ชาร์ตแล้วครับมันเริ่มตั้งแต่รอบเดินเบาแล้วสำหรับรถรุ่นใหม่ๆแบบไดชาร์ตที่เป็นไดกระแสAC.แล้วมีชุดแปลงไฟเป็นDC.แบบปัจจุบัน ส่วนรุ่นเก่าๆไดDC.เดิมๆเช่นจิ๊ปหรือโฟล์คบริษัทรถยนต์เลิกทำกันมานานแล้ว(แบบนี้ต้องรอบสูงนิด)เพราะจุดอ่อนมีมากหลาย.จึงมั่นใจใด้ว่าแบตใด้รับการประจุตั้งแต่รอบเดินเบา600-800RPM.แล้ว ส่วนแบตจะเต็มตอนไหนก็แล้วแต่ว่ามีไฟเหลือมากน้อยเท่าใหร่ครับ.

ถ้าอยากรู้ว่าแบตใด้รับการชาร์ตมากหรือน้อยง่ายๆก็คือหาคลิปมิเตอร์แบบDC.มาคล้องที่สายไฟด้าน+ก็ทราบใด้ทันทีว่ากี่แอมแปร์มากน้อยเร่งเครื่องจะมีการเปลี่ยนแปลง หรือเอาโวลท์มิเตอร์ตั้งDC.แล้ววัดที่ขั้วแบตระดับแรงดันจะเพิ่มขึ้นมากกว่าแบตตั้งแต่รอบเดินเบาทันที.จะมากน้อยก็ตามรอบเครื่องยนต์แต่ไม่ควรเกินสูงสุดประมาณ 13.8 V.มิฉะนั้นแบตพังน้ำกลั่นเดือด.

ปล.ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าๆแต่เป็นไดAC.แล้วมีวิธีตรวจเช็คว่าไฟชาร์ทหรือไม่แบบง่ายๆคือเอาแบตออกขณะที่ติดเครื่องยนต์แล้ว(ห้ามเร่งครื่องเด็ดขาดไดชาร์ทพัง)เครื่องยนต์ต้องยังเดินเครื่องใด้ไม่ดับ วิธีนี้ห้ามทำกับรถยนต์รุ่นใหม่แบบหัวฉีดเด็ดขาดพังแน่ๆระบบชาร์ทไฟ-กล่องECU.
