|
หัวข้อ: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 12:58:38 PM ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ
สำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดย พันเอกโสภณ ศิริงาม ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช "...วิธีการป้องกันประเทศ อันเป็นหน้าที่สำคัญของทหารเปลี่ยนแปลงไป เพื่อที่จะให้ประเทศอยู่รอดได้ ตามหลักเดิมก็พูดถึงว่า ทหารจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อป้องกัน เป็นรั้วของชาติ แต่รั้วของชาติ แม้แต่ในสมัยก่อนๆ นี้ ก็เป็นเช่นนั้น แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มาสมัยนี้ก็เห็นรั้วของชาติ ไม่ได้อยู่ที่ตามรั้ว ตามชายแดนเท่านั้นเอง มันอยู่ทั่ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายกำลังทางพื้นดินเท่านั้นเอง ต้องมีการยกขึ้นไปบนฟ้า ข้ามแดนทางฟ้าทางอากาศ แล้วก็ยังมีการขุดมุดใต้ดิน โผล่มาจากที่ไหน ก็ไม่ทราบอย่างนี้ ก็มีทั้งผู้ที่เข้ามาผ่านประตูรั้ว ไม่ใช่ในภูเขาเท่านั้นเอง แต่มาตามทางที่เข้า สะดวก ฉะนั้น การป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากอันตรายจึงเพิ่มขึ้น และนอกจากมาทางฟ้าก็ตาม ทางพื้นดินก็ตาม ใต้ดินก็ตาม หรือทางทะเล ก็ยังมาทางอื่นคล้ายๆ ปาฏิหาริย์ โผล่ขึ้นมาเฉยๆ เหมือนว่าเข้ามาถูกต้อง ตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถที่จะป้องกัน คือเข้ามาทางสมอง ทางความคิด อาจไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลเท่าไร แต่ว่าในความคิดที่อาจเรียกว่าเป็นผีร้าย มันเข้ามาในสมอง ของคนแต่ละคน ทั้งทหารทั้งคนอื่นๆ ได้ ยุคนี้ที่เป็นผี ผีที่เป็นพิษนี้เข้ามาโดยอาศัยจิตใจของทุกคน จิตใจนี้อาจชอบฟังคำเยินยอก็ตาม จิตใจนี้อาจชอบยืนสบายก็ตาม ก็ อาจเป็นช่องดังกล่าวที่เห็นยาก และอันตรายที่สุด..." พระราชทานเป็นการเฉพาะแก่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์ และนายทหารนักเรียน โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ ๕๗ ในโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาบุหลัน ทักษิณราชนิเวศน์ วันอังคารที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ กล่าวนำ ตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ๓๖ กลยุทธ์ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ ในทุกสมรภูมิ เป็นตำราพิชัยสงครามที่มีการใช้แพร่หลายในประเทศจีนโบราณหลายพันปีมาแล้ว ต้นฉบับ ที่มีการรวบรวมเป็นครั้งแรกเท่าที่พบเป็นภาษาจีน แล้วได้มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ อีกมากมายรวมทั้ง เป็นภาษาไทยด้วย หนังสือเล่มแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับตำราเล่มนี้คือหนังสือที่แปลโดย บุญศักดิ์ แสงระวี ที่รวมเล่มเป็นภาษาไทยเมื่อปี ๒๕๒๙ หลังจากนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปศึกษา หลักสูตรป้องกันประเทศ ณ มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี ๒๕๔๕ ๒๕๔๖ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า ตำราพิชัยสงครามฉบับนี้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง ในประเทศจีน ทั้งพลเรือนและทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ ( NDU ) ของจีน ได้มีการศึกษาตำราพิชัยสงครามฉบับนี้กันอย่างกว้างขวาง เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปดูหนังสือในตลาดหนังสือ ในกรุงปักกิ่งก็ได้พบว่ามีการเขียนหนังสือโดยการนำเอาตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์นี้มาใช้เขียน ในแง่มุมต่าง ๆ กันอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นภาษาจีน และภาษาอังกฤษ แสดงให้เห็นว่า ทั้งชาวจีน และชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจหลักการและเนื้อหาในตำราพิชัยสงครามเล่มนี้กันเป็นอันมาก เมื่อข้าพเจ้าได้ไปสืบค้นดูชื่อหนังสือในอินเตอร์เน็ตก็พบหนังสือ ๓๖ กลยุทธ์นี้เป็นภาษาอังกฤษ ที่มีผู้เขียนขึ้นมาอีกมากมายซึ่งได้นำหลักการในตำราพิชัยสงครามเล่มนี้ไปใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ ด้านการต่อสู้กันอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามฉบับนี้ที่ได้นำเอา หลักการในตำราพิชัยสงครามไปใช้ในการอธิบายพฤติกรรมของสัตว์ที่ใช้ในการต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ของตน ได้อย่างสอดคล้องและเมื่อมาศึกษาตำราพิชัยสงครามโบราณของไทยก็ได้มีหลายกลยุทธ์ที่บรรพบุรุษ นักรบของไทย เมื่อครั้งอดีตได้นำกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีความสอดคล้องกับตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ ของจีนอย่างพิสดาร และจากการพิสูจน์ถึงความมีมนตร์ขลังอย่างเป็นอมตะของหลักการในตำรา พิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ที่คงทนต่อการพิสูจน์มาหลายพันปี เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นักยุทธศาสตร์ และนักการทหารของประเทศมหาอำนาจยิ่งได้ทุ่มเทเวลาในการศึกษาตำราพิชัยสงครามนี้อย่างแตกฉาน ลึกซึ้งจนสามารถที่จะนำหลักการมาใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโลกที่มีการเปลี่ยนไปอย่างมีความ คล้องจองทำให้ประเทศมหาอำนาจยังคงเป็นมหาอำนาจอยู่ได้เพราะมีการดัดแปลงพลิกแพลงหลักการใน ตำราพิชัยสงครามเก่า มาใช้ในสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างเหมาะสมแก่กาลและเทศะ ประเทศไทยเป็น ประเทศเล็กและกำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของมหาอำนาจที่ช่วงชิงไหวพริบกันในการแย่งชิงผลประโยชน์ อย่างเข้มข้น การที่นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ของประเทศจะสามารถกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ในการต่อสู้เพื่อนำพาประเทศชาติให้อยู่รอด ได้อย่างมั่งคั่งในสภาวการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องยาก แต่ผู้เขียนเอง มีความเห็นว่าก็ไม่เป็นเรื่องที่พ้นวิสัยของผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาติดตามสถานการณ์ที่เป็นจริงของโลกอยู่ตลอดเวลา เป็นที่น่าเสียดายว่า นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยบางคนที่ถือว่าตนเองเก่งกาจสามารถ แต่ไม่ได้ศึกษา สถานการณ์ให้ถ่องแท้ กับทั้งนำตนเองไปเข้าข้างประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างมีใจอคติตั้งแต่ต้น ทำให้เกิด การครอบงำความคิดและภูมิปัญญาจากประเทศที่ตนเองเลื่อมใสตั้งแต่ต้น เลยไม่สามารถที่จะมองเห็น ความเป็นไปในแง่อื่น แล้วในที่สุดก็ได้นำประเทศชาติไปอยู่ ภายใต้การครอบงำของประเทศมหาอำนาจ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การป้องกันประเทศที่จริงแล้วเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะพึงตระหนักและมีส่วนร่วม ในการดำเนินการ ในอดีตที่ผ่านมาเราได้ผนึกกำลังกันร่วมกันต่อสู้กับภัยคุกคามของประเทศชาติมานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งผู้ที่มีส่วนร่วมในการป้องกันประเทศชาติก็ได้พิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าไม่ใช้เพียงแค่องค์กรทหารแต่ฝ่ายเดียว จะต้องรวมถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วย หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่เหมาะสมกับคนไทยทุกคนที่จะอ่าน อย่างพินิจพิเคราะห์แล้วจะได้แนวทางที่จะนำไปสู่การป้องกันประเทศชาติให้พ้นจากภัยคุกคามได้ ยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่มีความกว้างขวางและรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ความรวดเร็วและกว้างขวางของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกระทบกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์บนพื้นโลกอีกมากมาย การขนส่งที่มีความรวดเร็วมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ขนส่งสินค้าได้ครั้งละมาก ๆและมีความรวดเร็วมากกว่าเดิม รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีความรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การลงทุนด้านธุรกิจจากซีกโลกหนึ่ง สู่อีกซีกโลกหนึ่ง อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งความมั่งคั่งจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในโลกแห่งโลกาภิวัฒน์จึงเป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงถ้าจะพูดว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก็ไม่น่าที่จะผิดดังนั้นเมื่อสภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไปสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงของโลกก็ย่อมเปลี่ยนไป การกำหนดวิธีการในการป้องประเทศก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่างน้อยที่สุด ประชาชนชาวไทยทุกคน ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันประเทศชาติเป็นส่วนรวมนั้นต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมิติของความมั่นคงของชาติที่เกิดขึ้นย่อมมีความเกี่ยวข้องสืบเนื่อง กันและกันทั่วโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ ย่อมเกี่ยวพันธ์กับอีกซึกโลกหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ศึกษามิติของความมั่นคงต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเสมือน หนึ่งสงครามที่มีการต่อสู้ แข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นการต่อสู้แข่งขันกันเมื่อเป็นไปในแนวทางเดียวกับสงคราม ก็เป็นธรรมดาอยู่ดีที่ต้องใช้เล่เหลี่ยมแต้มคูของตำราพิชัยสงคราม ซุน วู เคยกล่าวไว้ว่า ....การศึกสงครามทั้งสิ้นอยู่บนพื้นฐานของการลวง.... ผู้เขียนได้ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงเรื่องราว เหตุการณ์ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่หลายคนมองข้ามมาอธิบายตามแนวทางหลักการของตำราพิชัยสงครามที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ ที่เป็นหลักของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีความมุ่งหมายประการหนึ่งว่า ถ้าแม้นนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ของไทยผู้รักชาติและมั่นคงในผลประโยชน์แห่งชาติของไทยได้ศึกษา ตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์เล่มนี้อย่างมีใจเป็นกลางให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งหลักการและตัวอย่างที่ ผู้เขียนได้ศึกษาและวิเคราะห์มาพร้อมมีหลักฐานประกอบทุกกรณีแล้ว ย่อมจะนำมาซึ่งปัญญาการรู้เท่าทันเล่ห์เลี่ยม ของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย และจะนำไปสู่การกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการนำประเทศชาติให้รอดพ้น เงื้อมมือของมหาอำนาจผู้ที่มีความกระหายที่จะฮุบเอาผลประโยชน์ทั้งหลายจากประเทศไทยเพื่อความมั่งคั่งของตน ในทุกวิถีทางถ้ามีข้อบกพร่องประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และจะขอบประคุณอย่างยิ่งที่จะได้รับข้อคิดเห็น เพิ่มเติมโดยส่งข้อคิดเห็นของท่านไปที่ arttamat1@hotmail.com หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑ ปิดฟ้าข้ามทะเล เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 01:01:22 PM ส่วนที่ ๑
กลยุทธชนะศึก เมื่อเมื่อยามเราเป็นฝ่ายเหนือกว่า ก่อนอื่นจะต้องสยบข้าศึกลงไป ใช้การรุกรบอย่างเป็นฝ่ายกระทำ ทำสงครามด้วยรูปการที่เป็นผลดีที่สุด กลยุทธ์ที่ ๑ ปิดฟ้าข้ามทะเล เมื่อเตรียมพร้อมก็ประมาท เมื่อเห็นบ่อยก็มิสงสัย มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง สว่าง มืด เมื่อเตรียมพร้อมก็ประมาท เมื่อเห็นบ่อยก็มิสงสัย มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง สว่าง มืด กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมมูลแล้ว มักจะมึนชา และประมาทศัตรูได้ง่าย สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอในยามปกติก็ไม่เกิดความสงสัยอีกต่อไป ที่ว่า มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง ก็คือในอุบายแจ้งมีอุบายลับอุบายลับ จะปรากฏเป็นจริงขึ้นในอุบายแจ้งนั่นเอง สว่าง คือเปิดเผย แจ้งชัด มืด คือแฝงเร้น ปกปิด ความหมายของคำว่า สว่าง มืด ก็คือ ในรูปแบบที่เปิดเผยอย่างที่สุด แฝงเร้นไว้ ด้วยเนื้อหา ที่ปิดลับที่สุด การใช้อุบายประสานกันทั้งมืดและสว่าง ย่อมเป็นกลยุทธ์อันเป็นปกติวิสัยของคู่ต่อสู้ ในการสัประยุทธ์ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน ที่กลยุทธ์นี้ใช้ชื่อ ปิดฟ้าข้ามทะเล ก็คือการสร้างภาพลวง ฝ่ายข้ามทะเลไปโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เนื้อรู้ตัว เมื่อใช้ในด้านการทหาร มิได้หมายถึงการข้ามทะเล ด้วยการปกปิดเป็นเฉพาะ แต่หมายความว่าเมื่อ ๒ ประเทศรบกัน ฝ่ายหนึ่งใช้กลยุทธ์สร้างภาพลวงขึ้น ปกปิดความจริง มึนชาฝ่ายตรงข้าม นี่คือกลยุทธ์ใช้การพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ของตน มิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุภารหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้อย่างหนึ่ง ในบันทึกประวัติศาสตร์เรื่อง ราชวงศ์สุย ( ค.ศ.๕๘๙ ๖๑๘ ) มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ เมื่อหยางเจียนโค่นราชวงศ์โจวเหนือลงไปแล้ว ก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าสุยเหวินตี้ ปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์สุย ครั้นแล้วก็มีพระราชดำรัสจะบุกข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงลงใต้เพื่อยึดครองรัฐเฉิน ก่อนกรีฑาทัพ พระองค์ทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองเพื่อปรึกษาการศึกในครั้งนี้ ขุนพลเฮ่อย่อปี๋ จึงถวายความเห็นว่า เวลานี้รัฐเฉินมีกำลังกล้าแข็ง ซ้ำยังมีแม่น้ำแยงซีเกียงขวางกั้นอยู่เป็นชัยภูมิ ยากแก่การรุก สะดวกแก่การรับ หากจะหักหาญเอาด้วยกำลังก็ยากที่จะชนะศึก มีแต่จะต้องใช้กลยุทธ์ ปิดฟ้าข้ามทะเล ปกปิดความประสงค์ ให้มิดเม้น ใช้ภาพลวงมึนชาพวกเขา แล้วค่อยจู่โจมในภายหลัง จึงจะสัมฤทธิผล พระเจ้าสุยเหวินตี้ทรงเห็นด้วย กับกลศึกของเฮ่อย่อปี๋ จึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพลงไปบุกรัฐเฉิน รัฐเฉินในสมัยนั้น ตั้งเมืองหลวง อยู่ที่เมืองเจี้ยงคัง ( ส่วนใต้ของเมืองนานกิง มลฑลเจียงซูในปัจจุบัน) เพื่อเบี่ยงเบนสายตาของข้าศึก กองทัพชาญศึกของเฮ่อย่อปี๋ตั้งค่ายลง ณ เมืองกว่างหลิง ( เมืองหยางโจว มณฑลเจียงซูในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียงก่อน ด้านหนึ่งออกคำสั่งให้ปกปิดความประสงค์ที่จะบุกรัฐเฉิน อย่างเข้มงวดกวดขัน อีกด้านหนึ่งก็ลักลอบส่งทหารปลอมแปลงเป็นพ่อค้า ปะปนกับชาวบ้านข้ามฟากไปยังฝั่งใต้ กว้านซื้อเรือแพกลับมา เรือดี ๆ ก็ให้ซ่อนเสีย เอาแต่เรื่อเก่า ๆ ผุ ๆ พัง ๆ จอดอยู่ริมฝั่งให้เห็น ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เฮ่อย่อปี๋ก็สั่งให้กองทัพของตนสับเปลี่ยนที่ตั้งกันเป็นพัลวัน จงใจจะก่อกวนให้ทหารของรัฐเฉินทางฝั่งตรงข้าม ตื่นตระหนกเจ้าครองรัฐเฉินทราบข่าวเข้าก็ตกใจ รีบส่งทหารมาเสริมกำลังตามชายฝั่งอย่างรีบรุด ทว่า หลังจาก กองทัพสุยสับเปลี่ยนที่ตั้งเป็นอลหม่านอยู่พักหนึ่งแล้วก็เงียบไป ไม่มีท่าทีว่าจะบุกโจมตีรัฐเฉินเลย เมื่อวันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า รัฐเฉินรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยคลายใจ ถอนกำลังเสริมกลับไป ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เฮ่อย่อปี๋ก็สั่งให้กองทหารม้าออกล่าสัตว์ตามริมฝั่งแม่น้ำเพื่อหยั่งท่าทีของฝ่ายเฉิน แม่ทัพนายกองรัฐเฉินออกมาสังเกตการณ์เห็นทหารสุยเอาแต่ล่าสัตว์ ไม่มีวี่แววว่าจะบุกข้ามแม่น้ำมา จึงคลายความคลางแคลงใจยิ่งขึ้น กองทัพของรัฐเฉินเห็นกองทัพสุยทำอึกทึกครึกโครมครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังมิได้โจมตีรัฐตน ก็เข้าใจเอาว่ากองทัพสุยไม่กล้าบุก เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า จิตใจเตรียมพร้อมที่จะรับศึก ของกองทัพเฉินก็หย่อนยานไปเป็นลำดับ ในช่วงเวลานี้เอง เฮ่อย่อปี๋เห็นเป็นอากาส ในคืนข้างแรมที่มืดสนิท มองไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้ว ก็แอบนำกองทหารชาญศึกของตนลงเรือที่ซ่อนไว้ข้ามฟากมาโดยที่ทหารของรัฐเฉิน มิทันรู้ตัว แล้วเข้าโจมตีกองทหารของรัฐเฉินอย่างฉับพลัน บดขยี้กองทัพหลักของรัฐเฉินอย่างยับเยินที่ เขาเจี่ยงซาน( เขาจงซานในนานกิง) บุกเข้ายึดรัฐเฉินไว้ได้หมด ยุติภาวการณ์แบ่งแยกเป็นราชวงศ์เหนือใต้ และทำให้จีน เริ่มเป็นเอกภาพตั้งแต่นั้นมา ตัวอย่าง กรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ เวลาประมาณ ๐๘๐๐ เศษ เมื่อมีเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสาร พุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความตะลึงงัน ให้กับประชาคมโลก โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ หรือที่เรียกกันในชื่อของเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน นั้นเป็นเหตุการณ์ ที่ทำให้คนทั้งโลกตะลึงงัน มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งที่สุด ผู้ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นตัวการสำคัญในการปฏิบัติการ อันสะเทือนขวัญของคนทั้งโลกนั้นเป็นเพียงกลุ่มกองโจรที่ปฏิบัติการสงครามกองโจรอยู่ในที่ราบสูงดินแดนประเทศ อัฟกานิสถานผู้ซึ่งมีภาพพจน์ของกลุ่มกองโจรที่มีสัญลักษณ์ของรูปภาพของนักรบชาวมุสลิมมือข้างหนึ่งสะพายปืน ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายที่บ่ามืออีกข้างหนึ่งจูงม้าคู่ใจ เคลื่อนไหวในเขตปฏิบัติการจากภูเขาลูกหนึ่งไปสู่ภูเขา อีกลูกหนึ่ง ลูกแล้วลูกเล่า ภาพของนักรบที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้ายดังกล่าวนั้นได้ปรากฏต่อสายตา ประชาชนทั้งโลกจากสื่อโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น และ บีบีซี ซึ่งปรากฏภาพของการฝึกทางทหาร การฝึกอาวุธ ของผู้ก่อการร้าย และในที่สุดแล้วมีภาพอันสะเทือนขวัญและความรู้สึกของคนทั้งโลกคือภาพของการที่ นักรบดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงแสนยานุภาพอันสูงยิ่งของตนเองในการเข้าโจมตีสถานที่ที่มีการวางระบบ การป้องกันที่มีเทคโนโลยีสูงอย่างแน่นหนา คือ ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์แห่งมหานครนิวยอร์ก และ ตึกเพนตากอน สถานที่สำคัญสูงสุดที่ต้องมี การวางระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา อันเป็นที่ทำการของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งระบบในการ รักษาความปลอดภัยของทั้งสองสถานที่ดังกล่าว สามารถที่จะจับเป้าหมายการเคลื่อนที่เข้ามาของวัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ช้าหรือเร็วและทำลายวัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาเหล่านั้นอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย แท้ที่จริงแล้วเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน เป็นการสร้างขึ้นของสหรัฐอเมริกาเพื่อ ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถ แสวงประโยชน์เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาของตนซึ่งกำลังประดังเข้ามาทับถมตนเองในขณะนั้นอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นปัญหาอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ภายในประเทศเองและการที่จะดำรงตนให้อยู่ในสถานะของความเป็น มหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกให้ได้ ในขณะเดียวกันจำนวนหลายประเทศที่เป็นเป้าหมายที่จะต้องสนับสนุน การปราบปรามผู้ก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกาหลังเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงของสหรัฐฯ ก็จะต้องดำเนินการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายประเทศได้ให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาอย่างทุ่มเท แม้จะต้อง สูญเสียทรัพยากรของตนไปมากมายเท่าใดก็ตามทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการขอความร่วมมือกึ่งบังคับ ผลกระทบจากกรณีการก่อการร้ายดังกล่าวข้างต้นนั้นได้แพร่กระจายไปเกือบทั่วทุกมุมโลกในที่สุด มีคำกล่าวอีกว่า จำนวนหลายประเทศต้องสูญเสียทั้งบุคลากร ทรัพย์สิน ศักดิ์ศรี และ อธิปไตยของชาติไป อันเนื่องมาจากการที่ จะต้องช่วยเหลือสนับสนุนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายนำโดยสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญคือ บางประเทศค่อย ๆ สูญเสียระบบในการรักษาความมั่นคงของชาติไปอันเนื่องมาจากการแทรกแซงโดยกำลังทหารและบุคลากรของ สหรัฐอเมริกา ผู้นำในการต่อต้านการก่อการร้าย และบางประเทศอาจจะต้องถูกแบ่งแยกแล้วย่อยสลาย อันเนื่องมาจากสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์กรณี ๑๑ กันยายนนี้ด้วย เมื่อมีการศึกษาวิจัยและนำหลักฐานมาวิเคราะห์ตามหลักการในการทำสงครามแล้วปรากฏว่า เหตุการณ์กรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ นั้นเป็นเหตุการณ์ที่สร้างขึ้นมาโดยสหรัฐอเมริกาเองอย่างจงใจทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาที่กำลังประดังเข้ามาดังมีรายละเอียดอธิบายให้เข้าใจพอสังเขปดังต่อไปนี้ ๑. ปัญหาภายในสหรัฐอเมริกาเอง ๑) สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ถึงแม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ๒ ครั้งของสหรัฐอเมริกา จะได้รับการแก้ไขไปได้ ด้วยการสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี ๒๕๓๔ ( ก่อน ๑๙๙๑ สหรัฐอเมริกา ได้สร้างสถานการณ์ และสนับสนุนอิรักให้รุกเข้ายึดครองคูเวตและอ้างต่อชาวโลกว่าอิรักเป็นผู้รุกรานคูเวตทำให้สหรัฐฯ มีความชอบธรรมในการ ผลักดันองค์การสหประชาชาตินำกำลังเข้าโจมตีอิรักในเวลาต่อมา หลังเสร็จสิ้นสงครามอ่าวในปี ๑๙๙๑ สหรัฐฯ และอังกฤษ สามารถขายอาวุธเทคโนโลยีสูงได้มากมายซึ่งได้จากการแสดงในสงครามอ่าวที่สำคัญคือการสามารถเข้าครอบครอง ธุรกิจน้ำมันในตะวันออกกลางได้ถึง ๙ ใน ๑๐ ส่วน ซึ่งเป็นปริมาณมหาศาลและสามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ระดับหนึ่ง : อ่านได้จากสงครามสมัยใหม่ที่สหรัฐฯ ใช้ยึดครองจีนและประชาคมโลก เอกสารวิจัยดีเด่น มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศจีน ) และการสร้างสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี ๒๕๔๐ (๑๙๙๗) ซึ่งสหรัฐฯ ได้สร้างสถานการณ์มาโดยตลอดจนกระทั่งเกิดวิกฤตการเงินและวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยแล้วแผ่ขยาย ออกไปสู่ภูมิภาคกลายเป็นวิกฤตการเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจของเอเชีย ซึ่งเป็นผลให้สหรัฐฯ สามารถเข้ายึดครองเศรษฐกิจ ของเอเชียได้และเงินไหลเข้าสหรัฐฯ ประมาณ ๒๘ ล้านล้านบาทในทันที ทำให้สามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้อีกระดับหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะหมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิงก็หาไม่ ผลของวิกฤตทั้งสองครั้ง ดังที่กล่าวแล้วข้างตนก็ยังคงมีหน่อเค้าอยู่และพร้อมที่จะก่อให้เกิดวิกฤตในรอบต่อไปได้ ในอดีตที่ผ่านมา สงครามอิรัก อิหร่าน ได้ถูกสร้างขึ้นโดยประธานาธิบดีเรแกน แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยความมุ่งหมาย ที่จะกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำมาอย่างยาวนานช่วงหลังที่สหรัฐฯ พ่ายแพ้ต่อสงครามเวียดนาม แต่เรแกนประสบ ความล้มเหลวเพราะผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ในการขายอาวุธในสงครามดังกล่าวกลายเป็นสหภาพโซเวียตไม่ใช่บริษัท ผลิตอาวุธของสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด ซึ่งยิ่งเพิ่มสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐอเมริกาให้มีความรุนแรงมากขึ้น โดยลำดับ ครั้นเมื่อประธานาธิบดี จอร์จ บุช ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนจึงได้วางแผนอย่างดีที่จะใช้กิจกรรมทาง การสงครามในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ บุช ได้ใช้ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดสองประเทศในตะวันออกกลางคือประเทศคูเวตและอิรักเป็นตัวแสดงละครแล้วสร้างเกม เพื่อที่จะเข้าครอบครองประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคในเวลาต่อมา สิ่งที่สังคมโลกยังไม่เคยพบเห็นและไม่ได้รู้จัก อันเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศสหรัฐฯ และอังกฤษได้รับหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี ๒๕๓๔ (๑๙๙๑) ที่ผ่านมานั้น คือ การเข้าครอบครองหุ้นส่วนของบรรษัทพลังงานปิโตรเลียมทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางได้ถึง ๙ ใน ๑๐ ของหุ้นส่วนทั้งหมด นั่นหมายถึงการบรรลุถึงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจซึ่งใช้เกมการสร้างสงครามทางทหารเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย ทางด้านเศรษฐกิจ ( เกมเช่นนี้ทางทหารนอกจากใช้หลักการในตำราพิชัยสงคราม ซุน วู แล้ว ที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง มากที่สุดในโลกโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทั้งหลายคือหลักการของตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ ) หลังจากที่สหรัฐฯ บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจของตนแล้ว เป้าหมายอื่น ๆ ในระยะยาวที่สหรัฐฯ และพันธมิตรต้องการคือ การเข้าครอบครอง ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาค จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ แบ่งแยกแล้วปกครอง ได้ถูกนำมาใช้ทันทีแล้วความแตกแยก ในตะวันออกกลางก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ความหวาดระแวงต่ออำนาจของอิรักก็เกิดขึ้นทั่วไปจึงทำให้ประเทศในภูมิภาค ตะวันออกกลางแข่งขันกันสะสมอาวุธเพื่อที่จะใช้ในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของอิรักที่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา ให้เป็นประเทศผู้รุกราน ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การที่สหรัฐฯ ได้ประสบความสำเร็จในการวางรากฐานอย่างแน่นหนา ในการช่วยเหลืออิสราเอลให้ต่อสู้กับประเทศในตะวันออกกลางที่ล้อมรอบอยู่ได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ ในส่วนของวิกฤตการณ์ ทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเอเชียเมื่อปี ๒๕๔๐ (๑๙๙๗) นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการสร้างสถานการณ์ที่มีการวางแผนมาแล้ว อย่างละเอียดรอบคอบ สหรัฐฯ เตรียมการเป็นระยะเวลาอันยาวนานที่จะเข้าครอบครองเศรษฐกิจของเสือเศรษฐกิจในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การส่งขุนพลการสงครามทางด้านการเงินของสหรัฐฯ เข้ามาเตรียมการไว้ ตั้งแต่เนิ่นอย่างเช่น จอร์จ โซรอส ซึ่งได้เข้ามาทำธุรกิจในเอเชียเป็นเวลานานแล้วได้ปูพื้นฐานในการตั้งบรรษัทขนาดใหญ่ ไว้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งครอบคลุมธุรกิจทุกอย่างในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย ได้มีการทุ่มเงินซื้อหุ้นของบริษัทที่มีชื่อสำคัญในภูมิภาคเข้าไว้ในอาณัติของตน และในที่สุด การสร้างวิกฤตก็เกิดขึ้นโดยเริ่มต้นที่ประเทศไทยแล้วขยายตัวออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและทั่วทั้งทวีปในที่สุด มีนักวิเคราะห์ทั่วโลกจำนวนมากประมาณกันว่า ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเงินไหลเข้าสหรัฐฯ มีจำนวนสูงถึง ๗๐๐ พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ ๒๘,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่เมื่อ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว วิกฤตการณ์นั้นได้แพร่ขยายผลไปทั่วโลกแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาเอง ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในเวลาต่อมาเช่นกัน ๒) ประธานาธิบดีและรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาประสบกับวิกฤตความนิยมลดลงต่ำที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐอเมริกา ตามที่รัฐบาลของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เข้ารับตำแหน่ง และได้ประกาศนโยบายหลายเรื่องซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของชาวอเมริกันได้ จึงทำให้ ประธานาธิบดีและรัฐบาลของเขาได้รับการประเมินจากชาวอเมริกันว่าเป็นประธานาธิบดีและรัฐบาลที่ได้รับ ความนิยมจากประชาชนชาวอเมริกันต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกาคือลดต่ำลงเหลือเพียง ๔๐ % เท่านั้น ๓) วิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่กำลังเข้ามาเยือนสหรัฐฯ ซึ่งจะร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากเอกสารการประเมิน ด้านเศรษฐกิจของ IMF และ WTO ทราบว่า ในอีกประมาณ ๑๒ เดือนนับตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มวางแผนในการถล่ม ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์โดยสหรัฐฯ เอง ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้จะเป็นรอบที่มีความร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งใด ๆ ที่เคยมีมาก่อน กับอีกทั้งเมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตกต่ำเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์อย่าง เช่น จีน กลับดีวันดีคืน ด้วยสาเหตุอันนี้ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นที่จะต้องหามาตรการใด ๆ ก็ตามที่จะสามารถหยุดยั้ง วิกฤตเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นให้ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะหยุดยั้งการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ ของฝ่ายตรงข้ามด้วย ๔) ข้อมูลลับสุดยอดของสหรัฐฯ ถูกกลุ่มนักแฮกเกอร์เข้าถึงและขโมยข้อมูลนั้นไป หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ รายงานต่อรัฐบาลกลางว่า เครือข่ายข้อมูลลับสุดยอดของสหรัฐฯ ถูกกลุ่มนักแฮกเกอร์เข้าถึงและข้อมูลบางส่วน ถูกจารกรรมไป ซึ่งหน่วยงานสำคัญดังกล่าวนั้น รวมทั้งข้อมูลของ CIA , NSA , NORAD ระบบเรดาร์ของ ระบบการรักษาความปลอดภัยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กรุงนิวยอร์ก เพนซิลเวเนีย ระบบข้อมูลทางด้านการเงินต่าง ๆ รวมทั้งเครือข่ายข้อมูลในแคมป์เดวิดด้วย ๕) สหรัฐอเมริกากำลังถูกฟ้องร้องให้ตกเป็นจำเลยฐานการใช้ Depletion Uranium Weapon ( DU ) ที่มีผลต่อการเจ็บป่วยจำนวนมากในสงครามโคโซโว จากยอดทหารของยูโกสลาเวียจำนวนถึง ๑๐,๐๐๐ นาย ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยการเป็นโรคมะเร็งอันเนื่องจากการใช้อาวุธดังกล่าวข้างต้นของสหรัฐอเมริกาเข้าทำลายล้าง ในช่วงสงครามโคโซโว ในจำนวนนี้ ๓,๐๐๐ นายต้องเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง ด้วยโศกนาถกรรมเช่นนี้ ทหารนาโต้ ที่เข้าร่วมปฏิบัติการในสงครามดังกล่าวด้วยก็มีอาการเช่นเดียวกัน จำนวนทหารของประเทศสมาชิกนาโต้ที่เสียชีวิต ด้วยอาการที่คล้ายกันประกอบด้วย ทหารเบลเยี่ยม ๕๐ นาย สเปน ๒๐ นาย โปรตุเกส ๒๐ นาย และสาธารณรัฐเช็ก จำนวน ๑๐ นาย และทหารที่เข้าร่วมในสงครามโคโซโวล้วนแต่ต้องทนทุกขเวทนาด้วยโรคดังกล่าวโดยทั่วหน้ากัน ๖) กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ในสหรัฐฯ กำลังกดดันรัฐบาลอย่างหนักเพื่อที่จะให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่กลุ่มของตนกำลัง ประสบอยู่ในขณะนั้น อันประกอบด้วยกลุ่มใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้ ( ๑ ) Crusader Group ซึ่งประกอบด้วย - ACA ( American Conservative Association ) - IG ( Independent Group ) ซึ่งเป็นกลุ่มชาวอเมริกันอนุรักษ์นิยมและกลุ่มนิยมฝ่ายซ้าย - กลุ่มนักธุรกิจชาวอเมริกัน อันเป็นกลุ่มที่สนับสนุนทางด้านการเงินที่สำคัญให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช และได้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินกับพรรครีพับลิกันมาโดยตลอดด้วย ( ๒) กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ ( Anti-Globalization Groups ) กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลระดับนานาชาติ มีเครือข่ายการเคลื่อนไหวไปทั่วโลก และได้รับการประเมินจาก CIA ของสหรัฐฯ ว่าเป็นกลุ่มที่อยู่นอกการควบคุม ของรัฐบาลสหรัฐฯ และเป็นภัยต่อสหรัฐอเมริกาด้วยนอกจากนั้นแล้วกลุ่มดังกล่าวยังได้มีอิทธิพลต่อประชาคมโลก ด้วยการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ อิทธิพลของกลุ่มดังกล่าวได้ครอบคลุมไปถึงการครอบครองนักแฮกเกอร์ ระดับสุดยอดของโลกจำนวนมากที่สามารถจะเจาะเข้าไปยังข้อมูลลับของประเทศใด ๆ ก็ได้ และนี่คือภัยต่อ ระบบการรักษาความปลอดภัยทางข่าวสารของสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุด หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑ ปิดฟ้าข้ามทะเล (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 01:02:13 PM ๒. ปัญหาจากสหภาพยุโรป
๑) เงินยูโรดอลลาร์ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเมื่อปี ๒๕๓๓ (๑๙๙๐) ตามตารางของการปล่อยเงินยูโรดอลลาร์ออกสู่ตลาดการเงินของโลกแล้ว เงินยูโรดอลลาร์จะมีการทดลองใช้ ครั้งแรกในยูโรโซนปี ๒๕๔๒ (๑๙๙๙) และในปี ๒๕๔๔-๒๕๔๕ (๒๐๐๑ ๒๐๐๒) จะมีการทดลองปล่อยเงิน ออกสู่ตลาดการเงินของโลก และห้วงสุดท้ายคือในปี ๒๕๔๖- ๒๕๔๙ ( ๒๐๐๓ ๒๐๐๖) จะเป็นการปรับค่าเงิน ยูโรครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยออกสู่ตลาดโลกอย่างเป็นทางการ ๒) เงินยูโรดอลลาร์เป็นเงินจริงที่มีค่าจริงและมีทองคำสำรองและมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของกลุ่มสหภาพยุโรป เป็นฐานรองรับค่าเงิน ในขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินปลอมที่มีการพิมพ์ด้วยกระดาษเปล่าโดยที่ไม่มี ทองคำสำรองและไม่มีค่าทางเศรษฐกิจใด ๆ รองรับค่าเงินซึ่งสหรัฐฯ ผลิตเงินออกสู่ตลาดโลกได้ตามความพอใจ ซึ่งผู้ผลิตเงินนี้มาโดยตลอดคือ Federal Reserve Bank ( FED) ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจใหญ่ประกอบด้วย ๘ ตระกูล ที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่ครอบครองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่ในขณะนี้ ๓) สหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อันเกิดจากอิทธิพลของเงินยูโรดอลลาร์ การที่ความเป็นมา ของเงินทั้งสองตระกูลคือเงินยูโรดอลลาร์และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าต้องต่อสู้กันในตลาดการเงินของโลกแล้ว ผู้ที่เสียเปรียบคือเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเงินยูโรดอลลาร์ขยายตัวออกสู่ตลาดโลก อย่างเสรีไม่มีขีดจำกัด นั่นแสดงถึงการเป็นตัวแทนในการแสดงแสนยานุภาพทางด้านเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ สหภาพยุโรปซึ่งเข้มแข็งมากอย่างที่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินที่แพร่กระจาย ไปทั่วโลกอยู่แล้วซึ่งเป็นเงินที่ครอบครองตลาดการเงินของโลกอยู่เดิม แต่เป็นเงินทีไม่ได้มีค่าเงินจริงเป็นเพียงแค่ เงินปลอมที่ผลิตขึ้นมาด้วยกระดาษและตัวเลขโดยใช้อิทธิพลของการเป็นมหาอำนาจสหรัฐฯ เป็นฐานรองรับ และเรื่องค่าของเงินเป็นเรื่องของความเชื่อถือเท่านั้น ถ้าเมื่อใดก็ตามประชาคมโลกได้รับรู้ข้อมูลความจริงเหล่านั้น และมีทางเลือกอย่างเงินยูโรดอลลาร์ที่เป็นเงินที่มีค่าจริง ตลาดการเงินของโลกย่อมที่จะต้องยอมรับเงินยูโรดอลลาร์ มากกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะไหลกลับถิ่นฐานเดิมของตนคือ ประเทศสหรัฐฯ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเศรษฐกิจฟองสบู่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยุคนี้ตามหลักของวิชาเศรษฐศาสตร์ ก็จะเกิดขึ้น เมื่อฟองสบู่แตกนั่นคืออวสานของจักรวรรดิสหรัฐแห่งอเมริกาที่มีอายุยืนยาวมาแล้วมากกว่า ๒๐๐ ปี นี่คือความกลัวของสหรัฐอเมริกา ๓. ปัญหาอันเกิดจากจีน ๑) จีนประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งต่อการที่จะได้รับเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก ( WTO ) ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ (๒๐๐๑) เป็นต้นไป หลังจากที่ประเทศจีนได้มีนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศที่รู้จักกันในนาม Reform and opening up policy เศรษฐกิจของจีนก็เติบโตด้วยอัตราที่สูงที่สุดในโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่จีนได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลกด้วยแล้วยิ่งจะทำให้จีน เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกในระยะเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้ ความเป็นมหาอำนาจของจีน ที่เริ่มเห็นแววมาตั้งแต่ต้นจะเข้ามาแทนที่ความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจีนจึง ได้รับการประเมินว่าเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งในทุก ๆ ด้านของสหรัฐอเมริกา ๒) อิทธิพลของจีนจะเข้ามาแทนที่อิทธิพลของสหรัฐฯ ในทุกภูมิภาคของโลก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่จีนได้ใช้ นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศและตามมาด้วย นโยบาย ๕ ข้อแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่งโดยเนื้อหาแล้ว เป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาคมโลกที่มีต่อจีน และเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวโลกแล้วว่า หลังจากทั้งสองนโยบายดังกล่าวได้ออกมาสู่สายตาของชาวโลกทำให้ชาวโลกไม่ได้เห็นภัยที่เกิดขึ้นจากจีน ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายทั้งทางลับและเปิดเผยที่ไม่ได้ตรงกับที่ตนประกาศไว้แต่มุ่งเน้น ผลประโยชน์ของชาติตนเป็นหลักจนทั่วโลกกล่าวขานกันเป็นเสียงเดียวกันตามที่จีนกล่าวคือ สหรัฐฯ ยึดถือ นโยบายการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ( Hegemony ) คือเที่ยวข่มเหงรังแกประเทศเล็กประเทศน้อยเพื่อแสวงหา ประโยชน์แห่งตนตามอำเภอใจ หน้าฉากคือพันธมิตรหลังฉากคือศัตรูที่คอยหักหลังพันธมิตรอยู่ตลอดเวลา การที่จีนได้รับความเชื่อถือมากขึ้นดังที่เห็นได้จากที่มีการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศทุกภูมิภาคในโลกของจีน และสัมพันธภาพระหว่างประเทศเหล่านั้นก็ดำเนินไปด้วยดีอย่างเท่าเทียม ประเทศต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มคล้อยตาม ในการที่จะเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับจีนประกอบด้วย ประเทศในกลุ่มอาเซียน ประเทศในกลุ่มเอเชีย- แปซิฟิก ประเทศตะวันออกกลาง ประเทศในทวีปอัฟริกา ประเทศรัสเซีย ประเทศในกลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรป แม้กระทั่ง ประเทศญี่ปุ่นที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับจีนมานานก็ยังมีแนวโน้มที่จะมาญาติดีกับจีนมากขึ้นกว่าเดิม นี่คืออิทธิพล ที่จีนค่อยขยายออกไปแทนที่สหรัฐฯ ในทุกภูมิภาคของโลกอย่างแท้จริง ๓) จีนจะเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในอีก ๑๐ ๒๐ ปีข้างหน้า จากการที่ IMF, WTO ,WB และนักวิเคราะห์ สถานการณ์โลกได้ลงมติเป็นไปในแนวทางเดียวกันคือจีนจะเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกในอีก ๑๐ - ๒๐ ปี ข้างหน้าแทนที่สหรัฐอเมริกา จากหนังสือเรื่อง Power Transition ของ Kugler ได้คาดการณ์ถึงการที่จะมีการ เคลื่อนย้ายทางอำนาจของมหาอำนาจจากสหรัฐฯ ในปัจจุบันไปเป็นจีนและประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน จะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาในปี ๒๐๒๕ และในปี ๒๐๕๐ ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่เท่ากับ สหรัฐอเมริการวมกันกับกลุ่มประเทศยูโร ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงมาก นอกจากนั้นแล้วหลังจากที่ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช ได้เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ได้มอบหมายให้เพนตากอนทำการวิจัยถึงประเทศที่ จะมีอำนาจท้ายสหรัฐฯ ใน ๑๐ ๑๕ ปีข้างหน้า ผลออกมาชัดเจนว่าเป็นจีนซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง อันดับที่ ๒ คือ อินเดีย ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้ว สหรัฐฯ จึงได้กำหนดแผนงานขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อที่จะแก้ปัญหาทั้งปวง ดังที่กล่าวมาแล้วอย่างเบ็ดเสร็จ และได้กำหนดกลุ่มงานขึ้นมา ๒ กลุ่มงานคือ ๑) การทำลายความแข็งแกร่งของค่าเงินยูโรดอลลาร์ ๒) การปิดล้อม แบ่งแยกแล้วย่อยสลายจีน ผลที่สหรัฐอเมริกาได้รับหลังจากสร้างสถานการณ์กรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ แล้วมีดังนี้ ๑) สามารถที่จะนำประเทศของตนให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่ประดังเข้ามาก่อนที่จะสร้าง เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน และหลังจากที่ เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างขึ้นแล้ว จากหลักฐานดังที่แสดงไว้แล้วในตอนต้น วิกฤตการณ์ของสหรัฐอเมริกาประกอบไปด้วยวิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมืองที่มีทั้งการเมืองภายในและการเมือง ในระดับนานาชาติ วิกฤตทางด้านความมั่นคงปลอดภัยแต่วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวิกฤตทั้งหลายคือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ๒) สามารถที่จะลดความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสองเสือเศรษฐกิจของโลกที่เป็นคู่แข่งอันฉกาจฉกรรจ์ของสหรัฐฯ คือ จีนกับสหภาพยุโรป จีนจะแสดงบทบาทที่โดดเด่นในสังคมของประชาคมโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและความเป็นมหาอำนาจ หนึ่งเดียวของสหรัฐฯ จะถูกแทนที่ด้วยอิทธิพลของจีนในทุก ๆ ปัจจัยตามที่นักวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้รายงานไว้ เงินยูโรดอลลาร์ได้ถูกประเมินว่าเป็นภัยคุกคามหลักต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดการเงินโลก ตามที่ทราบกันดีว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินที่ไม่ได้สร้างด้วยการรองรับของเศรษฐกิจจริงหรือทรัพย์สินจริงดังที่หลักสากลยอมรับกัน ดังนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นเงินปลอมตามความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม เงินยูโรดอลลาร์จะมีค่าที่แข็งขึ้น เนื่องจากมีทองคำสำรองและมีเศรษฐกิจจริงที่มีความแข็งแกร่งของกลุ่มสหภาพยุโรปรองรับค่าเงิน ฉะนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะค่อย ๆ ถูกผลักให้ไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิดของตนโดยอิทธิพลของเงินยูโรดอลลาร์และฟองสบู่ขนาดมหึมาจะเกิดขึ้น กับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจุดจบของจักรวรรดิสหรัฐแห่งอเมริกาก็จะปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ๓) ประสบความสำเร็จในการควบคุมระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศมหาอำนาจชั้นรองคือความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซีย ๔) สามารถที่จะดำรงสภาพความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาไปได้อีกยาวนาน จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการครอบครองเศรษฐกิจโลกโดยการใช้สงครามเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ หลังจากได้สร้าง ๒ เหตุการณ์ ขึ้นแล้วทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้นจากประเทศมุสลิมได้อย่างมั่นคงรวมทั้ง กลุ่มประเทศต่าง ๆ ในทวีปอัฟริกา ที่สำคัญคือการเข้าครอบครองแหล่งแรงงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างจีน เพื่อที่จะนำไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ๕) สหรัฐฯ สามารถที่จะดำรงความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับกลุ่มครูเสดได้อีกครั้งหนึ่ง ( Crusader Groups) กลุ่มครูเสด เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย กลุ่มครูเสดเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ FED ซึ่ง FED เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดย ๘ ตระกูลคาทอลิกที่ร่ำรวยที่สุด ในยุโรปและอเมริกาซึ่งครอบครองธุรกิจขนาดยักษ์ ๖ กลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นบรรษัทข้ามชาติทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก ที่เป็นสาขาของสหรัฐอเมริกา และ FED เป็นผู้สร้าง CIA เพื่อให้สามารถที่จะรักษาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของตน ในทั่วทุกมุมโลก ( พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ ,เอกสารประกอบการบรรยายและฝึกแก้ปัญหาฝ่ายเสนาธิการ โรงเรียนกิจการพลเรือนทหารบก กรมกิจการพลเรือนทหารบก ) ๖) บรรลุเป้าหมายในการอ้างความชอบธรรมในการส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่มีความสำคัญรวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งปวง ของสหรัฐฯ ในการรักษาผลประโยชน์ของตนในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ตามที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ผลประโยชน์ของ สหรัฐอเมริกามีอยู่ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ สหรัฐฯ ต้องการอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะให้สถานการณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมได้โดยองค์กรต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ได้ส่งออกไปแล้วในช่วงของการทำ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการครองอำนาจที่มีอยู่เดิมของสหรัฐอเมริกา จากหนังสือเรื่อง Hegemony of a new type ซึ่งเขียนโดย Bezezinski โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่องความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏ มาก่อนที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯ จะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน ซึ่งครอบคลุม ไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ทหาร ครึ่งหนึ่งของงบประมาณของทหารของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ เป็นงบประมาณทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ ) เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔ ของตลาดหนัง มาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย , การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต , สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก เช่น UN , IMF ,WB , WTO . จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ครองความเป็นเจ้าครองความยิ่งใหญ่เหนือประเทศใด ๆ ในโลกมาโดยตลอด ฉะนั้นการที่จะสูญเสียอำนาจด้านใด ๆ ไปจึงเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ทำใจไม่ได้และจะยอมไม่ได้อย่างแน่นอน จึงจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องหาวิธีการในการป้องกันตำแหน่งอันดับหนึ่งของตนเองไว้ให้ยาวนานที่สุดให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ในฐานะที่ผู้เขียนเองได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาและประเทศมหาอำนาจ ที่มีนโยบายอันกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยมายาวนาน ผู้เขียนจึงได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จำนวนมากในเรื่องนี้จาหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมก็ตาม โดยเฉพาะผู้เขียนเองมีญาติสนิทที่เคยทำงาน เกี่ยวข้องกับข้อมูลต่าง ๆเหล่านี้ในสหรัฐอเมริกามาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี ที่ได้สัมผัสทั้งสังคมอเมริกัน สัมผัสทั้งองค์กร การเมืองในระดับสูงของสหรัฐอเมริกา การได้เป็นเจ้าหน้าที่ในระดับสูงขององค์กร ซีไอเอ การได้ดำรงตำแหน่ง ในฐานะผู้ปรึกษาระดับสูงของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาแล้ว ประกอบกับการสอบทานข้อมูลกับหลาย ๆ ฝ่าย ทำให้ข้อมูลทั้งหลายมีความถูกต้องตรงกันและสามารถที่จะคาดคะเนกิจกรรมอันจะเกิดขึ้นจากการกระทำของ ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ได้ถูกต้องแม่นยำได้ ทำให้ข้อมูลที่ผู้เขียนได้นำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้สามารถอธิบาย ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกเหตุการณ์ และมีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวทั้งหมดที่ผู้เขียน นำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้ด้วย ๗) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำลายจีนโดยแผน ปิดล้อม ,แบ่งแยกและย่อยสลายจีนโดยสหรัฐอเมริกา ( รายละเอียดทั้งสิ้นดูได้จากเอกสารวิจัย เรื่องการใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู วิเคราะห์เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ และ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย นักศึกษาหลักสูตรความมั่นคง รุ่นที่ ๑๑ มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนระหว่าง ก.ย. ๒๕๔๕ ก.ย.๒๕๔๖ : http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com ) โดยสรุปเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ เป็นการสร้างเหตุการณ์ขึ้นของสหรัฐฯ โดยการสร้างเหตุการณ์จูงใจให้ประชาคมโลกไปสนใจในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการให้สนใจ เมื่อประชาคมโลกให้ความสนใจ และคล้อยตามสหรัฐฯ ก็จะใช้มาตรการอื่น ๆ ให้ทุกประเทศในโลกถลำตัวมากยิ่งขึ้น บางครั้งก็ใช้ความเป็นมหาอำนาจบังคับ ให้ประเทศต่าง ๆ ทำตามที่สหรัฐฯ ต้องการในกิจกรรมนั้น จะเห็นได้จากการที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในเวลาต่อมา ในขณะที่กิจกรรมการก่อการร้ายเป็นเพียงกิจกรรมที่ลวงชาวโลก ให้เห็นใจและคล้อยตามสหรัฐฯ แต่เป้าหมายที่แท้จริงมีหลายประการแต่ในจำนวนนั้นคือเรื่องการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ เอง ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านความมั่นคง เหตุการณ์นี้จึงสามารถที่จะอธิบายตามหลักการตามกลยุทธ์ ปิดฟ้าข้ามทะเล ว่า ทำกิจกรรมอย่างหนึ่งให้คนสนใจเพื่อหวังผลต่อการกระทำอีกอย่างหนึ่งของตนที่ซ่อนเร้นไว้ไม่มีใครรู้นั่นเอง กลยุทธ์นี้จึงสรุปว่า สำหรับเรื่องที่มีความเคยชิน มนุษย์เรามักจะปล่อยปละละเลยต่อการระมัดระวัง มิได้ป้องกันให้เข้มงวดกวดขัน แท้ที่จริงนั้น สิ่งซึ่งดูเป็นธรรมดาสามัญอย่างที่สุดนั้น ก็คือที่สถิตอยู่แห่งโอกาสอันยอดเยี่ยมนั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว การใช้กลยุทธ์นี้ในการพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ของตนมิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุภาระหน้าที่ ที่ได้กำหนดไว้อย่างหนึ่ง ก็สามารถใช้ได้อย่างดีเลิศมาทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในสมัยปัจจุบันนี้ประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกาก็ได้นำกลยุทธ์นี้มาใช้อย่างแยบยลและได้ผลจนกระทั่งปัจจุบันนี้ประชาคมโลกก็ยังถูกสหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์นี้พรางตาและยังไม่รู้ว่าสหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเลเพื่อพรางตาประชาคมโลกเพื่อบรรลุ ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒ ล้อมเว่ยช่วยเจ้า เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:01:05 PM กลยุทธ์ที่ ๒ ล้อมเว่ยช่วยเจ้า
ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก ศัตรูแจ้งมิสู้ศัตรูมืด กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลังพลไว้ ควรจะใช้กลอุบายดึงแยกข้าศึกออกไป ทำให้กำลังพลกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลังครั้นแล้วจึงเข้าโจมตี นี้ก็คือ ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก และตำราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ ขนานนามยุทธศาสตร์การส่งทหารเข้าบุกข้าศึกก่อนเป็น ศัตรูแจ้ง ส่วนยุทธศาสตร์กำราบข้าศึกทีหลังเป็น ศัตรูมืด ภายใต้สภาพการณ์ที่แน่นอน การบุกข้าศึกทีหลัง ได้เปรียบกว่าการส่งทหารเข้าบุกก่อน กลยุทธ์นี้หมายถึงการใช้ศิลปะการต่อสู้ทางการทหารที่เรียกว่า ถ้ามาหลายก็ให้แยก ถ้าบุกก็ให้ถอย" การส่งทหารเข้าบุกก่อนมิสู้ตีโต้ตอบทีหลัง นี้เป็นกลยุทธ์ที่ เลี่ยงแน่นตีกลวง เลี่ยงแข็งตีอ่อน เลี่ยงที่สงบตีที่ปั่นป่วน เลี่ยงที่ฮึกเหิมตีที่ย่อท้อ เพื่อขับข้าศึก และเข้าบดขยี้ข้าศึกในภายหลังอย่างหนึ่ง ในตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู บทว่าด้วย จริงลวง ได้เขียนไว้ว่า เรารวมเป็นหนึ่ง ข้าศึกแยกเป็นสิบ.....เราก็มากข้าศึกก็น้อย ใน บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติซุน วู อู๋ฉี และบันทึกประวัติศาสตร์เรื่อง จือจื้อทงเจี้ยน ศักราชที่ ๒ แห่งราชวงศ์โจว มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ หลังจากซู วู นักการทหารผู้มีอัจฉริยะแห่งยุคชุนชิว ( ก่อนคริสตกาล ๘๔๑-๓๗๖ ปี ) ถึงแก่กรรมไปร้อยกว่าปี มาถึงยุคจ้านกว๋อ ( ก่อนคริสตกาล ๔๗๕ ๒๒๑ ปี ) ก็มีนักการทหารผู้มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่ง มีชื่อว่า ซุนปิน เกิดอยู่ในพื้นที่ระหว่างเมืองอาเฉินกับเมืองจ่วนเฉินในมณฑลซานตงปัจจุบันว่ากันว่าความจริง เขาสืบเชื้อสายมาจากซุน วู เมื่อเล็กเคยรับการศึกษาจากอาจารย์หวางสี่พร้อมกับพังจวน หวางสี่เก็บตัวไม่ข้องแวะ กับโลกภายนอกอยู่ในหุบเขาปีศาจ ณ เมืองหยาง เรียกตัวเองว่าคนหุบเขาปีศาจ คนทั้งหลายเรียกเขาว่า อาจารย์หุบเขาปีศาจ ต่อมาพงจวนก็เดินทางไปยังแคว้นเว่ย ซึ่งในในเวลานั้นฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเว่ยกำลังแสวงหา ผู้รู้อย่างกว้างขวาง พังจวนจึงไปพบอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเว่ยชื่อหวางช่อ หวางช่อจึงแนะนำพังจวน ให้แก่ฮุ่ยอ๋อง ฮุ่ยอ๋องให้เข้าเฝ้าไต่ถามเรื่องพิชัยสงคราม พังจวนปกติก็เป็นคนชอบคุยอวดตัวเอง จึงตอบได้เป็นคุ้งเป็นแคว ทำให้ฮุ่ยอ๋องเกิดความเลื่อมใส จึงตั้งให้เป็นขุนพล แต่ตัวพังจวนเองรู้ดีว่า ความรู้ความสามารถของตนหาเทียบได้กับซุนปินไม่ เกรงว่าหากซุนปินไปเข้ากับแคว้นอื่นก็จักไม่เป็นผลดีแก่ตน จึงยุให้ฮุ่ยอ๋องตกรางวัลก้อนใหญ่ ไปเชิญตัวซุนปินมายังแคว้นเว่ย เพื่อคุมตัวไว้มิให้เป็นภัยแกตน เมื่อซุนปินมาถึงแคว้นเว่ย ฮุ่ยอ๋องก็เชิญให้แสดงความรู้ในพิชัยสงคราม ซุนปินโต้ตอบอย่างมิมีขัดข้อง ทั้งการวิเคราะห์เหตุผลก็เกินหน้าพังจวนเป็นหลายเท่า ฮุ่ยอ๋องจึงตั้งให้เป็นขุนนางต่างแดน พังจวนเห็นฮุ่ยอ๋อง ยกย่องซุนปินยิ่งกว่าตน ก็เกรงว่าซุนปินจะชิงเอาอำนาจการบัญชาทหารไปจากมือตน ก็ให้รู้สึกริษยาเป็นกำลัง และคิดที่จะขจัดซุนปินให้พ้นหน้าพ้นตาไปทุกขณะจิต ซุนปินความจริงเป็นชาวแคว้นฉี แต่ก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ใน แคว้นฉีเลย ทว่าแคว้นฉีกับแคว้นเว่ยต่างชิงกันเป็นใหญ่ ต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน พังจวนจึงอาศัย เหตุนี้ใส่ความซุนปินต่าง ๆ นานาต่อหน้าฮุ่ยอ๋องกล่าวหาว่าซุนปินจะตีจากแคว้นเว่ยไปอยู่กับแคว้นฉี หากซุนปิน ไปอยู่แคว้นฉีแล้วก็จะไม่เป็นผลดีแก่แคว้นเว่ย เพราะซุนปินรู้ตื้นลึกหนาบางของแคว้นเว่ยทั้งหมด พร้อมกันนั้น พังจวนก็สร้างหลักฐานเท็จ ปลอมจดหมายซุนปิน ส่งถึงแคว้นฉีขึ้นฉบับหนึ่ง นำไปยืนยันฮุ่ยอ๋องเชื่อว่า เป็นความจริงก็จับตัวซุนปินเข้าคุก พังจวนก็ถืออำนาจให้ตัดลูกสะบ้าหัวเข่าออกทั้ง ๒ ข้างมิให้ซุนปินเดินได้ มิหนำซ้ำยังสักหน้าซุนปินด้วยอักษรว่า คบคิดต่างชาติ ๔ ตัวอยู่บนหน้าผาก เพื่อประจานมิให้ซุนปินพบเห็นใคร ได้อีกต่อไป ทั้งจะเป็นขุนนางในแคว้นใดก็ไม่ได้อีกด้วย แม้จะคุมขังและทรมานซุนปินถึงขนาดนั้นแล้ว พังจวนก็ ยังกลัวว่าซุนปินจะหลบหนีไปได้ จึงส่งคนมาเฝ้าอย่างเข้มงวด ซุนปินในระหว่างที่ศึกษามาด้วยกันกับพังจวน ที่อาจารย์หุบเขาปีศาจนั้น แม้จะรู้ว่าพังจวนเป็นคนใจคอคับแคบ ไม่มีน้ำใจแกคนอื่นก็ตาม แต่ไม่นึกว่าพังจวน จะเป็นคนขี้อิจฉาริษยาถึงเพียงนี้และโหดเหี้ยมถึงเพียงนี จึงปฏิญาณว่าแค้นนี้จักต้องชำระให้ได้ในวันหนึ่งข้าหน้า แต่ตนก็ถูกคุมขังอยู่จักหนีไปไหนได้ ซุนปินจึงจนปัญญาได้แต่แค้นอยู่ในใจ อยู่มาวันหนึ่ง ซุนปินคิดถึงในตำราพิชัยสงครามมีอยู่คำหนึ่งว่า การศึกมิหน่ายเล่ห์ ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นบ้า เพื่อมึนชาพังจวน ปล่อยผมเผ้าให้รุงรังน้ำลายฟูมปาก บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ ๒ ตาเหม่อลอยไร้แวว และมักจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางส่งเสียงเห่าหนอเหมือนสุนัข พังจวนได้รับรายงานว่าซุนปินเป็นบ้าก็ไม่เชื่อ จึงมาดู ณ ที่คุมขังด้วยตนเอง เมื่อห็นหน้าพังจวน ซุนปินยิ่งทำบ้าหนักขึ้น แต่พังจวนก็ยังไม่คลายความสงสัย สั่งให้คนส่งสุราอาหารไปให้ ซุนปินก็เอาข้าวสาดขึ้นไปบนท้องฟ้า บ้างก็เทลงบนพื้น พังจวนก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ ก็สั่งคนเอาอาจมส่งให้ซุนปิน ซุนปินก็ควักใส่ปากหน้าตาเฉย พังจวนจึงเชื่อแน่ว่า ซุนปินบ้าจริงให้รู้สึกโล่งอก การเฝ้าดูก็คลายความเข้มงวดลง บางครั้งยังยอมให้ออกมาเดินเล่นนอกคุก เรื่องที่ซุนปินถูกตัดสะบ้าและสักหน้า แพร่ไปยังแคว้นต่าง ๆ ผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจซุนปินเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิรู้จะช่วยซุนปินได้อย่างไร ปีรุ่งขึ้น แคว้นฉีส่งทูตไปยังแคว้นเว่ย ซุนปินทราบข่าวเข้าก็ฉวยโอกาสในคืนที่ฝนตกหนัก การควบคุมหย่อนยานคลานไปหา ทูตแคว้นฉียังที่พักพรรณนาให้ทราบถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ขอร้องให้ทูตแคว้นฉีช่วยตนให้ออกจากแคว้นเว่ยไป ทูตแคว้นฉีรู้เรื่องความไม่เป็นธรรมที่ซุนปินได้รับมาแล้ว ทั้งนับถือในความสามารถของซุนปิน จึงตอบรับที่จะช่วย ครั้นปรึกษาหารือกันหลายตลบก็ตกลงว่า จะซ่อนตัวซุนปินไว้ในรถนั่งของทูตแคว้นฉีลอบพาซุนปินให้พ้นแคว้นเว่ยไป เมื่อไปถึงเมืองหลวงของแคว้นฉี ทูตฉีจึงนำซุนปินไปพบกับเถียนจี้ขุนพลใหญ่แห่งแคว้นฉี เถียนจี้จึงไต่ถาม เรื่องพิชัยสงคราม ซุนปินก็อธิบายให้ฟังอยู่ ๓ วัน ๓ คืน เถียนจี้เลื่อมใสยิ่งนัก ต้อนรับซุนปินในฐานะแขกพิเศษ ในเวลานั้น เถียนจี้มักจะแข่งม้าเอาพนันกับพวกลูกท่านหลานเธอของแคว้นฉีอยู่เสมอ ๆ เถียนจี้จึงเชิญซุนปินนั่งรถ ไปชมการแข่งม้าด้วย แต่ม้าของเถียนจี้พ่ายแล้วพ่ายอีก ซุนปินดูอยู่ไม่กี่ครั้งก็รู้ว่าม้านั้นมี ๓ อันดับ คือ ดี กลาง และเลว จึงกล่าวแก่เถียนจี้ว่า ท่านจงไปแข่งม้าอีก ท้าพนันกับท่านเหล่านั้นให้มากว่าวเดิม คราวนี้ ข้าพเจ้ารับรองว่าท่านจักต้องชนะ เถียนจี้รู้ดีว่าซุนปินเฉลียวฉลาดสติปัญญาลึกล้ำ จึงทำตามซุนปินบอก พวกลูกท่านหลานเธอรู้ฝีเท้าม้าของเถียนจี้ดี ก็รับพนันด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อไปถึงสนามม้า ซุนปินจึงกล่าวแก่เถียนจี้ว่า ท่านจงเอาม้าชั้นเลวของท่านเข้าแข่งกับม้าชั้นดีของพวกเขา แล้วเอาม้าชั้นดีของท่านแข่งกับม้าชั้นกลาง สุดท้ายก็เอาม้าชั้นกลางแข่งกับม้าชั้นเลวของพวกเขา ดังนี้ ท่านก็จะแพ้หนึ่งเที่ยว ชนะ ๒ เที่ยว เงินรางวัลก้อนใหญ่ก็จะตกเป็นของท่านขุนพลมิเป็นอื่น เถียนจี้ทำตามคำบอกกล่าวของซุนปิน เที่ยวที่ ๑ ม้าของเถียนจี้แพ้พวกลูกท่านหลายเธอพากันดีใจ กระโดดโลดเต้น คิดว่าเงินพนันคงจะไม่ไปไหนเสีย แต่หารู้ไม่ว่าเที่ยว ๒ กลับแพ้ และเที่ยวที่ ๓ ก็ยังแพ้อีก จึงเสียเงินพนันให้กับเถียนจี้ถึงพันตำลึงทอง นับแต่นั้นมา เถียนจี้ก็ยิ่งนิยมชมชอบในตัวซุนปินเป็นทวีคูณ เรื่องการแข่งม้ารู้ไปถึงเว่ยอ๋องแห่งแคว้นฉี จึงถามเอาความแก่เถียนจี้ เถียนจี้จึงนำตัวซุนปินเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง เว่ยอ๋องสนทนาเรื่องพิชัยสงครามกับซุนปิน ซุนปินตอบโต้มิติดขัด เว่ยอ๋องให้รู้สึกพอพระทัยเป็นยิ่งนัก เสียดายที่พบซุนปินช้าไป จึงตั้งให้ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษาฝ่ายการทหารตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปีที่ ๑๒ แห่งศักราชโจวเซี่ยนอ๋อง ( ๓๕๒ ปีก่อนคริสตกาล) ฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเว่ยคิดจะตีแคว้นจงซาน คืนจากแคว้นจ้าว แคว้นจงซานนี้เดิมทีเป็นแคว้นเล็ก ๆ อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเว่ย ต่อมาแคว้นเว่ยก็กลืนแคว้นนี้เสีย แล้วส่งบุตรชายไปครองเมือง ต่อมาบุตรชายมางานศพบิดายังเมืองหลวง แคว้นจ้าวก็ฉวยโอกาสยึดแคว้นจงซานไปเป็นของตน เมื่อภายในบ้านเมืองสงบลง ฮุ่ยอ๋องซึ่งก็คือ ผู้ครองบัลลังก์แทนบิดา จึงสั่งให้พังจวนนำทัพไปตีเอาแคว้นนี้กลับคืนมา แต่พังจวนเห็นว่า แคว้นจงซาน มีเนื้อที่เท่าแมวดิ้นตาย เป็นแดนกันดารใกล้แคว้นจ้าว ห่างแคว้นเว่ย มิหนำซ้ำยังต้องเดินทางระยะไกลจึงจะถึง และถึงแม้ว่าจะตีคืนได้ ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อแคว้นตาง ๆ แต่ประการใด พังจวนจึงแนะอุบายแก่ฮุ่ยอ๋องว่า ที่ท่านอ๋องมีความประสงค์จักตีแคว้นจงซานคืนก็เพียงเพื่อแก้แค้นที่ทำให้เสียหน้าแต่กาลก่อน จงซานเป็นแคว้นเล็ก ๆ ไม่มีความหมาย หากจะตีก็ควรตีเอาเมืองหลวงของแคว้นจ้าวคืนคนหานตานเสียเลย แก้ได้ทั้งความแค้น และก็ทำให้แคว้นต่าง ๆ ต้องกระเทือนไป มิให้คิดดูหมิ่นแคว้นเว่ยอีกต่อไป หากท่านอ๋อง ต้องการจะแผ่อำนาจให้กว้างไพศาลออกไป ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ควรจะลงมือจากนี้ก่อน ฮุ่ยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตบโต๊ะหัวเราะชอบใจว่า ท่านนี้ช่วงรู้ใจเรา กระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว วิเศษจริง ๆ จึงแต่งตั้งให้พังจวนเป็นแม่ทัพใหญ่นำทหาร ๕๐๐ รถศึกมุ่งไปยังแคว้นจ้าว เข้าล้อมนครหานตานไว้ในทันที ผู้ครองแคว้นจ้าวเมื่อทราบว่าทหารของแคว้นเว่ยล้อมนครหานตานไว้เพื่อทวงแคว้นจงซานคืน จึงส่งคนไปขอ ความช่วยเหลือยังแคว้นฉี โดยเงื่อนไขว่าหากตีการล้อมเมืองของแคว้นเว่ยได้แล้ว ก็จะมอบแคว้นจงซานให้ เป็นค่าตอบแทน เว่ยอ๋องแห่งแคว้นฉีตกลง คิดจะตั้งให้ซุนปินเป็นแม่ทัพยกทหารไปช่วยแคว้นจ้าว แต่ซุนปินไม่ยอมรับ แจ้งว่าตนเป็นคนมีโทษติดตัว มิสมควรจะเป็นแม่ทัพ ดังนั้น เว่ยอ๋องจึงตั้งเถียนจี้เป็นแม่ทัพ และให้ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษาเดินทางไปด้วยกัน เถียนจี้นำทัพของแคว้นฉีมุ่งไปทางตะวันตก ครั้นถึงเขตแดนต่อแดนระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นจ้าว เถียนจี้ก็ออกคำสั่งให้บุกเข้าไปทางนครหานตาน ซุนปินรีบห้ามไว้ กล่าวว่า การแก้กรณีพิพาทที่สลับซับซ้อน มิควรจะผลีผลามโดยใช้แต่กำลังเรามิควร จะเข้าพัวพันด้วยการปะทะของทั้งสองฝ่าย หากแต่ควรหลีกกำลังที่แข็งแกร่ง ตีจุดที่อ่อนแอ เปลี่ยนแปลงแนวโน้ม ยุติกรณีพิพาท การโอบล้อมก็จะผ่านคลายไป เวลานี้เว่ยล้อมเมืองหลวงของจ้าวทหารชาญศึกย่อมจะทุ่มเท มาอยู่ทางนี้จนหมดสิ้น ภายในแคว้นย่อมจะว่างเปล่า กองทัพเรามิสู้มุ่งเข้าหาแคว้นเว่ย ยึดเส้นทางคมนาคม สร้างแผนลวงว่า จะตีเมืองเซียงหลิงของแคว้นเว่ย แล้วตีนครต้าเหลียง ( สองเมืองนี้อยู่ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) จริง ๆ เมื่อพังจวนได้ข่าวก็จะรีบนำทัพกลับมาช่วย เราก็ซุ่มตีเสียที่กลางทาง กองทัพของพังจวนจักต้องพ่ายเป็นแน่แท้ การโอบล้อมนครหานตานไม่ต้องตีก็หลุดไปเอง เถียนจี้ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี จึงเปลี่ยนคำสั่งให้บุกเข้าไป ทางแคว้นเว่ย แคว้นเว่ยได้ข่าวว่ากองทัพฉีจะบุกเข้าตีเซียงหลิง ก็ส่งม้าเร็วไปแจ้งแก่พังจวน พังจวนตกใจ ถ้าเซียงหลิงแตก นครต้าเหลียงก็รักษาไว้ไม่ได้ สถานการณ์คับขันยิ่งนัก จึงสั่งให้ถอนทัพ ยักกลับมาช่วยเซียงหลิง การโอบล้อมนครหานตานก็ปลดเปลื้องไปได้ ซุนปินทราบว่าพังจวนถอนทัพกลับ ก็ซุ่มทหารไว้ที่กุ้ยหลิงอันเป็น เส้นทางคมนาคมสำคัญ รอกองทัพของพังจวน และส่งกองหน้าไปลวงทัพของพังจวนให้ถลำเข้ามา พังจวนพบกับ กองหน้าของแคว้นฉี ด้วยความแค้นเคืองจึงตามตีอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็หลงกลของทัพฉี ทหารเว่ยเดินทาง มาเหน็ดเหนื่อย กำลังก็อ่อนเปลี้ย เมื่อตกอยู่ในวงซุ่มตี ก็แตกตื่นมิเป็นอันสู้รบ หลบหนีกระจัดกระจายมิเป็นกระบวน พังจวนก็ไม่อาจบัญชาการรบได้ ทัพฉีก็ฉวยโอกาสไล่ฆ่าฟันทหารเว่ยอย่างมันมือ ทัพเว่ยพ่ายแพ้ยับเยิน พังจวนจึงได้แต่รวบรวมไพร่พลที่หลงเหลืออยู่กลับแคว้นเว่ยอย่างเจ็บช้ำ ต่อมาจึงส่งคนสืบทราบว่า เป็นแผนของซุนปิน ก็ให้แค้นเคืองยิ่งนัก ส่วนทัพฉีก็ได้รับชัยชนะกลับไป เมื่อได้แก้แค้นดังนี้แล้ว ซุนปินจึงค่อยสบายใจขึ้น และนี่ก็คือกลยุทธ์ ล้อมเว่ยช่วยเจ้า อันลือชื่อของซุนปิน ต่อมาอีก ๑๐ ปี แคว้นหานกลืนแคว้นเจิ้น นับวันเข้มแข็งขึ้น แคว้นจ้าวซึ่งยังเคืองแค้นแคว้นเว่ยอยู่ไม่หาย เมื่อคราวส่งทัพมาล้อมนครหานตานจึงส่งทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นหาน ในระหว่างงานกินเลี้ยง ทูตแคว้นจ้าวก็เสนอให้แคว้นหานกับแคว้นจ้าวร่วมมือกันบุกแคว้นเว่ย เว่ยแตกเมื่อใดก็ให้เอาดินแดนมา แบ่งกันคนละครึ่ง แต่แคว้นหานในปีนั้นผลก็เก็บเกี่ยวเสียหายมาก จึงขอผัดไปเป็นปีหนี้ ความนี้รู้ไปถึงแคว้นเว่ย พังจวนจึงแนะฮุ่ยอ๋องว่า ถ้าปล่อยให้ ๒ แคว้นนี้รวมกำลังกันมาตีเว่ยแล้ว เราก็จะเพลี่ยงพล้ำ เว่ยมิสู้ชิงลงมือก่อน เปิดการเจรจากับแคว้นจ้าว ให้ร่มกันตีแคว้นหาน ถ้าไม่เห็นด้วย เราก็ตีกลืนเอาแคว้นหานมาเสีย แล้วจึงจัดการกับแคว้นจ้าวทีหลัง ฮุ่ยอ๋องเห็นด้วย ตั้งเว่ยเซินบุตรชาย เป็นแม่ทัพหลวง พังจวนเป็นแม่ทัพใหญ่ นำกองทัพมุ่งเข้าแคว้นหาน จนถึงเมืองหลวงนครซินตูของหาน จึงเข้าล้อมไว้ แคว้นหานถูกล้อมเมืองหลวงก็ให้ตกใจนัก ความจริงหานกับจ้าวมีสัญญาบุกเว่ยร่วมกัน แคว้นหานควรที่จะไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นจ้าว แต่เมื่อคิดอีกที ก็เห็นว่าพังจวนเป็นขุนพลที่พ่ายศึก แก่ทัพฉีมาก่อน ขอความช่วยเหลือจากจ้าวมิสู้ขอจากฉี ผู้ครองแคว้นจึงรีบส่งหนังสือขอความช่วยเหลือ ไปยังแคว้นฉี ผู้ครองแคว้นฉีในตอนนี้คือฉีซวนอ๋อง เมื่อรับหนังสือของแคว้นหานแล้วก็เรียกขุนนาง ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้าปรึกษาความ แต่ความเห็นก็แตกออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายบุ๋นที่มิให้ความช่วยเหลือ มีความเห็นว่า หานรบกับเว่ย คงจะอ่อนเปลี้ยไปทั้ง ๒ ฝ่าย จะเป็นคุณแก่เพื่อนบ้าน แต่ฝ่ายบู๊ซึ่งเถียนจี้ เป็นตัวตั้งตัวตี มีความเห็นว่าควรช่วยเพราะ หากเว่ยชนะหานก็ได้หานไป ครั้นแล้วก็จะตีฉีต่อ ฉีจะหาความสงบมิได้ จึงควรช่วยหาน ฉีจึงจะอยู่เป็นสุข ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันมิอาจลงรอยกันได้ ซุนปินเห็นทั้ง ๒ ฝ่ายโต้กันหน้าดำหน้าแดง ก็ยิ้มอยู่ใบหน้ามิปริปากว่ากระไร ฉีซวนอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่า ซุนปินคงมีอุบายดีอยู่ในใจ จึงถามว่า ที่ท่านกุนซือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั้นเพราะเห็นว่าทั้ง ๒ ฝ่าย ล้วนมิควรทั้งสิ้นใช่หรือไม่ ซุนปินจึงตอบว่า ที่แล้วมาเว่ยถือว่าตนแข็งแกร่ง กรีฑาทัพบุกจ้าว บัดนี้ก็บุกหานอีก ใจของเว่ยคิดแต่จะกลืนหานกลืนจ้าว เท่านั้นหรือ หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลืนหานกลืนจ้าว แล้วปลายหอกก็จะพุ่งมาหาฉีแน่นอนไม่ช่วยหาน เว่ยได้หานไปก็เข้มแข็งขึ้น ไม่เป็นคุณแก่ฉี ไม่ช่วยหาน จึงไม่ถูกแต่เมื่อเว่ยบุกหาน หานยังมิทันรบ ฉีก็ไปรบแทน ทำให้ฉีเสียกำลัง หานกลับนั่งสบายใจเฉิบ ฉะนั้นที่เร่งไปช่วยหานในทันทีจึงไม่ถูกเช่นกัน ฉีซวนอ๋องกับเหล่าขุนนางก็เห็นพ้องกับซุนปิน แต่แคว้นฉี ควรจะทำประการใด ก็ยังคงถกเถียงกันมิมีข้อยุติ ฉีซวนอ๋องให้รู้สึกกลัดกลุ้ม จึงหันมาถามซุนปินว่า ช่วยก็ไม่ได้ ไม่ช่วยก็ไม่ดี ท่านกุนซือมีความเห็นเป็นประการใดหรือ ซุนปินจึงตอบว่า เราควรจะตอบรับช่วยหาน ให้พวกเขาสบายใจ ว่ามีแคว้นฉีหนุนหลังพวกเขาอยู่จักได้ต่อต้านกับเว่ย อย่างสุดฤทธิ์ เว่ยก็จะตีหานอย่างสุดกำลัง รอจนเมื่อกำลังหานอ่อนเปลี้ย เว่ยก็เสียหายไปพอสมควร เราจึงยกทัพไปตีเว่ยช่วยหาน กำลังก็จะไม่เสียหายมากนัก แต่ผลได้จักเป็นทวีคูณ ฉีซวนอ๋องจึงรับปากกับทูตหานว่าจะส่งกองทัพไปช่วยโดยเร็ว ผู้ครองแคว้นหานดีใจ ระดมกำลังต้านทาน ทัพเว่ยอย่างเต็มที่ แต่ก็พ่ายแพ้เป็นหลายครั้ง จึงส่งคนไปเร่งขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉีอีก ฉีซวนอ๋องจึงตั้งให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษา ยกทัพไปช่วยแคว้นหาน หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒ ล้อมเว่ยช่วยเจ้า (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:01:58 PM เมื่อกองทัพฉีพ้นจากดินแดนของตน เถียนจี้ก็สั่งให้มุ่งหน้าไปยังนครซินตูที่กำลังรบพุ่งกันอยู่
แต่ซุนปินห้ามไว้ กล่าวว่า คราวก่อนเราช่วยจ้าวก็มิได้เข้าจ้าว คราวนี้ช่วยหานก็มิจำต้องเข้าแดนหานเช่นกัน เถียนจี้จึงถามว่า หรือท่านจักให้ทำตามแบบเดิมคราวนี้ถ้าพังจวนมองออก เรามิแย่หรือ ซุนปินจึงตอบว่า มีแต่บุกเข้าจุดที่เว่ยต้องถอนทัพกลับมาช่วย จึงจะช่วยหานไว้ได้ แม้จะรู้เขาก็จนปัญญา เถียนจี้จึงสั่งทหาร พุ่งเข้านครต้าเหลียงเฉกเช่นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน พังจวนกำลังได้ใจที่ชนะทัพหานครั้งแล้วครั้งเล่า เสร็จจากจ้าว เราก็สามารถระดมรี้พลจากหานและจ้าวไปบุกฉี เมื่อหาน จ้าว ฉี ล่มแล้ว แผ่นดินนี้จักพ้นมือเว่ยได้ไฉน เราพังจวนก็จะเป็นขุนพลที่มีแต่ความดีความชอบหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ในขณะที่พังจวนเคลิบเคลิ้มอยู่กับ ความฝันอันบรรเจิดอยู่นั้น ก็มีม้าเร็วมาส่งข่าวว่า กองทัพฉีบุกเข้าแคว้นเว่ย กำลังเข้าตีนครต้าเหลียง ให้พังจวนรีบถอนทัพกลับไปช่วยโดยเร็ว พังจวนตกตะลึง เมื่อคราวที่แล้วกำลังตีหานตานอยู่ ทัพฉีก็บุกเข้าเว่ย จนเราต้องถอนทัพกลับ คราวนี้ซินตูก็กำลังจะเข้าปาก ทัพฉีก็ตีเว่ยอีกเห็นที่จะต้องถอยทัพอีกแล้วคราวนี้ พังจวนให้รู้สึกเดือดดาลยิ่งนัก คงจะเป็นฝีมือของเจ้าซุนปินอีกเยี่ยงก่อน ในชีวิตนี้ถ้าฆ่าเจ้าไม่ได้กับมือ ข้าก็จักไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป แต่ก็จนปัญญา จำต้องถอยทัพกลับไปด้วยความเสียดายและเจ็บแค้นระคนกัน ส่วนเมืองหลวงซินตูของแคว้นหานก็รอดพ้นจากความพินาศไปอย่างหวุดหวิด และปลอดจากการถูกล้อมนครในบัดนั้น ซุนปินได้ข่าวการถอยทัพกลับมาช่วยต้าเหลียงของพังจวนแล้ว ก็พูดกับเถียนจี้ว่า การบุกตีจ้าวและหานทั้ง ๒ ครั้ง ของพังจวน แต่ถูกเราโจมตีนครต้าเหลียงจนต้องล้มเหลวลง พังจวนคงจะต้องแค้นเคืองเป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าจักฉวยโอกาสนี้สั่งสอนเขาให้สำนึก ทหารแคว้นหาน จ้าวและเว่ยนั้น ลือชื่อในทางห้าวหาญ ส่วนทหารฉีของเรานั้นเล่า มักจะถูกดูหมิ่นว่าขี้ขลาดตาขาว ทหารของเว่ยก็ยิ่งมิเห็นทหารเราอยู่ในสายตา เราควรจะใช้การดูหมิ่นเช่นนี้ตกกระไดพลอยโจน แปลงส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เป็นประโยชน์เสีย ตำราพิชัยสงครามว่าไว้ว่า การเร่งเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นระยะทาง ๑๐๐ ลี้ เพื่อแสวงหาชัยชนะนั้น แม้แต่แม่ทัพทั้งสาม ( ทัพกลางปีกซ้าย ปีกขวา) ก็อาจตกเป็นเชลยได้ เพราะจะมีทหารเพียง ๑ ใน ๑๐ เท่านั้นที่ไปถึงที่หมาย ถ้าหากเร่งเดินทัพในระยะทาง ๕๐ ลี้ ทัพหน้าก็อาจ ประสบความล้มเหลว เพราะจะมีทหารถึงที่หมายเพียงครึ่งเดียว ฉะนั้น เมื่อกองทัพของเราเข้าเขตเว่ย ก็จงทำให้ดูเสมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียกเพื่อลวงข้าศึกให้ตกหลุมพราง เถียนจี้จึงถามว่า ท่านกุนซือจักทำประการใดจึงลวงข้าศึกได้ ซุนปินจึงตอบว่า พังจวนไล่ตามทัพเรามา เราควรจะรีบถอนตัวออกจากแคว้นเว่ยขณะถอยให้แสร้างทำเป็นตาลีตาลาน วันนี้ก่อเตาหุงต้ม สำหรับไพร่พล ๑๐ หมื่น พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ให้ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ รอเมื่อพังจวนไล่มาถึงเห็นเตาหุงต้ม เราลดน้อยลงไปเป็นลำดับ ก็คงเข้าใจว่าทหารเรารักตัวกลัวตาย หนีทัพเป็นครึ่งค่อน ก็เกิดความย่ามใจ ไล่ตามมิหยุด รอจนเมื่อเข้าเขตฉี ทหารเขาก็เหนื่อยเพลียหมดเรี่ยวหมดแรง ในตอนนั้น จึงค่อยหาอุบายจัดการ ศีรษะของพังจวนคงจะถูกกุดด้วยดาบของฝ่ายเราเป็นแม่นมั่น เถียนจี้รับคำแล้วจัดการตามคำของซุนปินทุกประการ พังจวนนำทัพเว่ยรุดกลับมายังนครต้าเหลียง ก็ทราบว่าทหารฉีถอยไปทางพรมแดนของตน ด้วยความโทสะ คิดจะรบแตกหักบดขยี้ซุนปินให้ราบเป็นหน้ากลองจึงเร่งทัพเว่ยให้ไล่ตามทัพฉีไปมิรอช้า ตลอดทางพังจวน ก็สั่งให้คนสังเกตดูร่องรอยของทหารฉีเพื่อทราบสภาพกำลังทัพ วันแรกก็พบว่ามีเตาหุงต้มสำหรับทหารถึง ๑๐ หมื่นคน ก็ให้ตกใจ อุทานขึ้นว่า ทัพฉีมีไพร่พลถึง ๑๐หมื่น จักดูเบามิได้ ในวันหลัง ๆ ต่อมาก็พบว่าลดเหลือ ๕ หมื่น ๓ หมื่น และลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ พังจวนดีใจนัก กว่าว่า ทหารฉีร่อยหรอลงทุกวันคงจะหนีทัพกันไปกว่าครึ่งค่อน หาได้เป็นกองทัพอีกต่อไปไม่ เป็นโอกาสดีแก่เราพังจวนที่จะสร้างความชอบและแก้แค้นซุนปินเสียให้สาสม ว่าแล้วก็เอามือตบหน้าผาก หัวเราะร่าด้วยความชอบใจ เว่ยเซินสงสัย พังจวนถึงแจ้งความคิดของตนให้ทราบ เว่ยเซินเตือนว่า คนเมืองฉีมากด้วยเล่ห์ ทั้งมีกุนซือซุนปินอยู่ด้วย ท่านขุนพลมิควรประมาท พังจวนกลับย้อนเถียงว่า เถียนจี้วันนี้ถึงคราวตายของมันแล้ว ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจักล้างแค้นเอาตัวเถียนจี้กับซุนปินมาให้ท่านดูเล่นเป็นขวัญตา ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารชาญศึก ๒ หมื่นคนไล่ตามทัพฉีไปอย่างเร่งรุด มีตนเองกับเว่ยเซินเป็นผู้นำทัพ นอกนั้นก็มอบให้ พังชงผู้เป็นหลานชายนำทัพตามหลังไป ซุนปินเมื่อวางอุบายไว้แล้ว ก็คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของข้าศึกอยู่ตลอดเวลา เมื่อทราบว่าพังจวนกับเว่ยเซินนำกำลัง ๒ หมื่นไล่ตามมาทั้งกลางวันกลางคืน ก็คาดคะเนว่าพอพลบค่ำ ทัพของพังจวน ก็จะมาถึงหม่าหลิงซึ่งเป็นหุบอยู่ระหว่างเขา ๒ ลูก ทางเดินก็อยู่ในหุบเขานั้น มีลำธารคดเคี้ยวไปตามซอกเขา ริมทางเดินมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง นับเป็นชัยภูมิซุ่มตีชั้นยอด ซุนปินจึงสั่งให้ทหารขูดเปลือกไม้ออกส่วนหนึ่ง ให้เห็นเนื้อไม้สีขาว แล้วใช้ถ่านเขียนอักษรไว้บนเนื้อไม้นั้นว่า พังจวนตายอยู่ใต้ต้นไม้นี้ ครั้นแล้วก็ให้ทหารตัดต้นไม้ มาสุมไว้เป็นภูเขาเลากาเพื่อขวางทางออกของทหารเว่ย แล้วให้กองทัพเกาทัณฑ์ ๑ หมื่นขึ้นไปซุ่มอยู่บนภูเขา สั่งว่า หากเห็นแสงไฟวาบสว่างขึ้นที่ใต้ต้นไม้นั้นในตอนฟ้ามือ ก็ให้ระดมยิงไปยังที่นั้น พร้อมกับสั่งให้เถียนอิงบุตรชายของเถียนจี้ นำกำลังอีก ๑ หมื่น ซุ่มตัวห่างจาหม่าหลิงไป ๓ ลี้ รอเมื่อทัพเว่ยผ่านไปแล้วให้ปิดทางถอยเสียและรุกไล่โจมตีทางเบื้องหลัง ส่วนซุนปินกับเถียนจี้ก็ซุ่มอยู่อีกทางหนึ่ง คอยต้อนรับทัพเว่ยเข้ามาในกับดัก พังจวนเร่งเดินทัพมาทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อขับไล่ให้ทันทัพฉีโดยมิได้คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของเหล่าทหาร พอฟ้ามืดก็เข้ามาถึงหุบเขาหม่าหลิง เวลานั้นเป็นคืนข้างแรมของเดือนสิบ ไม่มีแสงจันทร์มีแต่แสงดาวรุบหรู่ ทันใดนั้นทหารส่วนหน้าก็มาแจ้งว่า ทางข้าหน้ามีต้นไม้ถูกตัดสุมขวางทางอยู่ เดินทัพต่อไปมิได้ พังจวนกลับคิดว่า ชะรอยเถียนจี้กับซุนปินเห็นจวนตัวจึงตัดต้นไม้ขวางทางเราไว้มิให้ไล่ทัน จึงสั่งให้รีบรื้อถอนเอาต้นไม้ออกเสีย ทัพเว่ยจึงจุกกันอยู่เต็มในหุบเขาที่มีพื้นที่เท่ากระแบะมือ ครู่ใหญ่ทหารส่วนหน้าก็มาแจ้งอีกว่า ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่ เขียนตัวอักษรอยู่หลายตัว ขอให้แม่ทัพไปตรวจดูด้วยตนเอง พังจวนจึงไปยังต้นไม้นั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นตัวอักษร เพราะความมืด จึงตะโกนสั่งทหารว่า จุดไฟมาดู พอทหารนำไฟเข้าไปส่องดู พังจวนก็หน้าถอดสีร้องขึ้นว่า เราหลงกลของ เจ้าคนสักหน้าขาหักเสียแล้ว รีบสั่งให้ทหารเร่งถอยหลังกลับ แต่ก็ช้าเกินการณ์เกาทัณฑ์เป็นหมื่นระดมยิงดังสายฝนลงมา จากภูเขาเกือบจะพร้อมกันเมื่อเห็นแสงไฟ ทางข้างหน้าก็มีต้นไม้ขวางเป็นภูเขาอยู่ ข้างหลังเล่าก็มีทหารเป็นหมื่นปิดทางถอย ทัพเว่ยทำอะไรไม่ได้แม้จะขยับตัว พังจวนก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าไปหลายดอก เจ็บกายมิเท่าเจ็บใจ พังจวนถอนหายใจยาว เฮือกสุดท้ายด้วยความปวดร้าว แหงนหน้าขึ้นฟ้าร้องตะโกนว่า เราเสียใจนักที่ไม่ฆ่าเจ้าคนสักหน้าขาหักเสียแต่ในครั้งกระโน้น วันนี้จึงกลับต้องมาช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของมันให้โด่งดังไปเสียอีก ว่าแล้วก็ชักดาบออกมาแทงตัวตาย พังอิงบุตรชายพังจวน ซึ่งติดตามบิดามาติด ๆ ก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าที่สำคัญตายอยู่ข้างกายบิดานั้นเอง เว่ยเซินซึ่งคุมทัพอยู่เบื้องหลัง เห็นไม่เป็นการ จึงสั่งทหารให้รีบถอยออกจากหุบหม่าหลิง แต่ก็ถูกเถียนอิงตีกระหนาบเข้ามา ทหารเว่ยจึงแตกกระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน เว่ยเซินถูกจับเป็น ขังไว้ในรถศึก ทหารชาญศึกของแคว้นเว่ย ๒ หมื่น แตกพ่ายยับเยิน ที่ตายก็ตาย ที่เจ็บก็เจ็บ อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายแหล่ก็ถูกฝ่ายฉียึดไปหมดสิ้น กองทัพฉีกลับเมืองด้วยความมีชัย แค้นของซุนปินได้รับการชำระไปสิ้นแล้ว ด้วยกลยุทธ์ที่ ล้อมเว่ยช่วยจ้าว และ ล้อมเว่ยช่วยหาน ที่โด่งดังมาแต่โบราณกาลตราบเท่าทุกวันนี้ อีกเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือเรื่องกรณีเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา ดังที่ทราบกันเป็นอย่างดีถึงข่าวเปิดว่า เป็นกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่พึงพอใจดาราไทยที่กล่าวดูหมิ่นศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาต้องออกมาต่อต้าน และเผาสถานทูตไทยในที่สุด แต่ถ้าวิเคราะห์ประกอบกับหลักฐานด้านความมั่นคงอย่างชัดเจนแล้วจะเห็นว่า เรื่องราวไม่ได้เป็นดังที่ทราบกันแต่อย่างใด แต่เป็นการต่อสู้ของประเทศมหาอำนาจที่แย่งชิงความเป็นใหญ่กันในภูมิภาคนี้ กล่าวคือ สหรัฐฯ ซึ่งพยายามที่จะปิดล้อมจีนทุกวิถีทาง ในส่วนที่อยู่ทางด้านพม่าสหรัฐฯ พยายามที่จะสนับสนุนให้ไทย ก่อสงครามกับพม่าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของพม่า และเป็นเส้นทางแห่งผลประโยชน์ อย่างมหาศาลของจีน จีนจึงต้องรักษาไว้อย่างสุดชีวิต ( ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในกลยุทธ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพม่า ) ด้วยความพยายามอย่างยาวนานที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะให้ไทยเป็นเครื่องมือในการตัดเส้นทางดังกล่าวของจีนแต่ก็ยังไม่เป็นผล อีกด้านหนึ่งเมื่อฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขึ้นครองอำนาจอย่างสมบูรณ์เหนือกัมพูชาาฝ่ายอื่น ๆ ทำให้กัมพูชาเป็นเอกภาพ มากยิ่งขึ้น ฮุน เซน ต้องการที่จะสร้างชาติให้มีความเจริญขึ้นรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ จึงรับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายของสหรัฐอเมริกา ฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายจีน ฝ่ายใต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ รวมทั้งกลุ่มประเทศจากสหภาพยุโรป เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ทำให้สหรัฐฯ ไม่ลังเลที่จะทำการรุกเพื่อกำจัดอิทธิพลของจีนที่กำลังใช้อิทธิพลทางด้านการค้าของตน เข้าครอบงำกัมพูชา สหรัฐฯ ได้แสวงประโยชน์ส่วนหนึ่งจากการที่นักธุรกิจของคนไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา เป็นฐานในการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวของจีนกับรัสเซีย ซึ่งเครื่องตรวจจับดังกล่าวนี้ติดตั้งอยู่ที่ทำการ บริษัทของคนไทยที่จีนเชื่อว่าเป็นฝ่ายเดียวกับสหรัฐฯ เครื่องมือดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงมากสามารถที่จะเชื่อมโยง การทำงานด้านการตรวจจับการเคลื่อนไหวของทุก ๆ ประเทศในแถบทวีปเอเชีย ถึงออสเตรเลีย ถึงปักกิ่ง และถึงมอสโคว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความคาดคิดของคนทั่วไปว่าเครื่องมือชนิดนี้จะทำได้ โดยมีดาวเทียมจำนวนมากเชื่อมต่อกับเครื่องมือเหล่านี้ ที่โคจรเหนือน่านฟ้าบริเวณทวีปเอเชีย จีนรู้ดีถึงเรื่องนี้เพราะเครื่องมือพิสูจน์ทราบเรื่องนี้จีนได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ทำให้รู้การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดได้เช่นกัน เครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่อยู่ในกัมพูชา นับเป็นภัยคุกคามต่อจีนและรัสเซียเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการปิดล้อมของสหรัฐฯ ต่อจีนมีหลายด้านทั้งด้านพม่าที่สหรัฐฯ กำลังรุกจีนอย่างหนัก ด้านเกาหลี ด้านไต้หวัน แต่ด้านที่มาแรงที่สุดในขณะนั้นคือประมาณ ต้นปี ๒๕๔๖( ม.ค. ๒๕๔๖ ) คือด้านกัมพูชา จึงจำเป็นที่จีนจะต้องกำจัดหอกข้างแคร่ส่วนนี้ให้ได้ จีนจึงร่วมมือกับรัสเซีย และกลุ่มอียู พร้อมกับติดสินบน ฮุน เซน จำนวนหนึ่งให้ช่วยสร้างเรื่องราวที่ดูแล้วสมเหตุสมผลหน่อยแล้วลงมือเผาที่ทำการบริษัทการค้าของไทยที่เป็น สถานที่ตั้งของเครื่องมือดังกล่าวจนเรียบแล้วสร้างเรื่องว่าเป็นเรื่องความมีชาตินิยมของชาวกัมพูชาต่อการดูหมิ่นเหยียดหยาม ศักดิ์ศรีชาวกัมพูชาแล้วชาวกัมพูชาบุกเข้าเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา พร้อมกันนั้น จีนยังขู่อีกว่าถ้าสหรัฐฯยังไม่ยุติ การรุกด้านพม่าอีกจีนจะเผาเครื่องมือของสหรัฐฯ อีกหลายที่ จนทำให้สหรัฐฯ ยุติการรุกด้านพม่าไปโดยสิ้นเชิงจะเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ ต่อการรุกด้านพม่าอีกเลย ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ถูกบีบคั้นให้สร้างความขัดแย้งกับพม่าอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่สหรัฐฯ หันกลับไปสร้างเรื่องที่อินโดนีเซีย และภาคใต้ของไทยที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ในขณะนี้แทน ( ๒๕๔๗ ) กลยุทธ์นี้ก็สามารถ ที่จะอธิบายได้ว่าจีนเข้าเผาทำลายเครื่องมือสำคัญของสหรัฐฯ เพื่อบีบบังคับให้สหรัฐฯต้องถอนกำลังและความพยายามทั้งหลาย จากด้านพม่าที่นับว่าเป็นจุดศูนย์ดุลที่สำคัญของจีน ก็นับว่าได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ท่านผู้อ่านสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง กรณีตัวอย่างที่สองนี้ อย่าเพิ่งเชื่อข่าวที่นำเสนอทั้งหมดที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ข่าวที่ดีควรจะฉุกคิดในด้านตรงข้าม กับข่าวที่ได้รับไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกครอบงำด้วยข่าวจากสื่อทั้งหลายที่มีผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังและมีจุดประสงค์แอบแฝง อยู่ตลอดเวลา ดังที่ซุน วู กล่าวว่า การสงครามทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของการลวง... การใช้สื่อเสนอข่าวก็เป็นสงคราม ชนิดหนึ่งในยุคโลกาภิวัฒน์ กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า อย่าปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า ควรใช้ยุทธวิธีวกวนที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนแบ่งแยกกำลังของข้าศึก ให้กระจายเป็นหลายส่วน แล้วจึงพิชิต หัวข้อ: กลยุทธที่ ๓ ยืมดาบฆ่าคน เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:19:59 PM กลยุทธที่ ๓ ยืมดาบฆ่าคน
ศัตรูชัด มิตรลังเล ชักจูงมิตรสังหารศัตรู มิใช้กำลังตน เลี่ยงความสูญเสีย กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อศัตรูปรากฏแน่ชัด แต่มิตรยังลังเล สิ่งที่พึงกระทำก็คือล่อให้พันธมิตร ออกไปปะทะศัตรู นี่เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่ใช้ความขัดแย้ง ยืมกำลังของตนอื่นไปทำลายศัตรู เพื่อรักษากำลังของตนเองไว้ แต่การยืมเช่นนี้จะต้องให้แนบเนียน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจทำลายศัตรูได้ กลับอาจจะถูกศัตรูย้อนรอย กลยุทธ์นี้ได้กล่าวไว้ในหนังสือ บันทึกประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น และ สามก๊ก เป็นต้น ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้ในการต่อสู้ที่เห็นอยู่ ในปัจจุบันนี้คือเรื่องการที่ชาวยิวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของโลกและในสหรัฐอเมริกาได้ยืมมือสหรัฐอเมริกา ในการต่อสู้กับศัตรูของชาวยิวทั่วโลกในขณะนี้คือ ชาวมุสลิมทั่วโลก ดังมีรายละเอียดที่จะกล่าวถึง การใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้ ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสังคมของชาวอเมริกันและรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะ เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่แล้วมีอิทธิพลในการครอบครองธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมที่มีเครือข่ายทั่วโลกและ โครงการอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธเทคโนโลยีสูงทั้งหลาย เป้าหมายทางศาสนาก็ยังเป็นเป้าหมาย ในการดำเนินงานของกลุ่มนักธุรกิจชาวยิวในอันที่จะรวบรวมชาวยิวทั่วโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว ถึงแม้ว่าชาวยิวทั่วโลกจะมีจำนวนประชากรน้อยก็ตาม ( ประมาณ ๑๒ ล้านคนเศษ ) แต่อิทธิพลของชาวยิว ก็ได้ครอบคลุมแผ่ไพศาลไปทั่วโลกด้วยธุรกิจทั้งหลายที่ชาวยิวถือครองอยู่อันมีธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม เป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีคุณค่าเพิ่มทางด้านอิทธิพลของธุรกิจดังกล่าวในยุคข้อมูลข่าวสารด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความมีอิทธิพลของกลุ่มชาวยิวขึ้นโดยลำดับ ตัวอย่างสำหรับธุรกิจขนาดยักษ์เกี่ยวกับสื่อสารโทรคมนาคม ทั้งภายในสหรัฐอเมริกาเองและที่มีเครือข่ายและมีอิทธิพลครอบงำไปทั่วโลกนั้นประกอบไปด้วย Touchstone Television, Buena Television, ABC Television ,Walt Disney Groups, ESPN Groups , Touchstone Pictures, Holly-wood Pictures , Caravan Pictures, Miramax Films, Warners Braders , Time Magazine, AOL Time Warner inc., CNN ( Jew and Catholic ) and CBS Groups. ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มธุรกิจชาวยิวยังมีอิทธิพลส่วนหนึ่งครอบคลุมไปถึงธุรกิจด้านการเงินการธนาคาร และแม้กระทั่งในธุรกิจการเมือง ชาวยิวก็ยังมีอิทธิพลไม่น้อยในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งประเทศอิสราเอลเป็นต้นมากลุ่มชาวยิวได้ใช้ อิทธิพลของตนในธุรกิจด้านต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วผลักดันรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ทำสงครามกับชาวมุสลิม ซึ่งเป็นคู่อาฆาตตลอดกาลของชาวยิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวมุสลิมที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งมีผลกระทบโดยตรง ต่อการดำรงอยู่ของรัฐอิสราเอล เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของชาวยิวจึงได้สร้างสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้น กับชาวคาทอลิกเพื่อที่จะร่วมมือกันสร้างสงครามกับชาวมุสลิม การทำสงครามได้ดำเนินไปในหลายรูปแบบ ทั้งสงครามทางด้านเศรษฐกิจ สงครามที่ต้องใช้กำลังทางทหารรวมทั้งสงครามจิตวิทยา ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมที่มีชื่อกระฉ่อนโลกอยู่หลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ มาแล้วนั้นเป็นผลงาน การสร้างของสองกลุ่มทางศาสนาใหญ่ ๆ คือ กลุ่มชาวยิวและกลุ่มชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นผู้บงการ ให้เกิดภาพลักษณ์เช่นนั้นขึ้นต่อสายตามชาวโลก ( การใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ในการอธิบาย เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ และ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย โดย พันโท โสภณ ศิริงาม นักศึกษา วปอ.สปจ.รุ่น ๑๑ , http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com http://www.thai.net/specialforce/allcon.htm ) โดยสรุปแล้วที่เห็นได้ชัดที่สุดที่กลุ่มชาวยิวได้ยืมมือของสหรัฐอเมริกามาใช้ในการฆ่าศัตรูตัวฉกาจของตนคือ ๑) การให้สหรัฐฯ สร้างชาวมุสลิมให้เป็นผู้ก่อการร้ายทั่วโลก ซึ่งลักษณะเช่นนี้ก็เท่ากับการฆ่าชาวมุสลิมทั้งหมด ท่ามกลางสายตาประชาคมโลกที่เห็นแต่ชาวมุสลิมเท่านั้นที่เป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ว่าเกิดการก่อการร้าย ณ พื้นที่ใด ผู้ที่ออกมารับผิดชอบล้วนแล้วแต่เป็นชาวมุสลิมทั้งสิ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ชาวมุสลิมที่ถูกกล่าวอ้างชื่อที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับผู้ก่อการร้ายทั่วโลกล้วนแล้วแต่เป็นมุสลิมนอกแถวที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร ซีไอเอ ของสหรัฐฯ เช่น บิน ลาเดน ก็เป็นฝีมือการสร้างของสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ก็ยังให้การสนับสนุนบิน ลาเดน อยู่ตลอดเวลาเท่าทักวันนี้ แต่ข่าวที่ออกมา ( ซึ่งข่าวก็คือการทำสงครามอย่างหนึ่งที่สหรัฐฯ และชาวยิวใช้เป็นเครื่องมือดังที่กล่าวมาแล้ว จะพูดอย่างไรก็ได้ตามที่ ผู้ที่ควบคุมจะต้องการให้ทำ ซึ่งกล่าวอย่างสม่ำเสมอว่าเป็นฝีมือของบิน ลาเดน และจะได้กล่าวถึงความเป็นมา ของ บิน ลาเดน ภาคพิสดารต่อไป ) นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มมุสลิมเสรีที่คอยหักหลังมุสลิมด้วยกัน กลุ่มนี้ก็ได้รับการสนับสนุน ด้านการเงินจากสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน กลุ่มก่อการร้ายที่มีชื่อติดอยู่ในหูของชาวโลกในปัจจุบันนี้ที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอยู่ ประกอบไปด้วย กลุ่มอัลกอร์ อิดะห์ ของ โอซามา บิน ลาเดน กลุ่มเจไอ กลุ่มอามูซายาฟ และอื่น ๆ อีก รายละเอียดดูได้จาก CIA the foundation of Global Terrorist Operation: http://www.thai.net/specialforce/allcon.htm ( The Terrorism Information Center would like to thank Dr.Ben B. Hunter for providing the special terrorist profiles that are listed on this page.) ๒) การใช้การก่อการร้ายที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นแล้วเข้าควบคุมประเทศมุสลิมในภูมิภาคต่าง ๆ นี่ก็เท่ากับว่า เป็นการใช้มือของสหรัฐฯ ในการฆ่าศัตรูของตนโดยปริยาย โดยที่กลุ่มนักธุรกิจชาวยิวผู้ทรงอิทธิพล คอยให้การสนับสนุนรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง ๓) การที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนการป้องกันตนเองของชาวยิวในดินแดนอิสราเอล จะเห็นได้ว่า ชาวยิวในอิสราเอลเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มากมายอะไรเลยอยู่ท่ามกลางประเทศมุสลิมจำนวนมาก มีหลายครั้งที่ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางได้รวมกำลังทหารกันเข้าโจมตีอิสราเอลแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ เพราะสหรัฐฯ คอยปกป้องคุ้มครองอยู่เสมอ แม้แต่กรณีสงครามยมคิปปูหรือสงคราม ๖ วัน อันลือลั่นของอิสราเอลกับอาหรับ ถ้าสหรัฐฯ ไม่ได้ให้การสนับสนุนโดยการใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้ามาขู่ ชาวอาหรับแล้วไม่มีทางที่อิสราเอลจะได้ชัยชนะในสงครามนี้ ( แต่การใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้ามาขู่ ไม่ได้กล่าวไว้ในกรณีศึกษาใด ๆ ) ๔) รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนชาวยิวและอิสราเอลบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศทุกรณี โดยผู้ผลักดันคือกลุ่มนักธุรกิจชาวยิวที่มีอิทธิพลครอบงำการเมืองสหรัฐอเมริกานั่นเอง กลยุทธ์นี้จึมีผู้สรุปว่า เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตร ไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีการทั้งปวง หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: CT_Pro4 ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:29:33 PM ...ขอบคุณท่าน Narongt ที่หาเรื่องน่าอ่านมาให้พวกเราอ่านประดับความรู้กันเสมอๆ ครับ... ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: โทน73 -รักในหลวง- ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 04:36:30 PM ขอบคุณครับ แนะนำที่ขายหนังสือดีกว่าครับ :) อ่านซ้ำๆได้ไม่ปวดตา เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ค่อยๆคิดหนะครับ ;)
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 05:01:46 PM ขอบคุณครับ แนะนำที่ขายหนังสือดีกว่าครับ :) อ่านซ้ำๆได้ไม่ปวดตา เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ค่อยๆคิดหนะครับ ;) ไม่ทราบเหมือนกันครับ ต้องไปถามตามร้านหนังสือ บอกชื่อหนังสือและผู้แต่งตามที่ให้ไว้ข้างบนครับ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๔ รอซ้ำยามเปลี้ย เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 05:03:39 PM กลยุทธ์ที่ ๔ รอซ้ำยามเปลี้ย
