งมีอุดมการณ์เชิงลบต่อฝ่ายตรงกันข้ามหรือกลไกของรัฐ

ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่พวกเขามีโอกาสจะตอบโต้ได้ ก็จะลงมือปฏิบัติการทันที ทั้ง ๆ ที่เมื่อถามว่า : “พวกเปาะจิ (คุณน้า, อา) มีความมั่นใจแค่ไหนว่าวิธีการต่อสู้ของขบวนการเปาะจิจะประสบความสำเร็จ”
เปาะจิ ตอบว่า : “ถึงไม่มีความหวังมากมายนัก ขอให้ได้แสดงให้พวกเขารู้จักเราบ้างก็ดีกว่าปล่อยให้ฝ่ายเขาทำร้ายจิตใจเราอยู่แต่ฝ่ายเดียว”

เมื่อถามชาวบ้านว่ามีทัศนคติต่อการปราบปรามโจรของฝ่ายเจ้าหน้าที่อย่างไรบ้าง ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นการกระทำที่ดี แต่ขอร้องว่าให้เป็นการกระทำกับโจรหรือผู้ร้ายตัวจริงเท่านั้น อย่าได้ทำร้ายและลงโทษผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย ส่วนที่ไม่สามารถให้ความร่วมมืออย่างจริงจังได้ก็เพราะ

“ไม่แน่ใจนักว่าใครเป็นใคร เพราะตำรวจบางคนก็เป็นเพื่อนกับโจร ชาวบ้านบางคนก็ไว้ใจกันไม่ได้ เพราะบางคนชอบที่จะได้คบค้าสนิทสนมกับคนมียศ มีสี ก็พยายามสร้างภาพให้เป็นที่ไว้วางใจของเจ้าหน้าที่บางคน และฉวยโอกาสปราบศัตรูส่วนตัวของตนโดยยืมมือเจ้าหน้าที่ บางทีก็ไม่ทราบว่าจะไปพึ่งใครดี” (เปาะลงมะ นราธิวาส)
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #22 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 06:54:39 PM »

ความมีอคติระหว่างประชาชนชาวมุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีต่อข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนจะผูกใจเจ็บมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็วัดได้จากปรากฏการณ์การใช้คำ “โต๊ะนา” หรือ “เป็นนาย” ในสังคมดังกล่าว

คำว่า “โต๊ะนา” นอกจากมีนัยของความเป็น “คนพุทธ” ก็ยังใช้เป็น “คำสรรพนามบุรุษที่สามเมื่อต้องการอ้างถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐในบริบทเชิงลบ” กล่าวคือ สำหรับมุสลิมบางกลุ่มนั้น “นาย” ถูกจำกัดความหมายเฉพาะความเป็นข้าราชการตำรวจและทหาร ซึ่งให้ภาพลักษณ์ลบที่มีแต่จะบั่นทอนจิตใจของผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากกว่าที่จะสร้างสรรค์

สืบเนื่องจากทัศนะทำนองดังกล่าว จึงทำให้มุสลิม ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้รุ่นก่อน ๆ คือประมาณ ๔๐ ปีก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยส่งเสริมให้ลูกหลานรับราชการเป็นตำรวจหรือทหาร เมื่อขอทราบเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่า

“ผมมีเพื่อนหลายประเภท เราคนทำมาหากินเลี้ยงชีพ และหาประโยชน์จากป่า ใครผ่านมาก็จ้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วยดี จะมัวแบ่งแยกว่าเป็นโจรหรือเป็นนาย เหมือนคนในตลาดเขาไม่ได้หรอก ถ้าลูกหลานของผมเป็นตำรวจ เป็นทหาร อย่างนั้นใครที่ไหนเขาจะกล้าคบกับผม เพราะว่าเขาต้องไม่กล้าไว้ใจผมแน่นอน...เป็นนายอย่างมุสลิมแบบเรา ๆ นี้จะไปได้สักกี่น้ำนัก...เสียมากกว่าได้...ดีไม่ดีก็ไปติดเหล้าเสียอีก....เรื่องละหมาด เรื่องการถือศีลอด คงต้องไกลห่างไปเรื่อย ๆ กระมัง ต่อไปก็คงไม่ต่างไปจากพวกโต๊ะนา ผมไม่เอาด้วยหรอก” (นายมะแซ)

