"ค่าเสียโอกาส" และ "คนต้นทุนต่ำ"
วรากรณ์ สามโกเศศ มติชนรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553
ท่ามกลางความเครียดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองของเราในไม่กี่วันข้างหน้า วันนี้ขอเสนอเรื่องเบาๆ อธิบายเรื่องรอบตัวเพื่อยืนยันว่า คนไทยจะผ่านช่วงเวลาน่ากังวลนี้ไปได้อย่างแน่นอน เพราะถ้ามันน่ากังวลมากจริง เราคงไม่มาเขียนหรืออ่านเรื่องเบาๆ เช่นนี้กันเป็นแน่
ผมเคยเห็นกลไกตลาดทำงานอย่างน่าอัศจรรย์ใจที่สนามหลวงเมื่อ 2 ปีก่อนยามเมื่อมีการแจกพระเครื่อง วันนั้นผมมีธุระเดินผ่านไปจึงหยุดดูด้วยความสนใจ ผู้คนนับพันเข้าแถวยาวเพื่อรับพระ เมื่อแต่ละคนรับเสร็จก็จะถูกเอาตรายางประทับที่ข้อมือ เพื่อแสดงว่าได้รับไปแล้ว เนื่องจากกติกามีว่าให้รับได้คนละหนึ่งครั้ง
อย่างไรก็ดี กฎข้อนี้สู้กลไกตลาดไม่ได้ ผมเห็นมีคนหนึ่งเอาขันมีน้ำสบู่ยืนขายบริการครั้งละ 10 บาท เพื่อล้างหมึกที่ถูกประทับที่ข้อมือ เพื่อวนเข้าไปรับใหม่อีกครั้ง
ผมยืนดูอยู่ไม่นานก็เห็นมีการขายบริการแบบเดียวกันหลายคน เดาว่าหากมีหลายคน และผู้ให้แลกไม่เข้มงวดตรวจสอบตรายางอีก ไม่นานราคาตลาดคงลงเป็น 5 บาทแน่นอน เนื่องจากการแข่งขัน และใช้ความรู้จากเศรษฐศาสตร์พยากรณ์ว่า ในเวลาต่อมาคนเข้าคิวพวกนี้ จะเอาพระมาให้เช่า (ขาย) แต่จะด้วยราคาเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับขนาดดีมานด์ของคนมาซื้อ และจำนวนพระที่มีคนเอามาขาย
คนเข้าคิวพวกนี้ จะมีฐานะไม่ดีเพราะการยอมเสียเวลานาน เพื่อเข้าคิวยาว และเอาพระมาขายต่อ แสดงว่าคนเหล่านี้ม่สามารถเอาเวลาที่เข้าคิวเช่นนี้ ไปทำอย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแน่นอน
พูดอีกอย่างก็คือ พวกเข้าคิวเหล่านี้ มีค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ต่ำ ซึ่งค่าเสียโอกาสหมายถึงว่า เมื่อเลือกกระทำสิ่งหนึ่ง ก็ไม่สามารถกระทำอีกอย่างหนึ่งได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้น ต้นทุนของการกระทำสิ่งที่เลือกนั้น จึงมีค่าเท่ากับผลประโยชน์ที่ต้องเสียไป จากการไม่ได้ทำอีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าชายผู้เข้าแถวรับพระแจก ถ้าวันนั้นเขาสามารถไปทำงานขายของได้ค่าจ้าง 500 บาท การเอาเวลาวันนั้นมาเข้าคิว เขาก็มีค่าเสียโอกาสเกิดขึ้นเท่ากับ 500 บาท
พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ค่าเสียโอกาสของการเข้าคิวรับพระแจกสำหรับเขามีค่าเท่ากับ 500 บาท ถ้าเขาเป็นคนมีเหตุมีผลทางเศรษฐศาสตร์ เขาจะมาเข้าคิว เพื่อเอาไปขายต่อเพื่อให้ได้เงินก็ต่อเมื่อ เขาได้รับผลตอบแทนสูงกว่าค่าเสียโอกาสคือ 500 บาท ข้อเท็จจริงที่เขามาเข้าคิว และการเดาว่าผลตอบแทนรวม ไม่น่าสูงกว่า 200-300 บาท จึงแสดงว่า ค่าเสียโอกาสของเขาคงจะไม่สูงกว่า 200-300 บาทเป็นแน่