จักให้ศัตรูลำบาก มิรบด้วย แกร่งเสียอ่อนได้ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสงค์จักทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบากไม่แน่ว่าจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว อาจจะใช้วิธี แกร่งเสียอ่อนได้ ตามที่กล่าวไว้ใน คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เพื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้ ความหมายของ แกร่งเสีย ก็คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนักดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โต เหลือประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย อ่อนได้ ก็คือ ฝ่ายรับที่ทำการป้องกัน ถูกตีกระหน่ำดูแล้วเสมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำลังข้าศึกไม่ขาดระยะ ทำให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่ายเสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม รอโอกาสทำลายข้าศึก แปลงการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำราพิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น ซุน วู ว่าด้วยการศึก ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้ บันทึกจ่อจ้วน บันทึกประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น ซึ่งใน ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้ กล่าวไว้ว่า ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย กลยุทธ์นี้จาก ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่าด้วยการศึก ความเดิมมีว่า ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล ตัวอย่างเรื่องราวประกอบกลยุทธ์มีดังนี้ จากเอกสารประกอบการฝึกแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕ ระหว่าง ๘ พ.ค.๔๓ - ๑๔ ก.ค.๔๓ มีข้อความเกี่ยวกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของไทยอันเป็นผลสืบเนื่องจาก การล่าอาณานิคมยุคใหม่โดยประเทศมหาอำนาจ ซึ่งนำมาสู่การเข้ายึดครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จในทุกมิติ ของพลังอำนาจแห่งชาติ ดังมีข้อความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวดังต่อไปนี้ เอกสารประกอบการฝึก การแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน หลักสูตร นายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕ ๘ พ.ค.๔๓ ถึง ๑๔ ก.ค.๔๓ แผนปฏิบัติการล่าอาณานิคมแบบใหม่ที่คนไทยต้องรู้ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ วันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว จากหัวใจถึงชาวไทย ข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ได้เสนอให้กับหน่วยงานรักษาความมั่นคงระดับสูง อันจัดเป็นมันสมองของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ วางแผน และป้องกันประเทศให้รอดพ้นภยันตราย จากประเทศมหาอำนาจ โดยรวบรวมจากข้อมูล พยานหลักฐานทางราชการ ทั้งโดยทางลับ และสาธารณะ จากสื่อสารมวลชน ทั้งภายในและต่างประเทศที่พิสูจน์ได้และเป็นจริง แต่คงจะเป็นเวรกรรมของประเทศ เนื่องจากว่าประเทศไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยนักวิชาการ ผู้มีความรู้ และผู้อวดสู่รู้มากมาย ซึ่งไร้ประสบการณ์ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เคย หรือทำหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลทางด้านการเงินของประเทศมหาอำนาจมาก่อน ดังนั้น เมื่อบทความดังกล่าวนี้ข้อมูล ได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณา ผลปรากฏว่าได้รับการต่อต้านจากนักวิชาการ และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน ผลจึงปรากฏอย่างที่คุณเห็นอยู่เช่นในปัจจุบันนี้ ข้อมูลของผมดังกล่าวนี้ จะทำให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจลึกซึ้งถึงพื้นฐานและความเป็นมา ต้นเหตุของปัญหาที่ต้องเป็น และจะเป็นไปในอนาคต โปรดทำใจให้ว่าง พิจารณาบนหลักฐานและความเป็นจริงจะเข้าใจ อย่างถ่องแท้ถึงรากเหง้า แห่งปัญหา อันเป็นที่มาของคำตอบว่า เหตุใดสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของความเป็นชาติ และเป็นฐานแห่งสังคมไทยเป็น ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามบอกถึงความมีเอกลักษณ์ของชนชาติไทย จึงต้องถูกทำลาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศ รวมไปถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ระบบ ระเบียบ กฎหมาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนี้คือสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ท่านจะได้รับคำตอบที่เคยสงสัย และคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่อาจพบหนทางช่วยประเทศไทย อันเป็นที่รักของเราให้พ้นจากมหันตภัยที่เกิดขึ้น ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ (Force 21) นับตั้งแต่กลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ จวบจนปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจของไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤตตกต่ำสุดขีดเสียยิ่งกว่า สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเราท่านไม่อาจจะคาดคำนวณกันได้ว่าผลสรุปและจุดจบของสภาวะเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองไปถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ว่า มาจากสภาพเศรษฐกิจของโลกบ้าง การตัดสินใจผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทยบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะกล่าวอ้างกันขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ใด ที่จะบอกกล่าวเล่าเตือนถึงมหันตภัยทางเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ล่วงหน้าถูกต้องได้เลยแม้แต่คนเดียว วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นแทบจะเรียกว่าข้ามคืนเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะใช้หลักวิชาการ มาเป็นตัววิเคราะห์วิจัยก็ไม่สามารถแก้ไขได้แม้แต่น้อย ยิ่งแก้ไขยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์อันดับหนึ่งของโลกผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเดินทางมาบรรยายในประเทศไทย ก็ยังคาดคำนวณสถานภาพเศรษฐกิจไทยล่วงหน้าผิดพลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ฉะนั้นอย่าพูดถึงนักการเมือง นักบริหาร หรือนักวิชาการในประเทศไทยเลย ที่จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ล่วงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร ที่ภาวะวิกฤตนี้ เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเซีย/กำลังอยู่ในภาวะเจริญเกือบสุดขีด จนประเทศเพื่อนบ้านของเรายึดถือเอาประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เงินกู้เงินลงทุน จากต่างประเทศจำนวนมหาศาลที่กำลังไหลเข้าสู่ประเทศไทยมิได้ไหลเข้ามาเพราะคนต่างชาติโง่ หรือคนไทยหลอกลวงเก่ง เพราะการกู้ยืมโดยสถาบันการเงินก็ดี หรือโดยนักธุรกิจอิสระก็ดี เจ้าหนี้ผู้ให้ยืมเงิน หรือร่วมลงทุนเหล่านั้นล้วนเป็นชาวต่างประเทศ ที่มาจากสารพัดชนชาติที่ทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ล้วนแล้วแต่ มีผู้ชำนาญทางการเงิน ซึ่งเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ถึงอนาคตการลงทุน และแนวทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทยว่าจะรุ่งเรืองที่สุด ในย่านภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จึงปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชน ลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุปัจจัยใด ที่พอน่าเชื่อได้ว่านักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักลงทุน ที่ปล่อยเงินกู้เหล่านั้นนัดกันไอคิวตกทั้งโลก หากเช่นนั้นสาเหตุหรือมูลฐานปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไรกันแน่ ที่เป็นสาเหตุให้ประเทศไทยตกเหววิกฤตแห่งเศรษฐกิจเพียงชั่วข้ามคืน นี่แหละคือคำถาม และบทวิเคราะห์ต่อไปนี้ อาจจะเป็นแนวทางที่ ชี้ถึงสาเหตุแห่งธนภัยและวิกฤต ซึ่งจะช่วยในการหาวิธีแก้ไขได้ถูกทางยิ่งขึ้น ในปลายปี ๒๕๑๗ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ได้มีการทบทวนบทบาทของการพ่ายแพ้ในการรบ ในสงครามเวียตนาม พบว่าชัยชนะไม่อาจได้มาด้วยการใช้กำลังอาวุธหรือกำลังพลที่เหนือกว่าตามที่เชื่อกันมาในอดีต ดังนั้นจึงได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้น เพื่อวิเคราะห์ถึงยุทธวิธีสำหรับการรบในศตวรรษที่ ๒๑ (Force 21) ว่าควรเป็นไปในรูปใด จึงจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จถาวร มีการสูญเสียน้อยที่สุด เอื้อผลประโยชน์ให้มากที่สุด และใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติการสั้นที่สุด การวิเคราะห์ทดสอบของหน่วยงานนี้ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ๒๕๓๓ ได้ผลสรุปว่าการยึดอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้นจะให้ชัยชนะและผลประโยชน์อย่างถาวร อันเป็นแผนปฏิบัติการที่ถูกนำมาใช้เรียกว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ โดยมีสมการของยุทธวิธีคือ E = MOC 2 E (Economic) เศรษฐกิจ M (Mental) สร้างความเชื่อใหม่, สลายศรัทธาเดิม O ( Organization) สร้างกระแส, ทำลายระบบการเมือง C (Cash Value) ทำลายค่าของเงิน C (Cash Control) ควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ สาเหตุที่หน่วยงานดังกล่าวต้องใช้สมการนี้เป็นหัวใจของยุทธวิธี ก็เนื่องจากได้วิจัยพบว่า เหล่านักวิชาการ หรือนักเศรษฐศาสตร์ อันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ล้วนร่ำเรียนตามหลักวิชาที่มีรากฐานทางเดียวกันทั้งสิ้น ทั้งการสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ฉะนั้นหากมีปัญหาใดที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจปกติสามัญแล้ว ก็จะไม่พ้นปัญญา ของผู้รู้เหล่านั้นที่จะแก้ไขได้ไม่ยาก ดังนั้นสมการนี้ จึงถูกพัฒนาให้มีความผกผันในตัวของมันเองไม่เพียงแต่ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยพื้นฐานทางวิชาการเท่านั้น สมการนี้ยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้การแก้ปัญหาในทุก ๆ ครั้ง ผิดแนวทางไร้ประโยชน์ และการแก้ไขนั้นจะกลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสมการนี้บรรลุเป้าหมายเร็วยิ่งขึ้นไปอีก โดยอัตโนมัติ เท่ากับเป็นการช่วยเหลือสมการนี้เสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยใดทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะ ได้มีการวางแผนงานไว้แล้วอย่างเป็นขั้นตอน ผู้เขียนขอมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ ของท่านผู้อ่านที่จะวินิจฉัยด้วยภูมิปัญญา ตามหลักวิชาการของแต่ละท่านโดยอิสระ หน่วยงานนี้ได้ค้นพบว่า สมการนี้จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อสามารถหาพื้นที่ อันเป็นฐานที่มั่นถาวรในการปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่เรียกว่า ยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ อันประกอบไปด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์ครบ ๕ ประการ (Give Me 5) คือ ๑. ทางบก มีพื้นที่เป็นผืนเดียวกับแผ่นดินใหญ่ สามารถขยายเส้นทางคมนาคมทั้งทางยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์ หรือเชื่อมต่อกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต และมีอำนาจการซื้อได้โดยง่าย ๒. ทางน้ำ มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่สามารถขยายศักยภาพทางทะเล ทั้งทางทหารและ ทางพาณิชย์(พาณิชย์นาวี) ได้ครอบคลุมภูมิภาค ๓. ทางอากาศ มีความพร้อมในการขยายศักยภาพทางอากาศทั้งทางทหาร และเชิงพาณิชย์ ในพิสัยโดยรอบภูมิภาค ๔. มีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านการเกษตร สามารถขยายฐานผลิตด้านเกษตรได้โดยง่าย และมีพื้นที่ติดกับ ประเทศที่มีฐานทางการเกษตร (เนื่องจากสภาวะเรือน กระจกทำให้ผลผลิตสินค้า ด้านบริโภคจะมีความต้องการสูงขึ้น อย่างไร้ขีดจำกัดในอนาคตของตลาดโลก) ๕. ผูกค่าสกุลเงินตราของประเทศไว้กับเงินสกุลดอลล่าห์ ด้วยปัจจัยหลักดังกล่าวนี้ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศ ที่มีครบทุกประการ ฉะนั้นประเทศไทยอาจถูกเลือกให้เป็นยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ในการดำเนินยุทธวิธี แต่ทั้งนี้การดำเนินยุทธวิธีของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจะต้องขึ้นอยู่กับดัชนีแห่งเวลา(Time Table) เป็นตัวชี้นำว่า เมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะปฏิบัติการใช้ยุทธวิธีนี้ หากดัชนีแห่งเวลาไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้ยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ ไม่สามารถบรรลุผลได้ ดังนั้นยุทธวิธีจึงถูกแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอน โดยมีดัชนีเวลาเป็นตัวกำหนดอัตราเร่ง และปฏิบัติการที่ตายตัว ขั้นตอนที่ ๑ เริ่มในปี ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๓๙ ใช้ยุทธวิธีตัว M(Mental)สร้างค่านิยมใหม่ สลายศรัทธาเดิม ประสานกับ O (Organization) สร้างกระแส ประสานเสริมศักยภาพให้กับ M ขั้นตอนที่ ๒ เริ่มในปี ๒๕๔๐ ใช้ยุทธวิธีของ C(Cash Value)อันเป็นC ตัวที่หนึ่ง เป็นตัวนำโดยการทำลายค่าของเงิน ให้ต่ำลงเพื่อบีบให้เข้าสู่ ขั้นตอนที่ ๓ โดยใช้อัตราเร่งรวมจากผลคูณของ M และ O ขั้นตอนที่ ๓ เริ่มในปี ๒๕๔๑ เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ใช้ยุทธวิธีของ C ตัวที่สองซึ่งจะมีอัตราเร่งสูงสุด จากผลคูณของมวลรวมของ ๑ และ ๒ โดยมีเป้าประสงค์อยู่ที่การเข้าควบคุมระบบการเงินทั้งหมด ให้ได้แบบเบ็ดเสร็จถาวรโดยอาศัยอำนาจทางกฎหมาย หรือวิธีการอื่นใด เมื่อภาระกิจสามขั้นตอนดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นลงตามดัชนีเวลา (Time Table) นั่นก็หมายความว่ายุทธวิธี ทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ บรรลุเป้าประสงค์ สามารถยึดฐานที่มั่นอันถาวรเพื่อปฏิบัติการต่อเนื่องต่อไป ประเทศไทยเป็นประเทศอันอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมถึงขั้นเกือบ ๑๐๐% ที่ได้เตรียมการไว้อย่างเป็นรูปธรรม ในการต้อนรับ นักธุรกิจและนักลงทุนชาวฮ่องกง ที่มีความตั้งใจจะย้ายฐานการดำเนินการดำเนินธุรกิจ จากเกาะฮ่องกงเข้าสู่ประเทศไทย ภายหลังฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน มีการก่อสร้างที่พักอาศัย และอาคารพาณิชย์ ไว้รองรับอย่างพรักพร้อมจึงมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์กันมาก เป็นประวัติการณ์ สถาบันการเงินทุกแห่งต่างปล่อยสินเชื่อ ในด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ด้วยปัจจัยนี้เป็นหลัก ซึ่งหากปล่อยให้นักธุรกิจฮ่องกงย้ายฐานมาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาเซี่ยน ได้เมื่อใดก็ตาม นั่นหมายถึง ความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของเอเซียอันเต็มไปด้วย ทรัพยากรทางเกษตร ซึ่งเปรียบเหมือน กระเพาะของโลก จะเป็นตัวได้เปรียบทางด้านการค้าและการเงินของโลกในอนาคต อย่างมหาศาล เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของตลาดการค้าอื่น ๆ ซึ่งไม่มีพื้นที่จะสร้างผลผลิตทางเกษตร อันปัจจัยหลักในการดำรงชีพ เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และประกอบกับประเทศมหาอำนาจ ได้สูญเสียศักยภาพทางทะเล ในด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังไม่สามารถหามาทดแทนได้ ฉะนั้นอาศัยดัชนีเวลาที่เหมาะสมเป็นไปได้ว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นโดยมีประเทศไทย เป็นเหยื่อแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามยุทธวิธีแห่งสมการดังกล่าวตลอดมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ผู้เขียนจะไม่อธิบายในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้เองอย่างเป็นรูปธรรม ฉะนั้นจะขอลำดับเหตุการณ์ เฉพาะเหตุการณ์สะท้านโลกที่พาประเทศ และประชาชนชาวไทย ก้าวเข้าสู่ห้วงวิกฤต ดังนี้ ในช่วงปลายปี ๒๕๓๙ ได้มีการข่าวที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งจริงและไม่จริง ทำลายความเชื่อมั่น ในสถาบันการเงินอย่างเป็นระลอก นี่เป็นการเริ่มต้นของ M(Mental) อันเป็นอักษรตัวแรกของสมการ เพื่อก่อให้ความเชื่อว่าน่าจะเป็นจริงตามข่าวลือนั้น คือเกิดกระแส O(Organization) อักษรตัวที่สองคือ ความไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเงินเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศไทย จากนั้นเป็นหน้าที่ของ C(Cash Value) อักษรตัวที่สามอันสร้างจากสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ส์ และ เอสแอนพีประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง โดยลดความน่าเชื่อถือของไทยลงไป ตามติดด้วยนายจอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ค่าเงินบาทตกต่ำลงในทันที และการกระทำดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เป็นการกระทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ต่อสู้ตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งได้เคยกระทำมาในอดีตโดยการป้องกันค่าเงินบาท แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ดังได้กล่าวไปแล้วว่าสมการนี้มีความผกผันมากมาย ฉะนั้นยิ่งแก้ไขยิ่งยุ่งเหยิง พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ประกาศจะสู้กับนักค้าเงินให้ถึงที่สุด ไทยเป็นเลือดนักรบ มาแต่บรรพกาล แม้รู้ว่าจะต้องตายก็ขอสู้จนเลือดหยดสุดท้าย แต่ถึงท่านจะเก่งอย่างไร มีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการเงินที่เชี่ยวชาญขนาดไหน ก็ไม่มีวันพ้นศักยภาพแห่งสมการของ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ได้ตั้งดัชนีเวลาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการปล่อยข่าวทำลายศรัทธา(M) ทั้งสถาบันการเงิน และตัวท่านจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดท่านก็พลาดเข้าสู่สมการอุบาทว์แห่งยุทธวิธีนี้จนได้ ในการสั่งปิดสถาบันการเงินต่าง ๆ (O) และในที่สุดในวันที่ ๒ ก.ค.๒๕๔๐ ประเทศไทยต้องประกาศให้เงินบาทลอยตัว(C) ทำให้เงินบาทมีค่าน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน ดูเวลาช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน ย่อมมิใช่เป็นการบังเอิญเป็นแน่ และเป็นอุบัติการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งโลกช็อค หาคำตอบและสาเหตุไม่ได้ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ และไม่มีปัจจัยบอกเหตุทางเศรษฐศาสตร์ ให้รู้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ สมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมิได้หยุดเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งทางของเป้าประสงค์ เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากตัวสมการทุกตัวของยุทธวิธีมีค่าเป็นคูณเสมอ โดยเฉพาะตัวอักษร C นั้นนอกจากจะคูณแล้ว ยังยกกำลังสองอีกด้วย การปฏิบัติการจึงดำเนินต่อไปด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ สมการนี้ก็เริ่มดำเนินการอีก โดยการสร้างความความเชื่อในสังคมว่า ประเทศไทยต้องพึ่ง สถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF แห่งเดียวเท่านั้น จึงจะรอดพ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจ ในขณะที่สถาบันและองค์กรการเงินในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันสถาบัน การสร้างความเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่านโยบายการทำงานของ IMF จะช่วยให้สมการนี้ บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในการสลายองค์กร(C) ซึ่งแน่นอนที่สุดสมการนี้ก็ประสบผลสำเร็จเช่นเคย ประเทศไทยตกลงกู้เงินจาก IMF (ซึ่งเป็นตัวเบิกทางให้กับ C ตัวที่สอง) ให้เข้าควบคุมองค์กรและระบบการเงินของประเทศได้ โดยใช้เงื่อนไขเป็นหลัก ในการดำเนินการในอนาคต เส้นทางของเป้าประสงค์แห่งสมการอุบาทว์นี้ยังอยู่อีกไกล ทั้งนี้เป็นด้วยองค์ประกอบในขณะนั้น พรรคฝ่ายค้านล้วนแล้วแต่เป็นนักกฎหมาย ย่อมคัดค้านต่อรัฐบาลในการที่จะออกกฎหมายให้คนต่างชาติมีสิทธิทางกฎหมาย เท่าเทียมกับคนไทยในประเทศได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสัมฤทธิ์ผลในการเข้ายึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจ โดยสมบูรณ์ตามกฎหมายและดุษณีภาพ สมการของ C ตัวที่สอง ดังนั้นยุทธวิธีทำลายความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม (M) การสร้างแนวร่วมขึ้นต่อต้านโจมตีนโยบายรัฐบาล(O) พร้อมไปกับการลดความเชื่อถือทางการเงินทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างน่าใจหาย (C) ในที่สุดรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ก็จบลง อันเป็นไปตามขั้นตอนของยุทธวิธีแห่งสมการ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๔ รอซ้ำยามเปลี้ย (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 05:08:03 PM รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย เข้ารับหน้าที่แทน มีคณะทีมเศรษฐกิจซึ่งบอกเล่ากล่าวขานกันว่า มีฝีมือในการบริหารการเงิน เพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็มิได้รอดพ้นที่จะเป็นเครื่องมือของสมการอุบาทว์นี้เช่นกัน โดยแทบจะทันทีทันใดหลังรับตำแหน่ง ก็ได้สั่งปิดองค์กรและสถาบันการเงิน ๕๖ แห่งอย่างถาวร ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วการสั่งปิดหรือยึดทรัพย์ สินนั้นเป็นอำนาจของศาล ภายใต้ข้อเท็จจริงอันได้พิสูจน์โดยชัดแจ้ง ซึ่งก็นับว่าขัดต่อกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่จะใช้พิสูจน์ว่า หนี้ใดดีหนี้ใดเสียได้อีกด้วย แต่ด้วยพลังแห่งสมการทำให้ ทีมเศรษฐกิจใช้เพียงข้อสมมุติฐานว่าหากปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้ว จะทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นกลับมาลงทุน และค่าเงินบาทจะสูงขึ้นกว่าเดิม ผลปรากฏว่าต่างชาติกลับลงทุน ในตลาดหุ้นของไทยน้อยลง รวมทั้งค่าเงินบาททำสถิติตกดิ่งต่ำยิ่งกว่าเดิม ผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบายกันซ้ำอีกละว่า ยิ่งแก้เหมือนยิ่งช่วยเร่ง ผลที่เกิดตามมาคือ อุตสาหกรรมการส่งออกขาดสภาพคล่องไม่มีเงินในการซื้อวัตถุดิบในการผลิต พนักงานตกงานในทันทีนับเป็นหมื่นคน วงล้อสมการอุบาทว์ยังคงหมุนต่อไป การทำลายความเชื่อถือในเงินบาทยังเกิดขึ้น อย่างสม่ำเสมอโดยสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ ประกาศลดเครดิตต่ำลงไปอีก ทำให้ต้องใช้เงินกู้ที่เป็นเงินสำรองออกแทรกแซง ค่าเงินบาทซ้ำแล้วซ้ำอีก แนวความคิดเริ่มจะเชื่อว่า หากมีชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในบริษัทของคนไทย หรือซื้อบริษัท ไปบริหารเลยได้มากเท่าไรจะช่วยเศรษฐกิจไทย ได้มากขึ้นเท่านั้น แรงขึ้นทุกขณะ และเกิดการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติ อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นนิติบุคคลได้เกินกว่าร้อยละ 50 และต่อไปคือ อนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดินและประกอบอาชีพได้เช่นประชาชนไทย ภายใต้ความเชื่อว่าเป็นการนำเงินตราเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ชาวต่างชาติเข้าซื้อหรือถือหุ้นในขณะนี้กลับเป็นสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้รัฐบาล มีความเชื่อว่า เป็นตัวก่อปัญหาให้เกิดหนี้สิน (สิ่งนี้จะเห็นได้อย่างชัดในเรื่องตลาดเงินเสรี อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้สมการนี้) จะเห็นว่า ความผกผันของสมการนี้มีศักยภาพสูงมากเพราะว่ายิ่งแก้ไขมากเท่าไรยิ่งจมลงสู่ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ลึกลงไปทุกที สัจธรรมที่ว่า อย่าเชื่อสิ่งที่เห็น จงเชื่อสิ่งที่เป็น ยังคงความอมตะเสมอ ทีนี้เรามาดูถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไป ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อเกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้เกิดขึ้น ทางแก้ปัญหาโดยสามัญคือ การส่งสินค้าออกให้มากที่สุดเพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากที่สุด แต่สำหรับสมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้การแก้ไขคือการฆ่าตัวตาย พิสูจน์กันได้ชัดดังนี้คือ สินค้าออกของเราคือข้าว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นกันไปทั่วว่าเราขายข้าวเป็นสินค้าออกมากกว่าปีที่แล้ว และยังได้ราคาดีกว่าด้วยตามปกติแล้ว ย่อมหมายถึงกำไร แต่เปล่าเลยด้วยสมการนี้ ยิ่งส่งออกยิ่งขาดทุน ลองมาดูตัวเลขกันแบบตันต่อตันก็ได้ ในปี ๒๕๓๙ เราขายข้าวตันละ ๔,๐๐๐ บาท เท่ากับ $๑๔๒.๘๖ (๒๘บาท/ดอลลาร์ ) แต่ในปี ๒๕๔๐ เราขายข้าวตันละ ๖,๐๐๐บาท เท่ากับ ๑๒๗.๖๖(๔๗บาท/ดอลล์) เมื่อนำเอาตัวเลขตามอัตราแลกเปลี่ยนมาลบกันจะเห็นว่าเราขาดทุนไป ตันละ ๑๕.๒๐ ดอลล่าห์หรือประมาณ ๗๑๔บาท ในการขายข้าวทุก ๆ หนึ่งตัน ดังนั้นยิ่งส่งออกข้าวมากขึ้นเท่าไร นั่นหมายถึงเรายิ่งได้เงินน้อยลง และซ้ำร้ายไปกว่านั้นโรงสี ผู้รับซื้อข้าวขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก ไม่มีเงินสดมาซื้อข้าวจากเกษตรกร เนื่องจากสถาบันทางการเงินถูกปิด หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การแนะนำเงื่อนไขของ IMF ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการสร้างสภาพคล่องทางการเงินคือ สร้างให้เกิดกระแสการเงินหมุนเวียนภายในประเทศให้มากที่สุด ส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยให้มาก หรือตามปกติ แต่ไม่ควรใช้ของนอก จำกัดการนำของนอกเข้า หรือจำกัดการนำเงินออกนอกประเทศ รีบกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด โดยผ่านทางงบประมาณของรัฐ สร้างความเชื่อถือในความมั่นคง ของสถาบันการเงินให้มากที่สุด แต่เนื่องจากว่าการแก้ไขปัญหาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ได้สัญญาไว้กับ IMF เอาเฉพาะเรื่องที่เกิดความผลผิดพลาดอันจากคำแนะนำของ IMF ที่เกิดขึ้นกับประเทศ เมื่อวันที่ ๘ ธ.ค.๒๕๔๐ ปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง ทำให้ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น เฉพาะ ๔๘ ชั่วโมงแรกหลังคำสั่งนั้นกว่า ๕ หมื่นล้านบาท เฉพาะชั่วโมงเดียว ทำให้ประเทศไทย ที่แทบจะไม่มีเงินสำรองอยู่แล้วต้องนำเงินออกมาปกป้องค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองของประเทศ สูญไปอีก ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปัจจุบันว่าหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกมากเท่าใดใครจะรับผิดชอบ เงื่อนไขและคำแนะนำ ดังกล่าวมีผลกระทบไปถึงประชาชนชาวไทย มีผลต่อวิถีชีวิตครอบครัว สภาพธุรกิจทั่วไปซึ่งไม่อาจดำเนินกิจกรรม ได้โดยปกติสุข ปัญญาผู้มีความรู้ทั้งทางการเงินและสาชาต่าง ๆ อันเป็นทรัพยากรบุคคลนับเป็นล้านคน ซึ่งรัฐได้เสียงบประมาณการศึกษาหลายแสนล้านสร้างขึ้นมา กลายเป็นบุคคลไร้อาชีพ เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวเองเนื่องจากขาดสภาพคล่องในการดำเนินการ ก่อให้เกิดภาวะอาชญากรรม และเพิ่มจำนวนทุจริตชนมากขึ้น อันหมายถึงความไม่สงบเรียบร้อยภายในย่อมเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้ยังไม่รวมถึง สภาพสังคมของเยาวชนไทยที่ต้องออกจากการศึกษา เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนาน ที่ฝังรากลึกกับอนาคตของชาติในด้านศีลธรรมจรรยา ที่พวกเขาพลาดเวลาในการเข้าศึกษาอบรมในวัยอันควร ซึ่งจัดเป็นปัญหาในแนวดิ่ง การตัดงบประมาณต่าง ๆ ทำให้เสียสภาพคล่องในประเทศจัดเป็นการสูญเสียในแนวราบ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำของ IMF ทั้งสิ้น ต้องกล่าวชม นายกมหาเธร์ โมฮัมมัด ที่ไม่ยอมหลงกลเป็นเหยื่อ ให้กับสมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้ ซึ่งปรากฏผลว่าปัจจุบันค่าเงินริงกิตของมาเลเซียไม่ได้ตกต่ำตามที่ใครๆ คิด เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในเวลาเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจในมาเลเซียปัจจุบัน ก็มิได้เลวร้ายเช่นดังเกิดขึ้นในประเทศไทย ในอนาคตระบบธนาคารของไทยโดยเฉพาะสินเชื่อ จะเป็นอัมพาต หนี้ด้อยคุณภาพจะพุ่งขึ้นสูงสุด สั่งเข้าส่งออกจะตายสนิท และต่างชาติ มหาอำนาจจะใช้รัฐบาลเป็นเครื่องมือออกกฎหมาย เพื่อเข้ายึดครองเบ็ดเสร็จ ณ จุดนี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ประเทศของเราเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไปแล้วหรือไม่ หากไม่เหตุไรเราจึงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยคนไทยเอง เหตุใดเราจึงต้องได้ยิน คำกล่าวอ้างทุกครั้งว่าเป็นคำสั่ง หรือเป็นเงื่อนไขของ IMF เป็นผู้ให้กระทำทั้งสิ้น สิ่งที่น่าแปลกที่สุด ในขณะนี้ก็คือการกระทำตามเงื่อนไขกลับเพิ่มปัญหาและส่งผลในทางลบกับประเทศ การกระทำหลายอย่างขัดต่อ ตัวบทกฎหมายความสงบเรียบร้อยและศิลธรรมอันดี อันส่งผลร้ายในระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าชาวไทยในแผ่นดิน มิได้เลือกเว้นว่าเป็นลูกเล็กเด็กแดง อันไม่มีส่วนรับรู้ ตกอยู่ในสภาพของเสมือนดังลูกหนี้ถ้วนหน้ากัน ต้องมีหน้าที่ใช้หนี้ที่ไม่เคยรู้เห็น ฉะนั้นหากเราเป็นหนี้ IMF จริง โดยสภาพกฎหมายประชาชนไทยในฐานะลูกหนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เห็นสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับเจ้าหนี้คือ IMF เพราะนับแต่วันที่อ้างว่ากู้เงิน IMF มาจนบัดนี้ยังไม่เคยมีการแสดง สัญญาเงินกู้ดังกล่าวต่อสาธารณชน และหากว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวนั้นรัฐบาลถือว่าเป็นความลับของชาติ ภาครัฐก็สามารถส่งให้ คณะกรรมการกฤษฏีกา หรืออัยการสูงสุด ซึ่งล้วนแล้วได้ผ่านการวินิจฉัยสัญญาอันเป็นความลับสุดยอด ของประเทศมาแล้วทั้งสิ้นและเป็นอำนาจโดยตรงตามกฎหมายที่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญาใด ๆ อันรัฐได้กระทำกับต่างประเทศ ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบและผลประโยชน์ของประเทศอยู่แล้ว (เพราะไม่มีปรากฏในประมวลกฎหมายใดของประเทศไทยที่อนุญาตหรือยกเว้นให้ชาวต่างชาติมีอำนาจออกคำสั่ง ในการบริหาร สั่งการ หรือสร้างเงื่อนไขให้รัฐปฏิบัติตามได้ ผู้เขียน) แต่ก็ไม่เคยมีการส่งให้หน่วยงานดังกล่าวตีความ เพราะข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงก็คือ ประเทศไทยไม่เคย ทำสัญญาเงินกู้ใด ๆเป็นลายลักษณ์อักษรกับ IMF แม้แต่ฉบับเดียว สิ่งที่นำมากล่าวอ้างเป็นเพียงข้อเสนอ ฝ่ายเดียวซึ่งรัฐบาลไทยเสนอกับ IMF ว่าจะทำอะไรตอบแทนบ้างเท่านั้น ดังที่เรียกกันว่าหนังสือแสดงเจตจำนงค์ หรือ LETTER OF INTENTนั้น ลงนามโดยรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว ซึ่งสามารถแก้ไข ยกเลิกได้ตลอดเวลา แต่ทำไมจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เช่นต้องปิดสถาบันการเงิน หรือขายรัฐวิสาหกิจ และไม่เคยปรากฏว่ามีสัญญาเงินกู้ LOAN AGREEMENT กับ IMF เลยแม้แต่ฉบับเดียว แล้วเราเป็นหนี้เขาแต่เมื่อไร ? นี่คือสิ่งที่ประชาชนไทยต้องการความกระจ่างชัด ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านผู้อ่านคงจะวินิจฉัยได้โดยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงขอฝากความเป็นความตายของชาติไว้ ในมือของท่านผู้ทรงปัญญา นักวิชาการและประชาชน ที่จะหาแนวทาง วิธีการแก้ไข ถอดสมการอุบาทว์ให้หมดศักยภาพไป " ก่อนที่คนไทย จะไม่เหลือแผ่นดิน " ผนวก วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๑ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการถาวรกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF โดยได้รับเงินเดือนประจำ และทำงานให้กับ IMF สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ตัว นายชวนฯ ยังเป็นนายกฯ ของประเทศไทย แต่เหตุใดจึงรับตำแหน่งเป็นกรรมการของIMF ?? วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธนาคารโลก และ IMF แต่งตั้งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ (IMF) อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสังเกตที่สุดก็คือตำแหน่งที่ได้รับนั้นเป็นตำแหน่งควบของธนาคารโลก กับ IMF จึงไม่เป็นที่กังขา หรือปฏิเสธกันต่อไปอีกแล้วว่า ธนาคารโลกคือเครื่องมือเปิดทางให้กับ IMF และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายธารินทร์ฯ คือ บุคคลที่ IMF วางไว้ในตำแหน่งการเงินของประเทศ เพื่อรองรับปฏิบัติการตามแผนธารินทร์ ๓๕-๔๓ ให้แล้วเสร็จ ตามคำสั่งของ IMF นับตั้งแต่การออก พ.ร.บ.วิเทศธนกิจ หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า BIBF นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำเอา นายราเกซ สักเสนา ซึ่งทำงานให้กับองค์กร CIA เข้ามาบริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ นายธารินทร์ ได้มีคำสั่งให้ปิด BBC อย่างถาวรเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการรับ-ส่งหน้าที่ และประสานงานกันอย่างมีระบบ ไม่ใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามธรรมชาติของนักการเมืองแต่อย่างใด แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นสมการที่มีชื่อเฉพาะว่า สมการกลืนชาติ หรือ E=MOC2 ดังนั้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา มีการเข้าควบคุมข่าวสาร สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขายสินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้เพื่อการ ล่าอาณานิคม ชนิดใหม่ เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจที่กลมกลืน ระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย ....... ( ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป ) สหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการเพื่อการยึดครองประเทศต่าง ๆ ด้วยการใช้สัมการกลืนชาติและพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมายเป็นระยะเวลานานโดยอาศัยความร่วมมือของนักการเมืองและนักธุรกิจชาวไทย ที่ปราศจากสำนึกในเรื่องความมั่นคงของชาติ นักการเมืองบางคนโดยอุดมการณ์แล้วเป็นได้เพียงแค่นักเลือกตั้ง สามัญสำนึกในด้านการสร้างชาติ การป้องกันประเทศชาติจากภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ยังไม่มี หรือไม่ก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ตนได้รับตำแหน่งสูงทางการเมือง เท่าที่ตนต้องการแต่เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งนั้น แล้วนอกจากจะทำหน้าที่นักการเมืองที่ดีไม่ได้แล้วยังตกเป็นเหยื่อของต่างชาติที่ใช้เป็นเครื่องมือ ในการบ่อนทำลายชาติของตนเอง นักการเมืองเช่นนี้มีอยู่มากมายในวงการเมืองไทย เช่นเดียวกับนักธุรกิจ ที่เห็นแก่ได้เพียงอย่างเดียว จิตใจไร้สำนึกของความเป็นไทย ขายทุกอย่างได้เพื่อให้ตนได้ประโยชน์ที่ต้องการ แม้แต่ขายจิตวิญญาณของความเป็นไทยไป นักธุรกิจเช่นนี้มีมากมายแม้แต่กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อย ในสังคมไทย จึงทำให้วัฎฐจักรการเมืองและธุรกิจของไทยต้องล้มแล้วล้มเล่าแล้วในที่สุดก็กลายเป็นทาสของต่างชาติ ดังที่เห็นอยู่เท่าทุกวันนี้ คนเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เขาเป็นได้เพียงแค่เครื่องมือของต่างชาติ ที่ถูกบงการให้เข้ามาทำลายบ้านเมืองของตนเอง ภาพของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักธุรกิจที่ดูในบางยุคบางสมัย อาจจะดูสวยหรูแต่เมื่อตนลงจากอำนาจทางการเมืองแล้ว ในที่สุดเรื่องราวที่ตนทำไว้ก็จะต้องถูกเปิดโปง ให้สาธารณะชนทราบไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน และในชั่วชีวิตของผู้เขียนเอง เชื่ออย่างเหลือเกินว่า นักการเมืองและนักธุรกิจทั้งหลายที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลสถิตยุติธรรมเพื่อพิจารณาลงโทษ แม้จะแก่เฒ่าปานใดแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างของชนรุ่นหลังต่อไป สหรัฐอเมริกาได้ใช้บุคคลเหล่านี้ ของคนไทยเป็นเครื่องมือ จึงทำให้งานต่าง ๆ ที่มีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนสำเร็จได้โดยตลอดจนกระทั่ง ในผลสุดท้ายสามารถที่จะทำให้เกิดเป็น วิกฤตเศรษฐกิจของไทยจนไม่อาจจะเยียวยาได้ตลอดไป ( ขอย้ำว่าเยียวยาไม่ได้ตลอดไปไม่มีข้อยกเว้น ) ที่เห็นชัดที่สุดคือ การออกกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับที่ปรากฏต่อชาวไทยว่าเป็นกฎหมายทาสที่สร้างความเสียหายให้กับ ประเทศชาติอย่างยาวนานทั้งที่คนไทยจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม แม้แต่ในขณะนี้ผลอันนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง การสร้างสถานการณ์อย่างแนบเนียนที่ทำให้เกื้อกูลต่อความสำเร็จจนถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่ต้องเป็นจนกระทั่งเหมือนว่าไม่มีการสร้างสถานการณ์โดยมือมนุษย์แล้วนำไปสู่ชัยชนะตามเป้าหมายเช่นนี้ เมื่อกว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้วซุน วู ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ....ที่โบราณเรียกว่าผู้สันทัดการรบนั้นคือ ชนะผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันทัดการรบ จึงมิได้ชื่อว่ามีสติปัญญา มิมีความชอบในเชิงกล้าหาญ ฉะนั้นชัยชนะของเขาจึงมิพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขา ก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะผู้ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบจึงอยู่ในฐานไม่แพ้ และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกแพ้... ความหมายก็คือผู้ที่เยี่ยมยุทธ์ที่สุดเขาจะเตรียมการมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องให้การเตรียมการนั้นเสมือน การเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้ใช้นักวางแผนของตนทำเช่นนั้น เสมือนว่าเหตุการณ์เกิดขึ้น โดยธรรมชาติ คนไทยก็เชื่อกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติมิได้คิดว่า เป็นการกระทำของคนที่เตรียมการและดำเนินการตามแผนมาแล้วอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกวันนี้ก็ยังคงเชื่อกันเช่นนั้น แต่ถ้าในเชิงของการวางแผนรวมทั้งตำราพิชัยสงครามแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็น การวางแผนและดำเนินการตามแผน อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและแนบเนียนที่สุดจนคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจการวางแผนว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่คือสุดยอดของการวางแผนตามตำราพิชัยสงครามซุน วู ที่กล่าวแล้วข้างต้น ฉะนั้นชัยชนะที่เราเห็นกัน ก็จะมองเห็นว่าเหมือนโชคช่วย แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ กว่าที่จะทำให้เหมือนโชคช่วยได้ต้องผ่านขั้นตอน ของการเตรียมการมาอย่างมากมาย ที่สหรัฐฯ ทำเช่นนี้ได้ทำให้สามารถครอบครองประเทศต่าง ๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุด การทำเช่นนี้ได้ ซุน วู กล่าวอีกว่า ....ฉะนั้น การบัญชาทัพชั้นเอกคือชนะด้วยอุบาย รองมาคือชนะด้วยการทูต รองมาคือชนะด้วยการรบ เลวสุดคือการตีเมือง กลวิธีแห่งการรุก ...ผู้สันทัดการบัญชาทัพ จักสยบข้าศึกได้โดยมิต้องตี จักทำลายประเทศข้าศึกโดยมิต้องนาน จักครองปฐพีได้ด้วยชัยชนะอันสมบูรณ์ ดังนี้ กองทัพมิต้องเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ ก็ได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์ นี่คือกลวิธีแห่งการรุก.... ชัยชนะครั้งนี้ของสหรัฐฯ นับเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบที่สุดเป็นสุดยอดแห่งชัยชนะตามตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู คือชนะโดยที่ไม่ต้องรบ โดยสิ่งที่สหรัฐฯ ได้รับอย่างเป็นรูปธรรมคือ ๑) เงินไหลเข้าสหรัฐฯ ทันที ๒๘ ล้านล้านบาท สร้างความมั่งคั่งให้สหรัฐฯ ขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง ๒) สหรัฐฯ ครอบครองประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยใช้สงครามเศรษฐกิจ ซึ่งสงครามชนิดนี้สามารถครอบครองพลังอำนาจของชาติได้ทุกมิติยิ่งกว่าสงครามที่ใช้กำลังทหาร คือสามารถยึดครองเป้าหมายไปถึงรากเหง้าแห่งจิตวิญญาณ ยึดครองได้ยาวนาน บางประเทศไม่รู้ตัวว่า ถูกยึดครองและยึดครองอย่างไร้การต่อต้าน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการสงคราม แต่ก็อยู่ในกรอบของ ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ๓) ปิดล้อมจีนได้ตามเป้าหมาย เมื่อสหรัฐฯ ได้สร้างสถานการณ์จนสุกงอมแล้ว สถานการณ์นั้นได้สร้างความบอบช้ำอยู่ในตัวตามสัมการ เมื่อเป้าหมายบอบช้ำ สหรัฐฯ จึงกระหน่ำซ้ำเติมเอาตามใจชอบ นี่คือการใช้กลยุทธ์ รอซ้ำยามเปลี้ย กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อประสงค์จักบั่นทอนกำลังของข้าศึก ก็มีแต่จะต้องทำลายความแกร่งกล้าของข้าศึกลงไป ทำให้ทั้งนายและพลอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แล้วจึงเข้ารุกรบโจมตีเอาในภายหลัง หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 07:30:07 PM ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ
คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....? หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: JJ-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 07:41:38 PM อ่านไม่หมดครับ ตาลาย ขอsave เก็บเอาไว้ครับ
ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 08:10:09 PM ขอบคุณคุณ narongt มากครับ
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 09:04:53 PM ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....? เดี๋ยวจะลองทำให้ครับ ต้องเอาไปเรียบเรียงใน WORD ใหม่แล้วแปลงเป็น PDF หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๕ ตีชิงตามไฟ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 09:06:29 PM กลยุทธ์ที่ ๕ ตีชิงตามไฟ
เมื่อศัตรูมีภัยใหญ่หลวง ให้ฉกฉวยเอาประโยชน์ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อศัตรูอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบโจมตีเพื่อให้ได้มา ซึ่งชัยชนะ หรือให้ผู้เข้มแข็งออกโรงเข้าแทรกแซงให้ผู้อ่อนกว่ายอมสยบด้วยนี้ก็คือที่เรียกว่า ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน ความหมายเดิมของ ตีชิงตามไฟ คือ ในขณะที่ผู้อื่นถูกเพลิง เผาผลาญห่วงแต่ตัวเอง ไม่ว่างกับเรื่องอื่น ก็ฉวยโอกาสแย่งชิงเอาของของผู้นั้นมาหรือ ในขณะที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายหรือในความยากลำบาก ก็รุกล้ำเอาผลประโยชน์ของผู้นั้นมา เมื่อนำมาใช้ในการทหาร ก็คือสิ่งที่ตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู ว่าด้วยอุบาย กล่าวไว้ว่า ชิงเอาในยามปั่นป่วน หรือที่ ว่าด้วยอุบาย ของตู้มู่ นักการทหารอีกคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อข้าศึกวุ่นวายปั่นป่วน อาจฉวยโอกาสช่วงชิงมาได้ กลยุทธ์นี้ แต่เดิมมาจากตำราพิชัยสงคราม ของ ซุน วู ว่าด้วยอุบาย ที่กล่าวไว้ว่า ชิงเอาในยามปั่นป่วน ฉะนั้น กลยุทธ์นี้จึงเป็นกโลบาย ที่ฉวยโอกาสในยามที่ข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤต เข้ารุกรบโจมตีอย่างหนึ่ง ที่กล่าวว่า เมื่อข้าศึกมีภัยมหันต์ ให้ฉกฉวยเอาประโยชน์ มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงในด้านการทหารหากจะนำไปใช้ได้ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง จะได้ผลหรือไม่อย่างใดก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ในบางครั้ง ยังอาจจะใช้วิธีการต่าง ๆ ทำให้ข้าศึกเกิดวิกฤติ ให้เกิดความระแวงสงสัยในกันและกัน ตอกย้ำความประหวั่นพรั่นพรึงทางจิตใจให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นเพื่อบั่นทอนพลังสู้รบของข้าศึก เป็นต้น หลังจากนั้นจึงฉวยโอกาสชิงเอาชัย นี่ก็นับอยู่ในการใช้กลยุทธ์นี้ด้วย ตัวอย่างเหตุการณ์ภาคใต้ของประเทศไทย ดังที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ คือการปล้นค่ายทหาร สังหารทหารยามและนำปืนออกจากค่ายทหารทางภาคใต้ของไทยอย่างอุกอาจ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่แม้กระทั่งครั้งที่มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในยุคสงครามเย็น ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญของทหารไทยและชาวไทยเช่นนี้มาก่อน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น อย่างไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น ถ้านับจากสถานการณ์ที่มีการยุติการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์และการเข้าร่วม พัฒนาชาติไทยของกลุ่มก่อการร้ายต่าง ๆ ทั่วประเทศรวมทั้งทางภาคใต้ด้วย เหตุการณ์ทางภาคใต้ สงบเรียบร้อยมาโดยตลอด จนกระทั่งมีเหตุให้มีการยุบ ศอบต.ในเวลาต่อมา จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ภาคใต้ ไม่ได้มีอะไรอีกเลย ประชาชนชาวใต้ก็ไม่ได้มีความต้องการที่จะแยกตัวออกเป็นอิสระหรือเป็นประเทศอิสระ แต่ประการใด อีกทั้งเมื่อชาวมุสลิมทั่วโลกมีความเกรงกลัวจากการถูกประณามว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง การก่อการร้ายทั่วโลกด้วยแล้ว ชาวมุสลิมเองก็ต้องการที่จะทำให้เห็นว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ที่ชาวโลกเห็นเช่นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามของชาวมุสลิมทั้งนั้น ถ้าชาวมุสลิม จะสนับสนุนชาวมุสลิมด้วยกันให้ก่อการร้ายร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมก็ยิ่งเป็นการฆ่าตนเองไปทุกวัน ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะกระทำเช่นนั้นโดยแท้ อีกทั้ง อิรัก ก็ถูกสหรัฐฯ ยึดครองไปแล้วเรียบร้อย ซีเรียก็ประกาศตนเองเรียบร้อย เช่นเดียวกันว่าสนับสนุนผู้ก่อการร้ายไม่ได้เพราะสหรัฐฯ จะหาเหตุเข้าโจมตีซีเรียอีก ซีเรียจึงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้สหรัฐฯ หาเหตุเข้าโจมตีตนได้ ต้องถอยห่างจากการก่อการร้ายทั้งทางลับและเปิดเผย ส่วนประเทศตะวันออกกลางอื่น ๆ ก็อยู่ในอาณัติของสหรัฐฯ จนสิ้น ถ้ามีข่าวคราวใด ที่ซีไอเอ อันเป็นองค์กรที่รู้เรื่องการก่อการร้ายดีที่สุดในโลก อยู่ในขณะนี้ก็จะสามารถพิสูจน์ทราบได้ในทันที จึงเป็นไปไม่ได้อีกโดยแท้ที่ประเทศในตะวันออกกลาง จะให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย เพราะเหตุผลล้วนฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น ถ้าจะว่าชาวมุสลิมอินโดนีเซีย สนับสนุน ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันเพราะไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกที่จะทำ เพราะอินโดนีเซียก็มีปัญหาของตนเองไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพยายามแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ที่ต้องการจะทำลายความเป็นเอกภาพของอินโดนีเซีย เพื่อผลทางด้านทรัพยากร ผลด้านศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เหตุผลด้านการช่วยเหลือชนเผ่าเดียวกันคือออสเตรเลียที่ถือว่าอินโดนีเซียเป็นภัยคุกคาม ที่อันตรายที่สุดของตน การช่วยเหลือออสเตรเลียเช่นนี้ก็จะทำให้สหรัฐฯ มีอิทธิพลเข้าครอบงำออสเตรเลียได้ โดยปริยายเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็เรื่องผลประโยชน์ร่วมอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งเมื่ออินโดนีเซียมีปัญหาเช่นนี้ จะด้วยเหตุผลอันใดที่อินโดนีเซียจะมาสนับสนุนชาวมุสลิมภาคใต้ของไทยให้ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน แล้วถ้าอินโดนีเซียจะทำก็ควรเลือกทำในช่วงที่ตนมีเอกภาพมากที่สุดไม่ดีกว่าหรือ คือในยุคที่ซูฮาร์โต้เรืองอำนาจ ซึ่งซูฮาร์โต้ถึงขั้นเข้ายึดติมอร์ตะวันออกได้ ถ้าอยากได้ภาคใต้ของไทยก็ทำในช่วงนั้น จะมีเหตุผลมากกว่าว่าซูฮาร์โต้ต้องการขยายอำนาจของตนซึ่งก็ไม่มีเกิดขึ้น ถ้าเป็นมาเลเซียจะให้การสนับสนุน ผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของไทยก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้อีกเพราะมาเลเซียก็เพิ่งเปลี่ยนผู้นำที่เข้มแข็งที่สุดไป คนที่มาเป็นผู้นำมาเลเซียคนต่อมาก็ไม่ได้มีความหิวกระหายที่จะขยายอำนาจของตนเข้ามาในประเทศไทยแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อวิเคราะห์กันด้วยเหตุด้วยผลก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีเหตุผลอันควรที่ผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของไทยจะได้รับ การสนับสนุนจากมิตรประเทศเพื่อทำลายความเป็นเอกภาพของประเทศไทยได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นใคร ที่สร้างเรื่องราวขึ้นมาให้ประเทศไทยมีความวุ่นวายและสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร จะเห็นได้ว่าเรื่องราวทางภาคใต้ ของไทยประทุขึ้นหลังจากที่ทหารไทยเสียชีวิตในอิรัก ๒ นาย เหตุการณ์ห่างกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องราวของทั้งสองพื้นที่มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มีก็คือไม่มี แต่ถ้าคิดแบบนักยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ ดังที่ซุน วู กล่าวไว้ว่า ....การสงครามทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของการลวง.... ทุกอย่างถ้าเป็นการต่อสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อสู้ในเวทีนานาชาติด้วยแล้วการลวงจะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางยากที่จะเข้าใจได้ด้วยการคิด เพียงแค่ชั้นเดียว ดังที่ทราบกันแล้วว่า สถานการณ์ในอิรักขณะนั้น สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเสียเปรียบ สหรัฐฯ ต้องการพันธมิตรเข้าไปช่วยพยุงฐานะตนในอิรัก ฝ่ายที่ให้การสนับสนุนการต่อต้านสหรัฐฯ ในอิรักก็คง เป็นฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐฯ ยึดครองอิรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายย่อมไม่ปล่อยให้สหรัฐฯ กลืนกินสหรัฐฯ อย่างคล่องคอเพราะนั่นหมายถึง ผลประโยชน์มหาศาลของมหาอำนาจเหล่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่จะจัดให้มีกลุ่มต่อต้านขึ้นในอิรัก จึงทำให้ทหารสหรัฐฯ ในช่วงนั้นถูกโจมตีและเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวันดังที่ปรากฏในข่าว การสูญเสียชีวิต ของทหารไทยในอิรักจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจถอนทหารออกจากอิรักได้ การสร้างเหตุการณ์ในภาคใต้ให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกกลางเป็นต้นเหตุจะช่วยสร้างความโกรธแค้น ให้กับคนไทย และทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นมีความชอบธรรมในการที่จะดำรงกำลังทหารไว้ในอิรักต่อไป เกมทางภาคใต้ของไทยจึงมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ในอิรักอย่างแน่นแฟ้น และมีความสัมพันธ์กับ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ ตามมาด้วย เหตุการณ์ย่อย ๆ อีกมากมายทำให้คนไทยเห็นจริงว่าสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้นจริง ทุกฝ่ายไม่ได้มีความสงสัยเป็นอย่างอื่นนอกจากพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าชาวมุสลิมต้องการจะแบ่งแยกดินแดน หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์ย่อย ๆ ตามขึ้นมาเพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสถานการณ์ที่มีการทวีความรุนแรง ขึ้นมาโดยตลอด มีการปล้นชิง มีการเข่นฆ่าเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีการท้าทายอำนาจรัฐนานัปการ ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ซึ่งมีผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากกว่าหนึ่งร้อยคน สถานการณ์ยิ่งบานปลายหนักขึ้นอีกโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ มีการชุมนุมประท้วง ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในเวลาต่อมาอีก ๘๔ ศพ ความรุนแรงเช่นนี้ เป็นที่น่าประหลาดมากที่ไม่สามารถที่จะหาผู้อยู่เบื้องหลังได้อย่างแท้จริง ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถ ที่จะกำหนดวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างได้ผล สายงานด้านการข่าวทุกสายงุนงง แต่เมื่อหาหลักฐานใด ๆ ไม่ได้ ก็มาลงที่ชาวมุสลิมที่ต้องการจะแบ่งแยกดินแดน ซึ่งได้กล่าวตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ชาวมุสลิม จะทำเช่นนั้น มีตัวอย่างอยู่ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะนำมาเทียบเคียงเพื่อเป็นอุทาหรณ์เปรียบเทียบกับเรื่องดังกล่าวนี้คือ ในยุคสงครามเย็นที่คนไทยต่างต่อสู้ประหัตประหารกันล้มตายมากมาย คนไทยในยุคนั้นเข้าใจกันอย่างเดียวว่า ผู้ที่รุกรานคือภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ใครที่มีความเลื่อมในศรัทธาในลัทธิคอมมิวนิสต์ต้องถูกสังหารให้สิ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในเวลาต่อมาหลังจากที่มีการเข่นฆ่ากันระหว่างคนไทยมากมายแล้วปรากฏว่า การยุติสงครามได้เกิดขึ้นจากการเจรจาให้ฝ่ายจีนระงับการช่วยเหลือสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ทำให้การต่อสู้จบสิ้นลงในเวลาต่อมา หลังจากนั้นได้มีหลักฐานหลายอย่างปรากฏขึ้นมาดังเช่น หนังเรื่อง แอร์อเมริกัน ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่บริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ซีไอเอ ของสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ให้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อโค่นล้มรัฐบาลไทย อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง การโค่นล้มรัฐบาลไทยโดยอาศัยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งคนไทยไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุน ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ คนไทยทั้งประเทศรู้เพียงว่าผู้ช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์คือ มหามิตรสหรัฐอเมริกานั่นเอง เป็นเรื่องแปลกที่สหรัฐฯ ทั้งให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และให้การสนับสนุน การปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วย เรื่องอย่างนี้มีความหมายว่าอย่างไร หมายความว่าสหรัฐฯ สามารถทำได้ทุกอย่าง ดังเช่นกับกรณีภาคใต้ของไทยสหรัฐฯ ก็สามารถทำได้ใช่หรือไม่ คนไทยก็จะไม่มีวันรู้ว่า ใครทำใครอยู่เบื้องหลัง จะรู้อีกครั้งหนึ่งก็เมื่อเราสูญเสียอะไรต่อมิอะไรไปมากมามายแล้วเท่านั้น นี่คือตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พ.ศ.๒๕๐๔ โดยนาย Lindon B. Johnson รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ต่อมาเป็นประธานาธิบดี) ทำแผนปฏิบัติการร่วมอย่างถาวรของสหรัฐ(ลับที่สุด) นำเสนอต่อ ประธานาธิบดี John F. Kenede ในเอกสารลับนั้นมีข้อความระบุว่า เราจะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา แล้วยกขึ้นมาเป็นจุดสำหรับโฆษณาภายใต้สื่อสารการควบคุมของเรา และนำเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และระบบเศรษฐกิจอันทันสมัย ที่เราออกแบบไว้แทรกเข้าไป ใช้กับทางการตลาดและทางธุรกิจ (Enterprises) ของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของเรา ......ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ของความต้องการอย่างแท้จริงของเรา ในพื้นที่บริเวณนี้ การปฏิบัติการอย่างตั้งใจจริง และประกอบด้วยความสามารถอย่างเปี่ยมล้น ที่จะเข้าควบคุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ วอชินตัน อย่างใกล้ชิด....การตัดสินใจ การปฏิบัติการ และการดำเนินงานทุกด้านในภูมิภาคนี้ก็คืออย่างนี้ เราไม่สามารถจะอยู่รอดได้ด้วย การปฏิบัติการสนธิสัญญาใด ๆ ไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ด้วยประเทศที่เป็นมิตรของเรา แต่เราต้องพุ่งตรงไปข้างหน้า และวิธีการหลัก(Key) ที่ต้องทำก็คือ ต้องเข้าควบคุม, วางโครงการ, บังคับ,และเอาผลประโยชน์ที่แน่นอน จากโครงการช่วยเหลือทั้งหลายของเรา โดยใช้หน่วยคณะที่ปรึกษาทางทหาร (MAAG.) เป็นส่วนเจาะนำหน้าเข้าไป.... (หลักฐาน....เอกสารลับสุดยอดMission to South East Asia, India, and PakKistan) นั่นแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ อย่างไม่ต้องมีข้อสงสัยอีกต่อไป เรื่องราวที่เราคิดว่าสหรัฐฯ จะไม่ทำสหรัฐฯ ย่อมทำได้หมด ดังที่ซุน วู กล่าวในเรื่อง การทำศึก บรรพที่ ๒ ในตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่า ....หลักแห่งการบัญชาการทัพ อย่าหวังว่าข้าศึกไม่มา เราพึงเตรียมการให้พร้อม อย่าหวังข้าศึกไม่ตี เราพึงทำให้มิอาจโจมตี .... ถ้านับว่าทุกเรื่องคือการสงคราม ธรรมชาติของการสงครามเป็นเช่นนี้ ผู้ที่จะเข้าสู่สงครามก็เปรียบเสมือนแม่ทัพบัญชาการศึกต้องไม่คิดว่าข้าศึกจะไม่มาต้องมีการเตรียมการ ให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าประชาชนคนไทยก็จะต้องคิดว่าสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะไม่เกิดผลร้ายต่อประเทศไทยนั้น แท้ที่จริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเรื่องเหมือนกัน จากเอกสารลับของแพนตากอนปี พ.ศ.๒๕๐๘ ของ RoBert S. Macnamara http://en.wikipedia.org/wiki/Robert_MacNamara รมว.กลาโหมของสหรัฐฯ ว่า .....ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่เหมือนกับประเทศเวียดนามที่มีความสำนึก ในด้านชาตินิยมรุนแรง ประเทศไทยมีคอมมิวนิสต์ในประเทศ อยู่น้อยมาก (It has few domestic Communist) ไม่สามารถสร้างความเสียหายใด ๆ ได้ เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตา พยายามทำให้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นของเรา ที่มั่นคงเหมือนหินมิใช่กองทราย (A foundation of rock political a bed of sand) ซึ่งเราจะได้ใช้เป็นฐาน ทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ ในอันที่เราจะเข้าไปครอบคลุมเอเซีย.... หลักฐานเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า องค์กรCIA ได้ปลอมจดหมายให้กับ ผกค. ถึงนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อขอแบ่งแยกดินแดนภาคอิสาน เพื่อเป็นเขตปลดปล่อยปกครองตนเอง โดยระบอบคอมมิวนิสต์ กรณีดังกล่าวนี้ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้เชิญ นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเนอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย เข้าพบเพื่อชี้แจงกรณี CIAปลอมจดหมาย ผกค. ดังกล่าว นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเน่อร์ ได้มีหนังสือขออภัยต่อนายกรัฐมนตรีไทยอย่างเป็นทางการ ต่อกรณีที่เกิดขึ้น และได้สั่งปิดสำนักงาน CIA ในจังหวัดสกลนคร และเจ้าหน้าที่ CIA ผู้กระทำความผิดฐานออกจดหมาย ผู้ก่อการร้ายถึงนายกรัฐมนตรีไทยนั้น ได้ส่งกลับอเมริกาไปแล้ว .. ?? ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะให้คนไทย ที่เป็นเจ้าของประเทศ นักยุทธศาสตร์นักการทหาร ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศไปเคียดแค้นชิงชังใคร หรือประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติที่ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศจะต้องทำ ต่อประเทศที่เล็กกว่าและเป็นผลประโยชน์ของตน แต่ผู้เขียนเพียงมีความมุ่งหมายที่จะให้คนไทยทุกคน ที่กำลังอยู่ในวังวนของความเชื่อบางอย่างที่ไม่สามารถที่จะหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ทางภาคใต้ของไทยเราว่า จะไปในทิศทางใด ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยไปเช่นนี้กาลจะบานปลายเลยเถิดไป จนถึงขั้นที่ประเทศที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์นำพาองค์กรสหประชาชาติอันเป็นองค์กรที่สหรัฐฯ ควบคุมและชี้นำหรือแสวงประโยชน์ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อองค์การสหประชาชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อนั้นประเทศมหาอำนาจดังกล่าวก็จะหาเหตุนานัปการที่จะสร้างสถานการณ์ให้ทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดก็จะกลายสภาพเป็นเหมือนดังเช่น ติมอร์ตะวันออก คือสหประชาชาติเข้ามาแก้ไขปัญหา นำไปสู่การแบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ เจ้าของประเทศทำอะไรไม่ได้เหมือนดังเช่นอินโดนีเซีย ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลคือสหรัฐฯ ที่ได้ทั้งการขยายอิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคนี้อีกครั้งหนึ่ง ขยายไปสู่การควบคุมช่องแคบมะละกาอย่างเบ็ดเสร็จ ควบคุมอินโดนีเซียได้ ควบคุมมาเลเซียได้ สิงคโปร์ไม่ต้องพูดถึงซึ่งควบคุมได้อยู่แล้ว จะนำไปสู่การต่อสู้กับพม่าอีกครั้งหนึ่งที่จะปิดล้อมจีน ทางด้านพม่าอีก ที่สำคัญคือการควบคุมทรัพยากรของไทยที่เพิ่งสำรวจพบใหม่ในเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ( ต.ค.๒๕๔๗ ) การแก้ปัญหาด้านอิรักของสหรัฐฯ ก็ทำได้อย่างเบ็ดเสร็จ ที่ผู้เขียนกล่าวมาอย่างยืดยาวในเรื่องนี้เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ว่าใครทำอะไรกับเรา การใช้กลยุทธ์ ชิงตีตามไฟ โดยประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ ที่ทำต่อเราและประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีความระแวงสงสัยซึ่งกันและกันโดยอาศัยเหตุการณ์ภาคใต้ที่สหรัฐฯ เป็นผู้มีส่วนในการสร้างขึ้นมาเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยและฆ่าฟันกันเอง ต่างฝ่ายก็อ่อนเปลี้ย ผู้จะได้ประโยชน์คือผู้ที่สร้างสถานการณ์ ประโยชน์ที่จะได้รับก็คืออย่างน้อยที่สุดคือทรัพยากรในประเทศต่าง ๆ ทั้งในอินโดนีเซียที่ถูกคนไทย ระแวงสงสัยว่าให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย มาเลเซีย ก็ถูกคนไทยระแวงสงสัยเช่นเดียวกัน เมื่อทุกประเทศในภูมิภาคต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกันไฟแห่งความเคียดแค้นซึ่งกันและกันก็เกิดขึ้น การเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยก็ตามมา ผู้ที่สร้างสถานการณ์ก็จะเข้าโจมตีเพื่อแย่งยึดเอาผลประโยชน์ไป ดังกลยุทธ์ที่ว่า ชิงตีตามไฟ ผู้เขียนอยากจะอ้อนวอนคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหาย ให้กับประเทศชาติให้พึงระลึกถึงผลประโยชน์ของชาติอย่านึกถึงเพียงผลประโยชน์ของตนและกลุ่มตน ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอย่านึกว่าไม่มีใครรู้พฤติกรรมของท่าน ถ้าท่านไม่หยุดการกระทำตั้งแต่บัดนี้ เมื่อคนไทยทั้งประเทศรู้โดยทั่วกันท่านจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ถ้าจะพูดว่า ซีไอเอ ให้การสนับสนุนกลุ่มโจรพูโลในพื้นที่ภาคใต้ของเราจะมีคนคิดกันอย่างไร สิ่งไม่น่าเชื่อเช่นนี้ สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ .....ถ้าจะพูดว่าทุกคืนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ภาคใต้จะมี ฮ.จากทางด้านตะวันออก บินเลียบชายทะเลระยะความสูงที่ปลอดภัยจากการตรวจจับของเรดาร์ พอใกล้รุ่งสางก็บินกลับ ในวันรุ่งขึ้นเช้า ก็มีเหตุการณ์ทางภาคใต้ของไทย ถ้าพูดเช่นนี้จะมีคนคิดกันว่าอย่างไร .....ถ้ามีคนพูดว่ามีเรือดำน้ำสหรัฐฯ ดำน้ำลอยลำอยู่ในน่านน้ำใกล้กับที่เกิดเหตุในภาคใต้ของไทยอยู่คนไทยจะคิดกันอย่างไร.......ต้องคิดกันต่อไป ในโลกแห่งความเป็นจริงเมื่อพูดถึงผลประโยชน์แห่งชาติของตน การต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติ เหล่านั้นจะเป็นดังเช่นการทำสงคราม ฉะนั้นคู่สงครามจะกระทำต่อกันอย่างไม่มีความปราณี ถึงคราวเข่นฆ่าก็ต้องเข่นฆ่า ถึงคราวหักหลังก็ต้องหักหลัง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรที่ปรากฏบนโลกนี้ ในเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ดังเช่นคำกล่าวของซุน วู ในบทที่ ๘ ของ ตำราพิชัยสงครามของเขาเรื่อง กลยุทธ์แปรรูปว่า จงปราบบรรดาอริราชศัตรูโดย ทำความพินาศให้กับมัน สร้างความลำบากยากแค้นให้กับมัน ให้มันต้องวุ่นอยู่เสมอ หยิบยื่นเหยื่อแห่งอามิสประโยชน์ ทำให้มันต้องรีบรุดไปยังจุดใด ๆ ที่เราประสงค์ กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อข้าศึกประสบกับความยากลำบากทั้งภายในและภายนอก จักต้องรุกโจมตีอย่างไม่ปรานี ฉวยโอกาสอันดีนี้ กระหน่ำซ้ำเติมอย่าให้ตั้งตัวติดและพิชิตเอาชัยอย่าได้ช้า หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๖ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 09:53:38 PM กลยุทธ์ที่ ๖ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม
เมื่อศัตรูปั่นป่วน มิรู้เหนือใต้ ดุจจมในปลักพึงชิงเอาชัยด้วยศัตรูอับจน กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ตามคำอธิบายของ คัมภีร์อี้จิง ปั่นป่วน คำว่า ดุจจมปลัก ก็คือตกอยู่ในภาวะที่รวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน แต่ขยับตัวหรือกระจายแนวออกต่อตีมิได้มีอันตราย ที่จะพังพินาศได้ทุกเวลา ประดุจฝูงสัตว์ที่ขาดหัวหน้า มิมีการบัญชาที่ถูกต้อง ก็จักต้องพ่ายแพ้ ไม่ช้าก็เร็ว หรืออีกนัยหนึ่ง ในระหว่างสงครามหรือการสัประยุทธ์ใด ๆ ก็ดี เมื่อการบัญชาการ ของข้าศึกสับสนอลหม่าน มิอาจวินิจฉัยหรือป้องกันได้อย่างถูกต้องทันท่วงที จนเกิดเหตุ อันไม่คาดฝันขึ้น พึงฉวยโอกาสที่ข้าศึกวุ่นวายไร้การควบคุม ทำลายเสีย ที่ว่า ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม ยังหมายถึงกลอุบายที่เห็นอยู่ทางตะวันออกหยก ๆ แต่กลับวกไปอยู่ทางตะวันตก ส่งเสียงทางนี้ แต่ตีทางโน้นทำทีถอยแต่กลับบุก ทำทีรุกแต่กลับถอย ลวงล่อข้าศึกอย่างแนบเนียน ทำให้ข้าศึกเกิดความเข้าใจผิด แล้วฉวยโอกาสเข้าพิชิตเอาชัยแก่ข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม หลายเล่มด้วยกัน เช่น ซุน วู ว่าด้วยภูมิประเทศ ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงครามเสียง ไหวหนานจื่อ การฝึกยุทธวิธี เป็นต้น ในเล่มหลังนี้กล่าวว่า ดังนั้น มรรควิธีแห่งการใช้ทหาร แสดงให้เห็นว่าอ่อนแต่ปะทะด้วยแข็ง แสดงให้เห็นว่าเปราะแต่ปะทะด้วยแกร่ง เมื่อจะรวบ พึงกระจาย เมื่อจักไปประจิม ควรทำทีไปบูรพา... หรือ คัมภีร์ทั่วไป ว่าด้วยการศึกหมายเลขหก ของตู้อิ้ว ก็กล่าวไว้ว่า ส่งเสียงว่าตีทางบูรพา แต่ที่แท้ตีทางประจิม ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ที่ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐอเมริกา ดังที่ได้มีการศึกษา กันอย่างกว้างขวางกันในมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศของจีนในสมัยที่ผู้เขียนได้เข้าศึกษา หลักสูตรป้องกันประเทศของจีน จนกระทั่งผู้เขียนได้ทำการวิจัยพร้อมกับแสดงหลักฐานอย่างแน่ชัด ถึงการสร้างสถานการณ์ของสหรัฐฯ เองมาโดยตลอดพร้อมกันนั้นผู้เขียนได้ใช้หลักการตาม ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู อธิบายขั้นตอนในการวางแผนของสหรัฐฯ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนสามารถสรุปออกมาได้ว่าเหตุการณ์ ๑๑ กันยายนฯ เป็นเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้น อันเป็นที่แน่นอนแล้ว จนกระทั่งได้มีการถกแถลงกันอย่างกว้างขวางและในที่สุดเอกสารวิจัย ดังกล่าวของผู้เขียนได้รับคัดเลือกให้เป็นเอกสารวิจัยดีเด่นของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศของจีน ในปี ๒๕๔๕- ๒๕๔๖ ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทั้งในอินเตอร์เนตและในหนังสือตามท้องตลาด ซึ่งจะมีการวางขายในเร็ววันนี้ ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ( ซึ่งหาอ่านได้ในเวบ http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com ) โดยได้กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินกลยุทธ์ตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ไว้ต้อนหนึ่งดังนี้ ....การดำเนินกลยุทธ ซุน วู กล่าวว่า .......การทำสงครามทั้งปวงย่อมอยู่บนพื้นฐานของการลวง... ในทันทีที่ เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ได้ถูกสร้างขึ้นประชาคมโลกต่างตกตลึงต่อเหตุการณ์ ในช่วงที่ประชาคมโลกต่างตกตลึงอยู่นั้นสหรัฐอเมริกาได้ฉวยโอกาสปล่อยแผนลวงซึ่งได้มี การวางแผนไว้อย่างดีล่วงหน้าแล้วออกมาคือ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย และ สงครามถล่มอัฟกานิสถาน หลังจากนั้นทุกประเทศในโลกก็ต้องปฏิบัติตามบงการของสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทันทีทันใด ต่อไปนี้จะเป็นการแสดงหลักฐานที่จะชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริกา ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการเป็นขั้น ๆ โดยการใช้แผนลวงนี้อย่างไร และหลักฐานจะเป็น เครื่องสร้างความเข้าใจให้กับชาวโลกว่า เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน เป็นเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ได้สร้างขึ้นเป็นแผนที่ลวงคนทั้งโลก ตามหลักการในตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู ที่ได้กล่าวไว้แล้ว ซึ่งหลักฐานที่จะนำมาแสดงเป็นตัวอย่างดังนี้ ๑) เวลา ๐๘.๔๕ ปรากฏภาพข่าวเครื่องบินของบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ ๑๑ ลำแรก พุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ทางด้านเหนือ ข้อพิจารณา ผู้ถ่ายภาพข่าวดังกล่าวทราบได้อย่างไรว่าจะมีเครื่องบินมาชนตึก โดยรอคอย ถ่ายภาพข่าวไว้ล่วงหน้า ตำแหน่งดังกล่าวเป็นสี่แยกซึ่งไม่มีภาพทิวทัศน์ที่สวยงามให้บันทึก แต่เป็นทางแยกที่สามารถมองเห็นตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ในระยะไกลได้ทางด้านขวา ส่วนด้านซ้ายจะเป็นช่องทางแยกที่สามารถเห็นเครื่องบินบินผ่านเข้ามาพุ่งชน ลักษณะภาพดังกล่าว ผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวงการสืบราชการลับจะทราบว่า นี่คือการถ่ายภาพ VDO ประกอบรายงาน เพื่อนำเสนอผลงานการปฏิบัติหน้าที่ของตน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการถ่ายภาพเครื่องบินลำแรกที่พุ่งชนนั้น เริ่มตั้งแต่ยังไม่บินไปชนตึกจนกระทั่งชนตึก และซูมภาพระยะใกล้ให้เห็นการระเบิด เมื่อเครื่องบินกระทบเป้าหมาย ซึ่งมุมกล้องตำแหน่งถ่ายทำ และภาพที่ออกมาไม่ใช่ลักษณะ การถ่ายทำของนักท่องเที่ยว หรือนักข่าวสถานีโทรทัศน์โดยสิ้นเชิง ๒) เครื่องบิน F-16 ขึ้นถ่ายภาพความเสียหายตึกทิศเหนือ ก่อนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ตึกทิศใต้จะถูกชน ( รายงานภาพข่าว สถานีโทรทัศน์ ฝรั่งเศส) ๐๘.๕๒ ได้ปรากฏภาพข่าวของสถานีโทรทัศน์ ฝรั่งเศส ซึ่งได้เสนอเหตุการณ์สดที่เกิดขึ้น ณ ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศเหนือ ขณะที่ภาพกำลังจับอยู่ที่แสงเพลิงและความเสียหาย จากการพุ่งชนของเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตอยู่นั้น ได้ปรากฏว่ามีเครื่องบินรบ F-16 ของสหรัฐฯ บินขึ้นเหนือตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศเหนือ โดยบินรอบตึกในระยะต่ำจนสามารถเห็นนักบิน เป็นลักษณะของการตรวจสถานการณ์และถ่ายภาพ หลังจากนั้นเครื่องบิน F-16 ได้บินหายไปก่อน ที่เครื่องบินจัมโบ้เจ็ตลำที่สองจะพุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรดด้านใต้ในเวลา ๐๙.๓๐ ตอนเช้า ๓) เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ บินเข้าไปยังบริเวณตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ก่อนที่ตึกทางด้านใต้จะถูกถล่ม ( รายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ฝรั่งเศส) ๐๘.๕๔ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ เครื่องหนึ่งได้บินเข้าไปวนอยู่ บริเวณตึกทางเหนือที่ถูกถล่มโดยเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๓ แล้ว ที่จริงแล้วถ้าเครื่องบินใด ๆ ก็ตามของสหรัฐฯ ที่สามารถบินขึ้นได้ ก็สามารถที่จะเข้าไปช่วยผู้ที่ติดอยู่ในตึกได้ แต่ไม่มีเครื่องบินใด ๆ เข้าไปช่วยทั้ง ๆ ที่สามารถ จะช่วยได้ แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเป็นความจงใจของสหรัฐฯ เองที่ต้องการจะให้ชาวอเมริกัน และชาวโลกได้เห็นภาพที่อเนจอนาถก่อนที่ตึกจะถล่มลงมาเพื่อหวังผลทางจิตวิทยา ให้คนอเมริกันโกรธแค้น ให้ชาวโลกเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสารสมจริงสมจัง และผลก็เป็นไป อย่างที่ผู้สร้างเหตุการณ์วางแผนเอาไว้คือได้รับความเห็นใจจากประชาคมโลกอย่างท่วมท้น และสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง ๔) โครงสร้างของตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์สร้างขึ้นเพื่อป้องกันเครื่องบินพุ่งชนโดยเฉพาะ นายจอห์น แมกนัสสัน วิศวกรด้านการก่อสร้างจากบริษัทสตีลลิ่ง วอร์คแมคสัสสัน บาไซร์ แถลงว่าตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเครื่องบินพุ่งชน ซึ่งได้เคยเกิดขึ้นกับตึกเอมไพร์เสตทที่เคยถูกเครื่องบิน B-25 พุ่งเข้าชนในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ http://en.wikipedia.org/wiki/Empire_State_Building#History มาแล้วทำให้วิศวกรได้ออกแบบเพื่อป้องกันหากมีกรณีการพุ่งชนของเครื่องบินไว้เรียบร้อยแล้ว กรณีนี้ตึกจะไม่ยุบตัวลงมาได้เลยหากผู้ก่อวินาศกรรมไม่มีข้อมูล จุดอ่อนที่สุดของตึก ซึ่งเก็บไว้เป็นความลับ การได้มาของความลับโครงสร้างจุดทำลายของตึก คณะผู้ปลดปล่อย ( Crusader ) ซื้อจากบุคคลคณะทำงาน พิจารณาวิเคราะห์โครงสร้าง แบบของตึกทั้งสองตึก เพื่อค้นหาจุดอ่อนและบกพร่องเพื่อวางแผนป้องกันโครงสร้างดังกล่าว ถูกนำออกมาจากแหล่งเก็บข้อมูลได้เนื่องจากกรณีตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกวางระเบิด เมื่อปี ๒๕๓๖ ๕) ความขัดแย้งของภาพการชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศใต้ ๐๙.๐๓ ภายหลังเครื่องบิน F-16 ได้ละจากพื้นที่ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์แล้ว เครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ ๑๗๕ ได้พุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านใต้ ผลที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกด้านใต้นี้ การนำเสนอในครั้งแรกนั้นเป็นภาพ ที่เกิดขึ้นขณะนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ขัดแย้งกับข้อความในรายงานของ NSA และ FBI รวมทั้ง CIA ซึ่งรายงานต่อประธานาธิบดีในจุดของการชนว่าเป็นชั้นที่เท่าใด ตำแหน่งใด กี่องศาจึงมีการแก้ไขภาพข่าวใหม่โดยสร้างเป็น Visual แสดงให้เห็นการชนของเครื่องบิน ที่บินเอียงเล็กน้อยก่อนเข้าชนตึก มิใช่บินชนในแนวระนาบ ดังนั้นบ่ายของวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ สถานีโทรทัศน์ทั่วโลกทุกช่องจึงได้รับสัญญาณภาพข่าวจาก CNN ซึ่งเป็นภาพที่สร้างขึ้นด้วย Visual Program พร้อมนั้นได้มีการสร้างเสริมต่อเติมภาพ VDO ข่าวตามต้องการให้น่าตื่นเต้น อีกหลายสถานี เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินได้แถลงว่า ตามภาพที่เห็นว่าเครื่องบิน มีลักษณะเอียงเช่นนั้น เมื่อพุ่งเข้าชนจะทะลุไปเป็นมุม ๔๕ องศา แต่ตามความเป็นจริงภาพที่เห็น ก่อนหน้านั้นเครื่องบินได้ทะลุตึกไปเป็นมุม ๑๘๐ องศา แสดงว่าเครื่องบินชนตึกในแนวระนาบ ไม่ได้หักเลี้ยวทำมุมตามภาพ จึงเชื่อได้ว่าภาพที่แสดงการเลี้ยวของเครื่องบินก่อนพุ่งเข้าชนนั้น สร้างภาพขึ้นภายหลัง โดยผู้ไม่มีความเข้าใจเรื่องวิศวกรรมการบินพอ ๑) เหตุผลการบินอ้อมของเครื่องบินลำที่ ๒ ก่อนพุ่งชนตึกด้านทิศใต้ นายโทนี่ เจย์ อาร์มสตรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง ที่ปรึกษาของ FBI ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะที่ปรึกษาฯ ว่า สาเหตุที่เครื่องบินโบอิ้งของบริษัทยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ซึ่งขึ้นจากสนามบินโลแกนเมืองบอสตัน บินอ้อมไปหลายรัฐก่อนพุ่งเข้าชนตึกด้านใต้นั้น ตามความเห็นของเขาเห็นว่ามีความเป็นไปได้สถานเดียวคือ การถ่วงเวลาให้เกิดค่าสมดุล เพื่อรอเวลาให้ตึกด้านเหนือซึ่งถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงที่ลุกจากน้ำมันเครื่องบิน จะมีความร้อนสูงกว่า ๑๐๐๐ องศา C โครงสร้างเหล็กภายในจะหลอมละลายเหมือนพลาสติกถูกไฟลนและอ่อนตัว ซึ่งจะใช้เวลาระยะหนึ่งที่ต้องไม่น้อยกว่า ๑๕ นาที ความเชี่ยวชาญและข้อมูลของผู้ก่อวินาศกรรม นับว่ากว้างขวางมาก จะเห็นได้จากการชนตึกด้านใต้นั้น เครื่องบินจะชนตรงรอยต่อ ซึ่งเป็นจุดเปราะบางที่สุด และเป็นความลับที่สุดบุคคลภายนอกจะไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย การชนตึกด้านใต้ตรงจุดเปราะบางและอ่อนไหวที่สุดของตึกเช่นนั้น ก็เพื่อให้ตึกขาดความสมดุล จะเห็นว่าเป็นการชนด้านข้างเพื่อให้โครงสร้างของตึกตรงนั้นขาดออกจากกัน และเกิดการเอียง เพราะขาดสมดุลไม่ใช่ชนลักษณะปกติ การชนระยะมุมกระทบ ตำแหน่ง ถูกต้องตรงจุด ได้องศา แม่นยำเหมือนกับการลากด้วยปากกาแสง ( Light Pen ) บนจอเรดาร์ เมื่อเกิดการหักที่มุมตึก ด้านทิศใต้จากการชนเช่นนั้น จึงเป็นการทำลายจุดสมดุลที่สำคัญของตึกที่จะทรงตัวอยู่ได้ ซึ่งทำให้ตึกใต้ยุบตัวลงมาอย่างรวดเร็วเพราะขาดจุดสมดุลของโครงสร้างและยุบตัวลงมา อย่างรวดเร็วก่อนตึกด้านทิศเหนือ ซึ่งขณะนั้นเหล็กได้หลอมละลายได้ที่แล้ว และไม่สามารถ รับน้ำหนักของตึกชั้นบนประมาณ ๒๐ ชั้น ซึ่งมีน้ำหนักโดยรวมเฉลี่ย ๕๐,๐๐๐ ตันไว้ได้ ตึกด้านทิศเหนือได้รับแรงสะท้อนจากการยุบตัวของตึกด้านใต้ จึงทำให้ตึกเหนือยุบตัวตามลงมา และชั้นต่าง ๆ ที่เหลือด้านล่างก็ไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวอาคารจึงยุบลงทั้งหมดในลักษณะ แนวดิ่งดังที่ปรากฏ ผู้ที่วางแผนวินาศกรรมนี้จะต้องเป็นนักวิศวกรรมชั้นเยี่ยม และต้องมี คณะนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักฟิสิกส์จึงสามารถคำนวณระยะเวลา ความร้อน น้ำหนัก โครงสร้าง จุดเปราะของตึก และองศาที่เครื่องจะเข้าชนได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการพุ่งเข้าชนด้วย ความแม่นยำเช่นนั้นทั้งสองตึก ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยนักบิน น่าจะเป็นการบังคับด้วยเครื่องมือ หรือเทคโนโลยีพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า ขบวนการก่อการร้ายจะมีความสามารถทำได้ หากไม่มีข้อมูลลับ และคณะทำงานที่มีความรอบรู้อย่างเชี่ยวชาญ ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ทั้ง ๒ ตึกดังกล่าวนี้ เป็นที่ตั้งบริษัท องค์กรธุรกิจการเงินระดับประเทศ รวมทั้งสิ้น ๘๐ ประเทศ ผลของการก่อวินาศกรรมดังกล่าวนั้น ทำให้ขบวนการก่อวินาศกรรมมีศัตรูเพิ่มขึ้นทันที ๘๐ ชาติทั่วโลก ๖). ??? ๗). ??? ๘) มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิงที่ผู้ก่อการร้ายจะมีความจงใจสร้างศัตรูให้เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน เพราะว่าประชาชนที่เสียชีวิตอันเนื่องจากการถล่มตึกในครั้งนี้เป็น นักธุรกิจจากทั้งหมดกว่า ๘๐ ประเทศทั่วโลก มันหมายความว่า บิน ลาเดน สร้างศัตรูขึ้น ในคราวเดียวกันถึง กว่า ๘๐ ประเทศ ๙) การชนตึกเพนตากอนกับงบประมาณทางทหาร โครงการระบบป้องกันขีปนาวุธ ( MMD ) เป็นโครงการตั้งขีปนาวุธเพื่อป้องกันสหรัฐฯ ในทุกภูมิภาคของโลกและถือเป็นนโยบายหลักของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุช ได้ทำการรณรงค์เพื่อให้สหภาพยุโรปเห็นพ้องด้วย โดยพลเอก คอลิน เพาเวล เดินทาง ไปยังกลุ่มประเทศในเครือยุโรปแต่ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงและมีแนวโน้มว่า จะไม่ได้รับผลสำเร็จตามที่ต้องการประกอบกับสภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ สภาคองเกรสมีแนวโน้มว่าจะตัดงบประมาณทางทหาร ในระยะเวลาอันใกล้ ย่อมหมายถึงการลดกำลังทหารและฐานทัพทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งฝ่ายที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของสภาฯ เห็นควรว่าจะต้องนำงบประมาณ ส่วนใหญ่มามุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก่อน ลักษณะท่าทีดังกล่าวทำให้บริษัทผู้ผลิต ส่วนประกอบชิ้นส่วน และเทคโนโลยีการทหารได้รับผลกระทบอย่างยิ่งไปด้วย แนวโน้มการตัดงบประมาณทางทหารและด้านการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ได้กระจายไปยังนายทหารระดับสูงของเพนตากอนและผู้บัญชาการกองทัพรวมถึง ผู้อำนวยการสภาความมั่นแห่งชาติ NSA ซึ่งจะเข้าข่ายในการตัดลดงบประมาณทางทหาร ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการตัดลดงบประมาณด้านการข่าวกรอง CIA ซึ่งจะตัดก่อนงบประมาณอื่น ๆ การนำเสนอตัดลดงบประมาณการทหารคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาในเดือน พ.ย. ๒๕๔๔ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๖ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 09:55:13 PM ในวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๔ เวลา ๐๙.๔๐ เครื่องบินจัมโบ้เจ็ตของบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์
สามารถฝ่าด่านแนวป้องกันภัยทางอากาศ NORAD ของกองทัพสหรัฐฯ พุ่งชนตึกเพนตากอน ได้รับความเสียหายยับเยิน ๑๐) ยอดผู้เสียชีวิตจะต้องมีมากกว่าที่ปรากฏออกมาคืออย่างน้อยจะต้องมียอดผู้เสียชีวิต เป็นหลายแสนคนในสถานการณ์ปกติตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์จะมีผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่พร้อมกัน หรือในเวลาเดียวกันเป็นจำนวนหลายแสนคน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะไปเข้าคิวรอกันเพื่อเข้าเยี่ยมชม ตั้งแต่ ๐๖.๐๐ ในตอนเช้า แต่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจำนวนยอดผู้เสียชีวิตสุดท้ายจริง ๆ ของเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน มีเพียงแค่ ๒,๐๐๐ คนเศษเท่านั้นและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ ก็เป็นนักธุรกิจชาวมุสลิมที่มีสำนักงานอยู่บนตึกแห่งนั้น จึงสามารถที่จะประมาณเอา ได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ๑๑) จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ( พ.ย. ๒๕๔๔ ) ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดอย่างสมเหตุสมผลเลยว่า บิน ลาเดนและเครือข่ายผู้ก่อการร้ายของเขาเป็นผู้บงการและดำเนินการในการถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ แต่อย่างใดหลายเรื่องล้วนแล้วแต่คาดว่าโดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เป็นผู้ออกมาแถลงข่าวเท่านั้น ๑๒) ไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการใด ๆ ในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบเตือนภัยทางอากาศ ของ NORAD ว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนและทำไมจึงไม่ทำงานในระหว่างที่ผู้ก่อการร้ายโจมตี และด้วยความคลุมเครือของสถานการณ์สหรัฐ ฯ ก็ได้ดำเนินการตามแผนในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นช่วงที่คนทั้งโลกกำลังงงงันอยู่ ๑๓) ไม่มีรายงานใด ๆ จาก NSA , CIA ,FBI , NORAD ว่าทำไมจึงปล่อยให้เครื่องบินทั้งสี่ลำ ถูกผู้ก่อการร้ายจี้ได้และให้สามารถผ่านทะลุระบบป้องกันที่ว่าดีที่สุดในโลกเข้ามาได้ซึ่งเป็นเรื่อง ที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของนักการทหารและนักวิเคราะห์สถานการณ์โลก นอกจากการจงใจ ปล่อยให้เข้ามาของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ๑๔) ไม่มีการตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงใด ๆ ที่จะสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบันทุก ที่ราดาร์ตรวจจับอยู่ตลอดเวลาจากทุกหอบังคับการบิน ๑๕) ไม่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการใด ๆ ในการที่จะสืบหาข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ ที่รับผิดชอบในการควบคุมระบบดาวเทียมทหาร และระบบ GPS ว่าทำไมระบบที่อยู่ในการควบคุม จึงไม่มีข้อมูลในการแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ ๑๖) หน่วยงานจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ( FEMA Federal Emergency Management Agency ) ได้ถูกเรียกให้เข้าไปเตรียมพร้อม ณ กรุงนิวยอร์ก ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ ๑๑ กันยายน คือได้ถูกเรียกไปเตรียมพร้อม ณ กรุงนิวยอร์ก ตั้งแต่เย็นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๔ (๒๐๐๑) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลกลางของ สหรัฐอเมริการู้เห็นเหตุการณ์นี้เป็นอย่างดี และเป็นหลักฐานยืนยันถึงการที่รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ เป็นผู้สร้างสถานการณ์ ๑๑ กันยายน ขึ้นมาเอง (www.whatreallyhappened.com) ๑๗) เหตุผลที่เลือกใช้เครื่องบินของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์และยูไนเตทแอร์ไลน์ ( สายงานข่าวจากดัลลัส เท็กซัส) วันที่ ๒ มิ.ย.๒๕๔๓ ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ได้ถูกนักแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลทั้งหมด วันที่ ๖ ก.ค. ๒๕๔๓ บริษัทสายการบินลีเจนด์แอร์ยื่นฟ้องต่อศาลเมืองดัลลัสว่า บริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ ได้เจาะ ( Hacker) เข้าไปในระบบข้อมูลของตนโดยในคำฟ้องของลีเจนด์แอร์ระบุว่า ไม่เชื่อว่าเกิดจาก ความบังเอิญแต่มั่นใจว่าอาจเป็นแผนทำลายทางธุรกิจเนื่องจากข้อมูลด้านเส้นทางการให้บริการแผนงาน ตั้งแต่ออกจากสนามบินเลิฟ ฟิลด์ ใกล้เมืองดัลลัสอันเป็นพื้นที่ของอเมริกันแอร์ไลน์ พร้อมเรียกค่าเสียหายนับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ บริษัทสายการบินลีเจนด์ แอร์ เป็นบริษัทใหม่ ที่เพิ่งจะเข้าสู่ตลาดได้ยังไม่ถึง ๓ เดือนเท่านั้น ส่วนบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ อันดับ ๒ ของสหรัฐอเมริกาแต่ในระยะ ๑๐ เดือนที่ผ่านมานี้บริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ได้ประสบปัญหา การขาดทุนมหาศาลจากการสไตรค์ของนักบินและพนักงาน ทั้งนี้ฝ่ายบริหารงานบริษัทมีแผน ที่จะปลดพนักงานไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คนภายในปีนี้ แต่ติดปัญหาการจ่ายเงินทดแทน จำนวนมหาศาลให้กับพนักงาน และเงินชดเชยเหตุผลในการปลดออกซึ่งยังไม่สามารถตกลงกันได้ การที่บริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ถูกฟ้องนี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในหุ้นของบริษัทต้องลดลง ทำให้ฝ่ายบริหารของอเมริกันแอร์ไลน์ตัดสินใจฟ้องกลับ บริษัทสายการบินลีเจนด์ แอร์ เป็นจำเลย ต่อศาลของเมืองดัลลัสเพื่อรักษาภาพพจน์ของบริษัทอย่างน้อยก็เพื่อรักษาราคาหุ้นไม่ให้ตกดิ่งไปกว่าเดิม โดยในคำฟ้องอเมริกันแอร์ไลน์ ได้อ้างถึงข้อสัญญาที่ลงนามร่วมกันระหว่างลีเจนด์แอร์ไลน์ ทั้งสองบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทนักสืบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้ติดตามและหาหลักฐาน จากระบบข้อมูลของแต่ละบริษัท เพื่อนำไปแสดงต่อศาลดัลลัส รัฐเท็กซัส ถ้าวิเคราะห์อย่างนักการทหารแล้วจะเห็นได้ว่า เป็นการลวงทางการสงครามที่ได้ผลที่สุดเนื่องจาก ไม่มีผู้ใดที่จะคิดสงสัยไปเป็นเรื่องอื่นนอกจากเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายเพียงสถานเดียวเท่านั้น และผลที่ออกมาจากการปฏิบัติตามแผนลวงก็บรรลุเป้าหมายอย่างสูงยิ่งทุกเป้าหมาย จึงวิเคราะห์ ตามหลักการในตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ที่กล่าวว่า ....ทุกกลยุทธเพื่อนำมาซึ่งชัยชนะในสงคราม อยู่บนพื้นฐานของการลวงทั้งสิ้น...) ( การใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู อธิบาย เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ และ สงครามต่อต้านการก่อการร้ายโดย พันโท โสภณ ศิริงาม ) เมื่อสหรัฐฯ สร้างกรณี ๑๑ กันยายน เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่โลกกำลังตะลึง สหรัฐฯ รีบเร่งเข้าโจมตี เป้าหมายการยึดครองต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยการโจมตีอัฟกานิสถาน เพื่อที่จะมุ่งเข้าสร้างความปั่นป่วน ในมลฑลซินเกียงของจีน โดยอาศัยชื่อของบิน ลาเดน ดังมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้ ............กรณี ๑๑ กันยายน , สงครามถล่มอัฟกานิสถานและสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ในปี ๒๕๔๔ เป้าหมายหลักเป็นการมุ่งไปสู่การให้ได้มาซึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และเตรียมการ ที่จะทำสงครามอ่าวครั้งที่ ๒ โอซามา บิน ลาเดน เป็นสมาชิกคนสำคัญขององค์กร ซีไอเอ ที่ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์ต่อ ซีไอเอ มาโดยตลอดและเป็นเวลานาน ในช่วงที่มีสงคราม อ่าวเปอร์เซียครั้งแรก บิน ลาเดน ทำงานเป็นนายหน้าขายอาวุธของบริษัทผลิตอาวุธสหรัฐฯ และอังกฤษให้กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางจนกระทั่งมีฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี เป็นธรรมดา ที่เมื่อทำงานให้ ซีไอเอ แล้วจะต้องถูกใช้งานเมื่อใช้งานไม่ได้ ซีไอเอ จะต้องกำจัดทิ้ง อย่างไม่มีความปราณี ( คนไทยที่ทำงานเพื่อซีไอเอ ในประเทศไทยในขณะนี้พึงสังวรณ์ เมื่อท่านหมดค่าแล้วท่านจะถูกฆ่าดังเช่น บิน ลาเดนและ ซัดดัม ) บิน ลาเดน ก็เช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการสั่นคลอนราชบัลลังก์ของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ซีไอเอ จึงสั่งการให้ บิน ลาเดน ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ซาอุฯ เมื่อรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ล่วงรู้แผนการก่อน ( ซีไอเอ เป็นผู้ส่งข่าวให้ ) จึงจับกุม บิน ลาเดน แล้วจะลงโทษตามกฎหมายมุสลิมคือ การตัดอวัยวะของร่างกาย ซีไอเอ จึงร้องขอต่อรัฐบาลซาอุฯ ให้เป็นการลงโทษเพียงการเนรเทศ ออกนอกประเทศไปด้วยความเกรงใจ ซีไอเอ รัฐบาลซาอุดิอาระเบียก็ได้ปฏิบัติตามที่มีการร้องขอ หลังจากที่ได้ถูกให้เดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ทางอัฟริกาบางประเทศแล้วในที่สุด ซีไอเอ ก็ได้สั่งการให้ บิน ลาเดน เข้าไปร่วมงานกับกลุ่มมูจาฮีดีนปฏิบัติการต่อต้านสหภาพโซเวียต ในอัฟกานิสถาน ซึ่ง บิน ลาเดน ไม่ได้เป็นผู้ที่มีวีรกรรมในการทำการรบอย่างอย่างห้าวหาญโชกโชน ดังที่มีการนำเสนอข่าวของฝ่ายสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างให้ บิน ลาเดน มีความร้ายกาจ ในสายตาของชาวโลก แต่ บิน ลาเดน เป็นเพียงผู้รับเงินจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเงินสนับสนุน ให้กับกลุ่มกองโจรเท่านั้น หลังจากที่ได้ชัยชนะในการขับไล่กองทัพโซเวียตออกจากอัฟกานิสถานแล้ว บิน ลาเดน ก็ถูกสร้างภาพให้เป็นนักรบผู้เก่งกาจและเป็นขวัญใจชาวมุสลิมตามที่สหรัฐฯ สร้างให้ หลังจากนั้น บิน ลาเดน ก็ถูกสร้างให้เป็นผู้ร้ายที่ร้ายกาจอีกต่อไป กิจกรรมในการสร้างความร้ายกาจ ให้กับ บิน ลาเดน มีดังต่อไปนี้ ( ๑ ) การวางระเบิดตึก เวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ในปี ๒๕๓๖ ( ๑๙๙๓) ( ๒ ) การวางระเบิดฐานทัพเรือสหรัฐฯ ในปี ๒๕๓๙ ( ๑๙๙๖ ) ( ๓ ) การวางระเบิดสถานทูตสหรัฐฯ ในเคนยา และสถานทูตแทนซาเนียในปี ๒๕๔๑ ( ๑๙๙๘ ) ( ๔ ) การก่อวินาศกรรมเรือรบสหรัฐฯ USS Coles ในปี ๒๕๔๓ ( ๕ ) การวางระเบิดตึก เวิร์ลด์เทรดเซนเตอร์ในปี ๒๕๔๓ ( ๖ ) การถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ซึ่งดูเหมือนว่า บิน ลาเดน จะถูกสร้างให้เป็นผู้ก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกอันเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ได้แล้วในที่สุดก็นำไปสู่การสร้างสงครามที่ใช้เทคโนโลยีสูงในเวลาต่อมา ต่อกรณีการสร้างสถานการณ์ถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ของกลุ่มก่อการร้ายที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นในนามของ บิน ลาเดน และเครือข่ายทำให้สหรัฐฯ มีความชอบธรรมในการส่งทหาร เข้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้ทุกภูมิภาคของโลกโดยการสร้างสถานการณ์การก่อการร้ายเพิ่มเติม ตามเป้าหมายที่ต้องการจะส่งเจ้าหน้าที่หรือกำลังทหารเข้าไปตามที่ตนเองต้องการ ซึ่งสงครามต่อต้านการก่อการร้ายก็ถูกขยายไปทั่วทุกมุมโลกในที่สุด นั่นคือการบรรลุเป้าหมาย ในการส่งกำลังเข้าไปยึดครองพื้นที่อันมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทั่วโลกได้แล้วนั่นเอง .... หลังจากนั้นสหรัฐฯ ก็สร้างเหตุการณ์ระเบิดที่บาหลีเพื่อส่งกำลังและอิทธิพลส่วนหนึ่งของตนเข้าไป ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดึงเอาออสเตรเลียเข้าร่วมในการเล่นเกมการสร้างการก่อการร้าย อย่างมีความชอบธรรม และในที่สุดก็อ้างเหตุเพื่อการทำสงครามอิรักเมื่อต้นปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมา จนสามารถยึดครองแหล่งน้ำมันของโลกจนเป็นผลสำเร็จและสามารถควบคุมเศรษฐกิจของโลก ในระดับหนึ่งโดยการทำให้น้ำมันขึ้นราคาดังที่ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยต้องประสบอยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้นกิจกรรมด้านการทำสงครามด้วยอาวุธสลับกับการทำสงครามชีวะ ด้วยการปล่อยให้เชื้อโรคต่าง ๆ ระบาดไปทั่วภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น โรคซาร์ซ โรคไข้หวัดนก สงครามชีวะเหล่านี้ ใช้เป็นเกมในการควบคุมประเทศต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังที่ ซุน วู ได้กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า ...พึงให้เจ้าครองแคว้นอื่นสยบด้วยภยันตราย ให้เจ้าครองแคว้นอื่นรับใช้ด้วยอิทธิพล ให้เจ้าครองแคว้นอื่นขึ้นต่อด้วยผลประโยชน์... ซึ่งสหรัฐฯ ก็ใช้อย่างได้ผลมาโดยต่อเนื่อง ทำให้ประเทศต่าง ๆ ตามสถานการณ์ไม่ทันต้องยอมทำตามสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฝ่ายริเริ่มในการกระทำอยู่เสมอ นั่นคือการใช้กลยุทธ์ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม คือการที่สหรัฐฯ เริ่มสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ชาวโลกก็ตกตะลึงอยู่แล้วยังคิดอะไรไม่ออก สหรัฐฯ ฉวยโอกาสเข้ายึดครองอัฟกานิสถาน โดยที่ฝ่ายใด ๆ ไม่ได้มีโอกาสคิดหรือตั้งตัวได้แต่ต้องทำตามที่สหรัฐฯ ขอร้องแกมบังคับ หลังจากนั้นก็เข้าตีอิรัก สร้างการก่อการร้ายขึ้นทั่วทุกมุมโลก เป็นลักษณะของการโผล่ที่โน่นที่นี่ตามกลยุทธ์ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม อย่างชัดเจน ซึ่งทุกครั้งจะไร้การต่อต้าน ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้าน แต่ก็ไม่อาจที่จะยับยั้งการปฏิบัติการของสหรัฐฯ ได้ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์นี้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า ที่ว่าส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม ก็คือโดยภายนอก โดยผิวเผิน ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่า จะบุกทางนี้อย่างจริงจัง แต่ที่แท้แล้วกลับบุกอีกด้านหนึ่ง ทำให้ข้าศึกหลงผิด แล้วพิชิตเอาชัยในความหลงผิดนั้น หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๗ มีในไม่มี เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:05:03 PM ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึก เท็จลวงกับจริงแท้ พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ กลยุทธ์ที่ ๗ มีในไม่มี ลวง ใช่ลวง จริงอยู่ในลวง มืดน้อย มืดมาก ก็สว่าง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก แต่มิใช้จะล่อลวงจนถึงที่สุด หากแต่เพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ทำให้ข้าศึกเกิดความหลงผิด ที่ว่า ลวง ก็คือ หลอกลวง" ที่ว่า มืด ก็คือ เท็จ จากมืดน้อยไปจนถึงมืดมาก จากมืดมาก แปรเปลี่ยนเป็นสว่างแจ้ง ก็คือ ใช้ภาพลวงปกปิดภาพจริง ผันจากเท็จลวงให้กลายเป็นจริงแท้ นี่เป็นเรื่องในการศึก เท็จลวงและจริงแท้สลับกันเป็นฟันปลา ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง มีในไม่มี หมายถึงกลอุบายซึ่ง จริงในเท็จ ที่ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก ให้ข้าศึกเกิดความหลงผิดอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ในตำราพิชัยสงครามชื่อ อุ้ยเหลียวจื่อ อำนาจศึก ซึ่งกล่าวว่า อำนาจศึกอยู่ที่วิถีอันทำได้ ผู้มีจักไม่มี ผู้ไม่มีจักมี ในบทที่ ๓๔ ของ คัมภีร์เหลาจื่อเล่มหลัง ก็กล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งใต้หล้าเกิดจากมี บ้างก็เกิดจากไม่มี ใน จดหมายเหตุราชวงศ์ถังใหม่ ประวัติจางสุน มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ในศักราชเทียนเป่าที่ ๑๔ ในรัชสมัยพระเจ้าถึงเสียนจงฮ่องเต้ ( พ.ศ.๑๒๙๘ ) อันลู่ซานกับสือซือหมิง ขุนทัพผู้คุม......... ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ เรื่องการสร้างสงคราม อิรัก อิหร่าน โดยสหรัฐอเมริกา เมื่อประธานาธิบดี โรนัล รีแกน แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ารับตำแหน่ง เป็นห้วงระยะเวลาที่ ประเทศสหรัฐอเมริกายังคงประสบกับภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่สหรัฐฯ ต้องทำสงครามอันยาวนานกับเวียดนามในช่วงสงครามเย็น การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปทางทหาร และการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นำมาซึ่งความอัปยศให้แก่เกียรติภูมิด้านการทหาร และด้านการเมืองของสหรัฐฯ และนำมาซึ่งความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของประชาคมโลกต่อสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา สิ่งที่ผลของสงครามเวียดนามได้ทิ้งไว้เป็นการเตือนความทรงจำที่สหรัฐฯ ไม่อาจลืมเลือนไปได้โดยง่ายก็คือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลของ สหรัฐฯ ยอมรับ กับประชาคมโลก และอเมริกันชน ว่า ผลกระทบของสงครามเวียดนามทำให้สหรัฐฯ ได้รับความบอบช้ำทางด้านเศรษฐกิจที่มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และก็เป็นเรื่องจริง ผลอันนั้นทำให้สหรัฐฯ ต้องใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องใช้เวลานานถึง ๑๐ ปีเศษ ยิ่งในช่วงการบริหารประเทศของรัฐบาลรีแกนด้วยแล้ว จากการบีบคั้นของทุกฝ่ายทำให้ประธานาธิบดีรีแกนต้องรีบเร่งในการแก้ปัญหานี้ แนวทางของประธานาธิบดีของประธานาธิบดีรีแกนในการแก้ปัญหาของประเทศ มักจะมีความโน้มเอียงไปทางด้านการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา กิจกรรมในการสร้างสงคราม ทั้งสงครามตามแบบและสงครามไม่ตามแบบจึงเกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดี รีแกน เป็นจำนวนมาก ประกอบกับในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของ รีแกน นั้นได้รับการสนับสนุน จากกลุ่มอุตสาหกรรมด้านอาวุธเป็นจำนวนมากด้วย กลุ่มอุสาหกรรมดังกล่าวจึงต้องพยายาม ผลักดันให้ รีแกน สร้างสงครามเพื่อที่จะให้มีกิจกรรมในการสนับสนุนธุรกิจด้านการค้าอาวุธของกลุ่มตน จากแรงผลักดันหลายประการดังกล่าวแล้ว คือ สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐฯ เอง และการผลักดันของกลุ่มผู้สนับสนุน เงินทุนให้กับ รีแกนเอง ทำให้ รีแกนจำเป็นต้องตัดสินใจ ในการสร้างสงครามขึ้น โดยกลุ่มนักวางแผนได้ใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ กลยุทธ์มีในไม่มี ใน ๓๖ กลยุทธ์ดังนี้คือการสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มีตัวตนขึ้นมาให้ได้เพื่อเป็นสาเหตุของการสร้างสงคราม ในการบรรลุเป้าหมายของตน รีแกน ได้สั่งให้กลุ่มผู้สร้างสถานการณ์ยิงเครื่องบินพาณิชย์ของเกาหลีใต้ โดยในเวลาต่อมาได้ผลักความรับผิดชอบให้กับผู้ก่อการร้ายชาวอิหร่านเป็นแพะรับบาปไป เพื่อที่จะอ้างความชอบธรรมในการผลักดันให้อิรัก ซึ่งเป็นพันธมิตรอันใกล้ชิดแน่นแฟ้นของสหรัฐฯ ทำสงครามกับอิหร่านในสมัยหลังการปฏิวัติของโคไมนี ( หลักฐานการยิงเครื่องบินพาณิชย์ของเกาหลีใต้ และมีผู้โดยสารเสียชีวิตจำนวนมากดังกล่าวเป็น วีดีโอ การยิงจรวดจากเรือรบของสหรัฐฯ ที่มองเห็นจากภาพได้ชัดเจนแล้วผู้ยิงยังได้นำภาพถ่ายเป็นวีดีโอดังกล่าวมาเป็นหลักฐานผลการปฏิบัติงาน เพื่อรับเงินค่าตอบแทนเรียบร้อยแล้ว หลักฐานอันนั้นยังสามารถที่จะแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบกัน ได้ทุกเมื่อ ) หลังจากที่สร้างสถานการณ์เสร็จแล้วสหรัฐฯ ก็สนับสนุนให้อิรักประกาศสงครามกับอิหร่าน เมื่อปี ๒๕๒๓ ซึ่งสงครามดำเนินไปถึงปี ๒๕๓๑ ซึ่งการสร้างสงครามดังกล่าว ได้อ้างเอาเหตุผลจากหลักฐาน ที่เดิมไม่ได้มีความเป็นจริงแต่ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายสหรัฐอเมริกาเอง คือไม่มีก็ต้องสร้างให้มีขึ้นมาได้ แล้วการสร้างสงครามก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกลยุทธ์ที่ดังกล่าวแล้ว มีในไม่มี หรือ ไม่มีในมี กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อจักสั่นคลอนจิตใจของข้าศึก มิควรวู่วาม ควรใช้ยุทธวิธีจริงเท็จเท็จจริงสลับลวงกันไป ทำให้ข้าศึกเกิดความสับสนวุ่นวาย พึงจับจุดอ่อนของข้าศึก ยืนหยัดจนถึงวาระที่สำคัญที่สุด ครั้นแล้วก็รุกโจมตีอย่างถึงแก่ชีวิต หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๘ ลอบตีเฉินชัง เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:17:23 PM กลยุทธ์ที่ ๘ ลอบตีเฉินชัง