คำพูดอย่างนี้นอกจากผู้พูดจะบอกว่าไม่ชอบความเป็นตำรวจและทหาร ก็ยังได้ยืนยันนัยของ “โต๊ะนา” อีกว่าเป็นบุคคลที่เขาไม่ประสงค์จะเป็น

(คัดตัดตอนและปรุงใหม่จากหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดย รัตติยา สาและ พิมพ์ครั้งแรก, ๒๕๔๔ (โครงการย่อยภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ซึ่งมีศาสตราจารย์สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.))
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #23 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 07:00:28 PM »

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นปูมหลังของประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ ตลอดจนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริเวณที่เป็น ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน เพื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาว่ามีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร

ศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล (Department of History, University of Wisconsin-Madison) ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าคิดว่า “การศึกษาประวัติศาสตร์ปัตตานีในภาษาไทยจนถึงปัจจุบันมีไม่มากนัก แทบทั้งหมดอยู่ในกรอบของตรรกะทางภูมิศาสตร์ดังกล่าวมา....ส่วนด้านที่ไม่เข้ากรอบ ไม่ลงรอยกับประวัติศาสตร์แห่งชาติก็หลีกเลี่ยงหรือมองข้ามไปเสีย ภาพพจน์รวบยอด (trope) ของปัตตานีในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย คือ แขก-ประเทศราช-ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายภายใน-และชอบเป็นขบถ”

อีกตอนหนึ่งว่า “เรื่องราวภายในกรอบดังกล่าวถือว่าปัตตานีเป็นของสยามมาแต่ไหนแต่ไร การต่อสู้ให้พ้นอำนาจสยามจึงเป็น “ขบถ” อันไม่สมควรกระทำ และความสำเร็จของสยามในการกำราบปราบปรามจึงเป็นสิ่งที่น่ายินดี....”

“....เราเรียกปัตตานีว่าเป็น “แขก” จนคุ้นหูคุ้นปากทั้งในเอกสารชั้นต้นและในงานเขียนสมัยปัจจุบัน มิได้ตระหนักว่าเป็นคำดูแคลน “ผู้อื่น” จากมุมมองของผู้ที่คิดว่าตนเหนือกว่า (ไม่ว่าจะเป็นไทย สยาม หรือจีน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชนชั้นปกครอง “เจ๊ก” กับ “แขก” คือคำประเภทเดียวกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นอื่นที่ต่ำต้อยกว่า

ประวัติศาสตร์ปัตตานีที่เป็น “แขก” จึงเป็นประวัติศาสตร์ฉบับดูแคลนตั้งแต่ต้น”
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #24 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 07:03:32 PM »

อาจารย์ธงชัยทิ้งท้ายว่า “วิชาประวัติศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ทำให้ประชาชนงมงาย ไม่ต้องคิด และทำให้ใจแคบต่อความแตกต่าง ไม่รู้จักจัดการความขัดแย้ง เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชากรให้รู้จักคิดและมีพลังทางปัญญาเพื่อเผชิญความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของโลก”

(คัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน “ศรีวิชัย” บทนำเกียรติยศ โดยอ้างจากเอกสารวิชาการ “เรื่องราวจากชายแดน สิ่งแปลกปลอมต่อตรรกะทางภูมิศาสตร์ของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย” (Stories from the Borders : The Anomalies in the Geographical Logic of Thai National History) โดย ธงชัย วินิจจะกูล (Department of History University of Wisconsin-Madison) เสนอต่อการประชุมนานาชาติเกี่ยวกับภาคใต้เรื่อง “ประสบการณ์ถิ่นไทยทักษิณ : การปริวรรตทางสังคมในทัศนะประชาชน” ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ๑๓-๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๕ แล้วพิมพ์ซ้ำใน ศิลปวัฒนธรรม (ฉบับที่ ๑๒ ปีที่ ๒๓) เดือนตุลาคม ๒๕๔๕)
เช่นเดียวกับ “สุจิตต์ วงษ์เทศ” ได้ให้ความเห็นว่า “ประวัติศาสตร์ส่งผลให้ “วิถีคิด” กับ “วิธีคิด” ของรัฐบาลปฏิบัติต่อราษฎรสามจังหวัดภาคใต้เหมือนไม่ใช่ “คน” แต่เป็น “แขก” ที่หมายถึง “คนอื่น คนแปลกหน้า คนต่างชาติที่มาอาศัย”