อย่างไรก็ดี ถ้าเขาปรารถนาอยากได้พระมากๆ และไม่มีคนเอาพระมาขายต่อให้เขาในเวลาต่อมา บทวิเคราะห์ข้างบนอาจแตกต่างไป แต่หลักการวิเคราะห์ก็เหมือนเดิม
บุคคลผู้มาเข้าคิว เพื่อรับพระอย่างจริงใจก็ต้องประเมินแล้วว่า พระที่ได้รับคุ้มค่ากับค่าเสียโอกาสของเขาในวันนั้น ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำก็ตาม แต่ถ้าค่าเสียโอกาสของเขาสูง (เวลามีค่ายิ่ง ไม่ประสงค์จะทนความร้อน ไม่อยากเข้าแถว) เขาก็ต้องหาหรือจ้างคนอื่นมาเข้าคิวแทน
ในโลกความเป็นจริงที่ค่าเสียโอกาสของทุกคนไม่เท่ากัน พระเหล่านี้จึงมีให้เช่าเสมอ เพราะจะมี "คนที่มีค่าเสียโอกาสต่ำ" ไปเข้าคิวเพื่อเอามาขายต่อ (ถ้าไม่เชื่อลองไปดูหน้าวัดบวรนิเวศฯ ในตอนเย็นของวันประสูติพระสังฆราชที่มีการแจกพระก็ได้)
เมื่อพูดถึง "คนที่มีค่าเสียโอกาสต่ำ" ก็ชวนให้นึกถึงคำพูดเรื่อง "นักการเมืองต้นทุนต่ำ" หรือ "คนที่มีต้นทุนต่ำ" แท้จริงแล้วมิได้มีความหมายแตกต่างกันเลย "ทุน" ที่สื่อบ้านเราพูดถึงในความหมายนี้ก็คือ "ค่าเสียโอกาส" นั่นเอง
นักการเมืองคนหนึ่งมี "ต้นทุนต่ำ" ก็หมายความว่าปกติก็ไม่ใช่คนซึ่งมีสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า ทุนทางการเมือง (political capital ซึ่งสื่อถึงความน่าเชื่อถือ ชื่อเสียง ความไว้วางใจ ความรู้ความสามารถ ฯลฯ ที่สาธารณชนโดยทั่วไป มีให้คนคนนั้นในเชิงการเมือง) สูง
กล่าวคือ ถ้าลงมือกระทำอะไรทางการเมืองที่สำคัญ (ลงสมัครรับเลือกตั้ง อาสารับตำแหน่ง รวมทั้งป่วนเมืองด้วย) แล้วเกิดความสูญเสีย หรือผิดหวังขึ้น ก็จะไม่กระทบกับเขามากนัก เพราะปกติก็มีค่าเสียโอกาสต่ำอยู่แล้ว
ผมเข้าใจว่า "ค่าเสียโอกาส" กับ "ทุน" ในภาษาตลาด (ทุนในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สิ่งที่ถูกใช้เพื่อช่วยเกิดการผลิตมากยิ่งขึ้น) คือสิ่งเดียวกัน การที่บุคคลคนนี้ไม่มี "ค่าเสียโอกาส" หรือ "ทุน" สูงก็มีความหมายเดียวกับคนที่ไปเข้าคิวรับพระเพื่อไปขายต่อนั้นแหละ
กล่าวคือ ทางเลือกของเขาไม่มีค่าสูง
ตรงกันข้ามนักการเมือง หรือผู้ที่สังคมศรัทธานับถือบางคนมี "ต้นทุนสูง" ก็แสดงว่าทางเลือกมีค่าสูง ดังนั้น การกระทำใดหากไม่เกิดผลเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้มาก
ถ้าบ้านเราสร้างระบบการทำงาน และตรวจสอบตลอดจะสร้างความตะหนัก และการมีบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมืองได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จนทำให้นักการเมือง และข้าราชการของเราล้วนแต่มี "ต้นทุนสูง" แล้วปัญหาบ้านเมืองของเรา ก็จะลดลงไปเป็นอันมาก
ปัญหาปวดหัวก็คือพวก "ต้นทุนต่ำ" ที่สังคมไม่เชื่อถือ และขาดความไว้วางใจนี้แหละ เพราะมีทางโน้มที่พวกนี้จะเป็น "บุรุษคามิกาเซ่" ก่อปัญหาให้บ้านเมือง เพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
ที่มา :
http://goo.gl/9KA5U 