แสดงเคลื่อนให้เห็น ศัตรูสงบจึงกระทำ เข้าจู่โจมดุจพายุ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ในการศึก ใช้โอกาสที่ฝ่ายข้าศึกตัดสินใจจะรักษาพื้นที่ แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ข้าศึกไม่สนใจอย่างมิได้คาดคิด ใน คัมภีร์อี้จิง ประโยชน์ เรียกว่า เข้าจู่โจมดุจพายุ ซึ่งก็คือกลวิธีวกวนลอบเข้าจู่โจม อย่างเป็นฝ่ายกระทำ เข้าตีข้าศึกโดยมิได้ระวังตัว เอาชนะอย่างมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ การวางแผนในการเข้าโจมตีอัฟกานิสถานของสหรัฐฯ หลังจากที่เกิดกรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ จากเอกสารวิจัยดีเด่นเรื่อง THE 9.11 EVENT AND THE CURRENT WAR ON TERRORISM BY SUN ZI ART OF WAR ของนักศึกษามหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน รุ่นที่ ๑๑ ปีพ.ศ. ๒๕๔๕- พ.ศ.๒๕๔๖ ( http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com ) ระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า กรณีการถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ของสหรัฐอเมริกา โดยผู้ก่อการร้าย เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ที่ผ่านมานั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาเอง เพื่อการบรรลุเป้าหมายหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ในทันทีที่การถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ สิ้นสุดลง สหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศทันทีว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ นั้นเป็น กลุ่มผู้ก่อการร้าย อัลกอร์ อิดะห์ โดยมีนาย โอซามา บิน ลาเดน เป็นหัวหน้ากระบวนการ และจากการสืบทราบของสหรัฐอเมริกาเองทราบว่า บิน ลาเดน ได้กบดานอยู่ที่อัฟกานิสถาน สหรัฐฯ จึงประกาศสงครามกับผู้ก่อการร้ายและเริ่มโจมตีอัฟกานิสถานทันที เป็นที่น่าสังเกตว่า สหรัฐฯ รีบประกาศสงครามถล่มอัฟกานิสถานเพื่อโจมตีฐานที่มั่นรัฐบาลตาลีบันของอัฟกานิสถาน เพื่อตามจับตัวนายบิน ลาเดน ผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แน่ชัดทั้งสิ้น ว่าบิน ลาเดน ทำเช่นนั้นจริง สหรัฐฯ รีบรวบรวมพลพรรคแล้วโจมตีอัฟกานิสถานทันที พร้อมทั้งประกาศ ขู่ทุกประเทศทั่วโลกว่า ประเทศใดที่ไม่ให้การสนับสนุนการสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายของสหรัฐฯ จะถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับผู้ก่อการร้ายและเป็นศัตรูของสหรัฐฯ ทำให้ทุกประเทศกลัวกันลนลาน ต้องประกาศตามสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ เต็มที่ ประชาคมโลก ต่างยังไม่หายจากอาการตกตลึงกับเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ จึงยังไม่รู้ทิศทางว่าตนเอง จะทำอะไรต่อไปดีและสหรัฐฯ จะทำอะไรต่อไปดีเช่นเดียวกัน เมื่อสหรัฐฯ ประกาศสิ่งใดออกมาวิธีที่ดีที่สุด คือต้องคล้อยตามสหรัฐฯ เพียงประการเดียวเท่านั้น ทำให้การปฏิบัติการใด ๆ ของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ดำเนินไปอย่างราบรื่นตามเป้าหมายทุกประการ ที่เรียกว่าเป็นการลอบตีเฉินซัง ก็เพราะว่า ขณะนั้นไม่มีใครคาดคิดว่า สหรัฐฯ จะประกาศเข้าโจมตีอัฟกานิสถานเพราะไม่เห็นว่าอัฟกานิสถาน จะเกี่ยวข้องอะไรกับกรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ แต่ในที่สุดก็ถึงบางอ้อเมื่อสหรัฐฯ เชื่อมโยงว่า เป็นที่ซ่อนตัวของ บิน ลาเดน ที่ไม่คาดคิดยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อโจมตีจนกระทั่งสามารถยึดอัฟกานิสถานได้แล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศต่อไปอีกว่า บิน ลาเดน ได้หลบหนีเข้าไปยังพื้นที่ในมณฑลซินเกียงของจีน ดังคำกล่าวของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุชว่า Xinjiang Province of Chinas mainland is the best and the most safety place for Osama Bin Laden to hide because there are the Muslim minoritys homeland .. . We must not stop the war on terrorism , we dont know when the war would be stopped , well go to anywhere to every countries which we believe that there are hidden places for the terror or the terror networks according to our own evidences. This is the 21st Crusade War and this is the true Liberal War แต่จีนรู้ทันกลยุทธ์สหรัฐฯ ดีที่จะให้พื้นที่ของตนในการเคลื่อนไหวแล้วจะสร้างสถานการณ์ ในการก่อการร้ายให้รุนแรงขึ้นแล้วจะสร้างสถานการณ์เพื่อสนับสนุนให้มีการแยกมณฑลซินเกียง เป็นอิสระจากจีนแผ่นดินใหญ่ จีนจึงตัดบทว่าจะให้การสนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ แต่จะไม่ให้ผู้ก่อการร้ายใด ๆ เข้าไปเคลื่อนไหวในจีนได้โดยเด็ดขาด ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถที่จะเข้าไป ยังพื้นที่ของจีนได้ จึงเบี่ยงเบนเป้าหมายไปยังอาเซียน การสร้างการก่อการร้ายในบาหลีของอินโดนีเซีย การสร้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายอามูซายาฟในฟิลิปปินส์เป็นเป้าหมายต่อไป แล้วหลังจากนั้นก็นำกำลังทหารส่วนหนึ่ง เข้าไปตั้งไว้ในเอเชียกลางเพื่อสกัดกั้นการติดต่อระหว่างจีนกับรัสเซียต่อไป ที่สำคัญคือการนำชื่อของ ซัดดัม ฮุสเซ็น มาอ้างเพื่อการทำสงครามอ่าวเปอร์เซียอีกครั้งหนึ่ง ผลของการลอบตีอัฟกานิสถานในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ๑) การสามารถยึดครองพื้นที่อันเป็นแหล่งแร่ยูเรเนียมที่สำคัญของโลกได้ คือที่อัฟกานิสถาน ทั้งนี้เพราะอัฟกานิสถานเป็นแหล่งยูเรเนียมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่อดีตสหภาพโซเวียต ได้นำไปใช้ในการผลิตอาวุธนิเคลียร์ที่เมืองเคียฟ ๒) สามารถยึดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่ประเทศมหาอำนาจทุกยุคทุกสมัยต้องการยึดครองตั้งแต่ เจงกิสข่าน มาที่สหภาพโซเวียต รวมทั้งจีนก็ยังมีความต้องการพื้นที่ทางยุทธศาสตร์อันนี้เช่นเดียวกัน ๓) การสามารถเข้าควบคุมเอเชียกลางและสอดส่องดูการเคลื่อนไหวของจีนและรัสเซียได้ ๔) การใช้เป็นพื้นที่เริ่มต้นในการขยายสงครามไปสู่พื้นที่อื่นและไปสู่การสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ ๒ คือสงครามอิรักครั้งที่ ๒ นั่นเอง ( ๒๕๔๖ ) กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อคู่ศึกทั้ง ๒ ฝ่ายตั้งประจันหน้ากัน จงใจสร้างเป้าหมายให้ฝ่ายตรงข้ามเพ่งเล็ง รอจนเมื่อฝ่ายตรงข้ามวางกำลังใหญ่ป้องกันไว้ ณ ที่นั้นแล้ว จึงรุกรบโจมตีเอาเป้าหมายอื่น ซึ่งก็คือการใช้จุดอ่อนแห่งภาวะจิตของมนุษย์ โจมตีในจุดที่ฝ่ายตรงข้ามมิได้คาดคิดมาก่อน และมิได้ระมัดระวังตัว จึงได้มาซึ่งชัยชนะในการรุกรบ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:40:35 PM กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง
แจ้งแตกมิเป็นส่ำ มืดรอให้อับจน ความดุร้ายใจโหด จักคร่าชีวิตเอง คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อน กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนัก พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน ต่างพิพาทเข่นฆ่ากัน แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จักต้องปฏิบัติให้คล้อยตามการเปลี่ยนแปลง ของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะ โดยใช้การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์ นี้ก็คือความหมายของคำว่า คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อน ใน คัมภีร์อี้จิงว่าด้วยสงบ ซึ่งก็คือกลอุบายที่ยึดถือการแปรผันของข้าศึก เปลี่ยนแปลงตามสภาพ เพื่อเอาประโยชน์อย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิมมาจากตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่าด้วยการศึก ที่ว่า ใช้ความสงบรอความปั่นป่วน ใช้ความเงียบรอความวุ่นวาย ใน บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติจางอี๋ ก็ได้บันทึกเรื่องราวของ เปี้ยนจวงจื่อว่า นั่งบนภูดูเสือกัดกัน ได้เสือ ๒ ตัวเพียงดำเนินการครั้งเดียว ซึ่งก็คล้ายคลึงกับกลยุทธ์นี้ ตัวอย่างในการใช้กลยุทธ์นี้คือ.............. ปลายสมัยราชวงฮั่นตะวันออก (ปลายศตวรรษที่ ๒ แห่งคริสต์ศักราช) เมื่อการปราบปรามการลุกขึ้นสู้ ของชาวนาโพกผ้าเหลืองอย่างเหี้ยมโหดเสร็จสิ้นไปอย่างนองเลือดแล้ว ก็ก่อให้เกิดการแย่งชิงการยึดครอง เขตอิทธิพลระหว่างพวกขุนศึกอย่างขนาดใหญ่และเกิดการรบพุ่งกันชลมุน ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุด ในครั้งกระนั้น คืออ้วนเสี้ยวกับโจโฉ ในปีที่ ๕ แห่งศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๐) ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้อ้วนเสี้ยวจะยึดครองภาคกลาง โจโฉจะกำราบภาคเหนือ ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงรบกันอย่างดุเดือดที่เมืองกัวต๋อ (อำเภอจงโหมวในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) โจโฉเป็นฝ่ายชนะอ้วนเสี้ยว ในปีรุ่งขึ้นก็รบชนะอ้วนเสี้ยวที่เมืองซองเต๋งอีก ทำให้อิทธิพลของอ้วนเสี้ยว ถดถอยลงไปเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวเมื่อพ่ายต่อกันหลายครั้งก็ให้กลัดกลุ้มและท้อแท้ยิ่งนักหลังจากกลับไป ถึงแคว้นกิจิ๋ว (ในมณฑลเหอเป่ยปัจจุบัน) ไม่นาน ก็ตรอมใจอาเจียนเป็นโลหิตถึงแก่ชีวิตลง อ้วนเสี้ยวมีบุตรชายอยู่ ๓ คนคือ อ้วนถำ อ้วนฮี และอ้วนซง อ้วนซงเป็นบุตรคนสุดท้อง เกิดแต่นางเล่าซือภรรยาคนหลัง เป็นคนองอาจกล้าหาญ อ้วนเสี้ยวและนางเล่าซื่อรักมาก เคยคิดจะมอบอำนาจให้กับอ้วนซง หลังจากอ้วนเสี้ยวตายแล้ว นางเล่าซือก็ปรึกษากับสิมโพย และฮองกี่กุนซือของอ้วนเสี้ยว ให้อ้วนซงครองอำนาจในแคว้นเซียงจิ๋ว อิวจิ๋ว เป๊งจิ๋ว และกิจิ๋ว ๔ แคว้น ตามเจตนารมณ์ของอ้วนเสี้ยว ใจขณะนั้น อ้วนถำบุตรชายคนโตของอ้วนเสี้ยวตั้งทัพรักษาแคว้นเซียงจิ๋ว (ในมณฑลซานตง) อยู่ มีไพร่พลในมือถึง ๑๐ หมื่นคน เมื่อได้ข่าวว่าอ้วนซงได้กุมอำนาจทั้ง ๔ แคว้น ก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ค่าที่ตนเป็นบุตรชายคนโต น่าที่จะได้รับตำแหน่งนี้ จึงตั้งตนขึ้นเป็น ขุนพลตงฉี ปรึกษากับกุนซือกัวเต๋าและซินเม้ง จะนำทัพไปตีกิจิ๋ว ทว่าในระหว่างนั้น กองทัพใหญ่ของโจโฉ ก็มาประชิดชายแดนอยู่ พี่น้องทั้งสองจึงจำต้องร่วมมือกันต่อต้านข้าศึก ความขัดแย้งในเรื่องการชิงอำนาจ จึงได้ผ่อนคลายลง ส่วนโจโฉนั้น มีความประสงค์จะกำราบภาคเหนือให้เป็นเอกภาพอยู่ภายใต้อำนาจของตน จึงบุกขึ้นเหนือ รุกเข้ามาในพื้นที่ของอ้วนถำและอ้วนซง อ้วนถำตั้งทัพอยู่ ณ เมืองลิมหยง (ในอำเภอซุ่นเสี้ยนมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) เพื่อยันทัพโจโฉ อ้วนซงก็นำทัพจากแคว้นกิจิ๋ว (ชานเมืองปักกิ่งปัจจุบัน) รวมทั้งโกกันบุตรชายซึ่งรักษาแคว้นเป๊งจิ๋ว ต่างก็นำทัพมายังเมืองลิมหยง เพื่อร่วมต้านทานการบุกรุกของโจโฉ แต่การรบที่เมื่องลิมหยง อ้วนถำกับอ้วนซงออกรบหลายครั้งก็แพ้ทุกครั้ง จึงได้แต่ตั้งมั่นอยู่ในเมือง ขยาดที่จะออกรบด้วย ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงยันกันอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายเดือน ในเดือน ๓ แห่งปีที่ ๘ ของศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๓) โจโฉทุ่มกำลังเข้าตีเมืองลิมหยงอย่างหนัก พี่น้องอ้วน ถูกบังคับให้ต้องออกรบด้วย แต่ก็ถูกโจโฉตีพ่ายไป หนี้กลับยังกิจิ๋วตลอดทั้งคืน กองทัพของโจโฉ ก็ไล่ตีไปจนถึงชายแดนแคว้นกิจิ๋ว พวกแม่ทัพนายกองของโจโฉมีความเห็นให้ฉวยโอกาสเผด็จศึกเสีย มิให้ทันได้ตั้งตัว แต่กุนซื่อของโจโฉชื่อกุยแกพูดกับโจโฉว่า เมื่ออ้วนเสี้ยวตายแล้ว นางเล่าซือภรรยาของเขาตั้งลูกชาย ขึ้นครองอำนาจแทนลูกเมียหลวง ฉะนั้นในระหว่างอ้วนถำกับอ้วนซงจึงมีความขัดแย้งกันมากมาย และต่างมีสมัครพรรคพวกของตนเป็นอันมาก ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะต้องเกิดการแก่งแย่งกันอย่างแน่นอน บัดนี้กองทัพเราประชิดเมืองอยู่ พวกเขาย่อมจะสามัคคีกันมาต่อต้านเราเมื่อใดที่เราถอยทัพ พวกเขาก็จะต้องหันหน้าเข้าห่ำหั่นซึ่งกันและกันเพื่อชิงผลประโยชน์ของตนเองเป็นแน่แท้ ทัพเรามิสู้ปล่อยกิจิ๋วไปพลางก่อน ลงใต้ไปปราบเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลง แม้นว่าอ้วนถำกับอ้วนซงเกิดปะทะกัน ไม่ฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บก็อีกฝ่ายหนึ่งล้มตาย หรือมิฉะนั้นไม่ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอ ก็อีกฝ่ายหนึ่งต้องหนีเอาตัวรอด เมื่อนั้นเราค่อยกรีฑาทัพกลับมา กิจิ๋วก็จะตกอยู่ในเงื่อมมือเราได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่ เห็นว่าที่กุยแกว่ามานั้นก็ดี จึงถอยทัพลงใต้บุกตีเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋วต่อไป เมื่อโจโฉถอยทัพไปแล้ว อ้วนฮีกับโกกันต่างก็ยกกำลังกลับถิ่นเดิมของตนอ้วนถำกับอ้วนซงก็ปะทะกันจริง ๆ เพื่อแย่งกันเข้าครองกิจิ๋ว อ้วนถำสู้อ้วนซงมิได้ จึงถอยไปตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองเพงงวนก๋วน (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) อ้วนซงคิดจะกำจัดอ้วนถำด้วยตนเองจึงนำทัพไปล้อมเมืองเพงงวนก๋วนไว้อย่างแน่นหนา กัวเต๋ากุนซือของอ้วนถำจึงแนะนำว่า ในเมืองเรานี้เสบียงอาหารน้อยยากที่จะรักษาไว้ได้นาน มิสู้ส่งคนไปเจรจาขอความช่วยเหลือจากโจโฉ หากทัพโจโฉตีกิจิ๋ว อ้วนซงก็คงจะถอยทัพไปช่วย ถึงตอนนั้นกองทัพโจโฉบุกด้านหน้า เราไล่กระหนาบอยู่ด้านหลังอ้วนซงหรือจะหนีไปไหนรอด? เมื่ออ้วนซงถูกจับ ไพร่พลของอ้วนซงก็เป็นคนของบิดาท่านมาก่อน ท่านจงรวบรวมไพร่พลของกิจิ๋ว และเซียงจิ๋ว ๒ แคว้น แล้วจึงค่อยต่อต่านโจโฉต่อไป โจโฉมาจากทางไกลเสบียงอาหารคงจะไม่พอเพียง เมื่อนานไปก็คงจะต้องถอยไปเอง เขตเหอเป๋ยนี้ก็คงจะรักษาไว้ได้ อ้วนถำเห็นชอบด้วยกับความเห็นของกัวะเต๋า จึงปฏิบัติตามอุบายนั้น ส่งซินผีน้องชายซินเม้งเป็นทูตพิเศษ ไปขอความช่วยเหลือจากโจโฉ แต่เมื่อซินผีไปถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉก็ได้นำทัพลงใต้ไปแล้ว ซินผีจึงติดตามไป จนถึงที่แจ้งความประสงค์ให้โจโฉทราบ พร้อมทั้งยื่นหนังสือของอ้วนถำให้ด้วย ขณะนั้น พวกแม่ทัพนายกองทั้งหลายของโจโฉต่างก็คิดตรงกันว่า การมาขอสวามิภักดิ์ ของอ้วนถำมีเลสนัย แต่กุยแกกับซุนฮิวกลับมีความคิดเห็นว่าให้โจโฉรับไว้ พูดกับโจโฉว่า เมื่อเหอเป่ยยังไม่สงบ ก็ยังคงเป็นภัยแก่เราอยู่ ควรฉวยโอกาสความปั่นป่วยภายในของตระกูลอ้วนกำราบเซียงจิ๋วและกิจิ๋วให้ราบคาบ ส่วนเล่าเปียวเมืองเกงจิ๋วนั้น เก่งอยู่ก็แต่ปาก หามีความหมายอันใดไม่ รอไว้จัดการทีหลังก็มิเสียการ ดังนั้นโจโฉจึงย้อนยกทัพกลับขึ้นเหนือ มุ่งไปยังกิจิ๋ว ฝ่ายอ้วนถำฟังว่าโจโฉนำทัพไปตีกิจิ๋ว ก็เข้าใจว่าโจโฉหลงในอุบายตนก็ให้ดีใจนัก ส่วนอ้วนซงเมื่อได้ข่าวโจโฉยกทัพมาถึงชายแดนกิจิ๋ว ก็รีบถอนตัวจากเมืองเพงงวนก๋วน กลับไปกิจิ๋ว แต่ขุนพล ๒ คนของอ้วนซง คือลิกองกับลิเซียง หนีไปเข้าด้วยโจโฉ เมื่ออ้วนถำทราบข่าวก็ลอบส่งตราขุนพล ไปให้กับคนทั้งสอง เพื่อให้เป็นไส้ศึกคอยซ้ำเติมเมื่อตนโจมตีโจโฉ โดยมิรู้ว่าโจโฉรู้ในกลอุบายตนอย่างแจ่มแจ้งแล้ว แต่เพื่อให้อ้วนถำตายใจ รวมกำลังกันตีกิจิ๋วโจโฉจึงแสร้งทำทีว่า จะยกบุตรสาวตนให้เป็นภรรยาของอ้วนถำ เมื่อโจโฉลงมือบุกเมืองเย่เสี้ยนของอ้วนซง อ้วนถำก็มิได้ยกกำลังมาช่วยโจโฉ แต่กลับบุกตีเอาเมืองกันหลิง อันผิง ป้องไห่และเหอเจียนไป อ้วนซงถูกรบกระหนาบด้วยทัพทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็แตกพ่ายยับเยิน จึงต้องหนีไปอยู่ เมืองจงซาน ต่อมาก็หนีไปสมทบอยู่ก้วยอ้วนฮี พี่ชายยังแคว้นอิวจิ๋วอ้วนถำจึงรวบรวมไพร่พลของอ้วนซงที่แตกกระจาย มาเป็นของตน ย้อนกลับมาต่อต้านโจโฉอีก โจโฉก็ให้บันดาลโทสะ ยกทัพย้อนกลับมาเมืองเพงงวนก๋วน ซึ่งเป็นแหล่งส้องสุมไพร่พลของอ้วนถำ อ้วนถำต้านไม่อยู่ ก็ทิ้งเพงงวนก๋วนไปรักษาเมืองหนานผีไว้ แต่ในที่สุดก็ตายด้วยนำมือของไพร่พลโจโฉในที่รบนั้นเอง ดังนั้น โจโฉจึงยึดครองแคว้นเซียงจิ๋วไว้ได้ ต่อมาในปีที่ ๑๑ แห่งศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๖) ก็กวาดเป๊งจิ๋วจนราบ โกกันหนีรอดไปได้ อ้วนซง อ้วนฮี ทราบว่าโจโฉฆ่าอ้วนถำตายแล้ว ยึดแคว้นสำคัญไว้ได้ ๓ แคว้น และกำลังยกทัพมุ่งมาทางอิวจิ๋ว ก็รู้ว่าเห็นทีจะต้านทานไม่ได้ จึงกลับไปสวามิภักดิ์กับโฮห้วน โจโฉมีความประสงค์จะกวาดภาคเหนือมิให้มีเสี้ยนหนามอีกต่อไป เพื่อมิให้เป็นที่ห่วงหน้าพวงหลังแก่การกรีฑาทัพลงใต้ จึงยกทัพมุ่งเข้าตีโฮห้วนอย่างไม่รั้งรอ โฮห้วนเป็นเผ่าชนฮวนเผ่าหนึ่ง มีถิ่นฐานอยู่ในทุ่งหญ้าทางแคว้นเสียวไสที่แล้วมาอ้วนเสี้ยวเคยมีบุญคุณต่อต้าน หัวหน้าเผ่านี้ ชื่อท่าตุ้น ท่าตุ้นมีความสนิทสนมกับอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก ดังนั้น เมื่อกองทัพใหญ่ของโจโฉยกมาถึง เขตเขาไป่หลางซาน (ในมณฑลเหลียวหนิงปัจจุบัน) ก็เผชิญหน้ากับอ้วนซง อ้วนฮีและท่าตุ้นซึ่งนำกำลังของโฮห้วน หลายหมื่นคนยกมาจะแก้แค้นให้กับอ้วนเสี้ยวผลของการรบอย่างนองเลือดที่ไป่หลางซาน ปรากฎว่าท่าตุ้นตายในที่รบ ไพร่พลโฮห้วนแตกกระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน เหลืออ้วนซงกับอ้วนฮีนำกำลังที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย หลบรอดไปสวามิภักดิ์ด้วยกองซุนของยังแคว้นเสียวตั๋ว เมื่อปราบโฮห้วนได้แล้ว แม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างก็เร่งเร้าให้ใจโฉฉวยโอกาสในชัยชนะ บุกเข้าเลียวตั๋ว จับอ้วนซงอ้วนฮีมาฆ่าเสียให้สิ้น แต่โจโฉกลับสั่งให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋ คำสั่งของโจโฉทำให้ขุนนาง ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเวลานั้น ดินฟ้าอากาศ และภูมิประเทสของเลียวตั๋ง เหมาะแก่การเดินทัพทำสงครามเป็นอันมาก ทั้งกองซุนของก็มิได้ยอมอ่อนน้อมด้วยโจโฉเพราะเห็นว่าตนอยู่ไกล เมืองฮูโต๋นัก เมื่ออ้วนซงอ้วนฮีหลบมาอยู่ด้วยก็เป็นข้ออ้างและโอกาสอันดีที่จะกวาดเลียวตั๋งไปเสียเลยในคราวเดียวกัน ซึ่งเมื่อสำเร็จ ก็สามารถที่จะขจัดอ้วนซงและอ้วนฮี ๒ คนพี่น้องและได้แคว้นเลียวตั๋งด้วย แต่เหตุไฉนโจโฉจึงมินำทัพ รุดหน้าไปกลับสั่งให้ถอนทัพกลับเมืองฮูโต๋เสียอีก โจโฉลูบหนวดเคราของตนเองอย่างสบายใจพลางหัวเราะกล่าวว่า พวกท่านไม่จำเป็นต้องเหนื่อยกายไปรบดอก เราจักได้ศีรษะของ ๒ คนพี่น้องนั้นในไม่ช้า ทุกคนต่างก็ยังคลางแคลงใจอยู่ แต่เมื่อโจโฉกล่าวเช่นนั้น จึงจำต้องรื้อค่ายเดินทัพกลับฮูโต๋ตามคำสั่ง แต่ทัพของโจโฉเพิ่งจะออกเดินทางได้เพียงไม่กี่วันก็ได้รับแจ้งว่า กองซุนของแห่งแคว้นเลียวตั๋งส่งทูต นำศีรษะของ ๒ คนพี่น้องมามอบให้เป็นบรรณาการ โจโฉจึงสั่งให้ทูตของกองซุนของเข้าพบ ทูตนำหีบมาด้วย ๒ ใบ เมื่อเปิดออกดูก็เป็นศีรษะของอ้วนซงกับอ้วนฮี ๒ คนพี่น้องจริง ทูตยังส่งสารของกองซุนของ ให้แก่โจโฉอีกฉบับหนึ่งด้วย ถึงตอนนี้ โจโฉจึงอธิบายแก่ขุนนางทั้งหลายว่า เราได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า กองซุนของก็เกรงพวกตระกูลอ้วน จะกลืนกินตนอยู่ เมื่อคนทั้งสองไปสวามิภักดิ์ด้วยก็ยิ่งระแวงสงสัยหนักขึ้นว่าจะมิซื่อ หากในตอนนั้นเราบุกเข้าตี คนทั้งสามก็จำต้องร่วมมือกันต่อต้านเราเป็นแม่นมั่น ที่ควรได้ก็จักมิได้ แต่เมื่อเราถอยทัพกองซุนของกับพี่น้อง ก็จะต้องกินแหนงแคลงใจกัน ซึ่งถึงตอนนั้น เรามิจำเป็นต้องใช้กำลัง เลียวตั๋งก็จักสยบด้วยเรา บัดนี้ กองซุนของ ก็ได้นำศีรษะของคนทั้งสองมามอบให้ ก็เป็นไปตามที่เราคาดติดทุกประการ แท้ที่จริง กองซุนของแห่งแคว้นเลียวตั๋ง ระมัดระวังเรื่องที่ฝ่ายตระกูลอ้วนยึดครองแคว้นใหญ่ทั้ง ๔ มาก่อนแล้ว ด้วยเกรงว่าตนจักถูกผนวกเอาเข้าไปด้วย ต่อเรื่องที่โจโฉรั้งเอาตัวพระเจ้าเหี้ยนแต้ไว้ เพื่อใช้อำนาจกำราบผู้อื่นนั้น กองซุนของก็มิสู้จะพอใจนัก นับแต่อ้วนเสี้ยวพ่ายแก่โจโฉที่เมืองกัวต่อเป็นต้นมา กองซุนกองก็เอาใจใส่ในเหตุการณ์ ของเหอเป๋ยเป็นอันมาก ครั้นทราบต่อมาอีกว่าอ้วนเสี้ยวตาย อ้วนซง อ้วนฮีรบแพ้ ต้องเสียแคว้นทั้ง ๔ ไปหลบหนีไป โฮห้วนก็ถูกโจโฉกระหน่ำเอาจนยับเยินไปอีกที่เขตเขาไป่หลางซานและพี่น้อง ๒ คนกำลังหนีมุ่งมาทางเลียวตั๋ว ก็ให้รู้สึกร้อนใจ เกรงว่าโจโฉจะยกทัพตามติดมา จนก็จะอยู่มิเป็นสุข จึงเรียกขุนนางทั้งหลายมาปรึกษาหารือว่า ควรจะทำประการใดดี กองซุนก๋งผู้เป็นน้องชายจึงมีความเห็นกล่าวว่า แคว้นเลียวตั๋งเรานี้ อ้วนเสี้ยวเคยจ้องมองด้วยความกระหายมาช้านาน แต่เนื่องจากโจโฉประชิดมาทางตะวันตก อ้วนเสี้ยวต้องทำศึกอยู่มิได้หยุดหย่อน จึงไม่มีเวลาจะมาจัดการกับเรา บัดนี้ตระกูลอ้วนก็สิ้นแผ่นดินจะอาศัยไร้ที่พึ่งพิง จึงได้มุ่งมาหาเรา ความจริงก็ประสงค์จักยื้อแย้งแผ่นดินของเราไปครอง พวกพี่น้องอ้วนเองยังเคยปะทะซึ่งกันและกัน ไฉนเลยจะละเว้นเลียวตั๋งของเราได้? ถ้าหากเรารับพวกเขาไว้ ก็จะเป็นภัยพิบัติอย่างมหันต์ ตอนนี้โจโฉก็กำลังฮึกเหิมอยู่ รบชนะเป็นหลายครั้ง หากเรารับพี่น้องอ้วนไว้ ก็มิผิดกับนำไฟมาครอกตนเอง หากโจโฉบุกเลียวตั๋งมา กำลังเรามิอาจจะเทียบได้ ก็จักแตกในไม่ช้า เรามิสู้ปล่อยให้พี่น้องทั้งสองเข้ามาหาเรา แล้วจับฆ่าเสีย ส่งศีรษะไปมอบให้แก่โจโฉ โจโฉเห็นดังนั้นก็จะพอใจ ส่วนตัวโจโฉเองนั้นก็เกรงว่าเล่าเปียวกับเล่าปี่จักบุกตีเมืองฮูโต๋อยู่ คงจะมิคิดบุกเมืองเลียวตั๋งเราต่อไป แต่จักรีบนำทัพกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋ของตนไว้ให้มั่นคงขึ้นเป็นแน่ มิทราบว่าพวกท่านทั้งหลายจักเห็นเป็นประการใด? จึงมีผู้แย้งขึ้นว่า ถ้าหากโจโฉไล่ติดตามมา แม้เราฆ่าพี่น้องอ้วนทั้งสองแล้ว โจโฉก็ยังประชิดแดนเรา ฉวยโอกาสบุกเข้าตี เราจักต้านทานกองทัพของโจโฉได้สักเท่าไร? มิสู้ให้พี่น้องอ้วนช่วยเรารบกับโจโฉมิดีกว่าหรือ? ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างโต้เถียงกันอึงคะนึง มิอาจลงรอยกันได้ กองซุนของเห็นดังนั้นจึงตัดบทขึ้นว่า แคว้นเลียวตั๋งนี้เมื่อบิดายังมีชีวิตอยู่ก็อยากได้ไว้ในมือ แต่เพราะมีการรบพุ่งติดพันอยู่มิขาด จึงมิอาจทำให้ ตามความประสงค์บัดนี้เราสูญสิ้นพื้นแผ่นดินจะพักพิง แคว้นเลียวตั๋งมีไพร่พลและแม่ทัพนายกองหลายหมื่นคน อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ หากยึดไว้เป็นของเราเสียก็จักขยายอำนาจไปสู่ภาคกลางได้โดยง่าย การหนีเข้าเลียวตั๋งในครั้งนี้ หากมีโอกาสก็จงจับกองซุนของสังหารเสีย เพื่อหาทางใช้ไพร่พลของเขา แก้แค้นเอากับโจโฉต่อไป จักทำใจอ่อนมืออ่อนมิได้เป็นอันขาด อีกไม่กี่วันต่อมา พี่น้องทั้งสองก็มาถึงเซียงผิงเมืองเอกของเลียวตั๋ง ขอเข้าคำนับกองซุนของ แต่เนื่องจากทหารสอดแนมของกองซุนของยังไม่กลับยังมิรู้ที่จะจัดการกับ ๒ คนพี่น้องสถานใด กองซุนของจึงหารือหาเหตุปฏิเสธไม่พบคนทั้งสอง หลายวันต่อมา ทหารสอดแนมก็กลับมาแจ้งว่า กองทัพโจโฉรื้อค่ายถอยทัพกลับฮูโต๋แล้ว กองซุนของก็ให้ ๒ พี่น้องเข้าพบ ในวันนั้น กองซุนของก็เตรียมการไว้พร้อมสรรพ เมื่อพี่น้องทั้งสองเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยโดยมิได้เฉลียวใจแต่ประการใด ก็ถูกไพร่พลของกองซุนของจับมัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วนำไปตัดศีรษะในทันที หลังจากนั้นจึงบรรจุศีรษะของคนทั้งสอง ลงในหีบไม้ จัดทูตนำหีบศีรษะของคนทั้งสองไปมอบให้แก่โจโฉ กลยุทธ์นี้มีผู้สรุปว่า เมื้อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนภายใน ให้รอดูการเปลี่ยนแปลงโดยสงบ ให้ข้าศึกเกิดความปั่นป่วน ก้าวไปสู่ความพินาศเอง ที่ว่า ไฟ ในกลยุทธ์นี้ ก็หมายถึงการบาดหมางภายในฝ่ายข้าศึก เช่นเกิดมีคนทรยศหรือไส้ศึก หรือเกิดความปั่นป่วน ในช่วงเวลานี้เอง การคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสงบ แล้วค่อยตักตวงเอาในภายหลังจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 10:59:11 PM กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม
เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการ พร้อมแล้วจึงเคลื่อน อย่าให้แปรเปลี่ยน แข็งในอ่อนนอก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น แต่เรากลับดำเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาส เพื่อที่จะออกปฏิบัติการโดยฉับพลันทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำให้สภาพการณ์ เกิดการเปลี่ยนแปลงไป แข็งในอ่อนนอก คือภายนอกนั้นดูละมุนละไม แต่ภายในนั้น เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ซ่อนดาบในรอยยิ้ม ความเดิมหมายถึงโดยผิวเผินก็อ่อนโยน แต่ภายในนั้นมากด้วยเล่ห์ เมื่อนำมาใช้ก็คือกลยุทธ์ที่นอกอย่างในอย่าง แจ้งอย่างลับอย่าง ภายนอกแสดงความอ่อนละมุน แต่ภายในแผงไว้ด้วยการเอาเป็นเอาตายอยางหนึ่ง กลยุทธ์นี้อยู่ใน จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติหลี่อี้ฝู่ ซึ่งกล่าวว่า ภายนอกของอี้ฝู่นอบน้อมถ่อมตน พบใครใบหน้าก็ยิ้มย่องผ่องใน แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว เชือดคอคนได้ในทางลับ ต้องการได้อำนาจ จักให้ผู้อื่นศิโรราบด้วยตน หากไม่พึงพอใจใคร ก็จักทำลายเสียโดยพลัน ดังนั้นผู้คนจึงโจษจันกันว่า ซ่อนดาบในรอยยิ้ม ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ.......... ในยุคก้านกว๋อ ฉินเสี้ยวกงออกประกาศแสวงหาผู้รู้ เพื่อเสริมสร้างแคว้นฉินให้มั่งคั่งเข้าแข็ง ในขณะนั้นมีชาวเมืองเว่ย แซ่กงซุน ซื่อเอียงได้ข่าวว่าแคว้นฉินต้องการผู้รู้ไปอยู่ด้วย จึงเดินทางจากแคว้นเว่ยเข้าแคว้นฉินไป กงซุนเอียงคนนี้เป็นนักศึกษาผู้คงแก่เรียน ในเรื่องความเป็นไปต่าง ๆ ของแผ่นดิน จึงมีความรอบรู้เป็นอันมาก เมื่อแรก สมัครเป็นที่ปรึกษา อยู่ในจวนของอัครมหาเสนาบดีกงซู่จ้อ แห่งแคว้นเว่ย กงซู่จ้อเคยคิดจะแนะนำให้เข้ารับราชการ กับเว่ยฮุ่ยอ๋อง ผู้ครองแคว้นเว่ย แต่เคราะห์ร้ายที่กงซู่จ้อเกิดล้มป่วยลงเสียก่อน พอล้มหมอนนอนเสื่อ ก็โงหัวไม่ขึ้นแต่บัดนั้น มีอยู่วันหนึ่ง เว่ยฮุ่ยอ๋องมาเยี่ยมถึงจวนของกงซู่จ้อ ถามว่า หากท่านป่วยลุกไม่ไหวออกราชการมิได้ กิจการบ้านเมืองของเราท่านคิดว่าควรจักมอบให้ผู้ใด กงซู่จ้อจึงทูลว่า มอบให้กงซุนเอียง ที่ปรึกษาของจวนข้าพเจ้า กงซุนเอียงแม้จะมีอายุน้อย แต่มีอัจฉริยะเหนือนคนอื่น สามารถรับตำแหน่งนี้ได้ เว่ยฮุ่ยอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจสงซู่จ้อป่วยอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะสติฟั่นเฟือน จึงมิได้เชื่อถือ ในขณะที่เว่ยฮุ่ยอ๋องจะกลับ กงซู่จ้อก็ไล่ผู้คนออกไปจนสิ้น แล้วกล่าวแก่เว่ยฮุ่ยอ๋องว่า หากท่านมิใช้กงซุนเอียงก็จะฆ่าเขาเสีย อย่าให้เขาออกจากแคว้นเราไปเป็นอันขาด เพื่อมิให้เขาไปเป็นขุนนางในแคว้นอื่น มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นภัยอย่างร้ายแรงแก่แคว้นเว่ย เว่ยฮุ่ยอ๋องก็ยังคงเข้าใจว่า กงซู่จ้อพูดด้วยความเพ้อเจ้อ ก็รับปากไปแกนๆ เพื่อมิให้ เมื่อเว่ยฮุ่ยอ๋องกลับไปแล้ว กงซู่จ้อก็เรียกตัวกงซุนเอียงมาพบ กล่าวว่า เมื่อสักครู่เว่ยฮุ่ยอ๋องมาเยี่ยมเรา ถามเราว่าใครจะเข้ามาแทนหน้าที่เราได้เราแนะนำท่านไป แต่ดูแล้ว เว่ยฮุ่ยอ๋องคงจะไม่เห็นด้วย เราจึงกล่าวแก่ฮุ่ยอ๋องว่า หากท่านอ๋องไม่ใช้ท่านก็จงฆ่าท่านเสีย เว่ยฮุ่ยอ๋องก็พยักหน้ารับแล้ว เราเป็นขุนนางของแคว้นเว่ยก็จำต้องกล่าวแก่ท่านอ๋องเช่นนั้น บัดนี้ เราสงสารท่าน จึงแจ้งแก่ท่าน ให้ทราบความท่านจงรีบหนีเอาตัวรอดไปโดยเร็วเถิด กงซุนเอียงจึงกล่าวว่า ขอให้ท่านจงวางใจ เมื่อวุ่ยอ๋องมิฟังคำพูดของท่าน แต่งตั้งให้ข้าพเจ้า รับหน้าที่แทนท่าน แล้วจักเชื่อคำท่านมาฆ่าข้าพเข้าได้อย่างไร? ท่านมิต้องวิตกไปดอก กองซุนเอียงจึงมิได้หนีไปไหน เมื่อเว่ยฮุ่ยอ๋องกลับถึงที่พัก ก็กล่าวแก่ขุนนางน้อยใหญ่ว่า อาการป่วยของกงซู่จ้อเห็นทีจะไม่ไหวแล้ว พูดจาเลอะเทอะ จักให้เรามอบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี แก่ที่ปรึกษาของเขาชื่อกงซุนเอียงคนนั้น เรามิรู้หัวนอนปลายตีนของคนผู้นั้นเลย เป็นใครมาแต่ไหนก็มิรู้ ไฉนจักมอบกิจการบ้านเมืองให้แก่คนผู้นี้ได้ ชะรอยกงซู่จ้อสติคงจะฟั่นเฟือนไปเป็นแน่แท้แล้ว เมื่อกงซู่จ้อตายแล้วไม่นาน กงซุนเอียงทราบว่าแคว้นฉินแสวงหาผู้รู้จึงเข้าแคว้นฉินไปสมัครด้วย ได้พบฉินเสี้ยวกงถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ใน ๒ ครั้งแรกกงซุนเอียงบรรยายเรื่องมรรควิธีแห่งการปกครองบ้านเมือง ของอดีตกษัตริย์ เช่นหยาว ซุ่นแลหยี่ให้ฟัง แต่ฉินเสี้ยวกงมิได้ให้ความสนใจในมรรควิธีเหล่านี้แต่ประการใดเลย จึงมิได้ยกย่องกงซุนเอียงเท่าที่ควร ดังนั้น กงซุนเอียงจึงขอเข้าพบอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในครั้งนี้กงซุนเอียง บรรยายถึงวิธีทางแห่งการตั้งตัวเป็นใหญ่ของฉีหวงกง ซ่งเซียงกง สิ้นเหวินกง และฉู่จวงอ๋องในยุคซุนซิว ก่อนหน้านี้ ฉินเสี้ยวกงรู้สึกพึงพอใจเป็นที่ยิ่ง นิ่งฟังอยู่ด้วยความสนใจ ในครั้งที่ ๔ กงซุนเอียงพูดถึงแนวทาง แห่งการสร้างบ้านเมืองให้มั่งคั่งเข้มแข็ง ฉินเสี้ยวกงก็ฟังอย่างเอาใจใส่เหมือนต้องมนต์สะกดเป็นเวลาถึง ๓ วัน ๓ คืน โดยมิได้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ครั้นแล้วก็แต่งตั้งให้กงซุนเอียงเป็นจ่อซู่จ่าง อันเป็นตำแหน่งควบคุมการปกครอง ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารในสมัยนั้น และลงมือดำเนินตามนโยบายให้บ้านเมืองเข้มแข็งพลเมืองมั่งคั่ง ของกงซุนเอียง ไปทั่วประเทศ แนวทางการปฏิบัติการปกครองใหม่ของกงซุนเอียง เป็นต้นว่ายกเลิกการสืบฐานันดรศักดิ์ในวงศ์ตระกูล ให้แต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งขุนนางตามความดีความชอบ ส่งเสริมการเพราะปลูก ที่ผลิตได้มา ก็ไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน ห้ามกระทำความผิดอย่างเข้มงวดกวดขัน ผู้ใดทำผิด ครอบครัวและเพื่อนบ้าน จะต้องรับผิดชอบถูกลงโทษด้วยกันเป็นต้น แนวทางการปฏิรูปการปกครองของกงซุนเอียง ได้ดำเนินอยู่ในแคว้นฉิน ๑๐ ปี ภาวการณ์ของบ้านเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปสิ้น ของตกไม่หาย โจรขโมยไม่มี ราษฎรทั้งหลายจึงหาญกล้า ที่จะออกรบเพื่อบ้านเมือง ไม่หาเหตุทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องส่วนตัว แคว้นฉินเต็มไปด้วยความสงบราบรื่น บ้านเมืองเข้มแข็ง พลเมืองก็มั่งคั่ง ในเวลานั้น เป็นช่วงที่เถียนจี้ ซุนปินนำทัพไปตีแคว้นเว่ยเพื่อช่วยแคว้นหานอยู่ ซุนปินใช้กลอุบายลดเตาไฟ ตีทัพเว่ยพ่ายที่หม่าหลิง ฆ่าฟังจวนขุนพลเอกของเว่ยตายในที่รบ กงซุนเอียงเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่แคว้นฉิน จักแผ่ขยายอำนาจของตนออกไป ในปีรุ่งขึ้นหลังจากฟังจวนเสียชีวิตแล้ว (๓๔๑ ปีก่อนคริสตกาล) กงซุนเอียง จึงแนะนำฉินเสี้ยวกงว่า แคว้นเว่ยเป็นหนาวยอกอกแคว้นฉินอยู่ หากมิใช่แคว้นเว่ยกลืนแคว้นฉิน ก็จะต้องเป็นฉินกลืนเว่ยเสีย เพราะแคว้นเว่ยครองด้านตะวันตกของภูเขาจงเถียวซานเอาไว้ ส่วนด้านตะวันออกของภูเขาเถียวซานนั้น เป็นภูเขาสูงชันรับง่ายบุกยาก เมืองหลวงก็ตั้งอยู่ที่นครอันอี้ (อำเภอเซี่ยเสี้ยนในมณฑลซานซีปัจจุบัน) มีแม่น้ำเหลืองคั่นไว้กับแคว้นฉินเท่านั้น ทั้งยังยึดด้านตะวันออกของภูเขาเสียวซานอ้นเป็นชัยภูมิที่ดีไว้ด้วย มาทางตะวันตกก็จะบุกฉินได้ฉินได้ผู้ครองแคว้นที่ดี จึงรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้น ส่วนแคว้นเว่ยเมื่อปีที่แล้ว ก็ถูกแคว้นตีเอาจนยับเยินไป ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็มิได้สมัครสมานด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่แคว้นฉินจะบุกแคว้นเว่ย เมื่อแคว้นเว่ยรับการบุกของแคว้นฉินไม่ไหวก็จักเคลื่อนไปทางตะวันออก ดังนั้น แคว้นฉินก็จะสามารถครอบครอง เอาชัยภูมิสำคัญในอาณาบริเวณแม่น้ำเหลืองและภูเขาเสียวซานเอาไว้ ถอยก็จะรับได้ รุกก็ขยายฟื้นที่ออกไป ทางตะวันออก ข่มผู้ครองแคว้นอื่นๆ ลงโดยง่ายนี่เป็นมรรควิธีแห่งจักรพรรดิ มิควรจะละทิ้งโอกาสนี้เสีย ขอให้ท่านอ๋องจงตัดสินใจโดยเร็ว ฉินเสี้ยวกงตรึกตรองแล้วก็เห็นด้วย จึงตั้งให้กงซุนเอียงเป็นแม่ทัพนำไพร่พล ๕ หมื่นยกออกจากนครเสียนหยาน เดินทัพมุ่งไปทางตะวันออก ฝ่ายเว่ยฮุ่ยอ๋องทราบว่ากองทัพฉินยกมาทางตะวันออก ทางแคว้นซีเหอคับขัน จึงเรียกขุนนางน้อยใหญ่มาปรึกษา กงจื่ออั๋งจึงว่า เมื่อครั้งที่กงซุนเอียงยังอยู่ในแคว้นเว่ยนั้น คบหากับข้าพเจ้าอยู่ บัดนี้ ข้าพเจ้าใคร่จักนำทหารไปต้านทัพฉิน ว่ากล่าวกันด้วยทำนองคลองธรรมกับกงซุนเอียง หากเขาคิดถึงความสัมพันธ์แต่กาลก่อน ทัพฉินก็จะถอยไปในไม่ช้า ถ้าหากเขามิเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จักยึดแม่น้ำ และภูเขาอันเป็นชัยภูมิตามธรรมชาติต้านทานไว้อย่างสุดความสามารถ ทัพฉินก็คงจะทำอะไรกับแคว้นเว่ยมิได้ เว่ยอุ่ยอ๋องฟังความแล้วก็ให้ยินดีเป็นที่ยิ่ง แต่งตั้งให้กงจื่ออั๋งเป็นแม่ทัพนำไพร่พล ๕ หมื่นไปช่วยแคว้นซีเหอ เมื่อกงจื่ออั๋งถึงแคว้นซีเหอ ก็นำทัพเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองอู๋เฉิง เมืองอู๋เฉิงนี้เดิมทีเป็นเมืองหนึ่งที่อู๋ฉี่บุกตีแคว้นฉิน มาได้ ๕ เมืองต่อเนื่องกัน จึงได้รับการแต่งตั้งจากเว๋ยเหวินโหวผู้ครองแคว้นเว่ยในขณะนั้น ให้เป็นผู้ครองแคว้นซีเหอ อู๋ฉี่จึงสร้างกำแพงเมืองและป้อมค่ายคูรบขึ้นมาอย่างแข็งแรงต้านแคว้นฉิน จึงยากแก่การเข้าตียิ่งนัก เมื่อกงซุนเอียงนำทัพฉินเข้ามายังแคว้นซีเหอจนกระทั้งมาประชิดเมืองอู๋เฉิง เห็นกำแพงเมืองอู๋เฉิงแข็งแรงนัก ยากที่จะหักเข้าไปด้วยกำลังได้ จึงคิดอุบายที่จะตีเมืองอู๋เฉิงอยู่ ครั้งทราบว่าทางแคว้นเว่ยส่งกงจื่ออั๋งนำไพร่พล มาต้านทัพฉินก็ให้รู้สึกดีใจ คิดอยู่ในใจว่า อุบายเราสำเร็จแน่แล้วในครั้งนี้ จึงเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ส่งคนนำสารไปตะโกนยังตีนกำแพงเมืองว่า กงซุนเอียงแม่ทัพแห่งแคว้นฉินมีหนังสือถึงกงจื่ออั๋งแม่ทัพแคว้นเว่ย ขอให้เปิดประตูออกมารับด้วย ทหารจึงนำความไปแจ้งแก่กงจื่ออั๋ง ขณะนั้น กงจื่ออั๋งก็กำลังคิดจะมีหนังสือ ถึงกงซุนเอียงอยู่ เพื่อเจรจาสงบศึกต่อกัน เมื่อได้ข่าวว่ากงซุนเอียงมีหนังสือก่อน จึงสั่งให้หย่อนเชือกลงจากกำแพงเมืองรับหนังสือขึ้นมา หนังสือของกงซุนเอียงมีความว่า เมื่ออยู่ในแคว้นเว่ย ท่านกับข้าพเจ้าก็คบหาสมาคมกันเป็นอันดี บัดนี้ แม้เราจะรับใช้เจ้านายที่ต่างกัน เป็นแม่ทัพของเว่ยและฉิน แต่ข้าพเจ้าก็มิอยากจะให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน ใคร่จะได้พบหน้าท่าน ทำสัญญาแก่กัน ต่างถอยทัพกลับไป ทำให้แคว้นฉินกับแคว้นเว่ยอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข หากท่านเห็นฟ้องด้วยก็จงกำหนดวันเวลาที่เราทั้งสองจักพบกันเพื่อหารือในเรื่องนี้สืบไป กงจื่ออั๋งอ่านจบก็ดีใจยิ่งนัก รีบเขียนหนังสือตอบเห็นด้วยกับการเจรจา แต่กงจื่ออั๋งมิได้เฉลี่ยวแม้สักนิดเดียว นี่คือกลอุบาย เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการ เมื่อกงซุนเอียงได้รับหนังสือตอบแล้ว ก็รู้ว่ากงจื่ออั๋วหลงกลในจนแล้ว จึงสั่งให้เตรียมการในทันที ถอนทัพฉินออกไปจากใต้กำแพงเมืองอู่เฉิง แสร้งทำเป็นยกทัพกลับฉิน แต่ในทางลับแล้วกลับสั่งให้ซุ่มซ่อนไพร่พลไว้ในที่พ้นตาโดยรอบ ให้ถือเสียงประทัดเป็นสำคัญ แล้วให้กรูกันออกมาจับตังกงจื่ออั๋งไว้ในขณะเดียวกันก็ให้คนจัดสุราอาหารโต๊ะเก้าอี้ไว้พร้อมสรรพ ณ แหล่งประชุมรอกงจื่ออั๋งออกมา เมื่อถึงวันกำหนด กงจื่ออั๋งก็นั่งรถออกมาจากเมือง พร้อมด้วยบริวารมือเปล่า ๓๐๐ คน กงซุนเอียงจึงออกมาต้อนรับ กงจื่ออั๋งเห็นฝ่ายตรงข้ามมีอยู่เพียงไม่กี่คน ทั้งไม่มีอาวุธด้วยก็ยิ่งไม่สงสัย ทั้ง ๒ คนเมื่อพบกัน ต่างสนทนากันถึงเรื่องเก่า ๆ ในครั้งกระโน้นเป็นที่สำราญใจและเมื่อปรึกษาถึงเรื่องสงบศึกต่างเป็นมิตรแก่กันแล้ว กงซุนเอียงก็เชิญกงจื่ออั๋งและบริวารให้เข้าร่วมโต๊ะ เลี้ยงสุราอาหารเป็นที่เบิกบาน แต่กงจื่ออั๋งดื่มสุราได้เพียงไม่กี่จอก ก็ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงโห่ร้องอึงคะนึง กงจื่ออั๋งจึงรู้ว่าหลงกลเสียแล้ว ขยับตัวจะหนีก็ถูกคนรับใช้ ๒ คน ซึ่งที่แท้เป็นขุนพลของแคว้นฉินจับมัดไพล่หลังจนกระดิกตัวไม่ได้กงจื่ออั๋งจึงตะโกนเรียกบริวารให้ช่วย แต่บริวาร ก็ถูกจับเป็นเชลยหมดสิ้นแล้ว ไหนเลยจะมาช่วยกงจื่ออั๋งได้ กงซุนเอียงจึงนำกงจื่ออั๋งใส่รถนักโทษ ส่งคนนำกลับไปถวายฉินเสี้ยวกงรายงานชัยชนะของตน ครั้นแล้วจึงใช้บริวารของกงจื่ออั๋งเรียกให้ทหารเว่ย เปิดประตูเมือง แล้วเข้ายึดเมืองอู๋เฉิงได้ โดยมิได้เสียไพร่พลสิ้นเปลืองกำลัง เมื่อเมืองอู๋เฉิงแตก แคว้นซีเหอก็รักษาไว้ได้ยาก เว่ยฮุ่ยอ๋องจึงจำต้องย้ายเมืองหลวงจากนครอันฮี้ไปอยู่เมืองต้าเหลียง (เมืองไคฟงในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) และตัดแคว้นซีเหอให้แคว้นฉินไปเพื่อสงบศึก ในเวลานั้นเว่ยฮุ่ยอ๋อง ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอันมาก รำพึงรำพันแก่คนทั้งหลายว่า เราเสียใจที่มิได้เชื่อฟังคำของกงซู่จ้อแต่แรก ฆ่ากงซุนเอียงเสีย เวลานี้เสียใจก็สายไปเสียแล้ว ส่วนกงซุนเอียง เนื่องจากมีความดีความชอบในการตีแคว้นเว่ย ฉินเสี้ยวกงจึงตั้งให้เป็นซาง จินเทียบเท่าผู้ครองแคว้น แล้วมอบ ๑๕ เมืองให้อยู่ได้การปกครองของกงซุนเอียง แต่หลังจากฉินเสี้ยวกงสิ้นชีพแล้ว เนื่องจากในช่วงเวลาที่กงซุนเอียงปฏิรูปการปกครองตามแนวทางของตนนั้น ได้กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของพวกเจ้านายเป็นอันมาก ต่างแค้นเคียงอยู่ในใจครั้นเมื่อเฉินฮุ่ยเหวินอ๋อง ขึ้นมาครองแคว้นฉิน กงซุนเอียงก็ถูกจับมัดติดกับรถศึก ๔ คัน ฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนตาย กลยุทธ์นี้ เห็นจะตรงกับสุภาษิตไทยเราที่ว่า ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า พยายามทำให้ฝ่ายข้าศึกเข้าใจว่าฝ่ายเรามิได้มีการตระเตรียมแต่อย่างใดเลย จึงสูญเสียความระมัดระวัง แต่ฝ่ายเรากลับวางแผนอย่างลับ ๆ เมื่อตระเตรียมพร้อมแล้วก็ให้รวบหัวรวบหางพิชิตเอาชัยในทันที แต่ไม่ควรจะให้ข้าศึกรู้ตัวก่อนเป็นอันขาด อันอาจจะก่อให้เกิดอุปสรรคที่ไม่จำเป็นขึ้น ที่ว่า ซ่อนดาบในยิ้ม ก็คือ ปากหวานใจคด ใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในใจแฝงไว้ด้วยด้วยความเหี้ยมเกรียมที่จะเอาชีวิตกัน หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๑ หลี่ตายแทนถาว เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 11:18:07 PM กลยุทธ์ที่ ๑๑ หลี่ตายแทนถาว