แต่หลักฐานไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะในบริเวณนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ก่อนยุคสุโขทัยนานมาก คือเป็นบ้านเมืองใหญ่ระดับรัฐที่มีการค้าทางทะเลกับดินแดนห่างไกลมาตั้งแต่ราว พ.ศ. ๑๐๐๐ ก่อนสมัยสุโขทัยราว ๘๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย

ที่สำคัญคือเป็นรัฐที่นับถือศาสนาฮินดู-พุทธ และเป็น “รัฐอิสระ” เกี่ยวข้องกับ “ศรีวิชัย” หรืออาจเป็น “ศรีวิชัย” ตัวจริงที่ประวัติศาสตร์ไทยไม่รู้จักแท้จริง....

หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีที่แท้จริงมีอย่างนี้ ยืนยันว่าคนสามจังหวัดภาคใต้และบริเวณต่อเนื่องที่นับถืออิสลามล้วนไม่ใช่ “แขก” แปลกหน้ามาอาศัยแผ่นดินนี้อยู่ แต่พวกเขาคือ “คน” มีรากเหง้าเป็นเจ้าของดั้งเดิมแท้จริงยิ่งกว่าคน “รัฐสุโขทัย” ที่ “ประวัติศาสตร์ไทย” บอกเองว่าอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต-น่านเจ้า คือ “ไม่ใช่คนดั้งเดิมของที่นี่”

(สยามประเทศไทย มติชนฉบับวันอังคารที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗)
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี มีใบบอกแจกจ่ายให้เข้าร่วมเวที “เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ” เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๔๗ บางตอนมีว่า

“ปัญหาวิกฤตชายแดนใต้มีรากเหง้ามาจากความขัดแย้งระหว่างระบบราชการรวมศูนย์กับวัฒนธรรมท้องถิ่นซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า ๑๐๐ ปี

ความไม่เข้าใจและมายาคติระหว่างกันของเจ้าหน้าที่รัฐโดยทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธกับประชาชนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นที่เป็นมุสลิม มีส่วนขยายปัญหาความขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เกิดความรุนแรง

กลุ่มบุคคลและกองกำลังแห่งมิจฉาทิฏฐิในพื้นที่ (กาฟีร์) ได้ฉวยโอกาสจากปัญหารากเหง้าที่มิได้รับการแก้ไขและช่องว่างความไม่เข้าใจของสาธารณะและสังคมภายนอก ก่อสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองและผลประโยชน์ที่คับแคบเฉพาะคน เฉพาะกลุ่มเป็นระยะ ๆ ตลอดมา

ผลของความรุนแรงจากกลุ่มผู้ก่อสถานการณ์และจากมาตรการการปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนความไม่เข้าใจและทัศนคติแบบตะวันตกของสื่อมวลชน ได้ซ้ำเติมความเดือดร้อนทับถมความทุกข์ยากแก่ชุมชนท้องถิ่น และพี่น้องมุสลิมให้ตกอยู่ในฐานะจำเลยของสังคมหนักขึ้นทุกที

วิกฤตชายแดนใต้ครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความแตกร้าวทางสังคมอย่างรุนแรงภายในท้องถิ่น ชาวบ้านตกอยู่ในความหวาดผวา กลัวทั้งโจร กลัวทั้งทหาร-ตำรวจ กลัวการถูกจับอุ้ม-ฆ่า จากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด ประชาชนและภาครัฐหมดความศรัทธาเชื่อมั่นต่อกัน ไม่สามารถพึ่งพิงกันได้แล้ว ระหว่างประชาชนด้วยกันเองก็อยู่ในภาวะที่หวาดระแวงกันไปหมด เพราะไม่รู้ว่าจะถูกฆ่า ถูกทำร้าย เป็นเป้าหมายรายวันของกลุ่มใด”

(ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศ วะสี ใบบอกเรื่องการรวมตัวเป็น “เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ” ของกลุ่มราษฎรอาวุโสกับองค์กรเอกชน เพื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแนวทางสันติวิธี และใช้ “กระบวนการทางปัญญาเพื่อแก้ปัญหาชายแดนใต้อย่างยั่งยืน”)
ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของ ศาสตราจารย์ พลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เคยพูดไว้ดังนี้

“การแก้ปัญหา ๓ จังหวัดภาคใต้ คิดอย่างไรก็ไม่ออก เพราะเราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ตัวที่เป็นปัญหาก็คือ การหลอกว่าตัวเขาเองเป็นคนไทย....

อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย...ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขา รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้ แต่ไม่ใช่ให้สิทธิเหนือคนที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดนี้...ที่เราดำเนินงานผ่านมาเริ่มต้นก็ผิดแล้ว คือบอกว่า “แขกเป็นไทย” การให้เขาพูดภาษาไทยจึงยากมาก.....”

(คำปราศรัยของ ฯพณฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งรับฟังการบรรยายสรุปของจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๙ หลังจากเกิดเหตุการณ์การประท้วงที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งยืดเยื้อเป็นแรมเดือนตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๘ – ปลายเดือนมกราคม ๒๕๑๙ ซึ่งอาจารย์รัตติยา สาและ แห่งมหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา คัดข้อความนี้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือ การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกฯ (สกว. พิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔))

ข้อความและรูปถ่ายส่วนมากคัดจากหนังสือ รัฐปัตตานี ใน “ศรีวิชัย” ของสำนักพิมพ์มติชน โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นบรรณาธิการ
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #25 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 07:06:09 PM »

ยาวเหยียด......คร่าวๆแค่นี้ครับ......

ตัดต่อบ้างพอสมควร....ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต.....คงพอจะบอกรากเหง้าของปัญหาได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ...........
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
~ Sitthipong - รักในหลวง ~
"วาจาย่อมมีน้ำหนัก หากหนุนด้วยสรรพอาวุธ"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2953
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23210



« ตอบ #26 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 08:16:41 PM »



+๑  ครับ  กว่าจะอ่านจบนานเลยครับ  แต่ได้ความรู้เยอะเลยครับ   หลงรัก ไหว้

เมื่อก่อนได้อ่านหนังสือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฏ...หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ ก็พอได้ความรู้มาบ้าง   Grin
บันทึกการเข้า



...ไม่มีใครทำขาวให้เป็นดำ  หรือทำผิดให้เป็นถูกได้ตลอด...
ชัยบึงกาฬ รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1991
ออฟไลน์

กระทู้: 8962


ต้องรู้ให้ถึงแก่น...


« ตอบ #27 เมื่อ: มกราคม 04, 2011, 09:26:09 PM »

 ไหว้ เยี่ยม Grin
บันทึกการเข้า
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #28 เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 12:08:51 AM »

ลืมบอกไปว่า.....กระทู้นี้ให้กับครบรอบ7ปีที่มีการปล้นปืนจากกองพันฯครับ....
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #29 เมื่อ: มกราคม 05, 2011, 09:58:33 AM »



+๑  ครับ  กว่าจะอ่านจบนานเลยครับ  แต่ได้ความรู้เยอะเลยครับ   หลงรัก ไหว้

เมื่อก่อนได้อ่านหนังสือ หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฏ...หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้ ก็พอได้ความรู้มาบ้าง   Grin
หะยีสุหรง บิน อับดุลกาเคร์ มูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ หรือ "หะยีสุหรง โต๊ะมีนา" บิดาของ นาย เด่น โต๊ะมีนา นักการเมือง ชาวปัตตานี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ

กระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สมาชิกวุฒิสภา จังหวัดปัตตานี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

หลายสมัย

บันทึกการเข้า

หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.133 วินาที กับ 21 คำสั่ง