การจักต้องเสีย เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อการพัฒนาของสถานการณ์มิเป็นผลดีแก่ตนจักต้องเกิดความเสียหาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพื่อที่จะแปรความเสียเปรียบเป็นความได้เปรียบ ก็จะต้องยอมเสีย มืด เพื่อประโยชน์แก่ สว่าง ซึ่งก็หมายความว่าจำต้องเสียสละส่วนหนึ่ง เสียค่าตอบแทนน้อย เพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน หลี่ตายแทนถาว ความหมายเดิมเป็นการเปรียบเทียบความรักใคร่ ช่วยเหลือกันระหว่างพี่น้อง แต่เมื่อใช้ในการทหารหรือในกรณีอื่น ๆ ก็เปรียบเทียบเป็นการทดแทน ซึ่งกันและกัน อันเป็นกลอุบายที่ให้ ก.เข้าแทนที่ ข.หรือให้ ข.แทนที่ ก. อย่างหนึ่ง ที่ว่าเสียกำเอากอบ หรือ เสียบ่าวเอานาย ก็เป็นกลอุบายในทำนองนี้ คำ ๆ นี้เดิมมาจากกวีนิพนธ์บทหนึ่งชื่อ ไก่ขัน ใน ชุมนุมกวีนิพนธ์กู่เล่อฝู่ ความว่า ต้นถาวเกิดที่ปากบ่อ ต้นหลี่โตเคียงมา หนอนบ่อนไชต้นถาว หลี่ตายแทนถาว ต้นไม้ยังตายแทนกัน พี่น้องไฉนไยจึงลืม ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ........ ในช่วงหลังของยุคจ้านกว้อ แคว้นจ้าวมีขุนพลฝีมือดีอยู่คนหนึ่งชื่อหลี่มู่เนื่องจากได้สร้าง ความดีความชอบไว้มากมาย จึงได้รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ เป็นอู่อันจิน (๒๓๖ ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยที่เสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๖๕-๒๔๔ ปีก่อนคริสต์กาล) ผู้ครองแคว้นจ้าวยังมีชีวิตอยู่ ขุนพลผู้รักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น(ในอำเภอเหอซีและหนิงอู่ มณฑลซานซีปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเขตชายแดน ของแคว้นจ้าว มักจะตั้งทหารอยู่ ณ เมืองเอี้ยนเหมิน เนื่องจากในขณะนั้นพวกฮวนซงหนู ได้ตั้งแคว้นซานหลานขึ้นทางภาคเหนือของแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น ทั้งเผ่าชนฮวนตงหูและหลินหู อีก ๒ เผ่าใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ก็คอยคุกคามพรมแดนของแคว้นจ้าวอยู่เสมอมา พวกฮวนเหล่านี้โดยเฉพาะฮวนซงหนู มักจะบุกเข้าในแดนจ้าว ถ้าไม่ไปจับคนไปเป็นเชลย ก็ปล้นชิงเอาสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินของราษฎรไปพวกฮวนแก่งทางขี่ม้า เวลาบุกเข้ามาครั้งละหลายสิบ หรือหลายร้อยคนก็รวดเร็วประดุจพายุหมุน เข้าตีปล้นกวาดต้อนเอาชั่วพริบตาเดียวก็จากไปทิ้งฝุ่นไว้ตลบ ราษฎรแห่งแคว้นจ้าวทั้งหลายทางภาคเหนือต้องรับเคราะห์กรรมจากการบุกรุกของพวกฮวนครั้งแล้วครั้งเล่า เดือดร้อนไปทุกครัวเรือน หลี่มู่จึงถูกส่งให้มาเป็นแม่ทัพรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น เมื่อถึงเมืองเอี้ยนเหมินแล้ว ก็ใช้กฎอัยการศึกคุมอำนาจการบริหารไว้ แต่งตั้งขุนนางชั้นต่าง ๆ จัดให้มีที่ว่าราชการ ส่วยสาอากรต่าง ๆ ก็จัดเข้าท้องพระคลังที่ตนควบคุมดูแลเองจนสิ้น มิให้รั่วไหลไปไหน เพื่อนำไปใช้ในการศึกหลี่มู่ฆ่าวัวแพะ เลี้ยงดูไพร่พลเกือบทุกวัน ทั้งออกควบคุมการฝึกทหารด้วยตนเอง ให้ขี่ม้า ยิงเกาทัณฑ์ ซ้อมรบเป็นอาทิ และส่งม้าเร็วออกไปสอดแนมสภาพข้าศึกเป็นประจำ นอกจากนั้นยังร่วมกินร่วมนอนร่วมทุกข์ร่วมสุข กับไพร่พลดูแลเอาใจใส่ไพร่พลเป็นอย่างดี แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไพร่พลทั้งหลายไม่เข้าใจ คือหลี่มู่ให้ทหารทั้งหลายเอาตัวรอดไม่ให้ออกรบ ทั้งยังออกคำสั่งที่แปลกประหลาดฉบับหนึ่ง ความว่า บรรดาไพร่พลทั้งหลาย เมื่อพวกฮวนซงหนู และเผ่าหูบุกเข้ามาปล้นสะดม ให้รีบหนีกลับเข้าเมืองรักษาค่ายไว้ หมั่นอย่างกวดขันโดยเร็ว ห้ามมิให้ออกปะทะด้วยเป็นอันขนาด ผู้ใดฝ่าฝืนอออกจากค่ายไปไล่จับพวกฮวนโดยพลการ จะถูกตัดคอในทันที ดังนั้นในคราใดที่พวกฮวนซงหนูบุกรุกเข้ามารังควาน หลี่มู่ก็ให้ทหารเป่าสัญญาณขึ้น เมื่อบรรดาไพร่พลได้ยินเสียงสัญญาณก็รีบพากันกลับเข้าค่ายสงบอยู่ มิมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนออกรบด้วยข้าศึก หลี่มู่กระทำเช่นนี้อยู่หลายปี พรมแดนของแคว้นจ้าวแม้จะถูกพวกฮวนรบกวนอยู่เสมอ แต่เนื่องจากไม่รู้ตื้นหนาบางของเหตุไม่ออกรบด้วยจึงไม่กล้าบุกลึกเข้ามา ราษฎรทั้งหลายก็มิได้รับ ความเสียหายอะไรมากมายนักทว่าพวกฮวนซงหนูก็มักจะเข้าใจว่า หลี่มู่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว และแม้แต่แม่ทัพนายกองและไพร่พลของหลี่มู่เองก็เห็นว่า แม่ทัพของตนกลัวพวกฮวนเหมือนกาหวาดธนู ความเป็นไปเหล่านี้ ก็ได้แพร่ไปถึงเมืองหลวงหานตานของแคว้นจ้าวในที่สุด แม้แต่เสี้ยวเฉิงอ๋อง ก็ยังเข้าใจว่า ที่หลี่มู่ไม่ออกรบกับพวกฮวนซงหนูก็เพราะขี้ขลาด มิได้คิดว่าเป็นเพราะซงหนูรวมกัน เผ่าหูอีก ๒ เผ่า มีกำลังกล้าแข็ง หลี่มู่จึงหลีกเลี่ยงการรบเสียชั่วคราว เพื่อสะสมพละกำลังของตนเอง ให้ทัดเทียมพอสู้รบปรบมือกับข้าศึกได้ และตระเตรียมการออกรบเสี้ยวเฉิงอ๋องแล้ว ก็ยังคงดำเนินตาม อุบายเก่าของตนอยู่เช่นเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงกริ้ว เรียกตัวหลี่มู่กลับเมืองหลวง ส่งจ้าวซงไปแทน จ้าวซงพอไปถึงเมืองเอี้ยนเหมินก็ดำเนินการในทางตรงกันข้ามกับหลี่มู่ปีกว่าที่จ้าวซงรักษา แคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอยู่ แต่ละครั้งที่ซงหนูบุกเข้ามา จ้าวซงเป็นต้องยกกำลังออกปะทะด้วย แต่ก็ต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาเกือบทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้ สัตว์เลี้ยงและทรัพย์สิน รวมทั้งตัวของราษฎรเองก็มักจถูกพวกฮวนซงหนูกวาดต้อนไปเป็นประจำ ราษฎรในท้องถิ่น ก็มิกล้าออกไปเพาะปลูก ไม่กล้าออกไปเลี้ยงสัตว์ ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส ส่วนแม่ทัพนายกอง และไพร่พลทั้งหลายก็บาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อย ประกอบกับรบแพ้ด้วย จึงต่างพากันมีหนังสือขอให้ เสี้ยวเฉิงอ๋องส่งหลี่มู่กลับมารักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นเหมือนเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องเมื่อได้รับหนังสือร้องทุกข์แล้ว จึงสำนึกว่าการรักษาชายแดนของหลี่มู่นั้น มีอุบายแยบยลของตนเอง ที่แล้วมาตนตำหนิหลี่มู่ผิดไป จึงดำริให้หลี่มู่กลับไปรักษาแคว้นเอี้ยนหมินจิ้นอีก หลี่มู่รู้สึกไม่พอใจในตัวเสี้ยวเฉิงอ๋องที่ทราบความเป็นไปของชายแดนอย่างแท้จริง ฟังแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็หลับหูหลับตาเชื่อ เรียกตัวเองกลับโดยมิคิดหน้าคิดหลัง ครั้นแล้วเสี้ยวเฉิงอ๋องจะให้กลับไปยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก ก็ปฏิเสธว่าป่วย ปิดประตูเงียบไม่ยอมออกจากบ้าน แต่เสี้ยวเฉิงอ๋องรู้ตัวดีว่า ตนเข้าใจผิดต่อหลี่มู่แต่แรก จึงยืนยันซ้ำขอให้หลี่มู่ช่วย หลี่มู่จึงออกไปพบเสี้ยวเฉิงอ๋องกล่าวว่า หากท่านอ๋องประสงค์จะให้ข้าพเจ้าไปรักษาเอี้ยนเหมินจิ้น ก็จะต้องยินยอมให้ข้าพเจ้าใช้อุบายเดิมของข้าพเจ้า มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ยากที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ได้ เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงอนุญาตว่า ขอให้ท่านจงวางใจออกไปรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นตามเดิม ท่านจะใช้อุบายของท่านอย่างไรก็สุดแต่ความเห็นของท่านเถิด เราจักไม่ห้ามปรามท่านอีกแล้ว หลี่มู่จึงกลับยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก ก็ยังคงใช้อุบายเก่า ไม่ออกไปปะทะกับข้าศึก เมื่อถูกบุก ก็ให้รีบกลับเข้าค่าย ต่อพวกไพร่พลก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขดูแลเอาใจใส่ในชีวิตความเป็นอยู่อย่างดี เมื่อพวกฮวนซงหนูรู้ว่าหลี่มู่ กลับมารักษาเอี้ยนเหมินอีกก็ระมัดระวังตัวขึ้น ไม่กล้าเข้ารังควาน อย่างบุ่มบ่ามเยี่ยงแต่ก่อน แม้จะรุกเข้ามาบ้างแต่ก็รีบถอนตัวกลับไปอย่างรวดเร็วมิหาญบุกลึกเข้ามา ส่วนพวกแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำสำราญทุกวัน และมีการฝึกปรืออยู่เป็นประจำ ต่างก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากออกรบเอาชัยแก่ข้าศึกเป็นกำลัง ปีที่ ๑๖ ในสมัยเสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๕๐ ปีก่อนคริสตกาล) หลี่มู่เห็นแม่ทัพนายกองและไพร่พลของตน ต่างก็มีร่างกายแข็งแกร่งและฝึกปรือมีความเก่งกาจ จนมีความกระเหี้ยนกระรือรือที่จะออกรบข้าศึก ก็เห็นว่าโอกาสที่ตนรอคอยได้มาถึงแล้วจึงจัดรถศึก ๑,๓๐๐ คัน ม้าศึกอีก ๑๓,๐๐๐ ตัว ไพร่พลอีก ๕ หมื่น พลเกาทัณฑ์อีก ๑๐ หมื่น ฝึกการประลองยุทธ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้กระนั้น ด้วยความสุขุมรอบครอบ ไม่อยากให้ไพร่พลของตนออกไปเสียชีวิตโดยใช่เหตุ แต่ละคืนหลี่มู่ก็จมอยู่กับกองตำราพิชัยสงคราม เช่น ซุนซิว จ่อจ้วน ซุนซื่อ กว้อเซ่อ เป็นต้น อ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อค้นหายุทธวิธีที่จะรบชนะโดยสิ้นเปลืองกำลังทหารน้อยที่สุด ในยามกลางวันก็ส่งทหารออกไปสอดแนมความเป็นไปของข้าศึกโดยละเอียดเพื่อให้รู้เขารู้เรา มิให้พลาดพลั้งเสียทีแก่ข้าศึกได้ ในที่สุด หลี่มู่ก็ติดสินใจใช้กลยุทธ์ เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง โดยจงใจแสดงความอ่อนแอของฝ่ายตน ให้ข้าศึกเห็นเป็นที่ประจักษ์ ในขณะออกรบ ยอมเสียหายเล็กน้อย เพื่อล่อลวงข้าศึก ทำให้ข้าศึกหยิ่งผยอง และเหิมเกริมครั้นแล้วจึงใช้อุบาย เอาชนะข้าศึกในขั้นแตกหัก เมื่อตัดสินใจดังนี้แล้ว หลี่มู่ก็เรียกประชุม แม่ทัพนายกองเพื่อปรึกษาอุบายนี้ แม่ทัพนายกองต่างก็เห็นด้วย ชิงกันสมัครออกรบ เพื่อสร้างความดีความชอบกันเป็นจ้าละหวั่น และในวันหนึ่ง หลี่มู่ก็สั่งให้ชาวบ้านนำสัตว์ออกไปเลี้ยง ยังท้องทุ่งนอกเมืองในชั่วขณะนั้น ทั้งคนและสัตว์คลาดคล่ำอยู่บนท้องทุ่งหญ้าเป็นบริเวณกว้าง เป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนักในช่วงเวลาเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า ย่อมจะเป็นที่สนใจแก่พวกซงหนู เป็นอย่างยิ่งด้วยจึงส่งพลม้าจำนวนหนึ่งออกมาปล้นสะดม เพื่อชิมลาง หลี่มู่แสร้งรบแพ้ถอยหนี ทั้งผู้คนและสัตว์เลี้ยงไว้ส่วนหนึ่งให้พวกซงหนูกวาดต้อนเอาไป ฝ่ายตานยีหัวหน้าเผ่าชนซงหนูได้รับแจ้งว่า หลี่มู่ที่ตนระวัดระวังเป็นนักหนานั้น แท้ที่จริง ก็เป็นคนไร้ความสามารถ ขี้ขลาดอ่อนแอ จึงได้ใจ เห็นเป็นโอกาสที่จะกระหน่ำซ่ำเติมหลี่มู่ให้พ่ายไป ขยายอาณาเขตแคว้นซานหลานของตนให้กว้างยิ่งขึ้น จึงระดมพลนำกำลังใหญ่บุกรุกเข้ามาในดินแดน ของแคว้นจ้าวด้วยตนเองอย่างย่ามใจ นอกเหนือความคาดหมายของตานยีก็คือ แท้ที่จริงแล้ว หลี่มู่ได้เตรียมกำลังอันมหึมารอคอย ให้ตานยีหลงกลอยู่แล้ว เขาแยกทหารออกเป็น ๓ ทัพ ทัพแรกให้ออกปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า ส่วนปีกขวากับปีกช้ายแยกกันโอบล้อมกำลังของซงหนูไว้ตรงกลาง แล้วจึงบดขยี้เสีย พวกซงหนูและพวกอื่นๆ เก่งทางปล้นสะดมเป็นกิจวัตร แม้จะมีความสามารถทางขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ แต่ก็ไม่สู้จะมีระเบียบวินัย ไม่ฟังคำสั่งความจริงก็เป็นแต่เพียงกำลังที่รวมตัวกันเข้ามาอย่างหลวม ๆเท่านั้น ไหนเลยจะรบพุ่งต่อตีกับกองทัพของแคว้นจ้าวที่มีแม่ทัพนายกองและไพร่พลที่ได้รับการฝึกปรือ มาอย่างเข้มงวดได้ ทัพ ๓ ทัพของหลี่มู่ ตีโอบเอากำลัง ๑๐ หมื่นไว้ในวงล้อมอย่างหนาแน่น การรบได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนเลือดนองแผ่นดิน กำลังของซงหนูถูกตัดเป็นส่วนๆ และถูกทำลายไป ทีละส่วนด้วยการบัญชาของหลี่มู่ก็แตกพ่ายยับเยิน ตานยีหัวหน้าเผ่าก็ได้แต่หลบหนีออกจากสนามรบ เอาชีวิตรอด ปล่อยให้ไพร่พลเผชิญกับกองทัพอันแข็งแกร่งของแคว้นจ้าวอย่างจนตรอก ในที่สุดแคว้นซานหลานของพวกฮวนหนูก็ถึงกาลอวสาน เมื่อพวกฮวนซงหนูพ่ายศึกไปแล้ว พวกฮวนตงหูและหลินหูเห็นกำลัง ๑๐ หมื่นของซงหนูแหลกไป ต่อหน้าต่อตาก็รู้ว่าตนไม่อาจจะต้านกับกองทัพของแคว้นจ้าวได้ จึงยอมจำนนแต่แคว้นจ้าวโดยดี นับแต่นั้นมาภาคเหนือของแคว้นจ้าวจึงมิได้ถูกพวกฮวนมารบกวนอีกเลยเป็นเวลาหลายสิบปี แคว้นจ้าวเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์จากเสี้ยวเฉิงอ๋องมาเป็นเต้าเซียนอ๋องหลังจากนั้นก็เป็นจ้าวเซียนอ๋อง ซึ่งเป็นศัตรูครองนครจ้าวคนสุดท้าย ครั้นถึงปีที่ ๗ ในสมัยของจ้าวเซียนอ๋อง แคว้นเฉินก็ให้หวางเจี่ยน นำทัพบุกแคว้นจ้าว จ้าวเซียนอ๋องจึงให้หลี่มู่นำทัพออกต่อต้าน ทัพฉินต้องพ่ายแพ้แก่แคว้นจ้าวเป็นหลายครั้ง แคว้นฉินก็รู้ว่าได้เจอคู่ศึกฝีมือฉกาจฉกรรจ์เข้าแล้ว จะหวังชัยชนะได้ยากนัก จึงใช้กลอุบายติดสินบนแก่เก้อไค ขุนนางแคว้นจ้าวผู้เป็นที่โปรดปรานของจ้าวเชียนอ๋อง ใช้กลยุทธ์ไส้ศึก แพร่ข่าวลือว่าหลี่มู่คิดกบฎ จ้าวเชียนอ๋องเชื่อว่าเป็นความจริง ส่งจ้าวชงกับเหยียนจี้ไปรับมอบตำแหน่งแม่ทัพแทน หลี่มู่ หลี่มู่เห็นการศึกติดพันอยู่ เกรงว่าแคว้นจ้าวจักพ่ายแพ้ จึงมิรับคำบัญชา แต่จ้าวเซียนอ๋องก็ลอบส่งคนไปอีก อย่างลับ ๆ ฉวยโอกาสที่หลี่มู่มิทันจะได้ระวังตัว จับหลี่มู่เอาไว้ แล้วฆ่าเสียในทันที ชีวิตของหลี่มู่ ซึ่งมีความชอบต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง จำต้องประสบเคราะห์กรรมจากความหูเบาของผู้ครองแคว้น ที่ไร้สติปัญญา แต่ในที่สุด แคว้นจ้าวก็ล่มด้วยน้ำมือของจ้าวเชียนอ๋องผู้ครองแคว้นที่ใฝ่ใจ แต่การประจบสอพลอคนนั้นเอง? กลยุทธ์นี้สรุปว่า ในขณะที่ ๒ ฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องประสบความสูญเสีย จักไม่บาดเจ็บล้มตายเลยหาได้ไม่ ในขณะที่กำลังของทั้งสอง ฝ่ายทัดเทียมกัน ใครจะอยู่ใครจะไปยังมิอาจรู้ได้ ก็ควรจักยอมเสียค่าตอบแทนไปบ้างแต่น้อย เพื่อแลกมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด จึงถูก หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๒ จูงแพะติดมือ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 13, 2006, 11:43:38 PM กลยุทธ์ที่ ๑๒ จูงแพะติดมือ
ช่องทางเล็กก็พึงฉกฉวย ผลได้น้อยก็พึงชิงเอา มืดน้อย สว่างน้อย กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า แม้จะเป็นความเลินเล่อของข้าศึกเพียงเล็กน้อยเราก็ถึงฉกฉวยเอาประโยชน์ แม้จะเป็นชัยชนะเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องชิงเอามาให้ได้ มืดน้อย หมายถึงความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของข้าศึก สว่างน้อย หมายถึงชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝ่ายเรา จูงแพะติดมือ หมายถึง อาศัยความประมาทแม้เพียงเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้าม ชิงเอาผลประโยชน์มาเป็นของฝ่ายเราเสีย กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่องอันเป็นจุดอ่อนของข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะ ของฝ่ายตรงข้ามติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้เดิมมาจาก คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพล ซึ่งกล่าวไว้ว่า คอยจ้องหาจุดอ่อนของข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยและในเอเชีย โดยประเทศสหรัฐอเมริกา........จีนกับสหรัฐอเมริกานับว่าเป็นประเทศคู่แข่งขันและเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย มาตั้งแต่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์อย่างสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา สหรัฐฯ ได้สร้างพันธมิตรของตนเองทั่วเอเชียเป็นแนวปิดล้อมการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน การสร้างประเทศต่าง ๆ ให้เป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความมั่งคั่งตามแนว ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซียและสิงคโปร์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ครั้นเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดไปแล้ว การขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์หมดความหมายไปตั้งแต่กำแพงเบอร์ลินพังทลายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ ทำให้ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์โดยจีนหมดสิ้นไป อย่างไรก็ตามการที่จีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูป และเปิดประเทศในสมัย เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้นำนั้น ทำให้จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนได้อย่างก้าวกระโดด ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างจับตามมองการเคลื่อนไหวของจีนอย่างสนใจ จีนได้ประกาศนโยบาย การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ๕ ข้อ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาคมโลก ที่ทำให้เห็นว่า จีนไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อประเทศใด ๆ อีกต่อไป ยิ่งทำให้จีนได้เพิ่มความสำคัญให้กับตัวเอง จีนกลายเป็นประเทศที่มีคู่ค้าขายมากขึ้น ด้วยการมีแผนในการปิดล้อมจีนมาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้ยกเลิก แต่มีการพัฒนาให้แผนสามารถที่จะปรับใช้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจีนได้อย่างต่อเนื่อง ( บัญญัติ ๑๐ ประการในการทำลายจีนของสหรัฐฯ, The 10 Commandment to conquer China ซึ่งหลักฐานอันนี้ได้ถูกตีพิมพ์สู่สาธารณะอันเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปอยู่แล้ว ) สหรัฐฯ ได้พัฒนา แผนดังกล่าวมาโดยตลอดจนกระทั่งล่าสุด ได้กำหนดแผนขึ้นมาอีกแผนหนึ่งเป็นส่วนประกอบของแผนใหญ่ ในการปิดล้อมจีน คือ การสร้างวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งแผนนี้แท้ที่จริงเป้าหมายหลักคือ การทำลายการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีนที่ต่อเนื่องมายาวนานอันเป็นเหตุให้จีนแข็งแกร่ง และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ มากขึ้น แต่แผนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายกังกล่าวข้างต้นนั้น จึงอยู่ในข่ายของการใช้กลยุทธ์ จูงแพะติดมือ ดังต่อไปนี้ โดยปกติแล้วสหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการวางสายงานด้านการข่าวและเครือข่ายการปฏิบัติงานทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยอันเป็นฐานที่มั่นหลักในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐฯ มาตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มต้นของยุคสงครามเย็น เมื่อปี ๒๕๓๖ ขณะนั้นเป็นยุคที่ นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย รัฐบาลไทยในยุคนี้ ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังจากต่างประเทศเข้ามาให้คำปรึกษา อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายกรณีด้วยกัน ทำให้ต่างชาติได้เข้ามาล่วงรู้ความลับด้านการเงิน และการคลังของประเทศไทยจนหมดสิ้น ซึ่งบริษัทต่างชาติดังกล่าวที่ได้รับการว่าจ้างให้เข้ามาเป็น ที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังในสมัยนั้นคือ บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ โฮลดิ้ง อันเป็นบริษัท ที่อยู่ในเครือของ นาย จอร์จ โซรอส ผู้ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย ดังที่จะได้กล่าวต่อไป นั่นแสดงให้เห็นว่า จอร์จ โซรอส ได้เริ่มรวบรวมข้อมูลและได้มีการเตรียมการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ซึ่งผู้ว่าจ้างคือ นายชวน หลีกภัย ในฐานะนายกรัฐมตรี และนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กระทำอย่างจงใจและตั้งใจ และรู้เรื่องผลเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติในอนาคตอย่างชัดเจนอยู่แล้ว( มีกฎหมายบัญญัติห้ามอยู่แล้ว แต่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ) พร้อมกันนั้นนายธารินทร์ฯ ได้ออกนโยบายการนำเข้าเงินทุน จากต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยย่างเสรี พร้อมกับเปิดวิเทศน์ธนกิจ ทำให้การนำเงินลงทุน เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดขั้นตอนและผิดหลักการทางเศรษฐศาสตร์ อันเป็นเงื่อนไขต่อไป ในการทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย เมื่อถึงสมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี ๒๕๓๙ เป็นช่วงที่สถานการณ์สุกงอมเต็มที่ เศรษฐกิจของไทยได้กลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่อย่างสมบูรณ์แล้วระเบิดออกมาในที่สุด กระบวนการเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้ถูกวางไว้ในประเทศต่าง ทั่วทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯที่แฝงเข้ามาในรูปขององค์กรการค้าหรือการลงทุนใด ๆ ก็ตาม ได้เข้าไปสร้าง องค์ประกอบของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ไว้ในประเทศต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ดังที่ซุน วู กล่าวไว้ว่า ...ภารกิจของสามทัพ มิมีผู้ไว้ใจได้เท่าจารชน มิมีผู้ได้รางวัลเท่าจารชน มิมีเรื่องใดลึกลับเท่าจารชน ไม่ปราดเปรื่องมิอาจช้ารชน ไร้เมตตามิอาจบัญชาจารชน ไม่แยบยลมิอาจได้ความจริงจากจารชน แยบยลแสนจะแยบยล มิมีแห่งใดใช้จารชนมิได้ แผนจารชนมิทันใช้ มีผู้ล่วงรู้ก่อน ให้ตายทั้งจารชนและผู้รู้ ...... ...กองทัพที่จะโจมตี เมืองที่จะเข้าบุก คนที่จะต้องฆ่า พึงรู้ชื่อแซ่ ขุนทัพ คนสนิทซ้ายขวา ผู้สื่อสาร นายทวาร เหล่าบริวารก่อน ด้วยใช้จารชนเราสืบหามา...จารชน บรรพที่ ๑๓ เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นที่ประเทศไทย จึงได้ขยายตัวออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายมาเป็นวิกฤตเอเชียและกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในเวลาต่อมา มีนักวิเคราะห์สถานการณ์ ด้านความมั่นคงของโลกได้วิเคราะห์ถึงจำนวนเงินที่สหรัฐฯ จะได้รับจากการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในอาเซียน และเอเชียครั้งนี้คือประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๒๘,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท นับว่าเป็นตัวเงิน ที่มีมูลค่าไม่น้อยต่อการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม โดยเป้าหมายหลัก ของสหรัฐอเมริกาแล้ว คือการบรรลุเป้าหมายในการปิดล้อมจีนตามแผน ๓ ขั้น คือ ๑) ปิดล้อมจากโลกภายนอก โดยการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นทั่วโลกแล้วขับไล่อิทธิพลของจีนออกไป ทั้งด้านการค้า การเมืองระหว่างประเทศและการทหารก็ตามที่จีนจะพึงมีอยู่ในภูมิภาคใด ๆ ทั้งนี้ การพัฒนาประเทศของจีนไปสู่ความเป็นมหาอำนาจได้จะต้องอาศัยการค้าขายจึงจะสามารถ สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งได้ ความมั่งคั่งคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จีนจะสามารถทำได้ เมื่อจีนมั่งคั่ง จะสร้างกองทัพให้เข้มแข็งมีเทคโนโลยีสูงมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก การสร้างความเข้มเข็ง และอิทธิพลในการเมืองระหว่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นเดียวกัน ขอให้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ขึ้นมาก่อน ฉะนั้นสหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันไม่ให้จีนมีความมั่งคั่งตามเป้าหมายของจีนให้ได้ โดยใช้การปิดล้อมจากโลกภายนอกคือการสร้างสถานการณ์ให้มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ ได้ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ว่า ........จงปราบบรรดาอริราชศัตรูโดย ทำความพินาศให้กับมัน สร้างความลำบากยากแค้นให้กับมัน ให้มันต้องวุ่นอยู่เสมอ หยิบยื่นเหยื่อแห่งอามิสประโยชน์ ทำให้มันต้องรีบรุดไปยังจุดใด ๆ ที่เราประสงค์.....บทที่ ๘ กลยุทธแปรรูป ...พึงให้เจ้าครองแคว้นอื่นสยบด้วยภยันตราย ให้เจ้าครองแคว้นอื่นรับใช้ด้วยอิทธิพล ให้เจ้าครองแคว้นอื่นขึ้นต่อด้วยผลประโยชน์...เก้าลักษณะ (บรรพที่ ๘) และจะสามารถสกัดกั้น การเติบโตด้านการค้าขายของจีนกับตลาดโลกให้ได้ ๒) การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นรอบบ้านของจีนให้ได้ เช่น สร้างความขัดแย้งให้ทวีมากยิ่งขึ้น ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นระหว่างไทยกับพม่า เป็นต้น ๓) การสร้างความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในประเทศจีนเอง โดยจัดให้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบขึ้นทุกวิถีทางให้เหมือนกับที่เคยสนับสนุนการก่อจารจลขึ้น ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าเป็นการสนับสนุนโดย องค์กร ซีไอเอ ของสหรัฐอเมริกา ( จีน ไทย ในศตวรรษที่ ๒๑ : ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ) หรือแม้กระทั่งการสร้างสงครามขึ้นในดินแดนของจีนในพื้นที่ใด ๆ ก็ตาม ถ้าสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดคิดของคนทั่วไป อย่างไรก็ตามนับได้ว่าสหรัฐฯ สามารถที่จะบรรลุแผนตามเป้าหมายคือการได้รับเงินก้อนใหญ่มหาศาลเข้าประเทศถือได้ว่า เป็นการ จูงแพะติดมือ ดังกลยุทธ์ที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น สิ่งที่เป็นแพะตัวใหญ่ที่สหรัฐฯ ได้ติดมือไปในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่คนไทยไม่ค่อยจะมีคนรู้กันดีเท่าใดนัก คือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่สหรัฐฯ วางแผนมานานกว่าจะได้สิ่งนี้มาคือ การยึดครองแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดหลังปรากฏการณ์ เอล นีโน ตามที่องค์การนาซา ( NASA) ของสหรัฐฯ รายงานว่า แหล่งอาหารของโลกทั่วทุกภูมิภาคของโลกจะถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากโดยลำดับหลังจาก ปรากฏการณ์ เอล นีโนแล้ว ยกเว้น ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออกบางส่วน พื้นที่ที่เหลือในการผลิตอาหารเลี้ยงพลเมืองของโลกนั้นมีเพียงแค่ ประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ทางตอนใต้ของจีน ( มณฑลยูนนานของจีน ) ปัจจุบันนี้ องค์การนาซาของสหรัฐฯ นอกเหนือจากการสำรวจงาน ด้านอวกาศที่เป็นงานหลักของตนแล้ว ยังทำหน้าที่ในการสำรวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติภายใต้พื้นผิวโลก โดยเฉพาะแร่ธาตุที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง นาซาได้พบว่า หลังจากปรากฏการณ์ที่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมาเรียงตัวกันเป็นแนวระนาบ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แล้วเกิดแรงดูดอย่างรุนแรงต่อของเหลวใต้ผิวโลก น้ำมันปิโตรเลียมบางส่วนมีการเคลื่อนย้าย จากแหล่งเดิมไปสู่แหล่งใหม่ แหล่งปิโตรเลียมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือบริเวณประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอ่าวไทยจะมีการเคลื่อนตัวของปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ เข้ามาในบริเวณอ่าวไทยอีกเป็นปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า แนวเชื่อมตั้งแต่อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย อ่าวไทย เข้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ผ่านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพม่าและจีนตอนใต้บางส่วน ซึ่งในขณะนี้จีนกับพม่า ได้สำรวจพบปิโตรเลียมปริมาณมากเหล่านี้แล้ว เมื่อประมาณกลางเดือน ต.ค.๒๕๔๗ ก็ได้มีการสำรวจพบแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นอีก อันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการปรากฏตัวของแหล่งปริโตรเลียมใหม่ที่จะมีปริมาณไม่น้อยไปกว่า ในตะวันออกกลางเลยทีเดียว อีกส่วนหนึ่งที่สหรัฐฯ ได้ไปก็คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ ในประเทศไทยที่เมื่อเปลือกโลกและของเหลวใต้โลกเคลื่อนตัวดังที่กล่าวมาแล้วนั้นทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปกลับตื้นขึ้นมา เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม เพชร ทองคำ โปแตสเซียม ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่โปแตสเซียมที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกและมากที่สุดในโลกที่อุดรธานี ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าประเทศไทยมีแต่กว่าจะรู้ว่ามีต่างชาติก็ได้สัมปทานไปหมดแล้ว ) และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ต่างชาติโดยสหรัฐอเมริกาที่เป็นแกนหลักจะได้มาโดยง่าย เพียงแค่ให้พันธมิตรของตนที่เป็นนักการเมืองไทยในบางยุคบางสมัยออกกฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน จาก อบต.,อบจ. ๙๙ ปี แค่นี้ต่างชาติก็ได้ทรัพย์สินที่มีค่าของประเทศชาติทั้งหมดไปได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผู้อ่าน สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ ปอกเปลือก...อานันท์ ปันยารชุน ของ ชลธิศ อาจมนภาพ ฯ , ชำระประวัติศาสตร์ กรณี ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ( อ้างแล้ว ) , เนื้อหากฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ ช่วงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย มีตัวอย่างบางตัวอย่างที่เกี่ยวข้องพอจะยกมาเป็นอุทาหรณ์ได้บ้างดังนี้ ......ธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย (ADB) ซึ่งปรากฏตามเอกสารของ Asian Development Bank , 1995 คงจะเป็นคำตอบได้ในกรณี นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับนายอานันท์ เป็นผู้ไปติดต่อกู้เงินจาก ธนาคาร ADB ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8% ทั้งที่สามารถกู้ธนาคารภายในประเทศ ได้ในอัตราเพียงไม่เกินร้อยละ 2% ที่แสบไปกว่านั้นคือ ประธานของ ADB ได้เปิดเผยในการประชุมที่เชียงใหม่ เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ว่า รัฐบาลของประเทศไทยเป็นผู้เขียนลงในสัญญาการกู้เอง ว่า เกษตรกรไทยจะต้องจ่ายเงินซื้อน้ำที่ใช้ในการเกษตร ให้กับธนาคารADB ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำบ่อ น้ำคลอง เขาทำเพื่ออะไร ?? หากจะให้เข้าใจเอาเองแล้วละก็ต้องเข้าใจว่าเนื้อแท้ความต้องการของผู้ไปเขียนสัญญาเช่นนั้น ก็คือ ต้องการทำลายโครงการเกษตรพอเพียง ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชน เสื่อมความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นนโยบายหลักของวาติกันอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ ? .... .......วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๑ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการถาวรกองทุนการเงินระหว่างประเทศIMF โดยได้รับเงินเดือนประจำ และทำงานให้กับ IMF สิ่งที่น่าแปลกก็คือตัว นายชวนฯ ยังเป็นนายกรัฐมตรีของประเทศไทย แต่เหตุใดจึงรับตำแหน่งเป็นกรรมการของIMF ?? ... ....วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธนาคารโลก และ IMF แต่งตั้งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการ เพื่อการพัฒนาธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ(IMF) อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสังเกตที่สุด ก็คือตำแหน่งที่ได้รับนั้นเป็นตำแหน่งควบของธนาคารโลก กับ IMF จึงไม่เป็นที่กังขาหรือปฏิเสธ กันต่อไปอีกแล้วว่า ธนาคารโลกคือเครื่องมือเปิดทางให้กับ IMF และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายธารินทร์ฯ คือบุคคลที่ IMF ที่วางไว้ในตำแหน่งการเงินของประเทศ เพื่อรองรับปฏิบัติการ ตามแผนธารินทร์ ๓๕-๔๓ ให้แล้วเสร็จตามคำสั่งของ IMF ... ....นับตั้งแต่การออก พ.ร.บ.วิเทศธนกิจ หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า BIBF นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำเอา นายราเกซ สักเสนา ซึ่งทำงานให้กับองค์กรCIA เข้ามาบริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ นายธารินทร์ ได้มีคำสั่งให้ปิดBBC อย่างถาวรเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการรับ-ส่งหน้าที่และประสานงานกันอย่างมีระบบ ไม่ใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามธรรมชาติของนักการเมืองแต่อย่างใด แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นสมการที่มีชื่อเฉพาะว่า สมการกลืนชาติ หรือ E=MOC2 ดังนั้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา มีการเข้าควบคุมข่าวสาร สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขาย สินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้ เพื่อการ ล่าอาณานิคม ชนิดใหม่ เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจที่กลมกลืนระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย .... จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯ วางแผนมายาวนานเพื่อที่จะได้สิ่งละอันพันละน้อยจากประเทศไทยไป ค่อย ๆ เอาไปทีละเล็กละน้อยคนไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้เมื่อสมรู้ร่วมคิดกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้สหรัฐฯ ได้รับสิ่งนี้ไป ตามกลยุทธ์ จูงแพะติดมือ ในชั่วชีวิตของผู้เขียนอยากจะเห็นความมั่งคั่งของประเทศไทยที่พัฒนาตนเองจากทรัพยากรทั้งสิ้น ที่มีอยู่ในประเทศไทย ทั้งปิโตรเลียมทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมี ราคาน้ำมันอาจจะ ลดลงเหลือราคาลิตรละครึ่งหนึ่งของปัจจุบันนี้ ( ต.ค.๒๕๔๗ ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษลิตรละ ๒๒ บาทเศษ ) ผู้เขียนเชื่อว่าทำได้และทำได้อย่างง่ายดายด้วย ที่จะทำได้เช่นนั้นก็ต่อเมื่อทรัพยากรทั้งหลายที่ควรจะเป็น ของคนไทยต้องกลับมาเป็นของคนไทยทั้งสิ้น แล้วลองเอาพวกที่เคยให้ประโยชน์กับต่างชาติไปมาอธิบาย ให้คนไทยทั้งชาติฟังว่าทำไมเขาจึงให้ทรัพยากรเหล่านั้นกับต่างชาติไป เขาได้อะไร ประเทศชาติเสียอะไร และประชาชนเสียอะไร ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ช้าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น คนชั่วและคนดีจะได้รับการพิสูจน์ ต่อหน้าคนไทยทั้งชาติ กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า โอกาสแม้จะน้อยแสนน้อยก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ชัยชนะแม้จะเล็กแสนเล็กก็ควรจะช่วงชิงมาให้ได้ จูงแพะติดมือ ก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้สำเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนั้นจึงย่อมจะตกหลุมพราง ถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 12:39:54 AM นาซาได้พบว่า หลังจากปรากฏการณ์ที่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมาเรียงตัวกันเป็นแนวระนาบ
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แล้วเกิดแรงดูดอย่างรุนแรงต่อของเหลวใต้ผิวโลก น้ำมันปิโตรเลียมบางส่วนมีการเคลื่อนย้าย จากแหล่งเดิมไปสู่แหล่งใหม่ แหล่งปิโตรเลียมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือบริเวณประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอ่าวไทยจะมีการเคลื่อนตัวของปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ เข้ามาในบริเวณอ่าวไทยอีกเป็นปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า แนวเชื่อมตั้งแต่อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย อ่าวไทย เข้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ผ่านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพม่าและจีนตอนใต้บางส่วน ซึ่งในขณะนี้จีนกับพม่า ได้สำรวจพบปิโตรเลียมปริมาณมากเหล่านี้แล้ว ลองหาข้อมูลพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง พื้นบ้านร้อนจนเข้าอยู่ไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร? http://www.yenta4.com/webboard/2/224404.html ความเห็นผมน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของหินหลอมเหลวใต้ผิวโลกของไทย ซึ่งอาจส่งผลเกี่ยวกับเรื่องแหล่งน้ำมันดิบด้วย แล้วจะหาข้อมูลจากนาซามาเพิ่มเติมถ้าหาได้ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๓ ตีหญ้าให้งูตื่น เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 11:11:24 AM ส่วนที่ ๓
กลยุทธ์เข้าตี เมื่อสองฝ่ายเริ่มรบด้วยกลศึก พึ่งใช้ทุกมาตรการ ถือเพทุกบายเป็นวิถี เอาชนะด้วยเล่ห์กล กลยุทธ์ที่ ๑๓ ตีหญ้าให้งูตื่น สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน ซ้ำซาก คืออุบายรู้มืด กลยุทธ์นี้ความหมายว่า เมื่อมีสิ่งใดพึงสงสัย ควรจักส่งคนสอดแนมให้รู้ชัด กุมสภาพข้าศึกได้แล้วจึงเคลื่อน นี่เรียกว่า สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน ในคัมภีร์อี้จิง ซ้ำ ได้อธิบายไว้ว่า ใช้มรรควิธีเดิมกลับไปมา ๗ วัน เมื่อละเอียดแล้ว จึงเข้าใจสิ่งนั้นได้ ความหมายของคำนี้ก็คือ ต่อสิ่งใดก็ตามจักต้องสังเกตซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงจะสามารถจำแนกแยกแยะมันได้ถูก ที่ว่า ซ้ำซาก คืออุบายรู้มืด นั้น เมื่อนำมาใช้ในการทหาร หมายถึงใช้วิธีการสอดแนมหลายครั้งหลายหน อันเป็นวิธีสำคัญในการเข้าใจสภาพข้าศึก ค้นพบศัตรูที่แฝงเร้นอยู่ ความหมายของ ตีหญ้าให้งูตื่น ก็คือแม้เราจะตีหญ้า แต่งูที่ซ่อนอยู่ในหญ้าก็ตื่นตกใจ นี้เป็นกลอุบายที่ใช้การสอดแนม แจ้งชัดในสภาพข้าศึกที่เราโอบล้อมอยู่ แล้วตียังจุดหนึ่ง ซึ่งจะกระเทือนไปทั้งแนว หลังจากนั้นจึงทำลายข้าศึกให้แหลกลาญไปทีละส่วนอย่างหนึ่ง ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ........... พระเจ้าฉงเจินฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิง (จูอิ๋วเจียน) ค.ศ.๑๖๑๑-๑๖๔๔) เป็นกษัตริย์ที่ไร้ทศพิธราชธรรม แสร้งทำดีเป็นผักชีโรยหน้า เพื่อหลอกลวงรีดนาทาเร้นราษฎร จนเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้า ชาวนาจึงต่างพากันก่อการจลาจลเพื่อต่อต้านฉงเจิงฮ่องเต้กันเกือบทั่วไปในแผ่นดิน จนกลายเป็น กองกำลังที่ใหญ่โตหลายต่อหลายแห่ง ในหมู่กองกำลังของชาวนา ๑๓ กองที่ก่อการลุกขึ้นสู้ ที่กล้าแข็งที่สุดคือ หลี่จื้อเฉิง (ค.ศ.๑๖๐๖- ๑๖๔๕) ซึ่งเป็นคนหมี่จือในส่านซี หลี่จื้อเฉิงมิใช่แต่จะมีฝีมือสูงส่ง กล้าหาญชาญชัยเท่านั้น ยังเก่งกาจในทางการทหารอย่างหาตัวจับยากอีกด้วย ปีที่ ๑๕ แห่งรัชสมัยของฉงเจินฮ่องเต้ หลังจากหลี่จื้อเฉิงรบกับทหารราชวงศ์หมิงที่ เชียงหยางและพานเฉิง ในส่านซีแล้วก็นำทัพมุ่งไปยังเหอหนานเพราะรู้ว่าเหอหานมีชาวนามาก การรบใหญ่หลายครั้งกับทหารหมิง แม้จะชนะก็สูญเสียกำลังพลไปมาก การรบใหญ่หลายครั้งกับทหาร หมิง แม้จะชนะก็สูญเสียกำลังพลไปมาก จำต้องหามาเพิ่มเติม เสริมกองทัพของตนได้เข้มแข็งอยู่เสมอ และเหอหนานจะเป็นแหล่งเสริมกำลังได้ดีที่สุด มิผิดไปจากที่หลี่จื้อเฉิงได้คาดคิดไว้ พอทัพของเขาเข้าแดนเหอหนานก็มีกองทัพลุกขึ้นสู้ของชาวนา ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่มีชื่อว่าเสี่ยวหยวนอิ่ง มีกำลังพลถึง ๒๐ หมื่น เข้ามาสมทบด้วย นอกจากนั้นยังทัพของหลอหรู่ไฉ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๓ ทัพที่ลุกขึ้นสู้กับราชวงศ์หมิง เห็นทัพอันเกียงไกรของ หลี่จื้อเฉิงก็ยอมเข้ามาสมทบด้วย ในชั่วเวลาอันสั้นชาวนาเหอนหนานซึ่งอดยากยากแค้นเหลือเข็ญ ถูกข่มเหงรังแกสุดจะทน เมื่อพบกับกองทัพลุกขึ้นสู้ ต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาสมัครเป็นทหารของหลี่จื้อเฉิง ประดุจสายน้ำที่พรั่งพรู ลงสู่มหาสมุทรฉะนั้น บ้างก็ยกกันมาทั้งครอบครัว คน ๒ รุ่น ๓ รุ่นอยู่ในกองทัพเดียวกันก็มี หลี่จื้อเฉิงเมื่อได้ กำลังเสริมมามากมายได้ดังนั้น ในเดือน ๓ ก็ยกเข้าตีเมืองไท่คัง ซุยโจว หนิงหลิง กุยเต๋อซึ่งเป็นเมืองสำคัญ ในเหอหนานได้ภายในเวลาเพียง ๖ วัน ในเดือน ๔ ก็ตีได้เมืองอี๋ฟง ฉี่เสี้ยน เจ้อเฉิง หยีเฉิง อีก ผู้คนต่างพากันมาสวามิภักดิ์ด้วยอย่างไม่ขาดสาย กำลังของหลี่จื้อเฉิงเข้มแข็งยิ่งขึ้นทุกวัน จึงตระเตรียมที่จะบุก เมืองใคฟงอันเป็นเมืองเอกของเหอหนานสืบไป ฉงเจินฮ่องเต้ ได้รับข่าวว่าเมืองไคฟงคับขันก็เรียกประชุมขุนนาง ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แต่ขุนนางในราชสำนักของราชวงศ์หมิง ก็เป็นเช่นเดียวกับฉงเจินฮ่องเต้ ล้วนแต่เป็นขุนนาง ที่ประจบสอพลอ เห็นแก่ตัว มือใครยาวสาวได้สาวเอา และรักตัวกลัวตายกันทั้งสิ้น จึงไม่มีใครให้ความเห็นที่ดี แก่ฉงเจินฮ่องเต้เลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตานิ่งอยู่ ฉงเจินฮ่องเต้จนพระทัย จึงรับสั่งให้ติงฉี่รุ่นแม่ทัพประจำเหอหนาน ยกพลไปช่วยไคฟงจากทิศใต้ หยางเหวินเย่ข้าหลวงเมืองเป่าติ้งยกไปทางทิศตะวันตก แล้วให้โหวสุนเสนาบดี ฝ่ายกลาโหมไปควบคุมการช่วยไคฟง เมื่อพระราชโองการของฉงเจินฮ่องเต้ไปถึงติงรุ่ย หยางเหวินเย่ และจ่อเหลียงอี้แล้ว คนทั้งสามรู้ว่าการศึกครั้งนี้หนักนัก ลำพังกำลังที่ต่างมีอยู่คงจะไม่พอส่งไปช่วยเมืองไคฟงเป็นแน่ เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว จึงจัดรวบรวมไพร่พล ดึงกำลังของพวกเจ้าที่ดินที่หวาดกลัวการลุกขึ้นสู้ของชาวนาเข้ามาอยู่ในกองทัพ จัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งต้องใช้เวลาเดือนหนึ่งเต็มๆ จึงสามารถรวบรวมไพร่พลได้ ๒๐ หมื่น และปืนใหญ่อีก ๑ หมื่น ครั้นแล้วก็พากัน ยกกำลังเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในจูเชียนเจิ้น เมืองหน้าด่านทางใต้เมืองไคฟงและเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ ในสมัยนั้นในตอนปลายเดือน ๖ อันที่จริงในตอนกลางเดือน ๖ หลี่จื้อเฉิงก็ได้วางกำลังโอบล้อมเมืองไคฟงไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมเข้าตีเมืองอยู่ในวันในพรุ่ง และตั้งทัพอยู่ในเมืองจูเชียนเจิ้น จึงให้ยับยั้งการตีเมืองไคฟงไว้ก่อน เรียกแม่ทัพนายกอง มาปรึกษาหารือกลยุทธ์ที่รบกับทหารราชวงศ์หมิง แม่ทัพนายกองก็เสนอความเห็นกันต่างๆ นานา สรุปได้ความว่า เหอหนานอยู่ในมือของกองทัพชาวนาแล้ว ไคฟงก็ถูกล้อม เมื่อทหารหมิงเข้ามาตั้งอยู่ที่จูเชียนเจิ้น ก็ให้ขยายแนว โอบล้อมกว้างออกไป ครอบคลุมเอาจูเซียนเจิ้นเข้าไปด้วย ให้เป็นแนวโอบล้อมใหญ่เป็นเนื้อในหม้อเดียวกัน แต่หลี่จื้อเฉิงก็เป็นนักการทหารที่ศึกษาตำราพิชัยสงครามาจนจบคนหนึ่ง จึงคิดว่าด้วยกำลังเป็นล้านของทัพชาวนา ไคฟงก็มีสภาพเหมือนหมู่ในอวยอยู่แล้ว ทัพราชวงศ์หมิงที่ส่งมาช่วย อย่างมากก็ประมาณสัก ๒๐ หมื่นถ้าจะขยายแนว โอบล้อมรวมเอาจูเซียนเจิ้นเข้าไปด้วยก็มิใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทำเช่นนั้น ทัพที่มาช่วยก็จะรวมกำลังเข้ากับไพร่พล ในเมืองไคฟงได้ ทำให้ข้าศึกกล้าแข็งขึ้น กลับจะเป็นเรื่องยากแก่ชัยชนะ ในตำราพิชัยสงครามเคยมีกล่าวไว้ว่า ตีให้แตกทีละส่วน กับ แบ่งแยกแล้วทำลายเสีย จักให้ข้าศึกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิได้ ดังนั้น หลี่จื้อเฉิงจึงจัดวางแผนการยุทธ์ขึ้นมาใหม่ กล่าวคือ การโอบล้อมเมืองไคฟงไม่ถอย แต่ให้ตั้งแนวโอบล้อมเมืองจูเซียนเจิ้นขึ้นอีกแนวหนึ่งและจะต้องใช้ทหารชาญศึกชั้นเยี่ยมเข้าทำหน้าที่นี้ มิฉะนั้นแล้วก็จะล้อมทหารหมิงไว้ไม่อยู่ เมื่อล้อมได้แล้ว จึงค่อยหาทางทำลายเสียต่อไป แผนการยุทธ์นี้ เมื่อแม่ทัพนายกองได้ปรึกษาหารือกันแล้วก็เห็นฟ้องด้วยว่า ดีกว่าจะให้ข้าศึกบรรจบทัพเป็นกองเดียวกันแข็งแกร่งขึ้น ครั้นแล้ว หลี่จื้อเฉิงจึงสั่งให้รักษาแนวโอบล้อมไคฟงอยู่เช่นเดิม มิให้ทัพหมิงในเมืองแหกวงล้อมมาสมทบกับ ทัพหนุนช่วยที่จูเซียนเจิ้นได้ ให้ถอนกำลังส่วนใหญ่มาไว้ที่เมืองเกาฝูทางใต้ของจูเซียนเจิ้น สร้างป้อมปืนใหญ่ขึ้น บนแถบเนินสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนั้น แต่ละป้อมให้ขุดคูกว้าง ๑๖ เซียะยาว ๑๐๐ กว่าลี้ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจูเซียนเจิ้นเป็นวงแหวน ส่วนทางเหนือของเมืองก็เป็นแม่น้ำเหลืองซึ่งเชี่ยวกราก ไม่จำต้องป้องกันข้าศึกก็ข้ามไปมิได้ พร้อมกันนั้นก็ส่งทหารสอดแนมออกไปสืบสภาพของข้าศึกแล้วให้กลับมา รายงานโดยละเอียดเป็นประจำ จ่อเหลืองอี้แม่ทัพเมืองเป่าติ้งหวาดกลัวที่จะสู้รบกับกองทัพชาวนาเป็นอันมาก ครั้นเมื่อทราบว่า ทัพชาวนา ขุดคูตัดเส้นทางลำเลียงทางตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็เดือดร้อนยิ่งนัก หากขาดเสบียงอาหารแล้ว ไม่ต้องรบกองทัพหมิงก็วุ่นวายไปเอง จ่อเหลียงอี้จึงบังคับให้ราษฎรในจูเซียนเจิ้นสร้างทางขึ้นสายหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อกับเมืองไคฟงทะลุไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำเหลือง เพื่ออาศัยการขนส่งทางน้ำมาชดเชยกับ เส้นทางที่ถูกตัดขาดไป แต่จ่อเหลืองอี้เป็นแม่ทัพใจโหด กระทำการทารุณต่อราษฎรเป็นที่รู้กันทั่วไป ราษฎรทั้งหลายเมื่อถูกบังคับให้สร้างทางจึงต่างพากันเฉื่อยงาน หรือมิฉะนั้นก็หาทางทำลายการสร้างถนน ด้วยประการต่างๆ วันนี้สร้างได้ ๑๐ เซี๊ยะ ตกกลางคืนชาวบ้านก็พากันขุดทำลายเสีย การสร้างทางเพื่อแก้ปัญหา การขนส่งของจ่อเหลียงอี้ โดยเฉพาะเรื่องเสบียงอาหาร จึงมิได้ประสบความสำเร็จจนแล้วจนรอด ทัพหมิงเมื่อตั้งค่ายลง ณ จูเชียนเจิ้น ด้วยจำนวนพลเพียง ๒ หมื่นคนก็ตั้งค่ายยาวถึง ๒๐ ลี้ ดูแล้วให้น่าเกรงขามยิ่งนัก แต่ทว่าแม่ทัพทั้ง ๓ คนต่างก็คิดกันไปคนละอย่าง ล้วนแต่กลัวที่จะออกรบกับกองทัพของชาวนาทั้งสิ้น เมื่อมาพบหน้าปรึกษาหารือกันคราใดเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างเอาเป็นเอาตายครานั้น เพื่อปกป้องมิให้กำลังของตนต้องได้รับความเสียหายจากการสู้รบกับข้าศึก ในที่สุด จึงตกลงกันได้ที่จะใช้คำขวัญว่า ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อแบ่งเบาภาระขององค์ฮ่องเต้ กำหนดให้กองทัพของทุกฝ่ายออกปราบข้าศึกพร้อมกัน โดยหวังที่จะทำลายกองทัพชาวนาเสียในครั้งเดียวนี้ แต่สภาพความเป็นไปของกองทัพหมิงได้ถูกส่งมาถึงมือของหลี่จื้อเฉิงอยู่ตลอดเวลา เช่นความขัดแย้งของพวกแม่ทัพ การจัดวางกำลังของข้าศึกตลอดจนปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์อื่นๆ หลี่จื้อเฉิงได้รับทราบโดยละเอียด กองทัพหมิงที่อยู่ในจูเซียนเจิ้น ทัพของจ่อเหลียงอี้นับว่าเข้มแข็งที่สุดมีกำลังพล ๑๐ กว่าหมื่นคน ของหยางเหวินเย่มีเพียงหมื่นกว่าคน ส่วนของติงฉี่ลุ่ยมีราว ๓ หมื่นคน ส่วนโหวสุนมเลยสักคนเดียว ในด้านฐานะตำแหน่งนั้นเล่า ติงฉี่ลุ่ยสูงสุด รองลงมาก็เป็นหยางเหวินเย่ ส่วนจ่อเหลียงอี้แม้จะมีไพร่พล ในมือมากกว่าคนอื่น แต่ก็มีตำแหน่งฐานะต่ำกว่าคนอื่นทั้งหมด ทว่าจ่อเหลียงอี้ก็เป็นขุนพลที่เจ้าเล่ห์ที่สุด ซึ่งรู้ดีว่าถ้ารบชนะ ความดีความชอบก็จะตกเป็นของติงฉี่รุ่ยและหยางและหยางเหวินเย่ ถ้าแพ้ ตนก็จะต้องเสียไพร่พลในมือไปโดยเปล่าประโยชน์ ในทัพของจ่อเหลียงอี้ขุนพลหู่ต้าเวยอยู่คนหนึ่งเท่านั้น ที่บ้าบิ่นไม่รู้เหนือรู้ใต้ อยากจะรบเพื่อเป็นบันไดไต่เต้าเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นท่าเดียว เมื่อหลี่จื้อเฉิงทราบสภาพของข้าศึกเช่นนี้แล้ว จึงเห็นว่าจากการวางกำลังของทั้ง ๒ ฝ่าย กองทัพชาวนา บรรจบวงล้อมได้แล้ว จักต้องรักษาไว้มิให้ข้าศึกแหกวงล้อมไป สำหรับข้าศึกที่ถูกล้อมนั้นเล่า ก็ควรจะเข้าโจมตี โดยเลือกจุดที่อ่อนแอของข้าศึกเป็นที่สุด เพื่อให้ทัพหมิงเกิดสะทกสะท้าน เมื่อข้าศึกเกิดความหวาดกลัวแล้ว ก็จะตื่นตระหนก ต้องดำเนินการไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งทัพชาวนาก็จะได้ฉวยโอกาสซ้ำเติมในขณะที่ข้าศึกเคลื่อนพล ก็จะได้ชัยชนะอย่างสิ้นเชิง เมื่อใคร่ครวญจนมีความมั่นใจแล้ว หลี่จื้อเฉิงจึงวางแผนกลยุทธิ์ ตีหญ้าให้งูตื่น แล้วกำจัดเสีย การรบที่จูเชียนเจิ้นจึงระเบิดขึ้น ทัพหมิงมีปืนใหญ่หมื่นกระบอก หยางเหวินเย่แม่ทัพเป็นผู้เปิดฉากใช้ปืนใหญ่ ยิงทัพชาวนาก่อน แต่หลี่จื้อเฉิงก็ใช้แผนตัดเสบียงอาหารและน้ำของทัพนี้ โดยกั้นลำธารน้ำให้เปลี่ยนทิศทาง พร้อมทั้งตัดเส้นทางส่งเสบียงอาหารเสียด้วย ทัพหมิงใช้ปืนใหญ่ระดมยิงอยู่ ๓ วันแต่พวกทหารไม่มีน้ำไม่มีอาหาร เข้าปากเลยแม้สักคำเดียว ขณะนั้นก็เป็นกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เส้นทางส่งเสบียงอาหารก็เป็นเส้นทาง ส่งกระสุนดินดำด้วยเช่นกัน ทัพปืนใหญ่ของหยางเหวินเย่จึงขาดทั้งอาหาร ขาดน้ำ ขาดกระสุนดินดำ หยางเหวินเย่ ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากเมืองไคฟงก็มิได้รับตอบ ส่วนทัพของติงฉี่รุ่ยกับจ่อเหลียงก็ทำเฉยเสีย หยางเหวินเย่ ให้บันดาลโทสะ แต่ก็มิรู้ที่จะทำประการใด จิตใจของไพร่พลก็ท้อแท้ ในที่สุด ปืนใหญ่หมื่นกระบอก ก็มิผิดอะไรกับท่อนเหล็ก กำลังของจ่อเหลืองอี้ ๑๐ หมื่นคนอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจูเซียนเจิ้นขุนพลหู่ต้าเวยก็อยู่ใต้ลงไป เมื่อหลี่จื้เฉิงรู้ถึงกำลังและที่ตั้งของคนทั้งสองแล้ว ก็เห็นว่าหากล้อมไว้เฉยๆ โดยไม่เข้าตี ก็ไม่อาจทำลายข้าศึกลงได้ แม้นสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะควบคุมแนวโอบล้อมไว้ได้ต่อไป ดังนั้น จึงได้ระดมกำลังหลักและขุนพลกล้าศึกเข้าตีที่ตั้งของหู่ต้าเวยอย่างรุนแรง เพื่อทำลายให้สิ้น ส่วนตัวหลี่จื้อเฉิงเองก็กำลังส่วนหนึ่ง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดึงกำลังของจ่อเหลืยงอี้ไว้มิให้ไปช่วยหู่ต้าเวยได้ ทัพของหลี่จื้อเฉิงใช้กำลัง ๒ หมื่นบุกเข้าตีที่ตั่งของหู่ต้าเวยอย่างดุเดือดหู่ต้าเวยแม้จะมีความกล้า แต่ก็ปรามาสข้าศึกมาแต่แรก นอนใจว่าข้าศึกคงจะไม่หาญบุกเข้ามา เพราะ ทหารของตนนั้น ล้วนแต่แกล้วกล้าอาจหาญ ทั้งยังมีกำลังของจ่อเหลียงอี้หนุนหลังอยู่ ครั้นทัพลี่จื้อเฉิงบุกเข้าจริงอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว มิทันจะได้รับพวกไพร่พลก็แตกหนีจนหู่ต้าเวยบังคับไว้ไม่อยู่ ต้องพลอยหนีตามไพร่พลไปด้วย ส่งคนไปขอความช่วยเหลือ จากจ่อเหลียงอี้ เฝ้าแต่คอยก็คอยหาย กำลังของทัพหลี่จื้อเฉิงก็ตามติดมาไม่ยอมปล่อย จนกระทั้งฟ้ามืดทัพหลี่จื้อเฉิง จึงหยุดไล่ตาม แต่ทัพของหู่ต้าเวยก็เหลืออยู่เพียง ๓ พันคน เมื่อทัพหมิงทางใต้ย่อยยับแล้ว ก็ทำให้ทัพของจ่อเหลียงอี้เผชิญกับทหารชาวนาทั้งทางด้านตรงและด้านข้างโดยตรง หู่ต้าเวยเป็นขุนพลที่มีทหารชั้นเยี่ยมที่สุดของกองทัพหมิงอยู่ในมือ แต่ก็กลับแตกกระเจิงในเวลาเพียงวันเดียว จึงส่งผลสะเทือนต่อทัพของจ่อเหลียงอี้เป็นอันมาก บวกกับจ่อเหลียงอี้ ไม่คิดจะรบกับทัพของชาวนา คิดแต่รักษากำลังของตนไว้แบบ รู้รักษาตัวยอดเป็นยอดดี ถ่ายเดียว ดังนั้น เมื่อหลี่จื้อเฉิงกับขุนพลของทัพชาวนา บุกขนาบทัพของจ่อเหลียงอี้เข้ามา ๒ ทาง จ่อเหลียงอี้จึงจำใจต้องรบด้วยอย่างฝืนๆ ทว่าก็คิดหาทางหลีกเลี่ยง การปะทะอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากทัพของหลี่จื้อเฉิงติดพันอยู่ไม่ยอมให้มีโอกาส จ่อเหลียงอี้จึงหมดปัญญา ต้องกัดฟันสู้อย่างสุนัขจนตรอกไปตามเพลง ทั้ง ๒ ฝ่ายรบกันอยู่ ๕ วันกับ ๕ คืน จ่อเหลืยงอี้ต้องสูญเสียทหารไปกว่าครึ่งก็ให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เกรงว่าขืนรบต่อไป กำลังของตนก็คงจะไม่มีเหลือจึงพยายามถอนตัวจากการรบตีฝ่าออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลี่จื้อเฉิงยืนอยู่บนเนินสูง เห็นเช่นนั้นก็รู้ความประสงค์ของจ่อเหลียงอี้ จึงมีคำสั่งให้เปิดทางให้ จ่อเหลียงอี้จึงสามารถหลุดพ้นออกมาจากวงล้อมได้ และได้พบกับหู่ต้าเวยกับทหารที่เหลืออยู่ จึงสมทบกันถอยทัพต่อไปอย่างเร่งรีบ แท้ที่จริงนั้น หลี่จื้อเฉิงได้เตรียมกำลังบดขยี้จ่อเหลียงอี้ไว้ก่อนแล้วที่ให้เปิดทางก็เพื่อให้จ่อเหลียงอี้ตกหลุมพราง ที่ตนได้วางไว้ จ่อเหลียงหนีมาได้ ๑๐ กว่าลี้ก็โล่งใจคิดว่าตนรอดชีวิตมาได้แล้ว ทันใดนั้นเองก็มีทหารมาแจ้งว่า ทัพหลี่จื้อเฉิงไล่ติดตามมาทางด้านข้างหลังอย่างรวดเร็วจนฝุ่นตลบบังแสงอาทิตย์ไปหมดสิ้น จ่อเหลียงอี้จึงเลี่ยง หนีไปตามทางเล็ก แต่ไม่นานก็มีรายงานมาอีกว่า เกิดปะทะกับข้าศึกทางด้านหน้าอีก จ่อเหลียงอี้จึงรู้ว่า ตนเข้ามาติดกับของหลี่จ้อเฉิงเข้าให้แล้ว ครั้นจะนำทะลวงไปทางเมืองที่ซางทางใต้ ก็ไปเจอเข้ากับ คูขุดกว้าง ๑๖ เซียะ ของหลี่จื้อเฉิงเข้า ม้ากระโดดข้ามไม่ได้ บ้างก็มีทัพของหลี่จื้อเฉิงติดตามมาอย่างประชิด ถึง ๒ ทางด้วยกัน ก็มีแต่ต้องรุดหน้าไปแม้จะเป็นคู ทั้งคนทั้งม้าลงคูเพื่อปืนป่ายไปยังอีกฟากหนึ่ง กองทัพของจ่อเหลียงอี้เข้าไปจุกกันอยู่ที่ริมคู ที่อยู่ในคูก็เบียดเสียดยัดเบียดกันแย่งจะขึ้นคูหนีตายกันจ้าละหวั่น ทั้งม้าทั้งคนจึงถูกเหยียบตายอยู่ในคูเป็นอันมากส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ทั้งกันเกลื่อนไปทั่วท้องทุ่ง จ่อเหลียงอี้มีคนสนิท ๑๐ กว่าคนช่วยประคับประคองก็หนีออกจากวงล้อมของกองทัพหลี่จื้อเฉิงไปจนถึง เมืองเซียงหยางได้ เมื่อตรวจสอบไพร่พลที่ยังเหลืออยู่ ของหู่ต้าเวยมีเหลืออยู่เพียง ๑๐ กว่าคน ส่วนกำลัง ๑๐ หมื่นของจ่อเหลียงอี้ก็เหลืออยู่เพียงหมื่นกว่าคน จ่อเหลียงอี้ถึงกับร้องไห้รำพันว่า เราอุตส่าห์สะสมกำลังอยู่นาน ๑๐ ปี ต้องพังพินาศไปเพราะการยุทธ์จูเซียนเจิ้นนี้ไปจนหมดสิ้น ฟ้าคงจะลงโทษเราเป็นแน่แล้ว หู่ต้าเวยได้ฟังดังนั้นก็ให้รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่ยิ่ง จึงชักดาบออกมา จะเชือดคอตาย เดชะบุญที่ผู้ใกล้ชิดแย่งดาบไว้ทัน เมื่อทัพของจ่อเหลียงอี้แหลกลาญไป หยางเหวินเย่ก็ดีใจสมน้ำหน้าเป็นอย่างยิ่ง ส่วนทัพของติงฉี่รุ่ย หลี่จื้อเฉิงก็ให้ขุนพล ๒ คนนำทัพไปบดขยี้เสีย ติงฉี่รุ่ยขอให้หยางเหวินเย่ยิงปืนใหญ่ช่วย แต่ทหารของหยางเหวินเย่กลับปฏิเสธว่า หากท่านให้น้ำเราสักชามหนึ่งเสียแต่แรก ปืนใหญ่ของเรา ก็จะยิงเสียตั้งนานแล้ว ทหารของติงฉี่รุ่ยก็ถูกทัพชาวนาตีแตกไม่เป็นกระบวน ติงฉี่ลุ่ยกับหยางเหวินเย่ จึงจำต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันทะลวงแนวโอบล้อมลงไปทางใต้พร้อมกัน ผลของการรบใหญ่ที่จูเซียนเจิ้น ทหารราชวงศ์หมิงถูกจับเป็นเชลยของกองทัพชาวนาหลี่จื้อเฉิงหลายหมื่นคน ได้ยุทโธปกรณ์อาทิเช่น เสบียง ปืนใหญ่ กระสุนดินดำมากมาย เฉพาะม้าศึกก็ได้ถึง ๒ หมื่นตัว กลยุทธ์นี้ ได้ใช่วิธี ตีหญ้า คือเล่นงานทัพ ๒ หมื่นของหู่ต้าเวยก่อนเมื่อหู่ต้าเวยพ่ายก็กระทบกระเทือนถึง จิตใจทัพจ่อเหลียงอี้ให้เกิดหวั่นไหวเหมือน งูตื่น เมื่อ งูตื่น ก็เอาแต่หนีมิคิดสู้ จึงกำจัดเสียได้โดยไม่ยาก กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อสภาพของข้าศึกยังไม่ชัดแจ้งแก่เราฝ่ายเราไม่ควรจะปฏิบัติการอย่างลวก ๆ จะต้องหาทางสืบทราบ สภาพของข้าศึกให้ถ่องแท้ ครั้นเมื่อทราบเจตนาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว จึงออกโจมตี เยี่ยงเดียวกับงูที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า ควรจะใช้ไม้ตีพงหญ้าไปรอบ ๆ เพื่อให้งูปรากฏให้เห็น แล้วจึงจับเอาภายหลัง ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปจับจนถังรัง งูให้เปลืองแรง หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 11:20:35 AM ถ้าทำเป็น File ในรูป Acrobat แล้ว น่าจะเข้าท่ามากครับ...พริ้นออกมา....เย็บเป็นรูปเล่ม...ไว้อ่านมีประโยชน์มาก ครับ...ขอบคุณครับ...
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 11:31:43 AM ถ้าทำเป็น File ในรูป Acrobat แล้ว น่าจะเข้าท่ามากครับ...พริ้นออกมา....เย็บเป็นรูปเล่ม...ไว้อ่านมีประโยชน์มาก ครับ...ขอบคุณครับ... ใจจริง อยากให้ลองไปหาซื้อหนังสือกันก่อนครับ ถ้าไม่มีจริงๆค่อยทำดีกว่าเพราะมีลิขสิทธิ์ผมเอามาไม่ได้ขออนุญาติผู้แต่ง แต่เห็นว่าข้อมูลน่าจะเป็นประโยชน์กับคนทั่วไป เลยเสี่ยงดวงเอามาแปะ :~) หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๔ ยืมซากคืนชีพ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 11:34:24 AM กลยุทธ์ที่ ๑๔ ยืมซากคืนชีพ
ผู้ที่ใช้ได้ ไม่ควรใช้ ผู้ที่ใช้ไม่ได้ พึงใช้ ใช้ผู้ที่ใช้ไม่ได้ มิใช่เราต้องการเด็กไร้เดียงสา เด็กไร้เดียงสาต้องการเรา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ผู้ที่มีความสามารถและมีบทบาทนั้น จะใช้อย่างผลีผลามมิได้ ส่วนผู้ที่ไร้ความสามารถ ก็มักจะมาขอความช่วยเหลือจากเรา การใช้ผู้ที่ไร้ความสามารถ มิใช่เพราะว่าเราต้องการจะใช้เขา หากแต่เพราะ เขาต้องการพึ่งเรา คำว่า เด็กไร้เดียงสา มาจาก คัมภีร์อี้จิง ไร้เดียงสา ยืมซากศพคืนชีพ ความหมายเดิม เปรียบกับของที่ตายแล้ว แต่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่โดยใช้อีกรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อใช้ในสงครามหรือในการต่อสู้อื่นใด ก็หมายถึงกลยุทธ์การใช้พลังที่สามารถจะใช้ได้ทั้งปวงมาบรรลุซึ่งเจตนารมณ์ของเราอย่างหนึ่ง ในประวัติศาสตร์แต่กาลก่อน ในระหว่างการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จักมีผู้แกล้วกล้าตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นมากมาย ซึ่งมักจะแอบอ้างพระนามของกษัตริย์และรัชทายาทที่สูญชาติเป็นเครื่องมือ ป่าวร้องชักชวนให้กู้ชาติแล้ว ได้ชาติไปครองในภายหลัง นี่ก็คือการใช้กลยุทธ์ข้างต้น การใช้กำลังสนับสนุนผู้อื่นเข้าโจมตีหรือป้องกันแทนเขา โดยที่มีเจตนาจะเข้าควบคุมผู้นั้น ก็นับอยู่ในกลยุทธ์นี้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ การยืมซากของซัดดัม ฮุสเซน คืนชีพเพื่อสร้างสงครามอ่าวเมื่อปี ๒๕๓๔ และ ๒๕๔๖ โดยสหรัฐอเมริกา ซัดดัม ฮุสเซน ข้อมูลจากรายงานข่าวของฝรั่ง ซัดดัมร้ายกาจไปหมด เขาเกิดในครอบครัวชาวนา ที่ยากจนที่หมู่บ้านชื่อไทกริต ห่างจากแบกแดดไปทางเหนือ ๑๐๐ ไมล์ บิดาชื่อ ฮุสเซน อัล- มาจิด ตายเสียตั้งแต่เขาเกิด มาดาชื่อสุภา ( Subha ) ได้แต่งงานใหม่กับชาวนาชื่อ อิบราฮิม ฮัสซัน ซึ่งเกลียดลูกเลี้ยงมาก เพราะดื้อเหลือเกิน จึงเฆี่ยนตีซัดดัมอย่างทารุณจนต้องหนีเตลิดออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุได้ ๘ ขวบ นักข่าวไปสืบประวัติของซัดดัมที่โรงเรียนเก่า ปรากฏว่า ซัดดัมเป็นเด็กที่มีผลการเรียนปานกลาง เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า ความฝันของพวกเด็ก ๆ ที่นั่นคือโตขึ้นจะเป็นครู มีซัดดัมคนเดียวที่คิดแบบผู้ใหญ่ว่า คนอิรักลำบากมาก โตขึ้นเขาจะทำให้อิรักพ้นจากความยากจนและความล้าหลัง เมื่อเป็นวันรุ่น เขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคบาธ ครั้นอายุได้ ๒๒ ปีเขาระหกระเหินไปแบกแดด เข้าเรียนหนังสือได้เล็กน้อย และได้คบคิดกับเพื่อนจะฆ่าอับดุลการิม กาสเซ็ม, นายกรัฐมนตรี ซัดดัมถูกยิงที่ขาซ้าย จนต้องหนีไปรักษาตัวอยู่อียิปต์ เมื่อกลับมาอิรักในปี ๑๙๖๓ นายกฯ กาสเซ็มถูกฆ่าตาย เขาถูกจับขังคุกเพราะ อยู่เบื้องหลังการล้มล้างรัฐบาล แต่ก็หนีออกจากคุกมาได้ จนกระทั่งพรรคบาธขึ้นครองอำนาจ ซัดดัมจึงผงาดออกมา ในฐานะบุรุษผู้เก่งกล้า เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี ๑๙๗๙ และพยายามนำพาประเทศไปสู่ ความเจริญก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น สร้างถนน สะพาน โรงพยาบาลและโรงเรียน ผู้คนที่ไปอยู่ต่างประเทศ ต่างหวนกลับมาอิรักใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อติดเขี้ยวเล็บให้แก่ประเทศ เขาสั่งสะสมอาวุธทุกรูปแบบ รวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ เคมี และอาวุธเชื้อโรค เขาเสพติดความมีอำนาจ จึงทำทุกรูปแบบให้ฝ่ายค้านกลัว ด้วยการกวาดล้างผู้มีปฏิกิริยาเป็นพันๆ คน ฉายวีดีโอแสดงการฆ่าผู้ต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมให้ประชาชนดู ผู้คนจึงกลัวหัวหดไม่กล้าหือ ชุมชนรัฐเกอร์ดิชที่คิดแยกตัวไป ถูกฆ่าด้วยแก๊สพิษตายหลายหมื่นคน ขณะเดียวกันแทบทุกตารางเมตรมีรูปของซัดดัมติดไว้เต็ม เพื่อเผยแพร่วีรกรรมที่ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่เพียงแต่นั้นแม้แต่ในครอบครัวของเขาเอง รานา,ลูกสาว กับกามาล ลูกเขย ทนความร้ายกาจไม่ไหวหนีไปจอร์แดน และเปิดเผยเรื่องอาวุธของพ่อตา เขาก็ทำเป็นไม่ถือสา บอกให้กลับมาบ้านเถิด พ่ออาจผิดเอง แต่พอเครื่องลง ปรากฏว่ากามาลและพี่น้องตายหมู่คาสนามบิน โซเฟีย.มารดาของกามาล ร้องไห้คร่ำครวญว่าเธอไม่ได้เห็นศพลูกเลย ซัดดัมจึงใช้มีดแทงเธอจนตาย อ้างว่าเธอตำหนิเขา รอล์ฟ เอคเคิส หัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติระบุว่า การสร้างศัตรูรอบตัว ทำให้เขาตกอยู่ในโลกแห่งความกลัว จึงมีองครักษ์ถึง ๔๐ คน และมีการสร้างตัวปลอมขึ้นมาหลายคน ต้องจ้างคนชิมอาหารเพราะกลัวถูกวางยาพิษ ย้ายที่นอนทุกคืนและหลับไม่เคยเต็มอิ่มใครก็ตามที่เข้าพบ จะต้องถูกล้างมือฆ่าเชื้อโรค เขาคิดว่าทุกคนมุ่งทำร้ายเพราะได้ค่าหัวจากสหรัฐอเมริกา ชีวิตส่วนตัวใช้ ไวอากร้า มีเมีย ๔ คน คือ ๑. ซาจิดา ๒. ซามีรา , แอร์โฮสเตสสายการบินอิรักกี ๓. เนคฮาล, ดาวเต้น ๔. ไอมาน วัน ๒๗ ที่เพิ่งแต่ง ต่อมามีสาวกรีกชื่อ ปารีซูลา อ้างกับ ABC NEWS ว่าเธอเป็นเมียน้อยของเขา มา ๓๐ กว่าปี เขาตั้งยูเดย์ , ลูกชายคนโต ขึ้นเป็นทายาททางการเมือง ซัดดัมย้อมผมสำดำสนิท (Jet Black ) สูบซิการ์จากคิวบา ดื่ม Johny Walker Blue Label on the Rocks ชอบเพลง Strangers in the night ของแฟรงก์ สินาตรา โปรดปรานหนังสือเรื่อง Godfather เป็นพิเศษ หลังทำสงคราม ๘ ปีกับอิหร่าน เขาหันไปรุกรานคูเวต ชีวิตประจำวันจึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ กลัวถูกทำร้าย คนอิรักเล่าว่าหากทหารอเมริกันบุกเกือบถึงตัว อวสานของเขาก็เหมือนฮิตเลอร์ คือ ตายในบังเกอร์ แต่โดยความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษาประวัติของ ซัดดัม ฮุสเซน อย่างมีใจเป็นกลางแล้วจะเห็นได้ว่า เขาผู้นี้เป็นคนที่มีความสามารถและเป็นวีระบุรุษของชาวอิรักเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่อคราวที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะหาใครสักคนหนึ่งที่จะสร้างสงครามกับอิหร่านให้ได้ เขาผู้นั้นที่ถูกเลือกคือ ซัดดัม ฮุสเซน นั่นเอง ด้วยความต้องการที่จะรักษาอำนาจของตนให้คงทนถาวรตามแบบอย่างของนักปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยข้อเสนอที่จะค้ำบัลลังก์ให้โดยสหรัฐฯ ซึ่งมีข้อแลกเปลี่ยนคือการนำอิรักเข้าทำสงครามกับอิหร่าน ในปี ๒๕๒๓ เมื่อสงครามดำเนินไปจนถึง ปี๒๕๓๑ ปรากฏว่าผู้ที่ขายอาวุธให้ทั้งสองฝ่ายอันเป็นผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจกลายเป็นอดีตสหภาพโซเวียตและจีน สหรัฐฯ ได้ทำเพียงการให้การสนับสนุนอิรักในโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการผลิตอาวุธ จึงทำให้สหรัฐฯ ไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใดจากการสร้างสงครามอิรัก - อิหร่าน ( ช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิรักมากที่สุด ถ้าพูดถึงผู้นำอิรักแล้ว สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับผู้นำอิรักคือ ซัดดัม ฮุสเซน เป็นความต้องการของสหรัฐฯ ที่ต้องการจะสนับสนุนหรือสร้างผู้นำอิรัก เพื่อให้นำกองทัพของอิรักเข้าทำการรบกับอิหร่านซึ่งมีฝ่ายสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุน การจะทำให้ซัดดัมเป็นผู้แทน ในการทำสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างแข็งแกร่งได้นั้น สหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องทุ่มเทงบประมาณ และเจ้าหน้าที่มหาศาลเพื่อช่วยเหลืออิรักหรือซัดดัม ฮุสเซน นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับ ซัดดัม ฮุสเซน เมื่อครั้งสงครามอิรัก-อิหร่าน ) เป็นอันว่า ซัดดัม ฮุสเซน ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสหรัฐฯ อีกต่อไป ( เพราะสงครามอิรัก-อิหร่าน ล้มเหลวในเชิงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ) เมื่อได้ลงทุนสร้าง ซัดดัม ขึ้นมาแล้วประกอบกับสหรัฐฯ มีความต้องการที่จะสร้างสงครามครั้งใหม่ ที่สามารถแก้ปัญหาของตนได้อย่างเบ็ดเสร็จและสามารถที่จะนำสหรัฐอเมริกาผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ ผู้นำของโลกหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง คือ การสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี ๒๕๓๔ ที่ผ่านมาถือว่าการใช้งาน ซัดดัม ฮุสเซน โดยสหรัฐอเมริกาไม่ได้ผลแต่ประการใด การสร้างสงครามอิรัก อิหร่าน ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ บรรลุเป้าหมาย ด้านยุทธศาสตร์และด้านเศรษฐศาสตร์แต่ประการใด ได้เพียงแค่การต่อต้านการขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตเท่านั้น เพราะสหภาพโซเวียตในขณะนั้นให้การสนับสนุนอิหร่าน ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับอิรักโดยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ นั่นคือการได้ทำเพียงแค่สงครามตัวแทนสงครามตัวแทนเท่านั้นเอง ที่มาของสงครามพายุทะเลทราย ๑) ภายหลังจากสงครามอิรัก - อิหร่าน เศรษฐกิจโลกได้ตกต่ำลงอย่างหนักสหรัฐอเมริกา ได้ปิดฐานทัพไปทั้งหมด ๔๐๐ กว่าแห่ง บริษัทต่าง ๆ กว่า ๖ แสนบริษัทได้ปิดตัวลงคนตกงาน จำนวนมหาศาล ต้องมีการเร่งขายอาวุธอย่างหนัก และอาวุธที่เหลือต้องขนไปเก็บไว้ที่เซาท์ ดาโกตา เจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นคือซาอุดิอารเบีย เป็นจำนวนเงิน ๑๗ พันล้านดอลลาร์ ประธานาธิบดี จอร์จ บุช จึงได้ทำหนังสือถึงซัดดัม ฮุดเซน ผ่านฑูตสหรัฐอเมริกา ประจำอิรักให้บุกยึดคูเวต สหรัฐอเมริกาจะสนับสนุน แต่ซัดดัมไม่มีทุนเพราะการทำสงครามต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งอิรักยังบอบช้ำ กับการทำสงครามอิรัก อิหร่านที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกา จึงตกลงจะให้เงินทุนสนับสนุนการทำสงครามในครั้งนี้แก่ ซัดดัม ฮุสเซน เป็นจำนวนเงิน ๓ พันล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งให้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ประกอบระบบอาวุธ จากหลักฐานวีดีโอการสอบสวนประธานาธบดี บุช หลังจากที่ลงตำแหน่งแล้วปรากฏชัดว่า การให้การสนับสนุนของสหรัฐฯ ในเวลานั้นมีทั้งการสนับสนุนด้านการข่าวที่มีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างการเตรียมการทำสงครามบุกยึดคูเวตของอิรัก การให้การสนับสนุนด้านอาวุธ การให้การสนับสนุนด้านโครงการพัฒนาอาวุธอำนาจทำลายล้างสูง และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (โครงการพัฒนาอาวุธมีอำนาจในการทำลายล้างสูง รวมทั้งอาวุธเคมี ที่สหรัฐฯ เป็นผู้ผลักดันให้สหประชาชาติเข้าไปตรวจค้น ในอิรักก่อนที่จะทำสงครามอิรักครั้งที่ ๒ ในปี ๒๕๔๖ ล้วนแต่เป็นอาวุธที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิรักไว้แล้วทั้งสิ้นแต่สหรัฐฯ เพราะมีประเทศมหาอำนาจอื่นยุยงให้อิรักเคลื่อนย้ายออกจากที่ตั้งเดิมที่ซึ่งสหรัฐฯ รู้ตำแหน่งดี ) เป็นหลักฐานสาธารณะ ที่ชี้ชัดว่าสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิรักให้เข้ายึดครองคูเวต ( ซีดี INSIDE INFORMATION ที่ใช้ประกอบการบรรยาย ให้กับนักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหารรุ่นที่ ๔๕ ) การบุกยึดคูเวตของอิรักครั้งนี้สหรัฐฯ ได้แจ้งแก่ซัดดัมว่า หลังจากที่สหรัฐฯ ใช้กำลังเข้าผลักดันกำลังทหารอิรักออกจากคูเวตในสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี ๒๕๓๔ แล้ว สหรัฐฯ จะสั่งถอนทหารก่อนที่จะบุกเข้ายึดกรุงแบกแดดเมืองหลวงของอิรักได้เพื่อที่จะให้ซัดดัมยังคงมีอำนาจอยู่อีกต่อไป ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้ทำตามที่ได้สัญญากับซัดดัมไว้ พอเคลื่อนทัพเข้าใกล้กรุงแบกแดดและสามารถที่จะจับตัวซัดดัมได้ สหรัฐฯ ก็สั่งให้ถอนกำลังออกอย่างไม่มีเหตุผล สร้างความฉงนงงงวยให้กับชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง แต่แท้ที่จริงแล้วสหรัฐฯ ได้ตกลงกับซัดดัมไว้แล้วตั้งแต่ต้นจึงทำเช่นนั้น ผลก็คือ ซัดดัม ก็ยังคงอยู่ในอำนาจในอิรักต่อไป สหรัฐฯ ก็ได้หลายอย่างด้วยกัน ๒. เหตุผลของการสร้างสงครามอ่าว ( ๑๙๙๑ ) คือ ให้ซาอุดิอาระเบียซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาวุธหลายชนิดไม่มีที่เก็บ ทั้งยังเป็นการปลดหนี้และทำให้ทหารมีงานทำคือการที่ ซาอุดิอารเบีย มีความกลัวต่อภัยคุกคามจากอิรักตามที่สหรัฐฯ ได้ใช้สื่อ CNN ประโคมข่าวถึงความน่าสะพรึงกลัวของอิรัก ซาอุดิอารเบียจึงได้ทุ่มซื้ออาวุธจำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกา และอนุญาตให้สหรัฐอเมริกาตั้งฐานทัพในประเทศตนได้ และรัฐบาลของซาอุดิอารเบียคาดว่าค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่ในที่สุด ซาอุดิอารเบีย ต้องกลายไปเป็นลูกหนี้ทางการเงิน อันเป็นผลมาจากการซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนเงินถึง ๙ พันล้านดอลลาร์ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมายมหาศาล ตั้งแต่การฝึกสอน ค่าอะไหล่ ค่าบำรุงรักษา รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อีกมากมายจากการซื้ออาวุธ ของสหรัฐอเมริกา และเป็นผลให้สหรัฐอเมริกา สามารถควบคุมประเทศที่ผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลกได้ ประเทศตะวันตก สามารถแทรกเข้าอาหรับได้ ซึ่งแต่เดิมประเทศตะวันตกแทรกเข้าอาหรับได้ยากมาก และยังทำให้อาหรับแตกแยก และซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา การซื้ออาวุธนั้น ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ใช้การร่วมหุ้นในบริษัทผลิตน้ำมันของอาหรับ เช่น บริษัทน้ำมันคาลเท็กซ์ของสหรัฐอเมริกา เอสโซ่ของอังกฤษ เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทน้ำมันในอาหรับประมาณ ๙ ใน ๑๐ เป็นของอเมริกันและอังกฤษ การเคลื่อนไหวขึ้นราคาน้ำมัน ผู้ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงคือสหรัฐอเมริกาและอังกฤษและที่สำคัญที่สหรัฐฯ ได้รับคือการสามารถสร้างเกียรติภูมิทางด้านการเมืองและด้านการทหารให้กับตนเองอันจะกลับมาเป็นมหาอำนาจ หนึ่งเดียวของโลกได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เกียรติภูมิด้านการทหารและด้านการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ได้สูญสิ้นไปเมื่อต้องพ่ายแพ้สงครามเวียดนามอย่างย่อยยับและหลังจากนั้นมาสหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีการชัยชนะในสงครามใด ๆ อันจะสามารถกอบกู้เกียรติภูมิด้านการทหารของตนได้เลย ธุรกิจด้านการขายอาวุธก็ซบเซา เสียงของสหรัฐฯ ในประชาคมโลกก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ ผลของการสร้างสงครามครั้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกากอบกู้ศักดิ์ศรีของตน ขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ สามารถยึดครองภูมิภาคอันเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลก คืออิรักและตะวันออกกลางได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยการยืมซากของผู้ที่เสมือนว่าตายไปแล้วคือ ซัดดัม ฮุสเซน ที่เสมือนว่า ไม่มีประโยชน์อะไรต่อสหรัฐฯ ให้คืนชีพขึ้นมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ ในการสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซีย เมื่อปี ๒๕๓๔ อีกครั้งหนึ่ง กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า ยืมซากคืนชีพหมายถึง ใช้สิ่งที่ใช้ไม่ได้แล้วในทางเป็นจริง หรือฉวยโอกาสทุกอย่างเท่าที่จะสามารถจักหยิบฉวยได้ ให้เป็นประโยชน์ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายบางประการของตน ให้รอดพ้นจากความหายนะ เพื่อที่จะได้ยืนผงาดขึ้นมาใหม่ในวันหน้า หรือไม่วันใดก็วันหนึ่ง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๕ ล่อเสือออกจากถ้ำ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 12:13:45 PM กลยุทธ์ที่ ๑๕ ล่อเสือออกจากถ้ำ
รอฟ้าให้ลำบาก ใช้คนให้ล่อหลอก ไปยากก็ลวงให้มา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลอันเป็นเงื่อนไขตามธรรมชาติ เช่น หนาว ร้อน ฝน แจ้ง เป็นต้น ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างและเพิ่มความยากลำบากให้กับข้าศึก ในขณะเดียวกันก็ใช้ภาพลวงที่เราจงใจสร้างขึ้น ล่อให้ข้าศึกออกจากแนวป้องกัน หลังจากนั้นก็โจมตีหรือทำลายเสีย ไปอยากก็ลวงให้มา คำนี้มาจาก คัมภีร์อี้จิง ยาก ความว่า ยาก คือยากลำบาก อันตรายอยู่ ณ เบื้องหน้า เห็นภัยก็หยุด นับได้ว่ารู้ มา มีความหมายว่าเคลื่อนย้ายข้าศึกหรือให้ข้าศึกเคลื่อนที่ ในขณะที่สองทัพประจันหน้ากัน จักรุกเข้าตีข้าศึกที่มีการเตรียมพร้อมก็ให้ลำบากนัก การที่จะเข้าตีจุดแข็งของข้าศึก มิใช่แต่จะชนะได้โดยยาก ซ้ำยังจะเป็นอันตรายแก่ตนอีกด้วย ล่อเสือออกจากถ้ำ ก็คือกลอุบายที่ล่อหลอกข้าศึกให้ออกมาจากที่ตั้งอันแข็งแกร่ง แล้วโจมตีทำลายเสียอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ กรณีการใช้เครื่องบิน EP-3 เพื่อทดสอบระบบการตัดสินใจทางทหารของจีน ก่อนจะเริ่มดำเนินการตามแผนการสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ของสหรัฐฯ เครื่องบิน EP-3 ของสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องบิน การทดสอบศักยภาพการป้องกันภัยทางอากาศของจีน ( สายงานข่าว ปักกิ่ง ) ภายหลังจากการทดสอบปฏิกิริยาโดย CIA จัดตั้งในไทเป เพื่อเรียกร้องให้ไต้หวันประกาศเอกราชจากจีน เพื่อดูผลทางการเมืองและเพื่อเป็นการทดสอบกระบวนการตัดสินใจทางทหารของจีน เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๔ เครื่องบินจารกรรม EP 3 ของสหรัฐฯ http://www.aerospaceweb.org/aircraft/maritime/p3/ ถูกส่งเข้าสู่น่านฟ้าของจีนและได้ถูกกองทัพอากาศจีนส่งเครื่องบินรบขับไล่ขึ้นสกัด จนถูกเครื่องบินจารกรรม EP 3 ยิงตก ทำให้นักบิน ( นายหวังเหม่ย ) ของจีนเสียชีวิต ส่วนเครื่องบินจารกรรม EP 3 ได้รับวิทยุจากหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของจีน บังคับให้ลงจอด มิฉะนั้นหน่วยป้องกันภัยจะยิงขีปนาวุธพื้นดินสู่อากาศเพื่อทำลายเครื่องบินจารกรรม EP 3 นักบินสหรัฐฯ จึงนำเครื่องบินลงจอดที่เกาะไหหลำของจีน การทดสอบระบบเตือนภัยคุกคามทางอากาศของเครื่องบินจารกรรม EP 3 ครั้งนี้เพื่อตรวจวัดระดับการตรวจจับระบบรายงานข้อมูล ( Process ) ของระบบสั่งการว่ากระบวนการนั้นใช้เวลาประมาณเท่าใด เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวส่งตรงไปยังฝ่ายวางแผนยุทธการ คำนวณระยะเวลาของการสั่งการของจีนในด้านยุทธวิธีซึ่งสหรัฐฯ ตระหนักดีว่าถ้าจีนจะตัดสินใจใช้กำลังทหารในการแก้ปัญหาใด ๆ จะให้เวลาเท่าใด เพื่อที่สหรัฐฯ จะได้เตรียมการตอบโต้การปฏิบัติการทางทหารจากการสั่งการโดยกระบวนการแสวงข้อตกลงใจ ทางทหารแล้วสั่งการไปยังหน่วยปฏิบัติ โดยความเป็นจริงเครื่องบินจารกรรม EP 3 เป็นเครื่องบินจารกรรมที่มีเทคโนโลยี สูงที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นเสมือนฐานปฏิบัติการลอยฟ้าที่นอกจากจะสามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสูงภายใน เพื่อการตรวจจับการเคลื่อนไหวที่สำคัญทางทหารของจีนและรัสเซียได้แล้ว EP 3 ยังมีเครื่องมือที่สามารถรับสัญญาณ การรายงานข้อมูลต่าง ๆ จากดาวเทียมได้ด้วย จึงทำให้การทำหน้าที่เป็นเครื่องบินจารกรรมที่สมบูรณ์แบบ และสามารถที่จะล่วงรู้ข้อมูลลึก ๆ เกี่ยวกับความลับของจีนได้เป็นจำนวนมาก การปฏิบัติภารกิจของเครื่องบินชนิดนี้ จะบินในระยะความสูงที่สูงมาก สูงกว่าอากาศยานรบใด ๆ ที่เคยมีมาจึงทำให้การตรวจจับด้วยเรดาร์ของจีนไม่อาจที่จะตรวจพบได้ โดยทั่วไปแล้วถ้าเป็นการปฏิบัติภารกิจที่เป็นปกติเครื่องบินชนิดนี้จะบรรจุลูกเรือได้ประมาณ ๑๖๒ นาย พร้อมกับเครื่องมือ ในการจารกรรมเต็มอัตรา เครื่องบินชนิดนี้จะได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในการสอดส่องดูแลการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ๆ ของจีน เช่น การเคลื่อนไหวทางทหาร การเคลื่อนย้ายกำลังทหาร การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตยุทโธปกรณ์ด้านการทหาร การร่วมมือระหว่างจีนกับรัสเซียด้านต่าง ๆ เป็นต้น ด้วยภารกิจดังกล่าวทำให้เครื่องบินนี้ได้ถูกสั่งให้เข้าประจำการอยู่ที่ ฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งที่มีที่ตั้งอยู่ที่โอกินาวา และเครื่องบินชนิดนี้มีเพียง ๗ เครื่องเท่านั้น ฉะนั้นเส้นทางการบินจึงวนเวียน อยู่เหนือน่านฟ้าของจีนแผ่นดินใหญ่ บริเวณช่องแคบไต้หวัน และบางครั้งเลยไปถึงเขตติดต่อระหว่างจีนกับรัสเซียด้วย ด้วยระยะความสูงบินที่สูงมากทำให้จีนไม่สามารถที่จะตรวจจับได้ แต่เมื่อมีโครงการร่วมมือด้านการทหารระหว่างจีนกับรัสเซีย เครื่องมือเทคโนโลยีสูงของรัสเซียทำให้จีนสามารถตรวจจับเครื่องบินดังกล่าวของสหรัฐฯ ได้แต่ไม่อาจที่จะทำประการใดได้ อันเป็นหนามยอกอกของจีนอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้การปฏิบัติการตามแผนได้อย่างสมจริง ก่อนที่จะปล่อยให้จีนจับเครื่องบินนี้ ได้อีกครั้งหนึ่งนั้น สหรัฐฯ ได้ถอดเครื่องมือเทคโนโลยีสูงออกทั้งหมด และมีลูกเรือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่บินมาปฏิบัติภารกิจ เพื่อให้จีนจับได้ครั้งนี้ ทำให้เมื่อจีนจับได้และบังคับให้เครื่องบิน EP-3 ดังกล่าวลงจอดที่เกาไหหนานได้สำเร็จ จีนมีความหวังว่า จะสามารถที่จะได้ข้อมูลเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ แต่ก็คว้านำเหลว จีนได้เพียงสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการให้จีนรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเครื่องมือพิเศษแต่อย่างใด ( ตามที่ปรากฏตามข่าวสาธารณะ) การทดสอบการตัดสินใจตอบโต้ทางการทหารของจีน ทันทีที่มีการเสนอข่าวว่าเครื่องบินของสหรัฐฯ ถูกบังคับให้ลงจอดในดินแดนของจีนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการ และแข็งกร้าวต่อจีน ตัดสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ก็กล่าวต่อประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่องอย่างแข็งกร้าวต่อจีนเช่นเดียวกัน และพร้อมที่จะดำเนินการ อย่างใดอย่างหนึ่งที่รุนแรงหากจีนไม่ยอมคืนเครื่องบินจารกรรม EP 3 ให้กับสหรัฐฯ ตามคำร้องขอ ถึงแม้ว่าเครื่องบินสหรัฐ ฯ จะละเมิดอธิปไตยของจีนก็ตาม - การยอมอ่อนข้อของจีนในกรณีแถลงยอมคืนเครื่องบิน EP 3 ( สายงานข่าว ปักกิ่ง ) ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๔ นาย ซุน ยู ฉี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงว่า จีนไม่เคยพูดว่าจะไม่ยอมส่งเครื่องบินจารกรรม EP 3 คืนให้กับสหรัฐฯ ขณะนี้เราและสหรัฐฯ กำลังทำความตกลงกันในเงื่อนไขของการขนย้าย ภายหลังจากจีนได้แถลงแล้ว ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ออกมาแถลงตอบจีนว่า กรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการและแข็งกร้าว ตัดสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ข้อความดังกล่าวนั้นเป็นข้อความผิดพลาด เกิดจากพนักงานพิมพ์ ที่พิมพ์ข้อความผิด การแถลงดังกล่าวส่งสัญญาณที่สามารถอ่านได้ว่า จีนไม่กล้าแม้กระทั่งแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ละเมิดอธิปไตยทางทหาร ดังเช่นกรณีเครื่องบินสอดแนมที่เป็นหลักฐานต่อชาวโลกนี้ แสดงความแข็งกร้าวเพราะ จีนตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบทางสังคมโลก คือ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า จีนจะต้องสงวนท่าทีและปิดกั้นการกระทำของตนเอง ในด้าน ๑) จีนอยู่ในภาวะที่จะต้องทำตนให้ผ่านคุณสมบัติการเป็นสมาชิก WTO ๒) จีน อยู่ในภาวะที่ต้องสร้างภาพพจน์ที่ดีเพื่อสนองต่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จึงต้องทำทุกอย่างให้สงบ ไม่อาจใช้กำลังหรือการต่อต้านทางทหาร จากการทดสอบดังกล่าวสรุปได้ว่าในระยะช่วงก่อนโอลิมปิก และก่อนที่จีนจะได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ แม้ว่าจะได้เป็นสมาชิก WTO ก่อนหน้าหรือหลังนี้ จีนจะไม่ปฏิบัติการในการตอบโต้ทางทหารหรือ แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐอเมริกาไม่ว่ากรณีใด ๆ จากการทดสอบครั้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาทราบว่าถ้าจีนจะยังไม่ตอบโต้ในสิ่งที่รุนแรงหรือการตอบโต้ โดยใช้กำลังทหารแต่อย่างใด จึงทำให้สหรัฐฯ เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเมื่อตนเริ่มปฏิบัติการตามแผน การถล่มเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ที่จะถึงโดยใช้ชื่อของ บิน ลาเดน แล้ว หลังจากที่เปิดการโจมตีฐานที่มั่นของ บิน ลาเดน ที่อัฟกานิสถานแล้วจะใช้ข้ออ้างต่อไปว่าไม่สามารถจับกุม บิน ลาเดน ได้และบิน ลาเดน พร้อมกับเครือข่ายผู้ก่อการร้ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถล่ม เวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ของเขา ได้หลบหนีเข้าไปยังดินแดนของจีน ดังคำกล่าวที่ว่า Xinjiang Province of Chinas mainland is the best and the most safety place for Osama Bin Laden to hide because there are the Muslim minoritys homeland .. . We must not stop the war on terrorism , we dont know when the war would be stopped , well go to anywhere to every countries which we believe that there are hidden places for the terror or the terror networks according to our own evidences. This is the 21st Crusade War and this is the true Liberal War แล้วในที่สุดสหรัฐฯ จะส่งกำลังของตนพร้อมกับสร้างการก่อการร้ายขึ้นที่มณฑลซินเกียงของจีนและจะมีเป้าหมาย ในการแบ่งแยกดินแดนมณฑลซินเกียงของจีนออกเป็นรัฐอิสระ ซึ่งเดิมมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจีนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ก็ยังมีการเคลื่อนไหวเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าได้รับการสนับสนุนด้านการก่อการร้ายจากสหรัฐฯ ก็จะทำให้เงื่อนไข การแบ่งแยกดินแดนใกล้ความจริงได้มากยิ่งขึ้น และเมื่อสามารถแบ่งแยกมณฑลซินเกียงของจีนออกเป็นรัฐอิสระได้ จะทำให้รัฐอื่น ๆ มีแนวทางในการแยกตัวเป็นอิสระตามแบบอย่างของมณฑลซินเกียงได้ แล้วเมื่อนั้นก็เท่ากับว่า สามารถที่จะย่อยสลายจีนได้ จีนจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป กลยุทธ์นี้จึงมีชื่อว่า ล่อเสือออกจากถ้ำ คือเป็นการล่อหลอกให้จีนออกมาแสดงท่าทีของตนเองต่อเหตุการณ์ใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การปฏิบัติตามกระบวนการตัดสินใจทางทหาร ที่จะใช้กำลังทหารถ้าเมื่อจีนจำเป็นที่จะต้อง ใช้กำลังทหารแก้ไขปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ได้ทดสอบปฏิกิริยาต่อสถานการณ์เรื่อง EP-3 ถ้าในอนาคตเมื่อสหรัฐฯ ใช้กำลังบางส่วนบุกเข้าไปยัง ซินเกียงของจีน จีนจะโต้ตอบด้วยการใช้กำลังทหารอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร มีความรวดเร็วมากน้อยเพียงใด เมื่อสหรัฐฯ ได้ประจักษ์แล้วทำให้สหรัฐฯ สามารถที่จะกำหนดแนวทางในการดำเนินการ ด้านการสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ได้อย่างสมบูรณ์และได้ผลมาจนเท่าทุกวันนี้ ( ๒๑ เม.ย.๔๗ ) หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 12:36:15 PM ขอบคุณครับ แนะนำที่ขายหนังสือดีกว่าครับ :) อ่านซ้ำๆได้ไม่ปวดตา เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ค่อยๆคิดหนะครับ ;) หนังสือเดิมชื่อ 36 กลยุทธ์ สับประยุทธ์ทุกปริมณฑน(อาจตก ๆ หล่นไปบ้างในชื่อเรื่องนะพี่) ข่าวดีคือ ผมมีหนังสือเล่มนี้ ข่าวร้ายคือ ถ้าเป็นของท่าน พันเอกโสภณ ศิริงาม อันนี้ผมไม่มีครับ ถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อ ๆ กลยุทธ์เดิม + บทสรุปของกลยุทธ์ว่าคืออะไร และมีตัวอย่างแบบโบราณสมัยก่อนนิดหน่อย ก็ยื่มได้ครับพี่ แต่ถ้าพี่หาเล่มของ พันเอกโสภณ ศิริงาม ผมก็ขอยืมจากพี่ละกัน ;D๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ ;Dเยี่ยมครับพี่ บทวิเคราะห์ตัวอย่างสมัยใหม่ แบบนี้คนอ่านรุ่นใหม่ก็พอนึกภาพตามออก......ถ้ามีลิ๊งให้ไปดูดละเยี่ยมเลยครับ...อ๋อใน 36 กลยุทธ์นี่ ผมชอบกลยุทธ์สุดท้ายครับ คือ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์" เพราะหากคนเรารู้จักประมาณตนไม่ดื้อดึง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ ยอมถอยออก เพื่อตั้งหลัก ก็ย่อมมีโอกาศแก้ตัวได้ใช้กลยุทธ์ที่เหลืออีก 35 กลยุทธ์ได้ในภายภาคหน้า ;Dสำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดย พันเอกโสภณ ศิริงาม ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๖ แสร้งปล่อยเพื่อจับ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 12:40:29 PM กลยุทธ์ที่ ๑๖ แสร้งปล่อยเพื่อจับ
เค้นกลับสู้ ปล่อยกลับคลาย ตามแต่อย่าประชิด ให้เหนื่อยในกายให้หน่ายในใจ แตกแล้วจึงจับ ไพร่พลมิหลั่งเลือด รอ ฟักตัว สว่าง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ถ้าบีบคั้นจนเกินไปนัก สุนัขก็จักสู้อย่างจนตรอกปล่อยข้าศึกหนี ก็จักทำลายความเหิมเกริมของข้าศึกลงได้ ทว่าต้องไล่ตามอย่าละ เพื่อบั่นทอนกำลังของข้าศึก ให้กะปลกกะเปลี้ย ครั้นเมื่อสิ้นเรี่ยวแรงใจก็มิคิดต่อสู้ด้วยแล้ว จึงจับ อันเป็นการรบที่ไม่เลียเลือดเนื้อ อีกทั้งทำให้ข้าศึกแตกสลายไปเอง รอ ฟักตัว สว่าง มีอยู่ใน คัมภีร์อี้จิง รอ รอ หมายถึงการรอคอยอย่างอดทน ฟักตัว ก็คือไก่ฟักไข่จนเป็นลูกไก่ หมายถึง ได้ ส่วน สว่าง ก็คือแสงสว่าง หมายถึง ชัยชนะ ความหมายของกลยุทธ์นี้ทั้งคำก็คือ เมื่อสองทัพประจันหน้ากัน จักต้องใช้ความอดทนรอคอย ใช้วิธีการอันแยบยล ให้ข้าศึกมาสวามิภักดิ์ด้วยใจ นี่ก็คือกลอุบายปล่อยป่านยาวตกปลาตัวโตอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ใน คัมภีร์เหลาจื่อ บทต้น บรรยายไว้ว่า เมื่อจักเอาจะต้องให้ ในบันทึก ไท่ผิงเทียนกว๋อ อักษรศาสตร์ ก็มีอธิบายไว้ว่า เมื่อจักจับให้ปล่อย เมื่อจักเร็วให้ช้า รอเมื่อหย่อนยานจึงตี มิมีที่ไม่ชนะ ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ การรบในสมัยสามก๊กของจีนที่ขงเบ้งรบกับเบ้งเฮ็ก ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้ ในสมัยสามก๊ก (ค.ศ.๒๒๐-๒๘๐) ขงเบ้ง (ข่งเหมิงในภาษาจีนกลาง ชื่อ จริง จูเก้อเลี่ยง ขงเบ้งนั้น เป็นสมญา ค.ศ.๑๘๑-๒๓๔) ช่วยเล่าปี่จนได้ครองเสฉวนตะวันตก ก่อตั้งเป็นราชวงศ์ฮั่นแห่งรัฐจ๊ก (สู่ ในภาษาจีนกลาง เป็นชื่อย่อของเฉสวน) ต่อมาเล่าปี่ยกทัพไปรบกับซุนกวน ณ เมืองเป็กเต้ (บนเขาไป่ตี้ซาน อำเภอฝังเจี๋ยในมณฑลเฉสวนปัจจุบัน) พ่ายแพ้บาดเจ็บสาหัสกลับมา ก่อนตายก็มอบอาเต๊า-เล่าเสี้ยน ให้ขงเบ้งทำนุบำรุงสืบไป ขงเบ้งทำตามคำสัตย์ที่ให้ไว้แก่เล่าปี่ ยกย่องเล่าเสี้ยนขึ้นเป็นฮ่องเต้ พร้อมกับเตรียมสยบโจโฉทางภาคเหนือ เพื่อขยายอาณาเขตราชวงศ์ฮั่น แห่งรัฐจ๊กออกไป แต่ทางใต้ของรัฐฮั่น เป็นถิ่นบ้านของฮวนเผ่าต่าง ๆ มากมาย ขณะที่ขงเบ้งเตรียมกรีฑาทัพ ขึ้นเหนือในปีที่ ๓ แห่งรัชสมัยของพระเจ้าเล่าเสี้ยนเบ้งเฮ็กหัวหน้าฮวนเผ่าฮี๋ ก็นำไพร่พล ๑๐ หมื่นรังควานอยู่ ตามชายแดนของรัฐฮั่น ตีเอาเกียมเหลง โคกุ้น อวดจุ้น ๓ เมืองไปครอง ครั้งแล้วก็เข้าโอบล้อมเมืองเองเฉียง อ้องค้างเจ้าเมืองเองเฉียงระดมราษฎรรักษาเมืองไว้อย่างแข็งขัน พร้อมกับส่งข่าวไปขอความช่วยเหลือ ยังเมืองหลวงเซงโต๋แห่งราชวงศ์ฮั่น ขงเบ้งได้ข่าวดังนั้นก็ให้นึกวิตก คิดว่าหากไม่ปราบภาคใต้ให้ราบคาบเสียก่อนจนมิเป็นภัยต่อไปแล้ว ก็ยากที่จะรบกับโจโฉทางเหนือได้ ด้วยต้องทำศึกสองด้าน อันมิต้องด้วยกลศึก จึงตกลงใจนำทัพไป ปราบเบ้งเฮ็กด้วยตนเอง ครั้นแจ้งให้เล่าเสี้ยนทราบ และจัดปัองกันโจโฉทางเหนือ ป้องกันซุนกวนทางตะวันออก จนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็นำกำลัง ๕๐ หมื่น ให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนเป็นทัพหน้ายกลงใต้ไป เบ้งเฮ็กเมื่อได้เมืองต่าง ๆ ไปครองแล้วก็ตั้งตัวเป็น หม่านอ๋อง รวบรวมพวกหัวหน้าเผ่าฮวนอื่นๆ และไพร่พลมาสมทบด้วย ขงเบ้งนำทัพมาถึงริมแม่น้ำลกซุย แม้จะมีหัวหน้าเผ่าฮวนมาสวามิภักดิ์บ้างก็ตาม แต่อิทธิพลของเบ้งเฮ็กก็กล้าแข็งนัก ยังสามารถรวบรวมกำลังส่วนใหญ่ไว้ได้ ถ้าแม้นจะปราบเผ่าฮวนทางใต้ ก็จักต้องสยบเบ้งเฮ็กเสียก่อนเป็นปฐม ขงเบ้งจึงคิดว่า จักต้องหาทางจับเบ้งเฮ็กเป็น ๆ ให้สวามิภักดิ์ด้วยใจ ถ้าทำได้เช่นนั้นมิใช่แต่จะหมดวิตก ทางใต้ของฮั่นเท่านั้น ยังอาจจะได้รับการสนับสนุนทั้งกำลังคนและเสบียงอาหารจากเผ่าฮวนทางใต้อีกด้วย ขงเบ้งจึงสั่งความอย่างเข้มงวดแก่ไพร่พลทั้งหลายมิให้ข่มเหงน้ำใจรังแกหรือฆ่าฟันราษฎรเผ่าฮวนเป็นอันขาด แต่ให้เอาชนะด้วยความเมตตา ดังนั้นเผ่าฮวนหลายเผ่าจึงมีใจเอนเอียงมาทางขงเบ้ง ทัพฮั่นของขงเบ้ง จึงมีคนท้องถิ่นนำทางช่วยเหลือและคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทัพหลวงของขงเบ้งใกล้จะมาถึง เบ้งเฮ็กก็ระดมกำลังเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อขงเบ้งปลงทัพลง ณ ริมฝั่งน้ำ ก็ให้หาตัวคนท้องถิ่นมาซักถาม ก็ได้ความว่าทัพของเบ้งเฮ็กนั้นมิได้ก่อตั้งขึ้นเป็นกองทัพอย่างแน่นอน เมื่อจะรบก็เรียกกันเข้ามาสมทบ เมื่อว่างต่างก็แยกย้ายกันไป บัดนี้เพื่อที่จะรบกับขงเบ้ง ก็รวบรวมไพร่พล ได้ถึง ๑๐ หมื่นแล้ว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้อองเป๋ง กวนสก เตียวหงี เตียวเอ๊ก ๔ ขุนพลนำกำลังออกไป รักษาเส้นทางสำคัญเอาไว้ ให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนซุ่มกำลังรอฟังคำสั่ง แล้วให้กวนสกเป็นคนไปล่อเบ้งเฮ็ก ให้ออกมารบด้วย เบ้งเฮ็กดูหมิ่นกวนสก รบได้ไม่กี่เพลง กวนสกหนี เบ้งเฮ็กก็ไล่ตามจนถลำลึกเข้าไปในหุบเขา อองเป๋ง เตียวหงี และเตียวเอ๊กก็นำทัพออกสกัดพร้อมกัน ทั้งกวนสก ก็หยุดปิดล้อมหมดทุกทาง จึงทิ้งม้าปืนเขาหนี แต่ก็ถูกอุยเอี๋ยน สกัดไว้อีก อุยเอี๋ยนสั่งไพร่พล ๕๐๐ ล้อมเบ้งเฮ็กไว้อย่งแน่นหนา เบ้งเฮ็กรบจนหมดแรง จึงถูกอุยเอี๋ยนจับได้ เมื่ออุยเอี๋ยนและพวกขุนพลทั้งหลายนำตัวเบ้งเฮ็กเข้ามาอยู่ต่อหน้าขงเบ้งเบ้งเฮ็กก็ตะโกนใส่หน้าขงเบ้งว่า เราไม่ยอมแพ้ ที่เราถูกจับหาใช่เพราะเราสู้ไม่ได้ หากแต่เพราะพวกท่านใช้เล่ห์กลลวงเราเข้าหุบเขา แล้วรุมล้อมเราอย่างหมาหมู่ ถ้าแน่จริง ก็จงปล่อยเราไป เราจะนำทหารมารบกับท่านใหม่ ขงเบ้งจึงว่า เมื่อท่านไม่ยอมแพ้ก็เอาเถิด เราจะปล่อยท่านไป รอท่านมารบกันใหม่ ครั้งแล้วก็สั่งให้คืน อาวุธยุทโธปกรณ์และไพร่พลที่จับได้ ให้แก่เบ้เฮ็กไปจนหมดสิ้น ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กไป พวกขุนพลของฮั่นให้รู้สึกกังขายิ่งนัก จึงตั้งข้อสงสัยว่า คำโบราณกล่าวไว้ ปล่อยเสือเข้าป่า ภัยจะมาไม่สิ้นสุด เมื่อหม่านอ๋องถูกจับแล้ว เหตุไฉนท่านกลับมาปล่อยไปเสียเล่า ที่เรารบกันมามิเสียแรงเปล่าหรือ? ท่านคิดดีแล้วหรืออย่างไร? ขงเบ้งจึงตอบว่า หม่านอ๋องเป็นเสือจริงๆ แต่ถ้าบีบคั้นเขาเกินไปนักเสือก็จักสู้ตายแล้ว เราก็จะปราบภาคใต้ให้สงบกระไรได้? ปราบเสือเยี่ยงเบ้งเฮ็กนี้ จะต้องปราบทั้งกายและใจ จึงจะขจัดภัยได้ตลอดไปในวันหน้า แต่พวกขุนพลทั้งหลายก็ยังมิใคร่จะเชื่อนัก เบ้งเฮ็กเมื่อกลับไปแล้ว ก็รวบรวมไพร่พลขึ้นมาใหม่ รักษาฝั่งใต้ของแม่น้ำลกซุยไว้อย่างกวดขัน ทั้งให้ลากเรือทุกลำไปไว้ทางฝั่งใต้จนหมด แม่น้ำลกซุยมีตลิ่งสูงชัน น้ำก็ลึก เชี่ยวกราก และเย็นเยือก เบ้งเฮ็กเข้าใจว่าขงเบ้งคงจะไม่มีทางข้าวฝากมาได้แน่ แต่ขงเบ้งก็หาตัวคนท้องถิ่นมาถามเอาความจนได้ ครั้นแล้วก็ให้ม้าต้ายนำกำลังลอบเข้าฟากทางตอนล่างของแม่น้ำนั้นไปบุกเข้ายึดคลังเสบียงของเบ้งเฮ็กอย่างฉับพลัน เบ้งเฮ็กโกรธจัด จะลงโทษไพร่พลที่ดูแลคลังเสบียงแต่ไพร่พลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเชลยที่ถูกขงเบ้งปล่อยกลับมา ต่างจึงไม่พอใจโอกาสที่เบ้งเฮ็กมิทันระวังตัว รุมกันจับเบ้งเฮ็กมัดไว้อย่างแน่นหนา แล้วนำตัวมามอบให้กับขงเบ้ง เบ้งเฮ็กจึงถูกจับอีกเป็นครั้งที่ ๒ แต่ในคราวนี้เป็นเพราะความแตกร้าวภายในกองทัพของเบ้งเฮ็กเอง ขงเบ้งจึงถามเบ้งเฮ็กว่า ท่านถูกเราจับอีกครั้งหนึ่งแล้ว ท่านจะยอมแพ้แก่เราหรือหาไม่? เบ้งเฮ็กตอบว่า ที่เราถูกจับคราวนี้เพราะคนของเราเป็นหนอนบ่อนไส้ หาใช่เพราะรบแพ้ท่านไม่ จะให้ยอมแพ้แก่ท่านกระไรได้? ขงเบ้งจึงปล่อยเบ้งเฮ็กอีก พร้อมทั้งให้จัดสุราอาหารมาเลี้ยง ครั้นแล้วก็ให้ทหารพาเบ้งเฮ็กไปชมค่ายของฝ่ายตน รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยเบ้งเฮ็กดูแล้วก็กล่าวแก่ขงเบ้งว่า เรารู้ตื้นลึกหนาบางของทัพท่านแล้ว คราวหน้าถ้ารบกัน ท่านเห็นทีจะต้องพ่ายแพ้แก่เราเป็นแน่ ขงเบ้งจึงตอบว่า ดีแล้วท่านจงกลับไปเตรียมให้พร้อมเถิด เราจะคอยรับมือท่าน เมื่อเบ้งเฮ็กกลับไป ก็ยังคิดแคว้นเคืองม้าต้ายอยู่ เพราะเป็นผู้มาแย่งเสบียงอาหารของตนไปหมด จึงพยายามควานหาม้าต่ายเพื่อรบแก้แค้นด้วยแต่ม้าต่ายก็หลบหน้าเสียมิยอมออกรบ เบ้งเฮ็กจึงใช้กลอุบาย แสร้งทำเป็นส่งสุราอาหารของเผ่าชนอี๋ไปเลี้ยงทดแทนบุญคุณที่ขงเบ้งปล่อยตนให้เป็นอิสระ เพื่อจะหาทางเข้าไป ในค่ายฝ่ายฮั่น เมื่อสบโอกาสก็จะจับพวกขุนพลฮั่นฆ่าเสีย แต่อุบายนี้ตื้นเขินนัก ขงเบ้งให้นึกหัวเราะอยู่ในใจ จึงใช้อุบายซ้อนอุบายอีกชั้นหนึ่ง เอาสุราอาหารที่ทหารเผ่าชนอี้นำมา จัดเลี้ยงมอมเหล้าทหารเบ้งเฮ็ก จนเมามายกันไปทุกคน แล้วให้ทหารฝ่ายตนแต่งกายปลอมเป็นทหารของหม่านอ๋อง กลับไปแจ้งแก่หม่านอ๋อง เบ้งเฮ็กว่าอุบายสำเร็จแล้ว ให้หม่านอ๋องรบเข้าค่ายฝ่ายฮั่นไปจัดการตามความประสงค์โดยเร็ว เบ้งเฮ็กสำคัญว่าจริงให้ดีใจยิ่งนัก รีบเข้าค่ายฮั่นไปมิรอช้า ครั้นถึงกลับเห็นแต่ไพร่พลของตนนอนสลบไสล ไม่ได้สติกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น เบ้งเฮ็กเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยหนี แต่พอมาถึงท่าข้าม ก็ถูกม้าต้ายล้อมจับตัวได้ เมื่อนำตัวมาอยู่ต่อหน้าขงเบ้ง ขงเบ้งจึงถามว่า ท่านจะยอมแพ้แก่เราหรือยัง? เบ้งเฮ็กให้แค้นใจนักที่เสียรู้ขงเบ้งอีก ตอบว่า เราหายอมไม่ เราถูกจับเพราะหลงด้วยกลของท่าน หาใช่เพราะการสู้รบกันไม่ ท่านอย่าได้หวังเลย ขงเบ้งจึงกล่าวว่า เอาเถิด เมื่อท่านไม่ยอมก็แล้วไป เราจะปล่อยท่านกลับไปอีกครั้งหนึ่ง เบ้งเฮ็กจึงได้รับอิสระเป็นครั้งที่ ๓ เบ้งเฮ็กกลับไปถึงแม่น้ำเซียงหยี ยืมทหารเผ่าฮวนต่าง ๆ ที่เป็นมิตรได้อีกหลายหมื่นคน ก็มาท้ารบด้วยขงเบ้งอีก ขงเบ้งจึงใช้อุบาย ถอยเพื่อรุก เมื่อเบ้งเฮ็กมาท้ารบก็ให้สงบอยู่ในค่าย ค่อนคืนก็ถอนทัพหนีไปเงียบๆ ทิ้งเสบียงอาหารรถราไว้มากมาย เบ้งเฮ็กเข้าใจว่า ในราชสำนักฮั่นคงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเป็นแน่ มิฉะนั้นไฉนเลยขงเบ้งจึงได้ถอยทัพไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่ตนจะซ้ำเติมขงเบ้งเสียให้สมแค้น ในตอนกลางคืนเบ้งเฮ็กจึงนำทหารข้ามแม่น้ำเซียงหยีมาหมายจะลอบเข้าตีค่ายของขงเบ้ง ครั้นขึ้นฝั่ง กลับได้ข่าวจูล่งนำกำลังตลบหลังไปตียึดค่ายของตนเอาไว้ได้ ก็รีบข้ามฝั่งกลับหวังจะตีเอาค่ายของตนคืน แต่พอก้าวขึ้นฝั่งก็ถูกม้าต้ายกับจูล่งล้อมไว้ ต้อนจนเบ้งเฮ็กตกไปในหลุมพรางที่ขุดดักไว้ แต่พอก้าวขึ้นฝั่งก็ถูกม้าต่ายกับจูล่งล้อมไว้ ต้อนตนเบ้งเฮ็กตกไปในหลุมพรางที่ขุดดักไว้ เบ้งเฮ็กจึงถูกจับอีก เมื่อเผชิญหน้ากับเบ่งเฮ็ก ขงเบ้งจึงแสร้งคลาดว่า เอาตัวออกไปตัดหัวให้เราเสียเดี๋ยวนี้? แต่เบ้งเฮ็กหน้ามิได้ถอดสี ขงเบ้งจึงถามว่า คราวนี้ท่านถูกจับอีกแล้ว ยังจะมีอะไรพูดกับเราอีกหรือ? เบ้งเฮ็กตอบอย่างองอาจว่า คราวนี้ท่านก็ใช้อุบายได้ตัวเรามาอีก แม้เราจะเป็นคนป่าคนดอย รู้ตำราพิชัยสงครามอยู่บ้าง หากท่านปล่อยเราให้รบกับท่านอีก ก็อย่าหวังเลยว่าจะชนะเราได้ ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กยังกระด้างกระเดื่องนักก็ให้ปล่อยเบ็งเฮ็กอีกเป็นครั้งที่ ๔ เบ้งเฮ็กรอดตัวมาได้ ก็รีบไปหาโต้สู้ ไต้อ๋องหัวหน้าเผ่าฮวนอีกเผ่าหนึ่ง โต้สู้ไต้อ๋องจึงจัดให้เบ้งเฮ็กพักอยู่ที่ ถ้ำทูหลงตังซึ่งเป็นเส้นทางภูเขาที่สำคัญ มีทางเข้าออกเพียง ๒ ทาง คือทางตะวันตกเฉียงเหนือกับ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ หากปิดทางตะวันออกเฉียงเหนือไว้ตลอดทางจะเต็มไปด้วยลำธารพิษ หากทางฝ่ายฮั่นบุกเข้ามา ทหาร ๑๐ หมื่นดื่มน้ำพิษในลำธารก็จะตายไปเองโดยมิต้องรบ ดังนั้น เบ้งเฮ็กจึงเก็บตัวเงียบอยู่ที่ถ้ำทูหลงตังรอขงเบ้งมาติดกับ ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กเงียบหายไปหลายวันก็ให้สงสัยนัก จึงส่งคนไปสอดแนม ก็รู้ว่าเบ้งเฮ็กคิดจะอาศัย ลำธารพิษยั้งการบุกของทหารฝ่ายฮั่น จึงสั่งห้ามมิให้ไพร่พลใช้น้ำในลำธารดื่มกินเป็นอันขาด ให้ขุดบ่อหาน้ำใช้ไปตลอดทางด้วยตนเอง ดังนั้น จึงค่อย ๆ ประชิดที่มั่นของเบ้งเฮ็กเข้าไปทุกที ทหารเบ้งเฮ็กเคยแพ้เป็นเชลยมาหลายครั้ง ให้เบื่อหน่ายการรบเป็นกำลัง อีกทางหนึ่ง เอียวหองหัวหน้าถ้ำอิ๋นจื้อตังหัวหน้าเผ่าฮวนอีกเผ่าหนึ่งก็ไม่พอใจจะรบด้วยทัพขงเบ้ง จึงแสร้งให้ยืมทหารเสื้อเกราะแก่เบ้งเฮ็ก ๓ หมื่นคน เบ้งเฮ็กดีใจนักมิทันระวังตัว ก็ถูกไพร่พลของเอียวหอง จับตัวส่งไปให้ขงเบ้ง เบ้งเฮ็กก็อ่างว่า ตนมิได้พ่านแพ้จากการรบโดยตรง ยืนยันไม่ยอมแพ้เป็นเด็ดตีนขาด ขงเบ้งจึงให้ปล่อยเบ้งเฮ็กอีกเป็นครั้งที่ ๕ คราวนี้ เบ้งเฮ็กกลับไปถิ่นฐานเดิมของตนที่ถ้ำอิ๋นขั้นตัง ร่วมคิดกับภรรยาสร้างกำแพงเมืองขึ้นที่สำกั๋ง เมื่อทหารของขงเบ้งยกประชิดติดเมืองเข้ามา เบ้งเฮ็กก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ต้านทานเอาไว้ จนทหารฮั่นต้องถอยไป ขงเบ้งจึงออกมาพิจารณาดูชัยภูมิ ณ เนินสูงแห่งหนึ่ง ครั้นแล้วก็ออกคำสั่งให้ทหารทุกคน เตรียมกระสอบใส่ดินไว้คนละหนึ่งกระสอบ แล้วให้รอฟังคำสั่งต่อไป พวกไพร่พลแม้จะไม่เข้าใจว่า กระสอบดินจะใช้รบกับเบ้งเฮ็กได้อย่างไร แต่ก็เชื่อสติปัญญาของขงเบ้งว่า คงจะมีประโยชน์ต่อการรบเป็นแน่ จึงตระเตรียมตามคำสั่งของขงเบ้งไว้โดยพร้อมสรรพ ครั้นพอถึงกลางดึก ขงเบ้งก็สั่งให้ไพร่พลแบกกระสอบดินไปยังตีนกำแพงเมืองสำกั๋ง แล้วกองทับกันจนสูงขึ้น ๆ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำก็เชี่ยวส่งเสียงดังอึกทึก ฟ้าก็มืด ทหารของเบ้งเฮ็กจึงมิได้กระโตกกระตากเลยแม้สักนิด คงนอนใจว่า กำแพงเมืองสำกั๋งของตนคงสามารถป้องกันการบุกรุกของกองทัพขงเบ้งไว้ได้ ดังนั้นกระสอบดิน นับด้วยหมื่นลูกจึงซ้อนกันขึ้นไปจนถึงเชิงเทินกำแพงเมือง ครั้นแล้วทหารฝ่ายฮั่นจึงปีนป่ายกองกระสอบดิน รุดเข้าไปในกำแพงเมือง เมื่อทหารของเบ้งเฮ็กรู้ตัว บนเชิงเทินก็เกลื่อนไปด้วยทหารของขงเบ้งเสียแล้ว เกาทัณฑ์ใช้ประโยชน์อะไรมิได้ขณะนั้น ทหารเบ้งเฮ็กพากันแตกตื่น ที่ถูกฆ่าตายและเหยียบกันเองตายก็มากมาย ทหารเบ้งเฮ็กจึงรีบเข้าไปรายงานแก่เบ้งเฮ็กยังถ้ำอิ๋นขั้นต้ง เบ้งเฮ็กถึงกับตกตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าทัพขงเบ้ง จะข้ามกำแพงเมืองมาได้ ขุนพลของฮั่น ๒ คนที่นำทัพเข้าไปในกำแพงเมือง เตียวหงีถูกดาบของจกหยง ม้าตงถูกเชือกพานขาม้าล้มลง จึงถูกจกหยงจับได้ทั้งคู่ จกหยงสั่งให้ตัดคอขุนพลทั้งสองทันที แต่เบ้งเฮ็กห้ามไว้ว่า เราถูกจับถึง ๕ ครั้ง ขงเบ้งก็ยังปล่อยตัวเรากลับมาตอนนี้ยังมิควรที่จะตัดคอขุนพลทั้งสอง จับขังไว้ก่อน แล้วค่อยจัดการในภายหลังเถิด ขงเบ้งทราบว่า ขุนพลทั้ง ๒ ถูกจับจึงให้จูล่งออกไปท้ารบ จกหยงก็ออกมารบด้วย จู่ล่งแสร้งรบแพ้ควบม้าหนีเพื่อให้จกหยงไล่ตาม จกหยงรู้ทัน มิได้หลงกล อุยเอี๋ยนก็ออกมาท้ารบอีก แล้วแสร้งทำแพ้ จกหยงก็ไม่ตามอีก อุยเอี๋ยนเห็นจกหยกไม่ไล่ก็ชักม้ากลับมารบด้วยอีก จกหยงบันดาลโทสะก็ลืมตัว เมื่ออุยเอี๋ยนรบแพ้ถอยหนี จกหยงก็ไล่ติดตามไปไม่ลดละหวังจะฆ่าอุยเอี๋ยนให้ได้ อุยเอี๋ยนหนีเข้าไปในหุบเขา จกหยงก็ไล่ติดตามไปติด ๆ ครั้นประชิดติดอุยเอี๋ยน ก็กระตุ้นม้าโผนเข้าไป หมายจะฟันให้ตายคาม้า ทันใดนั้น ม้าที่จกหยงควบมาอย่างเต็มผีเท้าก็ถูกเชือกพานขาซวนเซล้มลง อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายจึงจับตัวจกหยงไว้ได้ เมื่อได้ตัวจกหยง ขงเบ้งจึงหนังสือถึงเบ้งเฮ็ก ขอแลกเปลี่ยนจกหยงกับเตียวหงีและม้าตง เบ้งเฮ็กได้รับหนังสือ ก็จำต้องปล่อยตัวเตียวหงีกับม้าตงคืนไปให้ฝ่ายฮั่นไป ส่วนขงเบ้งปล่อยจกหยงกลับมา เบ้งเฮ็กเสียที ที่ต้องปล่อยขุนพลถึง ๒ คนเพื่อแลกกับภรรยาของตน ก็คิดจะใช้กลอุบายลวงขงเบ้งอีก จึงให้ตั๋วไหลน้องภรรยา ร่วมกับตนพร้อมด้วยไพร่พลอีก ๑๐๐ คน นำสุราอาหารไปแสร้งแสดงความขอบใจต่อขงเบ้งที่ปล่อยภรรยา ในขณะเดียวกันก็ซ่อนอาวุธไว้เพื่อทำร้ายขงเบ้งและขุนพลอื่นๆ แต่มิทันจะได้ลงมือ ขงเบ้งก็ล่วงรู้กลอุบาย จับตัวปลดอาวุธหมด เมื่อขงเบ้งถามเบ้งเฮ็ก เบ้งเฮ็กก็ยินกรานไม่ยอมแพ้ กล่าวว่า คราวนี้เราพาตัวมาให้ท่านจับเอง หาใช่พ่ายแพ้ในสนามรบไม่ จักให้เรายอมแพ้นั้นเมินเสียเถิด ขงเบ้งนิ่งคิดอยู่ครูหนึ่ง ก็ปล่อยเบ้งเฮ็กกับผู้ติดตามทั้งหมด กลับไปเป็นครั้งที่ ๖ เบ้งเฮ็กถูกจับถึง ๖ ครั้ง และถูกปล่อยตัวทั้ง ๖ ครั้ง และถูกปล่อยตัวทั้ง ๖ ครั้ง ก็ให้รู้สึกอับอายและพรั่นพรึงอยู่ในใจ หากเอาชนะฝ่ายฮั่นไม่ได้ ก็ไม่มีหน้าที่จะไปให้ผู้ใดเห็นได้อีก จึงครุ่นคิดอยู่ทุกวันคืน ก็นึกออกว่า ที่เมืองออโกก๊ก ซึ่งเป็นของฮวนอีกเผ่าหนึ่ง มีทหารเกราะหวายอยู่ ซึ่งอยู่ยงคงประพันฟันแทงไม่เข้า เบ้งเฮ็กพร้อมด้วยภรรยา จึงเดินทางไปยังเมืองออโกก๊กด้วยตนเอง ยืมทหารเกราะหวายจากลุดตัดกุดหัวหน้าเผ่ามาได้ ๓ หมื่นคน ติดอาวุธครบมือเดินทางกลับมาท้ารบกับฝ่ายฮั่น ทัพฮั่นมิรู้ว่ามีทหารเกราะหวายอยู่ จึงให้อุยเอี๋ยนออกรบด้วย แต่ทหารเกราะหวายมิได้ระคายเคืองต่ออาวุธของฝ่ายฮั่นเลย ทัพฮั่นจึงได้รับความเสียหายมากมายจนอุยเอี๋ยนต้องสั่งให้เลิกทัพกลับค่าย ครั้นแล้วก็นำความไปแจ้งขงเบ้ง ขงเบ้งประหลาดนักจึงให้เชิญคนท้องถิ่นมาพบถามเอาความอีก จึงรู้ว่าเกราะหวายนั้นประกอบขึ้นจากหวายแก่ ที่แซ่น้ำมันจนอิ่ม มีความแข็งแกร่งจนฟันแทงไม่เข้า ลงน้ำก็ไม่จม ขงเบ้งรู้ความแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ แล้วพูดแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า พรุ่งนี้เราจะตีทัพเกราะหวายให้พ่ายไป พวกท่านอย่าได้กังวลไปเลย รุ่งเช้าขงเบ้งก็ออกไปเลือกดูภูมิประเทศ ก็ได้หุบเขาแห่งหนึ่งมีชื่อว่าจังปังสก (หุบเขางูขด) จึงสั่งให้ไพร่พล เอาก้อนหินปิดทางออก เหลือแต่ช่องเล็ก ๆไว้ช่องหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็สั่งให้ทหารนำหินมากองไว้บนภูเขาเหนือปากทางเข้า ครั้นแล้วก็ให้อุยเอี๋ยนออกไปท้ารบ ฝ่ายทหารเกราะหวายเห็นว่าอุยเอี๋ยนเป็นขุนพลขึ้แพ้เคยพ่ายแพ้แก่ตนมาก่อน จึงมีความฮึกเหิมมิเกรงกลัวอุยเอี๋ยนจึงถอยหนีหลอกล่อให้ทัพทหารเกราะหวายไล่ติดตามเข้าไปในหุบเขาจังปังสก อุยเอี๋ยนกับไพร่พลรีบลอดช่องเล็กที่เตรียมไว้ออกไป แล้วเอาหินปิดปากช่องไว้อย่างแน่นหนา ทหารเกราะหวาย ไล่ตามมาจนสุดทาง เห็นทางออกถูกหินปิดสูงเป็นภูเขาเลากา ก็เฉลียวใจว่าจะหลงกล หันหลังรีบกลับออกมา ทางปากทางเข้า ก็ปรากฏว่าทางเข้าก็มีกองหินหล่นจากภูเขาลงมาปิดไว้เสียอีก หุบเขาทั้งสอฟากก็เป็นหน้าผาสูงชัน ประดุจเอามีดมาฝานไว้ ไม่มีทางปืนขึ้นไปได้เลย ทหารเกราะหวายก็พากันกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงประทัดดังขึ้น ทั้งสองฟากของหุบเขาก็มีก้อนไปโยนลงมาดังห่าฝน เกราะหวายซึ่งแซ่อิ่มด้วยน้ำมัน ก็ติดไฟลุกไหม้ขึ้นในทันทีไปทั่วทั้งหุบเขา ทหารเกราะหวาย ๓ หมื่นที่เข้ามาติดอยู่ในกองไฟ ที่ตายก็ตายไปที่ไม่ตาย ก็ถูกไฟลวกสาหัสไปทั้งตัวจะตายมิตายแหล่ เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก เสียงควาญครางเพราะความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ ขงเบ้งเมื่อเห็นอุบายตนสัมฤทธิ์ผล จึงให้ทหารปลอมตัวเป็นทหารของเบ้งเฮ็ก ไปแจ้งข่าวแก่เบ้งเฮ็กว่า ทหารเกราะหวายได้รับชัยนะอย่างใหญ่หลวง ขอให้เบ้งเฮ็กไปตรวจเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทหารฮั่นทิ้งเอาไว้ เบ้งเฮ็กดีใจ จึงนำจกหยงภรรยาและไพร่พลไปยังหุบเขาจังปังสก ก็ถูกม้าต้ายล้อมจับตัวเอาไว้ทั้ง ๒ คน รวมทั้งไพร่พลที่ติดตามไปด้วย คราวนี้เมื่อทหารฮั่นนำตัวเบ้งเฮ็กมาพลขงเบ้ง ขงเบ้งจงใจไม่ออกมาพบกลับไปให้ทหารเลวออกมาแจ้งแก่เบ้งเฮ็กว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีรู้สึกอดสูที่จะมาพบท่านอีก ขอให้ท่านเสพสุราอาหารแล้วจงกลับไปเถิด ขงเบ้งใช้วิธีแสดงความอดสูมิกล้าจะตากหน้าพบด้วยเบ้งเฮ็ก ก็เพื่อกระตุ้นให้เบ้งเฮ็กเกิดความสำนึกยอมสวามิภักดิ์ด้วยใจ ถึงตอนนี้เบ้งเฮ็กซึ่งละอายแก่ใจและรำลึกถึงคุณที่ตนพ่ายแพ้เป็นหลายครั้ง แต่ขงเบ้งก็มิได้ทำอันตรายแก่ตน ให้เป็นที่ระคายเคืองแม้แต่ผิวหนัง กลับปล่อยให้กลับมารบอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จึงยอมศิโรราบแก่ขงเบ้ง อย่างจริงใจในบัดนั้น เมื่อขงเบ้งออกมาพบขอให้เบ้งเฮ็กกลับไปเตรียมกำลังมารบกันใหม่เป็นครั้งที่ ๗ เบ้งเฮ็กจึงไม่ยอมกลับ ยอมอ่อนน้อมต่อขงเบ้งว่า ท่านนี้ปรีชาสามารถนัก ใจคอกว้างใหญ่ดุจขุนเขา เราชาวฮวนภาคใต้จักไม่คิดกบฏต่อท่านอีกต่อไปแล้ว เมื่อเบ้งเฮ็กยอมจำนน ขงเบ้งจึงอาศัยอิทธิพลของเบ้งเฮ็ก นำทัพกำราบชาวฮวนเผ่าอื่นๆ ต่อไป จนมาถึง ทะเลสาบเตียนฉือในยุนนาน เผ่าฮวนภาคใต้ก็ยอมสวามิภักดิ์แก่ราชวงศ์ฮั่นรัฐจ๊ก สมดั่งความประสงค์ของขงเบ้งโดยสิ้นเชิง เสร็จภาระของสงครามแล้ว ขงเบ้งก็แต่งตั้งให้หัวหน้าเผ่าฮวนทั้งหลายมีตำแหน่งเป็นขุนนางในราชวงศ์ฮั่น และให้ทำหน้าที่ปกครองเขตของตนพวกแม่ทัพนายกองฝ่ายฮั่นมีผู้ไม่เห็นด้วย เกรงว่าพวกฮวนเหล่านี้ จักได้ใจคิดก่อการไม่สงบขึ้นอีก ควรจะให้ฝ่ายฮั่นมีคนมาควบคุมอยู่จึงจะควร ขงเบ้งจึงชี้แก่คนทั้งหลายว่า อันว่าแผ่นดินฮวนนั้น หากทั้งคนภายนอกให้เป็นขุนนางอยู่คอยดูแลก็จักต้องมีทหารไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน ดังนี้ ก็ต้องส่งเสบียงอาหารมาให้เป็นประจำ มิฉะนั้นแล้วจักอยู่กินได้ที่ไหน? นี่เป็นเรื่องยากเรื่องแรกแก่เรา อีกประการหนึ่งนั้น เผ่าฮวนต่าง ๆ ที่เรายกมากำราบในคราวนี้แม้จะยอมสวามิภักดิ์แล้วก็ดี แต่ไม่พ่อก็ลูกของเขา ต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะศึกนี้เป็นอันมาก หากเราให้คนนอกตั้งประจำอยู่ เกิดมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันในวันหลัง หากมีคนคอยยุแยงตะแคงรั่ว เราจักทำสถานใด? นี่เป็นเรื่องยากเรื่องที่ สอง สำหรับขุนนางเผ่าฮวนนั้นเล่าก็เคยแข็งข้อต่อเราเนื่อง ๆ ความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรานั้นฉกรรจ์นัก แม้นเรายังตั้งคนนอกให้ควบคุมพวกเขาอยู่ ความร้าวฉานก็จักสมานได้ยาก อาจจะเป็นต้นเหตุ แห่งการปะทะกันใหม่ก็ได้ นี่เป็นเรื่องยากเรื่องที่ สาม ฉะนั้น บัดนี้ เรามิให้ใครอยู่เลยแม้แต่ทหารเลวสักคน เสบียงอาหารเราก็มิต้องลำเลียงมาให้ลำบาก แม้นว่าเราทะนุถนอมน้ำใจของพวกเขาไว้ดังกล่าว ภาคใต้ของรัฐจักก็จะสงบราบเรียบไปช้านาน เรามิพักต้องกังวลอาณาบริเวณนี้สืบไป มิเป็นการดีกว่าหรอไฉน? กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า แสร้งปล่อยเพื่อจับ จุดประสงค์อยู่ที่ จับ ปล่อย เป็นวิธีการ จับ คือจับทาง ใจ ให้ยินยอมอ่อนน้อมทั้งกายและใจ ผู้ถูกจับ ใจ จักกลายเป็นข้าทาสบริวารของอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกว่าจะเกิดความสำนึกใน ศักดิ์ศรี ของตนเอง กลยุทธ์นี้ จึงเป็นกลยุทธ์ชาญฉลาด ในการบั่นทอนจิตใจสู้รบและขวัญของข้าศึก ด้วยวิธีการทั้งแจ้งและลับอย่างหนึ่ง อันได้ผลเกินความคาดหมาย นั้นแล หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๗ โยนกระเบื้องล่อหยก เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 12:56:57 PM กลยุทธ์ที่ ๑๗ โยนกระเบื้องล่อหยก
ล่อด้วยละม้าย ให้งวยงงหลงกล กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันไปล่อข้าศึก ให้ข้าศึกต้องอุบายพ่ายแพ้ไป การใช้กลยุทธ์นี้ กำหนดขึ้นตามสภาพรูปธรรมของข้าศึก ในตำราพิชัยสงครามชื่อ ร้อยยุทธการพิสดาร การรบที่ได้ประโยชน์ กล่าวไว้ว่า เมื่อประมือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตรงข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง จักล่อด้วยประโยชน์ได้ เขาละโมบในประโยชน์ มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่ายนี้คือ ล่อด้วยประโยชน์ โยนกระเบื้องล่อหยก คำนี้ เดิมมาจากเรื่องราวของกวีสมัยราชวงศ์ถัง ๒ คน ชื่อ ฉางเจี้ยน และจ้าวกู่ กล่าวคือ ฉางเจี้ยนนิยมชมชอบและยกย่องบทกวีของจ้าวกู่มาช้านาน ครั้นเมื่อทราบว่าจ้าวกู่เดินทางมา เมืองซูโจวก็คาดคะเนว่าคงจะไปเที่ยว ณ วัดหลิงเอี๋ยนสื้อ ฉางเจี๋ยนจึงเขียนบทกวีไว้ ๒ คำบนผนังวัด เมื่อจ้าวกู่มาเห็นเข้า ก็ต่อบทกวีนั้นอีก ๒ คำ จึงกลายเป็นกวีที่ครบถ้วนสมบูรณ์และสวยงาม ไพเราะจับใจยิ่งนัก แต่เนื่องจากบทกวีของฉางเจี้ยนด้อยกว่าของจ้าวกู่ คนทั้งหลายจึงเรียกบทกวีของฉางเจี้ยนเป็นเสมือนหนึ่ง กระเบื้อง แต่หากแม้นมิมี กระเบื้อง ที่ฉางเจี้ยนเอาไปล่อไว้ ไฉนเลยจะได้มาซึ่ง หยก ของจ้าวกู่ ที่ต่อ กระเบื้อง ของฉางเจี้ยนจนกลายเป็นบทกวีมีค่าล้ำที่ทุกคนยกให้ ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการตัดต่อพันธุกรรมพืชและสัตว์เพื่อการครอบครองแหล่งอาหาร และการควบคุมคนในระยะยาว โดยมีรายละเอียดเนื้อหาเพื่อประกอบการอธิบายกลยุทธ์นี้ดังนี้ จีเอ็มโอกำลังเป็นกระแสที่ชาวโลกสนใจเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิงช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงของการตื่นตัว เรื่องกระแสของ จีเอ็มโอ เป็นอย่างมากทั่วโลก แม้แต่ประชาชนชาวไทย ที่เมื่ออดีตที่ผ่านมาจะไม่ได้ให้ความสนใจ กระแสของ จีเอ็มโอเท่าใดนัก แต่เมื่อมีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นตามสื่อต่าง ๆ ทั้งสื่อของไทยและ สื่อของต่างประเทศ ทำให้คนไทยตื่นตัวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ถึงขั้นมีการเดินขบวนเรียกร้องและต่อต้าน นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับ จีเอ็มโออันอาจกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวไทย ในด้านต่างประเทศ มีหลายประเทศได้ออกมาประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาพืช จีเอ็มโอ หลายประเทศต่อต้านการนำเข้า จีเอ็มโอ จึงทำให้ผู้ติดตามข่าวเรื่องเกี่ยวกับ จีเอ็มโอได้รับข้อมูลที่หลากหลาย จนกระทั่งแยกแยะไม่ออกว่าจะคิดใคร่ครวญเรื่อง จีเอ็มโอในแง่มุมใดดี อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักศึกษาด้านความมั่นคง จึงใคร่ที่จะมองในมุมมองของความมั่นคงว่า เมื่อมองในแง่มุมนี้แล้วจะมีประเด็นของ จีเอ็มโอเรื่องใดบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งในบทความชิ้นนี้จะได้กล่าวถึงประเด็นที่ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ดังนี้คือ ความหมายของจีเอ็มโอ วิวัฒนาการของ จีเอ็มโอ ประเทศต่าง ๆ ในประชาคมโลกที่กำลังพัฒนาจีเอ็มโอ ผลกระทบของ จีเอ็มโอที่จะกระทบ ต่อความมั่นคงของประชาคมโลกและความมั่นคงของประเทศไทย จีเอ็มโอ หรือ GMOs ย่อมาจากคำว่า Genetically Modified Organisms หมายถึง สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ที่เกิดจากการตัดต่อเอายีนของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่ไม่เคยผสมพันธุ์กันได้ ในธรรมชาติมาใส่ เพื่อให้เกิดคุณสมบัติตามต้องการ เช่น นำยีนทนความหนาวเย็นจากปลาขั้วโลก มาใส่ในมะเขือเทศ เพื่อให้มะเขือเทศปลูกในที่ที่อากาศหนาวได้ นำยีนจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มาใส่ในถั่วเหลือง เพื่อให้ถั่วเหลืองทนทานต่อยาปราบวัชพืช ซึ่งเรื่องการตัดต่อสารพันธุกรรม หรือ ดีเอ็นเอ ( DNA ) เริ่มมีการทดลองมาในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ตั้งแต่ยุคคริสต์ทศวรรษที่ ๗๐ และเฟื่องฟูขึ้นมาพร้อม ๆ กับความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้น ในวิชาการด้านชีววิทยาโมเลกุล และความก้าวหน้าของเทคนิคด้านพันธุวิศวกรรม ประเทศที่ได้ชื่อว่า มีความก้าวหน้าในการพัฒนา จีเอ็มโอมากที่สุด เห็นจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่มีการประกาศถึงความสำเร็จในด้านการพัฒนา จีเอ็มโอที่ค่อนข้างจะเป็นรูปธรรม อีกทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีบรรษัทของเอกชน ที่เป็นบรรษัทข้ามชาติที่ใหญ่และมีขอบข่ายของการดำเนินกิจกรรมด้านจีเอ็มโอมากที่สุด และกว้างขวางที่สุดในโลกในยุคนี้ ตัวอย่างของบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ ที่ดำเนินกิจการด้านนี้ได้ ซึ่งมีบรรษัท AstraZeneeca , Dupont , Monsanto , Novartis และบรรษัท Aventis ซึ่งบรรษัททั้ง ๕ ดังกล่าวแล้วเป็นผู้ผูกขาดตลาดพันธุ์พืชตัดแต่งพันธุกรรมไว้ทั้งหมด ๑๐๐ % อีกทั้งผูกขาดตลาด สารเคมีปราบศัตรูพืช ๖๐ % และได้ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ด้าน จีเอ็มโอออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลกอีกด้วย ส่วนประเทศจีนก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนา จีเอ็มโอ อย่างต่อเนื่องและจริงจังจนกระทั่งนักวิชาการด้านนี้ ทั่วโลกเชื่อว่าในปัจจุบันนี้การพัฒนาเทคโนโลยีด้าน จีเอ็มโอของประเทศจีนมีความก้าวหน้าไม่แพ้สหรัฐฯ เช่นกัน จากที่ประเทศต่าง ๆ ได้ต่อต้านสินค้า จีเอ็มโอ ที่กำลังแพร่ไปทั่วโลกในเวลานี้ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ได้ประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่า จะต่อต้านสินค้า จีเอ็มโอ ของสหรัฐฯ ทุกรูปแบบ ซึ่งนำไปสู่การขยายวงของการต่อต้านสินค้า จีเอ็มโอ ทั่วโลก สาเหตุหลัก ๆ ที่มีการต่อต้านสินค้าจีเอ็มโอ เรื่องหลักคือเรื่องของการแข่งขันกันด้านการค้าที่มีการแย่งตลาดการค้าของสินค้าด้านการเกษตรของแต่ละประเทศ หรือกลุ่มประเทศ เช่น ของกลุ่มยูโรกับสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าจับตามองอีกประเด็นหนึ่งคือ ด้านความมั่นคง ทั้งนี้เพราะ ผลจากการทดลองจากหลายค่ายเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอ เป็นที่ปรากฏออกมาชัดเจนว่า มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค ค่อนข้างจะแน่นอน เช่น การทำให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้อายุของสัตว์สั้นลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารสูญเสียไป ทำลายพันธุ์พืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ ซึ่งประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่กระทบต่อ ความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ ในระยะยาวทั้งสิ้น สำหรับในประเทศไทย เพิ่งมีการตื่นตัวที่จะศึกษาถึงผลกระทบของพืชจีเอ็มโอหลังจากการประกาศต่อต้านของประเทศ ในกลุ่มยุโรปแล้ว ความรุนแรงในการต่อต้านสินค้าจีเอ็มโอ และพืชจีเอ็มโอที่นำมาทดลองปลูกในระดับไร่นาของรัฐ ตามนโยบายของรัฐบาล และที่เกษตรกรผู้รู้เท่าไม่ถึงการได้นำไปปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วนั้นได้พัฒนาความรุนแรง ถึงขั้นมีการเคลื่อนไหวองประชาชนและองค์กรเอกชนให้มีการตัดทำลายพืชในไร่นา ดังที่มีการเสนอข่าวไปแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นที่จะกล่าวถึงผลกระทบของพืชจีเอ็มโอต่อความมั่นคงของประเทศไทย มี ๒ ประเด็นคือ ประเด็นที่ ๑ การแย่งยึดแหล่งอาหารด้วยพืชจีเอ็มโอ ประเด็นที่ ๒ คือ การใช้พืชจีเอ็มโอไปเสริมงานด้านการทหาร ประเด็นที่ ๑ การแย่งยึดแหล่งอาหารด้วยพืชจีเอ็มโอ หมายถึง ถ้ามีการพัฒนาพันธุ์พืชจีเอ็มโอไปถึงขั้นที่ เมื่อนำไปใช้ในการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วจะทำให้พืชพันธุ์ที่ไม่ใช่จีเอ็มโอถูกทำลาย กล่าวคือ การทำให้พันธุ์พืชนั้น ๆ กลายเป็นหมันและไม่สามารถขยายพันธุ์ได้อีกต่อไป อันเป็นผลมาจากการผสมของเกสรของพืชจีเอ็มโอ กับพันธุ์พืชที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ ซึ่งในที่สุดพืชที่ไม่ใช่จีเอ็มโอก็จะสูญพันธุ์ไป ส่วนพืชจีเอ็มโอซึ่งถ้าได้รับการพัฒนา ให้สามารถนำมาปลูกได้เพียงครั้งเดียวและไม่สามารถที่จะขยายพันธุ์ได้อีกต่อไปนั้น เมื่อเกษตรกรต้องการที่จะปลูกพืช ต่อไปอีกต้องไปซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทที่เป็นเจ้าของ ถ้าเป็นลักษณะเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการผูกขาดด้านพันธุ์พืช ซึ่งหมายถึงการผูกขาดด้านอาหารไปด้วยในตัว และถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นเจ้าของบรรษัทข้ามชาติที่ผูกขาด เมล็ดพันธุ์พืชแต่เพียงผู้เดียวก็สามารถที่จะกุมชะตาของประชากรโลกทางด้านอาหาร ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการกุมชะตาของโลก ได้โดยปริยาย นั่นคือ การใช้อาหารเป็นอาวุธในการยึดครองโลกแต่เพียงผู้เดียวหรือที่เรียกว่า โภชนาวุธ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะยาว ประเด็นที่ ๒ การใช้พืชจีเอ็มโอด้านการทหาร มีการทดลองในห้องปฏิบัติการและในสนามทดสอบจริงของสหรัฐฯ แล้วว่า เมื่อให้ทหารส่วนหนึ่งรับประทานอาหารจากพืชจีเอ็มโอที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะ ทำให้ร่างกายของทหารเหล่านั้น มีลักษณะเรืองแสงมากขึ้นทำให้เครื่องมือตรวจจับจากดาวเทียมสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของทหารหน่วยนั้น ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตถ้ามีการนำอาหาหรจีเอ็มโอไปให้ทหารฝ่ายตรงข้ามบริโภคไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านจีเอ็มโอก็สามารถเลือกโจมตีเป้าหมายที่เป็นกำลังทหารได้อย่างแม่นยำ อีกกรณีหนึ่งมีการทดลองและประสบผลสำเร็จมาแล้วโดยกองทัพสหรัฐฯ ที่ให้ทหารรับประทานอาหารจากพืชจีเอ็มโอ ซึ่งผลการทดสอบของคลื่นสมองปรากฏว่า คลื่นสมองเปลี่ยนไป โดยสามารถรับการควบคุมจากเครื่องควบคุมระยะไกล ( Remote Control ) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างได้ผล คือสามารถเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองมนุษย์ให้มีอารมณ์ฮึกเหิม ในการต่อสู้ก็สามารถทำได้ หรือให้ยอมแพ้ก็สามารถทำได้ เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีการทดลองใช้เครื่องควบคุมระยะไกล ควบคุมให้ผู้บริโภคอาหารจากพืชจีเอ็มโอให้ก่อการจลาจลและหยุดก่อจลาจลโดยฉลับพลัน ซึ่งสามารถทำได้ อย่างสมบูรณ์มาแล้วทั้งสิ้น ถ้าการทดลองดังกล่าวข้างต้นนำมาใช้เพื่อให้เกิดผลทางด้านความมั่นคงจริง ( ซึ่งสามารถทำได้จริง ) นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติมาก จะเห็นได้ว่า จีเอ็มโอ เป็นกระแสชนิดหนึ่งของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีด้านชีวภาพ ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาต่อไป อย่างไม่หยุดยั้งและจะต้องถูกนำมาใช้เพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของประเทศที่มีการพัฒนา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะหลีกเลี่ยงกระแสนี้ได้ยาก และผลกระทบของจีเอ็มโอต่อความมั่นคงของประเทศ ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน กองทัพเป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่หลัก ทางด้านความมั่นคงของประเทศ จึงควรต้องหันมาศึกษาผลกระทบของจีเอ็มโอต่องานด้านความมั่นคงอย่างจริงจัง เพื่อที่จะหาแนวทางในการป้องกันประเทศจากผลกระทบของจีเอ็มโอต่อไป สรุป เมื่อจีเอ็มโอเป็นกระแสอันเป็นเรื่องยากที่จะต่อต้านหรือหยุดยั้งได้ จึงเป็นภาระหน้าที่ของกองทัพ และหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศทั้งหลายจะต้องมาร่วมกันคิดหาแนวทางในการป้องกัน ผลกระทบด้านความมั่นคงอันเนื่องมาจากจีเอ็มโอ ในเบื้องต้นควรที่จะตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้ คือ ๑. กองทัพและประเทศไทยจะรับกระแสจีเอ็มโออย่างไร ๒. กองทัพจะป้องกันภัยจากจีเอ็มโอในฐานอาวุธทางชีวภาพอย่างไร ๓. กองทัพจะแสวงประโยชน์จากจีเอ็มโอด้านความมั่นคงอย่างไร ประเด็นของเรื่องเกี่ยวกับจีเอ็มโอที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้แย่งชิงกันในเวทีโลกคือเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาล จะเห็นได้จากข้อความในตอนต้นของกลยุทธ์นี้ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้ว ผู้ที่ครอบครองตลาดจีเอ็มโอของโลก เห็นจะได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้คิดถึงในประเด็นของความมั่นคงก็จะคิดว่าเรื่องจีเอ็มโอ การพัฒนาจีเอ็มโอ การซื้อขายจีเอ็มโอ เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงของประเทศเลย เมื่อมนุษย์ไม่มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ มีผู้ที่คิดค้นวิธีการผลิตอาหารที่มีปริมาณมากและผลิตได้ง่ายกว่า ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีน่าที่จะให้การสนับสนุนโครงการนี้ ไม่ควรที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ถ้าวิเคราะห์กันให้ดีจะเห็นว่า ถ้าเป็นการต่อสู้ในระดับโลกในเรื่องของผลประโยชน์แล้ว ผู้คิดค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทข้ามชาติ ของประเทศมหาอำนาจที่ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลย่อมไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเดียวคือการให้มีอาหารพอเพียงกับ การบริโภคของมนุษยชาติ โดยธรรมชาติของการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์จะต้องมากกว่าเรื่องนี้ ถ้าพิจารณาเรื่อง การที่ประเทศที่พัฒนาจีเอ็มโอต้องการที่จะครอบครองแหล่งผลิตอาหารแต่เพียงผู้เดียวว่าเป็นไปได้หรือไม่นั้น ถ้าวิเคราะห์กันในด้านความมั่นคงทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า ....หลักแห่งการบัญชาการทัพ อย่าหวังว่าข้าศึกไม่มา เราพึงเตรียมการให้พร้อม อย่าหวังข้าศึกไม่ตี เราพึงทำให้มิอาจโจมตี .... ( การทำศึก บรรพที่ ๒ ) และ ...อันการศึกสงครามทุกชนิดย่อมถือหลักการลวง ..... ดังนั้นเมื่อเรื่องจีเอ็มโอเป็นเรื่องของการต่อสู้ เป็นสงคราม ฉะนั้นจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของการลวงเสมอ การลวงคืออะไร การลวงคือการที่ประเทศมหาอำนาจส่งบรรษัทข้ามชาติ เช่น บรรษัท AstraZeneeca , Dupont , Monsanto , Novartis และบรรษัท Aventis เข้ามาโฆษณาแต่เฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้ชาวโลกได้รู้ แต่สิ่งที่ไม่ดีหรือที่จะเป็นผลเสียหายแก่ประเทศนั้น ๆ บรรษัททั้งหลายที่เป็นเจ้าของก็ไม่เคยพูดถึง บรรษัททั้งหลายไม่เคยพูดถึงเป้าหมายที่แท้จริงของตนในการวิจัยและพัฒนาจีเอ็มโอขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ประเทศที่พอจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของสหรัฐอเมริกาอย่างประเทศในกลุ่มยูโรก็ได้ออกมาประกาศ อย่างชัดเจนถึงการต่อต้านการนำเข้าสินค้าจีเอ็มโอจากสหรัฐฯ มีเพียงแต่ประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น ที่ยังไม่รู้เท่าทันและไม่ได้มีการต่อต้าน แม้แต่ประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ก็ได้มีประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ออกมาคัดค้านการปลูกและการนำเข้าพืชและสัตว์จีเอ็มโอนี้แล้วจนกระทั่งรัฐบาลไทยต้องประกาศนโยบาย ให้งดการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับจีเอ็มโอไปชั่วขณะแล้ว ( พ.ศ.๒๕๔๗ ) ที่ผู้เขียนนำเรื่องเกี่ยวกับจีเอ็มโอมากล่าวในกลยุทธ์ โยนกระเบื้องล่อหยก นั้นก็เพราะว่า มีคำกล่าวใน ร้อยยุทธการพิสดาร การรบที่ได้ประโยชน์ กล่าวไว้ว่า เมื่อประมือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตรงข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง จักล่อด้วยประโยชน์ได้ เขาละโมบในประโยชน์ มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่ายนี้คือ ล่อด้วยประโยชน์ หลายประเทศที่มีนักการเมืองและข้าราชการที่ถูกล่อด้วยผลประโยชน์แล้วให้มีการผลักดันให้มีการดำเนินการ เกี่ยวกับพืชและสัตว์จีเอ็มโอโดยบรรษัทข้ามชาติอย่างไม่ระมัดระวัง ในช่วงระยะเวลาอันสั้นอาจจะยังไม่เห็น ผลเสียร้ายแรงที่ชัดเจนนัก แต่ในระยะยาว ผู้ที่ได้ประโยชน์มหาศาลคือบรรษัทข้ามชาติของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ที่เป็นเจ้าของจีเอ็มโอ โดยการโยนผลประโยชน์ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยเหมือนกระเบื้อง เพื่อที่จะแลกเอาหยก คือสิ่งที่จะได้ตามมาอีกมาก ทั้งในแง่เศรษฐกิจ แง่การทหาร และแง่ของพลังอำนาจของชาติอื่น ๆ ที่เข้าไปครอบงำประเทศที่เป็นเป้าหมาย กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า วิธีหลอกลวงข้าศึกมีมากมาย ที่แยบคายที่สุดมิมีใดเกิน ความละม้ายแม้น หรือ ความเหมือน ที่เรียกว่า กระเบื้อง หมายถึงสิ่งที่ไม่มีค่างวด ส่วน หยก นั้นเป็นจินดาสูงค่าอันพึงปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย ที่ว่า โยนกระเบื้องล่อหยก ก็คือใช้สิ่งของที่มีค่าน้อยไปแลกกับสิ่งของที่มีค่าสูง กระเบื้องกับหยกนั้น มองผ่าน ๆ ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่ นักการทหารผู้มีความชำนาญในกลศึก ก็สามารถจะใช้ความ ละม้ายแม้น ความ เหมือน ความ คล้ายคลึง ของทั้งสองสิ่งสร้างความสับสนฉงนสนใจให้แก่ข้าศึก ฉวยโอกาสที่ข้าศึกกำลังวุ่นวายหรือหลงกล จู่โจมเอาชัยชนะโดยพลัน หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๑๘ จับโจรเอาหัวโจก เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 01:38:44 PM กลยุทธ์ที่ ๑๘ จับโจรเอาหัวโจก
หักความแข็งแกร่ง เอาตัวหัวโจก ให้แตกสลาย มังกรสู้บนปฐพี ก็อับจนหมดหนทาง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จักต้องตีข้าศึกในจุดที่เป็นหัวใจของกองทัพเพื่อสลายพลังของข้าศึก มังกรสู้บนปฐพี ก็อับจนหมดหนทาง เปรียบประดุจมังกรในทะเล ขึ้นมาสู้กับศัตรูบนพื้นแผ่นดิน ก็จักปราชัยแก่ข้าศึกโดยง่าย คำนี้เดิมพบใน คัมภีร์อี้จิง ดิน ซึ่งแฝงความนัยว่า จับโจรให้เอาตัวหัวโจก อันเป็นกลอุบายใช้วิธี ตีงูให้ตีหัว เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง จับโจรเอาหัวโจก มาจากบทกวีของตู้ผู้ กวีอมตะแห่งยุคราชวงศ์ถึงของจีน ความว่า น้าวเกาทัณฑ์ต้องให้ตึง ลูกเกาทัณฑ์ควรจะยาว ยิงคนควรยิงม้า จับโจรเอาหัวโจก ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ในช่วงสงครามเย็น เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำในฝ่ายโลกเสรีต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะเอาชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้ได้ แม้ว่ามีข้อมูลมากมายที่มีความขัดแย้งกันที่ว่าแท้ที่จริงแล้ว ฝ่ายที่สร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมาเป็นฝ่ายเดียวกันกับฝ่ายที่ให้การสนับสนุนให้มีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ก็ตาม เป็นอันว่าในกลยุทธ์นี้ผู้เขียนจะนำข้อคิดเห็นของทั้งสองฝ่ายที่มีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับยุคสงครามเย็น ซึ่งพอที่จะแบ่งออกเป็น ๒ ค่ายตามความเชื่อดังต่อไปนี้ ๑) ฝ่ายที่เชื่อว่าคอมมิวนิสต์เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางชนชั้นและมีอุดมการณ์จริงที่จะให้คอมมิวนิสต์ ครอบครองโลกให้ได้ ตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซิสต์ ๒) ฝ่ายที่เชื่อว่าคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ทางศาสนาและเพื่อผลประโยชน์ ทางด้านธุรกิจของกลุ่มชนบางกลุ่ม ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงฝ่ายแรกที่มีความเชื่อว่าคอมมิวนิสต์เป็นการต่อสู้ทางลัทธิอุดมการณ์จริง ดังที่ปรากฏชัดแล้วว่า สหรัฐฯ ได้ทุ่มเทงบประมาณมหาศาลในการแสดงตนเป็นผู้นำของฝ่ายโลกเสรี ด้วยการต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก ดังที่เห็นได้จากการที่ เมื่อเริ่มต้นยุคสงครามเย็นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีชื่อว่าประเทศที่ได้รับการแต่งตั้ง ( Appointed Nation ) ในการต่อต้านการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำอยู่ในขณะนั้น โดยการแบ่งยุทธบริเวณออกเป็นหลายยุทธบริเวณใหญ่ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ Eastern Theater ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ยุทธบริเวณย่อยทางตะวันออก ทั้งทางเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้านตะวันออกกลาง ส่วนยุทธบริเวณใหญ่ทางด้านตะวันตกก็รับผิดชอบพื้นที่ทางยุโรปเพื่อป้องกัน การขยายอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ไปทางยุโรปตะวันตก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมและระดมกำลัง จากฝ่ายโลกเสรีทุกประเทศในแต่ละยุทธบริเวณและประเทศต่าง ๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะแต่ละประเทศต่างก็กลัวภัยของพรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน ในการสู้รบในช่วงสงครามเย็นนี้ เป็นสงครามตัวแทน การสู้รบมีอยู่ทั่วไปทุกภูมิภาคแต่การสู้รบที่รุนแรงเกิดขึ้นเป็นเพียงบางจุดแท่านั้น เช่น บนคาบสมุทธเกาหลี ในเวียดนามและอินโดจีน ซึ่งมีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วยในภูมิภาคนี้ ดังที่ทราบกันดีถึงการระดมสรรพกำลังของประเทศไทยเพื่อการต่อสู้กับการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น ใช้งบประมาณมหาศาลภายในประเทศและงบประมาณส่วนหนึ่งได้รับมาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อการต่อสู้เพลาลง อันเนื่องมาจากการอ่อนแรงของผู้นำคอมมิวนิสต์เองคือสหภาพโซเวียตและจีนทำให้ประเทศไทยรอดพ้น จากการยึดครองของฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหวุดหวิด ถ้าดูตามรูปการแล้วจะเห็นว่าการต่อสู้มีมาอย่างยาวนาน กว่า ๗๐ ปีเศษทำให้สหรัฐฯ เองต้องสูญเสียทรัพยากรไปไม่ใช่น้อย รวมทั้งในหลายสมรภูมิทำให้สหรัฐฯ ต้องเพลี่ยงพล้ำในการสู้รบถึงขั้นบอบช้ำทุกระบบของประเทศ กล่าวคือทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ ศักดิ์ศรีของประเทศ เช่น ผลกระทบจากการสู้รบในสมรภูมิเวียดนามที่สหรัฐฯ ได้ชื่อว่าพ่ายแพ้สงคราม เป็นต้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมแล้วถือว่าชัยชนะตกแก่ฝ่ายโลกเสรี ดังที่ทราบกันดีที่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๒ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตดังกล่าวนั้น หลายท่านอาจจะคิดว่า เป็นการทำลายตัวเองของสหภาพโซเวียตเอง แต่ในแง่คิดมุมมองด้านความมั่นคงที่คิดตามหลักการของ ตำราพิชัยสงครามแล้วถือว่าเป็นเรื่องของการชนะกันด้วยการต่อสู้ที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ แต่ที่คนทั่วไปมองกันว่าเป็นเพราะสหภาพโซเวียตต้องเป็นไปเช่นนั้นเองก็เพราะแผนการที่วางไว้นั้น มีความแนบเนียนและกลมกลืนกับสถานการณ์อย่างแยกไม่ออกว่าเป็นแผนหรือเป็นธรรมชาติกันแน่ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามของเขาตอนหนึ่งว่า ......ที่โบราณเรียกว่า ผู้สันทัดการรบนั้น คือชนะผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันัดการรบ จึงมิพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขา ก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะผู้ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบจึงตั้งอยู่ในฐานะไม่แพ้ และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกต้องแพ้... ซุน วู เห็นว่า จะสามารถทำถึงขั้นนั้น จักทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ก่อน กุมอำนาาจการเป็นฝ่ายกระทำอยู่ในมือของตนนั้น จะทำได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการ จรรโลงไว้ซึ่งมรรค ( หมายถึงการสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับชัยชนะ) สหรัฐฯ ได้ให้นักวางแผนดำเนินการเช่นนี้ กับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นจุดศูนย์ดุลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยการสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ จำนวนมากที่จะให้ตน เป็นฝ่ายได้ชัยชนะการสู้รบในภาพรวมของสงครามเย็น ทั้งการยั่วยุให้สหภาพโซเวียตแข่งขันกับสหรัฐฯ ในการสะสมอาวุธและทุ่มงบประมาณมหาศาลกับการผลิตอาวุธไม่ได้สนใจการพัฒนาด้านการเมือง และการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนชาวสหภาพโซเวียต จึงเป็นเหตุประการหนึ่งให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย และอีกประการหนึ่งคือการที่สหรัฐฯ ได้ใช้กรรมวิธีในการผลักดันให้ผู้นำของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ใช้นโยบายเปเรสทรอยก้า ซึ่งเมื่อสหภาพโซเวียตหลงกลและประกาศใช้นโยบายดังกล่าวก็เป็นสาเหตุใหญ่ อีกประการหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มลายเช่นเดียวกัน นักทฤษฎีสงครามต่างวิเคราะห์กันว่า ทุกสาเหตุของการล่มลายของสหภาพโซเวียตล้วนแล้วแต่มาจากการสร้างสภาพแวดล้อมของสหรัฐฯ ที่ทำให้สหภาพโซเวียตต้องพ่ายแพ้ในสงครามเย็นในภาพรวมนั่นเอง เมื่อสหภาพโซเวียตล่มลายลงแล้ว ประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ทั้งหลายก็ล้มตามกันเป็นทิวแถว อันเป็นอวสานของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ถือกำเนิดมา เป็นเวลาประมาณ ๗๒ ปี ทั้งนี้ก็เพราะสหรัฐฯ ได้ตระหนักว่า การจะเอาชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ก็ด้วยการเอาชนะ หัวหน้าคอมมิวนิสต์ให้ได้ก่อน กล่าวคือ จับโจรเอาหัวโจก คือการจับหัวโจกของฝ่ายคอมมิวนิสต์คือ สหภาพโซเวียตแล้วนำไปสู่การได้ชัยชนะทั้งกระดานในที่สุด นอกจากนั้นจะขอกล่าวถึงความคิดเห็นประเด็นหลังคือคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความมุ่งหมายทางศาสนา และผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของกลุ่มชนบางกลุ่ม จากหลักฐานที่กล่าวไว้ในเอกสารประกอบการฝึก การแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน หลักสูตร นายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕ ระหว่าง ๘ พ.ค.๔๓ ถึง ๑๔ ก.ค.๔๓ กล่าวไว้ดังนี้.........บทที่ ๒ ลัทธิคอมมิวนิสต์ กับ โรมันคาทอลิก กำเนิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ในคัมภีร์ไบเบิลเก่า(Old Testament) และคัมภีร์ไบเบิลใหม่(New Testament)ซึ่งใช้เป็นหลักในคำสอนของ โรมันคาทอลิก มีข้อความตรงกันในเรื่องของ ดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า บอกลักษณะของดินแดนนั้นว่า เป็นสังคมไม่มีชนชั้น ไม่มีเจ้า บ่าว นาย ทุกคนต่างอยู่แบบเสมอภาคเท่าเทียมกันหมด จากจุดในคัมภีร์ไบเบิลนี้เอง ทำให้ วาติกัน ร่วมมือกับประเทศสเปน และ โปรตุเกส ให้ส่งนักรบของแต่ละประเทศไปล่าอาณานิคม โดยอ้างว่าเป็นการสร้างให้ดินแดนที่ตนเข้าไปยึดครองนั้นเป็นดินแดนของพระเจ้า พร้อมกับเผยแพร่คำสั่งสอนว่า โรมันคาธอลิคไม่มีชนชั้น ทุกคนคือบุตรของพระเจ้าเท่าเทียมกันหมด จึงทำลายขนบธรรมเนียม ศิลปวัฒนธรรม ศาสนาเดิม พร้อมทั้งโค่นล้มกษัตริย์ที่ปกครองดินแดนเหล่านั้นอยู่เดิมเสียทั้งสิ้น ให้กษัตริย์ในประเทศที่ถูกยึดครอง รวมทั้งประชากรเหล่านั้นขึ้นตรงกับ สันตะปาปา ณ นครหลวงวาติกัน โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้า ต้องการอ่านข้อมูลวาติกันกดที่นี่ วาติกัน (http://www.gunsandgames.com/smf/index.php/topic,18937.30.html) ต่อมาเมื่อมีการพบทวีปอเมริกา จึงได้มีนักบวชโรมันคาทอลิกผู้หนึ่งนามว่า โทมัส มัวส์ ได้นำมาเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า ยูโทเปีย ซึ่งกล่าวถึงดินแดนที่พระเจ้าได้สัญญาเอาไว้ว่าคือ อาณาจักรของพระเจ้า หนังสือดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนโดย วาติกัน และถูกนำไปแพร่หลายในทุกดินแดนที่ โรมันคาทอลิก เข้าไปเผยแพร่ และมีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๙๑ นายคาร์ล มาร์กซ์ ศาสนิกของโรมันคาทอลิก ได้ศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างแตกฉาน มีความประทับใจหลักการในหนังสือ ยูโทเปีย ของโทมัส มัวส์ ก็ได้นำมาเขียนเป็นหนังสือ-7ho ชื่อว่าคำประกาศของคอมมิวนิสต์ (The Communis Manifesto) อันเป็นต้นกำเนิดของ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ต่อมาเรียกว่า สังคมนิยม ในปัจจุบัน จากหลักฐานดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ ได้พัฒนาการมาจากคำสอน ในคัมภีร์ไบเบิล โรมันคาทอลิก สิ่งที่พิสูจน์ได้อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดก็คือ ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์เช่น โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย ไม่มีโบสถ์ของโรมันคาทอลิกจะถูกทำลายไปเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นระบบการแอบแฝง แทรกซึม การจัดตั้งเขตปกครองคอมมิวนิสต์ ก็ล้วนแล้วแต่พัฒนาและใช้ระบบของ โรมันคาทอลิก ทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาด้วยหลักฐาน ข้อมูล พฤติกรรม แล้วไม่อาจจะปฏิเสธได้ในความเป็นหนึ่งเดียวระหว่าง คอมมิวนิสต์ กับ โรมันคาทอลิกซึ่งวาติกัน ให้การสนับสนุนทั้งทางกำลังทรัพย์ กำลังบุคคล กำลังสมอง ให้สำหรับการขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก รวมไปถึงขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือการสร้างความขัดแย้ง ทุกประเทศ ข้อเปรียบเทียบ เขตปลดปล่อย กับ มิชซัง ยุคของการใช้แผนล่าอาณานิคมโดยการใช้บาทหลวงโรมันคาทอลิกเข้าไปในประเทศต่าง ๆ พยายามสร้างให้เกิดความขัดแย้งกับข้าราชการของประเทศนั้น เพื่อให้ข้าราชการหรือกษัตริย์ประเทศนั้น ๆ สั่งลงโทษเพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่าบาทหลวงตัวแทนของพระเจ้า ถูกรังแกถูกทำร้าย จึงจำเป็นต้องใช้ กองทัพไปช่วยรักษาโรมันคาทอลิก และในที่สุดเข้ายึดครองในที่สุดนั้น(ตามที่ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใน ประวัติศาสตร์ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทย) ได้รับการต่อต้านโดยประชาชนเจ้าของประเทศ ที่รวมตัวกันด้วยความรักชาติ ออกต่อต้านกองทัพตัวแทนของ วาติกัน ดังนั้นจึงได้มีการกำหนดยุทธการใหม่ใช้ กฎแห่งการแตกแยก โดยสร้างให้เกิดความแตกแยก ทางด้านความคิดเห็น ฯลฯ ของชนชาตินั้นเอง และแทรกตัวเข้ายึดครอง จากผลของการศึกษา วิเคราะห์โดย วาติกัน ได้บทสรุปว่า ควรที่จะใช้ ลัทธิคอมมิวนิสต์ สำหรับปฏิบัติการ เนื่องจากลัทธิดังกล่าวนี้ได้ถือกำเนิดโดยชาวคาทอลิก มีหลักการที่ประสานแนบแน่นกับหลัก ดินแดนพันธสัญญาของพระเจ้า ตามพระคัมภีร์ไบเบิล จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะให้ยุทธวิธีดังกล่าว สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการจัดระบบการปกครองย่อย หรือ อาณานิคมแฝง เรียกตามภาษาโรมันคาทอลิกว่า มิชซัง กับ เขตปลดปล่อย ของคอมมิวนิสต์ นั้น เป็นอย่างเดียวกัน เหมือนกับน้ำในขวดที่เทออกมาใส่แก้ว ย่อมมีสภาพและมวลสารที่ไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด โรมันคาทอลิกได้จัดตั้งพื้นที่ของตนทั้งโดยถูกต้องกฎหมาย หรือผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถตั้งขอบเขต อาณาจักรของตนและใช้กฎหมายของตนขึ้นได้ ภาษาเฉพาะของคาทอลิกเรียกว่า ซึ่งเรียกว่า มิชซัง หรือ เขตปฏิบัติการ (ประเทศไทยได้ถูกแบ่งออกเป็นมิชซัง 10 เขต) ลักษณะดังกล่าวนี้ตามหลักของยุทธศาสตร์ เรียกว่า การแบ่งเขตยึดครอง และสามารถเทียบได้อย่างลงตัวกับการแบ่งเขตของ ลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยตรง ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์จะมีฐานบัญชาการเรียกว่า องค์การคอมมิวนิสต์สากล เทียบได้กับ สภาคริสต์จักรโลก (รายละเอียดจะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า) เขตมิชซัง เทียบได้กับ เขตงานคือพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อยึดอาณาเขตการปกครองของประเทศนั้น ๆ โดยใช้กฎหมายของตน ไม่ขึ้นกับกฎหมายของเจ้าของประเทศ เท่ากับเป็น เขตปลดปล่อย และจะประสานกันด้วยการปกครองแบบรวมศูนย์ รูปแบบการบริหาร การปกครองและ การดำเนินการของคอมมิวนิสต์เป็นเช่นไร คาทอลิกก็เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพื้นที่ของคาทอลิกในลักษณะนี้ จะมีกระจายกันไปทั่วโลก และลัทธิคอมมิวนิสต์ก็คือการพัฒนาไปจากระบบของคาทอลิก โดยนายคาร์ล มาร์กซ์ จากหลักฐานในเอกสารวิจัยเรื่อง สถานการณ์ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกาแลจีนหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย ครั้งที่ ๒ โดย นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันประเทศ ( วปอ.) ๓. มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อย สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างก.ย.๒๕๔๕ ก.ย.๒๕๔๖ ระบุว่า...... .....ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงของสังคมชาวอเมริกัน องค์กรที่อยู่เบื้องหลัง รัฐบาลสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุทธศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอันเป็นส่วนที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง ต่อการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบต่อประชาคมโลก ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างของรัฐบาลที่แท้จริงของสหรัฐอเมริกา หนทางที่ดีที่สุดที่จะรู้เรื่องยุทธศาสตร์และกิจกรรมต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาคือการรู้โครงสร้างที่แท้จริงทางสังคม และผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่พึ่งจะก่อตั้งขึ้นมาประมาณ ๒๐๐ ปีเศษ ซึ่งเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษทางตะวันตกที่ประกอบด้วยประเทศตะวันตกในอดีตหลายประเทศ ที่เป็นประเทศผู้ล่าอาณานิคม หลังจากที่ประเทศเหล่านั้นเสื่อมอำนาจลงผู้ที่อยู่อาศัยที่เป็นคนชั้นนำของประเทศ ก็ได้เคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งรกรากแห่งใหม่ในสหรัฐแห่งอเมริกา ( ชำระประวัติศาสตร์ไทย กรณีตุลาและพฤษภาทมิฬ โดย ศูนย์นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์และวรรณคดีสยาม ) ฉะนั้นประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเป็นประเทศที่เป็นแหล่งรวมของคุณลักษณะและบุคลิกลักษณะรวมทั้งอุดมการณ์ของ ผู้ล่าอาณานิคมเดิมอย่างเต็มเปี่ยม พื้นฐานโครงสร้างทางสังคมของสหรัฐอเมริกาจึงประกอบไปด้วย เฟดเดอรอลรีเสิร์ฟ ( Federal Reserve FED ) กลุ่มนักธุรกิจชาวยิว และกลุ่มผลประโยชน์ทางศาสนาคือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ( กลุ่มครูเสด ( Crusader Group) ที่ทำงานเพื่อศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ) ทั้งสามกลุ่มใหญ่ ๆ ในสังคมสหรัฐอเมริกาดังกล่าวนี้ได้ก่อตั้งและครอบครองธุรกิจขนาดใหญ่ของโลกมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่มีกลุ่มต่าง ๆ นี้ขึ้นมา ธุรกิจทั้ง ๖ ชนิดนั้นประกอบไปด้วย ๑) ธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม ๒) ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและยา ๓) ธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน ๔) ธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาวุธ ๕) ธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องการเงินและการธนาคาร และ ๖) ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก และรถยนต์ ซึ่งธุรกิจหลัก ๆ ทั้ง ๖ ธุรกิจดังที่กล่าวมาแล้วนั้นได้มามีบทบาทอย่างสำคัญต่อการเข้าครอบครอง โครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สังคมชาวอเมริกันและโครงสร้างทางรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริกาแผ่ขยายธุรกิจของตนออกไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกทำให้ธุรกิจเหล่านี้เข้าไปครอบงำธุรกิจต่าง ๆ ของโลกโดยปริยาย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกที่ไหลทะลักเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ ในนามของ ธุรกิจข้ามชาติมีอยู่มากมายดังที่ทราบกันดีในยุคปัจจุบัน ทำให้อิทธิพลของ FED นอกจากจะครอบงำสังคมอเมริกันแล้ว ยังครอบงำสังคมโลกโดยปริยายด้วยเช่นเดียวกัน..... ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อประการหลังคือ เมื่อคอมมิวนิสต์เข้าครอบครองประเทศทางอินโดจีนแล้ว ไม่มีการทำลายโบสถ์คริสต์แม้แต่โบสถ์เดียว ตรงกันข้ามกับทำลายวัดวาอารามของพุทธศาสนา นอกจากนั้น ก็มีหลักฐานเช่นเดียวกันว่าทหารสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ในสงครามต่อสู้คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย อีกทั้งผู้ที่เคยเข้าร่วมเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ภายหลังออกมาเป็น ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาจากสหรัฐฯ และได้กลับเข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทย อีกครั้งหนึ่งในยุคปัจจุบัน ( ๒๕๔๗ ) และทุกประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกกลายเป็นประเทศ ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอร์ด็อก ไปทั้งหมด ซึ่งก็ยังคงอยู่ในเครือข่ายของนิกายโรมันคาทอลิกอยู่ดี ถ้าเป็นเช่นนั้นกรณีหลังไม่น่าจะเป็นกลยุทธ์ จับโจรเอาหัวโจก น่าจะเป็น มีในไม่มี หรือ ปิดฟ้าข้ามทะเล หรืออะไรทำนองนั้น กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า ความหมายที่แท้ของกลยุทธ์นี้ คือให้โจมตีส่วนที่สำคัญที่สุดของข้าศึกเพื่อให้ได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิง ในการบัญชาการรบ จะต้องสันทัดในการขยายผลของการรบให้ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น อย่าได้ปล่อยโอกาส ที่จะได้รับชัยชนะให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด หากคิดง่าย ๆ แต่เพียงว่า ขอให้โจมตีข้าศึกถอยไปได้เท่านั้นก็พอใจแล้ว แต่ไม่ทำลายกำลังหลักของข้าศึก จับตัวผู้บัญชาการหรือทลายกองบัญชาการของข้าศึกให้ย่อยยับไปแล้ว ก็จะเหมือนดั่งปล่อยเสือเข้าป่า จักอันตรายไม่สิ้นสุดในภายหลัง ฉะนั้น หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 01:48:05 PM หนังสือเดิมชื่อ 36 กลยุทธ์ สับประยุทธ์ทุกปริมณฑน(อาจตก ๆ หล่นไปบ้างในชื่อเรื่องนะพี่) ข่าวดีคือ ผมมีหนังสือเล่มนี้ ข่าวร้ายคือ ถ้าเป็นของท่าน พันเอกโสภณ ศิริงาม อันนี้ผมไม่มีครับ ถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อ ๆ กลยุทธ์เดิม + บทสรุปของกลยุทธ์ว่าคืออะไร และมีตัวอย่างแบบโบราณสมัยก่อนนิดหน่อย ก็ยื่มได้ครับพี่ แต่ถ้าพี่หาเล่มของ พันเอกโสภณ ศิริงาม ผมก็ขอยืมจากพี่ละกัน ;D ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ ;Dเยี่ยมครับพี่ บทวิเคราะห์ตัวอย่างสมัยใหม่ แบบนี้คนอ่านรุ่นใหม่ก็พอนึกภาพตามออก......ถ้ามีลิ๊งให้ไปดูดละเยี่ยมเลยครับ...อ๋อใน 36 กลยุทธ์นี่ ผมชอบกลยุทธ์สุดท้ายครับ คือ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์" เพราะหากคนเรารู้จักประมาณตนไม่ดื้อดึง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ ยอมถอยออก เพื่อตั้งหลัก ก็ย่อมมีโอกาศแก้ตัวได้ใช้กลยุทธ์ที่เหลืออีก 35 กลยุทธ์ได้ในภายภาคหน้า ;Dสำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดย พันเอกโสภณ ศิริงาม ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ ผมไม่มีหนังสือหรอกครับ คัดลอกมาจากเวปบอร์ดนี้ครับ http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=336&VIEW=1318 สถานการณ์ปัจจุบันนี้ให้ทายว่า ใครจะใช้กลยุทธ์สุดท้าย อิ อิ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๐ กวนน้ำจับปลา เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 02:16:44 PM ส่วนที่ ๔ กลยุทธ์ติดพัน
เมื่อเกิดศึกชุลมุน พึงตีหัวใจเป็นสำคัญ ลวงข้าศึกให้หย่อนการป้องกัน สยบข้าศึกด้วยอ่อนพิชิตแข็ง กลยุทธ์ที่ ๒๐ กวนน้ำจับปลา ศัตรูปั่นป่วนภายใน พึงเอาประโยชน์เพราะไร้สติ ให้คล้อยตามเรา ดุจดั่งต้องหลับนอนยามค่ำ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนในกองทัพของตน เราจักต้องฉวยโอกาสความวุ่นวาย มิรู้ที่จะทำประการใดของข้าศึก แย่งยึดเอาผลประโยชน์มา หรืออีกนัยหนึ่ง เอาชัยจากความปั่นป่วน ดุจดังพายุฝนกระหน่ำยามค่ำคืน ที่ต่ำก็จักขังน้ำ ผู้คนจักเข้าสู่นิทรารมณ์ อันเป็นปกติวิสัยของธรรมชาติ และมนุษย์ กวนน้ำจับปลา ก็คือกวนน้ำให้ขุ่น ให้ปลางุนงง ลงจับก็ง่าย อันนับเป็นกลยุทธ์ฉวยโอกาส เข้าตีเอาชัย เมื่อข้าศึกกำลังชุลมุนปั่นป่วนอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ใน จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติฮวนเหนือ ,มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้ ในราชการสมัยของพระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ถัง นับตั้งแต่ปีที่ ๔ ถึงปีที่ ๑๓ ของรัชกาลเสียนจง (ค.ศ. ๗๑๖ ๗๒๕) อันเป็นเวลานาน ๑๐ ปี ฮวนเผ่าชี่ตันกับเผ่าซีแม้จะเปลี่ยนหัวหน้าเผ่ามาถึง ๕ คน ก็ยังส่งเครื่องบรรณาการมาถวายราชสำนักถึงตลอดมา พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้จึงยกธิดาของอันเฉิงกงจู่ ชื่อเหว่ยสื้อ ให้เสกสมรสกับหลี่หลู่ซูหัวหน้าเผ่าซี และยก พระภาคิไนยตงหวากงจู่ เสกสมรสให้กับหลี่ส้าวกู้ หัวหน้าเผ่าซี่ตัน ครั้นถึงปีที่ ๑๕ แห่งรัชกาลเสียนจงฮ่องเต้ หลี่ส้าวกู้ก็ให้ขุนพลเคอทูข่านเป็นทูตนำเครื่องบรรณาการ มาถวายแด่ราชสำนักถังยังเมืองหลวงฉางอัน หน้าตาของเคอทูข่านอัปลักษณ์นัก หน้าผากโหนก ตาโปน หน้าดำ หนวดเหลือง ขาทั้งสองก็เกเดินขากางเพราะขี่ม้าอยู่เสมอมา หลี่หยวนหง ก็รู้สึกขำ อดไว้มิได้ จึงหัวเราะออกเสียง จนได้ยินกันไปทั่วทั้งท้องพระโรง เคอทูข่านรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ก็มิกล้าที่จะแสดงความโกรธเกรี้ยวให้ประจักษ์ ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ คิดอาฆาตในใจอย่างรุนแรง หลี่หยวนหงมิใช่แต่จะมิรู้สำนักผิดที่เสียมารยาทต่อทูต หลังเลิกเฝ้าออกขุนนางแล้ว หากมิตำหนิว่า เครื่องบรรณาการน้อยเกินไป ก็มักจะพูดหัวเราะเยาะว่ารูปร่างหน้าตาของเคอทูข่านช่างผิดมนุษย์นัก เคอทูข่านจึงยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นหนักขึ้น ก่อนเดินทางออกจากนครฉางอัน ก็สาบานว่าจะกลับมาแก้แค้น ในความอับอายครั้งนี้ให้จงได้ ความรู้ไปถึงหูของจางซ่อผู้รู้เรื่องราวของชายแดนดี จึงกราบทูลเสียนจงฮ่องเต้ว่า เคอทูข่านกลับไปคราวนี้ เห็นทีเผ่าชี่ตันจักแข็งข้อเป็นแน่แท้ แต่เสียนจงฮ่องเต้มิทรงเห็นเป็นเช่นนั้น เมื่อเคอทูข่านแบกความอัปยศกลับไปยังบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ยุยงให้หลี่ส้าวกู้แข็งอำนาจต่อราชวงศ์ถัง เป็นหลายครั้ง แต่หลี่ส้าวกู้เกี่ยวดองเป็นประยูรญาติกับราชวงศ์ถังแล้ว จึงมิคิดจะทำการใดให้เกิดเหตุ อันจะเป็นที่ระคายเคือง ต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ๒ ฝ่าย เคอทูข่านยุหลี่ส้าวกู้อยู่ ๒ ปี ไม่สำเร็จ ก็แค้นใจจับหลี่ส้าวกู้ฆ่าเสียแล้วตั้งให้ ชี่เลี้ยขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าแทน ทั้งข่มขู่บังคับให้เผ่าซีมาร่วมแข็งอำนาจ พร้อมกับซี่ตันด้วย ตงหวากงจู่ภรรยาของหลี่ส้าวกู้ กับหลี่หลู่ซูหัวหน้าเผ่าซีและภรรยา เห็นเคอทูข่านกบฏ ฆ่าเจ้านายของตนได้ลงคอก็รีบหนีไปยังเมืองซิวโจว (ปักกิ่งในปัจจุบัน) จ้าวหานจางเจ้าเมืองซิวโจว จึงรีบมีหนังสือแจ้งข่าวไปยังเมืองหลวง พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้กลับเห็นไปว่า ชายแดนแถบนี้สงบสุขมาช้านานที่เคอทูข่านฆ่า หลี่ส้าวกู้ เป็นเพียงกรณีพิพาทภายใน อันเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของเผ่าซี่ตันเอง คงจะมิบังอาจแตะต้อง อาณาจักรของราชวงศ์ถังเป็นแน่ จึงเพียงแต่มี พระราชโองการให้เจ้าเมืองซิวโจวจ้าวหานจาง ส่งทหารออกปรามมิให้เหตุการณ์ลุกลามขยายตัวออกไปเท่านั้น จ้าวหานจางจึงยกทัพออกปราบ เคอทูข่านกับซี่เลี้ยหัวหน้าเผ่าสู้ไม่ไหวก็หลบหนีหัวซุกหัวซน ส่วนเผ่าซีซึ่งความจริง มิคิดจะก่อเรื่องอยู่แล้ว ก็ยอมสยบแต่โดยดี แต่เคอทูข่านแม้จะต้องได้รับความพ่ายแพ้ถึงกระทั่งต้องหลบหนีกระเจิดกระเจิง ทว่าในใจหาได้ยอมจำนนไม่ คิดแต่ว่าแค้นนี้ต้องชำระ จึงบุกป่าฝ่าดงด้วยลำพังตัวคนเดียว ตระเวนไป รวบรวมชาวชี่ตันให้เป็นกลุ่มก้อนเข้าอีก จึงได้ไพร่พลนับด้วยหมื่น ตั้งเป็นกองทัพขึ้นมาใหม่ แล้วยกเข้าบุกดินแดนของราชวงศ์โดยมิเกรงกลัว ในขณะนั้น เจ้าเมืองซิวโจวเปลี่ยนเป็นเซี่ยฉู่อี้ลูกชายคนที่ ๒ ของเซี่ยเหรินกุ้ย (ซิยิ่นกุ้ย) จึงส่งรองแม่ทัพ มีเก้ออิงเจี๋ย กับอู๋เค่อฉิน นำพลหมื่นคนไปสกัดเคอทูข่าน ณ เมืองหยีกวาน (ในเขตซานไห่กวาน มณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน) เผ่าฮวนซีแม้จะสยบด้วยจ้าวหานจางมาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความที่เป็นฮวน เยี่ยงเดียวกันกับเผ่าชี่ตัน เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันมาอย่างใกล้ชิดช้านาน เยื่อใยที่เคยมีมาแต่กาลก่อน ก็หาได้ขาดสะบั้นลงไปไม่ ครั้งต้องติดตามทัพราชวงศ์ถังมาปราบเคอทูข่าน ก็มิใคร่อยากจะรบด้วย เมื่อ ๒ ทัพ เผชิญกัน ชาวเผ่าซีก็ฉวยโอกาสหนีทัพไปเสียเป็นอันมาก จึงทำให้ทัพถึงชุลมุนวุ่นวาย เคอทูข่านจึงฉวยโอกาส เข้าตีอย่างไม่ยั้งมือ เก้ออิงเจี๋ยกับอู๋เค่อฉินถูกทหารซึ่งกำลังปั่นป่วนชนจนตกจากหลังม้า จึงถูกไพร่พลของชี่ตัน สับจนเละทหารถังที่รอดชีวิตไปได้ จึงนำความไปแจ้งเซี่ยฉู่อี้ เซี่ยฉู่อี้จึงมีหนังสือแจ้งเข้าไปยังเมืองหลวง พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้ทรงทราบถึงความพ่ายแพ้ ก็ให้ตกพระทัยจึงมีพระราชโองการให้ขุนพลจางโส่วกุ้ย ไปเป็นแม่ทัพเมืองซิวโจว เพื่อปราบเผ่าฮวนชี่ตันที่กำเริบอยู่ จางโส่วกุ้ยอ่านตำราพิชัยสงครามมาแต่เด็ก ชำนาญในกลศึกยิ่งนัก เมื่อมาถึงเมืองซิวโจวแล้ว ก็ปรับปรุงฝึกฝนไพร่พลอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเสริมกำแพงเมือง ให้สูงขึ้นและหน้าขึ้น ขุดดูรอบเมืองและตั้งป้อมค่ายอยู่ทั่วไปเคอทูข่านได้พยายามเข้าตีเมืองซิวโจวเป็นหลายครั้ง แต่ก็ถูกจางโส่วกุ้ยตีถอยทุกครั้งไป เคอทูข่านเห็นว่าจะหักด้วยกำลังคงจะไม่สำเร็จ จึงวางกลอุบายส่งทูตฝีปากดีคนหนึ่ง ขอเข้าพบแม่ทัพจางโส่วกุ้ย เพื่อประวิงเวลาหาอุบายต่อไปจางโส่วกุ้ยนึกหัวเราะอยู่ในใจว่า แข็งไม่ได้ มาไม้อ่อน ครั้นแล้วจึงสั่งให้เตรียมการ ระมัดระวังให้ดี เปิดประตูเมือง ปล่อยสะพานหกลงรับทูตของเคอทูข่านเข้าเมือง ให้นำตัวเข้ามาพบเจรจาความ ยังจวนแม่ทัพ ทูตของเคอทูข่านเมื่อเข้าเมืองมา ก็รู้สึกประหม่า รำพึงว่า ในเมืองป้องกันเข้มแข็งนัก คงจะได้รับการฝึกมาอย่างดีเป็นแน่ มิน่าเล่า เคอทูข่านจึงตีเมืองไม่แตกจนแล้วจนรอด เมื่อเข้าพบจางโส่วกุ้ย จางโส่วกุ้ยจึงถามว่า สองประเทศเรารบกันอยู่ท่านทูตมาวันนี้ ด้วยเหตุอันใดหรือ? ทูตชี่ตันจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งมาจากท่านชี่เลี้ยหัวหน้าเผ่าของเรา ให้มาขอยอมแพ้ด้วยท่าน ขุนพลเคอทูข่านแห่งชี่ตันลุแก่โทสะ บุกอาณาจักรถังมาหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้มาหลายครั้งราษฎรทั้งหลาย ต่างไม่พอใจเป็นอันมาก บัดนี้ ยังมาล่วงล้ำซิวโจวอีกเล่า ชาวชี่ตันจงประฌามเขาเป็นเสียงเดียวกัน เคอทูข่านจึงได้สำนึก หากท่านมิเอกโทษถึงตายแก่เขา ก็จะยอมสวามิภักดิ์ด้วยราชสำนักถัง มิคิดจะล่วงเกินด้วยตลอดไป ขอให้ท่านแม่ทัพจงอภัยแก่เราเผ่าชี่ตัน ทั้งขอให้แจ้งไปยังเมืองหลวง ให้ฮ่องเต้ทรงทราบ จางโส่วกุ้ยรู้ดีว่า ทูตชี่ตันมาคราวนี้ก็เพื่อสืบสภาพความเป็นไปในค่ายของตนและประวิงเวลาใช้กลอุบายอย่างอื่น หาได้คิดมายอมสวามิภักดิ์ด้วยอย่างเต็มใจไม่ แต่แสร้งทำเป็นพาชื่อตอบไปว่า ทั้ง ๒ ฝ่ายคืนดีต่อกัน ก็เป็นความปรารถนาของฝ่ายเราตั้งแต่องค์ฮ่องเต้ลงมาจนถึงราษฎร ในเมื่อหัวหน้าที่จะสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ถัง ข้าพเจ้าก็จักกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบต่อไปพร้อมกันนั้น ข้าพเจ้าก็จะส่งคนไปเยี่ยมเยียนเผ่าท่าน เพื่อปลอบขวัญ มิให้วิตกกังวล ฝ่ายท่านก็ควรจักถอยทัพกลับไปทำมาหากินตามปกติโดยเร็ว ครั้นแล้ว จางโส่วกุ้ยก็สั่งให้หวางหุ่ยและก่วนจี้เป็นทูตแทนราชวงศ์ถังไปปลอบขวัญเผ่าชี่ตัน เมื่อเข้าไปยังที่พักของเคอทูข่าน เคอทุข่านก็แสร้งทำเป็นต้อนรับด้วยความยินดี ให้แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่ รินเหล้าคารวะแก่ทูตทั้งสอง หวางหุ้ยสังเกตเห็นว่า บางคนก็ให้ความคารวะอย่างจริงใจ แต่บางคนก็ทำอย่างเสียไม่ได้ พร้อมทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแสดงอาการไม่พอใจออกนอกหน้าในหมู่แม่ทัพนายกองของเผ่าชี่ตันทั้งหลาย บางคนก็มีความประสงค์ที่จะสงบศึกจริงๆ ไม่เห็นชอบด้วยที่เคอทูข่านก่อเรื่อง รบราฆ่าฟันกับราชวงศ์ถัง เป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว เมื่อรู้ว่างานเลี้ยงเป็นเพียงการตบตาก็ให้รู้สึกหวั่นใจ เกรงว่าทูตทั้งสองจักเป็นอันตราย ด้วยความเหี้ยมโหดของเคอทูข่าน เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ในขณะที่ไพร่พลชี่ตันจุดโคมนำหวางหุ่ยไปยังที่พัก บังเอิญทหารคนหนึ่งของชี่ตัน รู้จักกับหวางหุ่ย จึงเล่าให้ฟังว่า ขุนพลหลี่กว้อเจ๋อซึ่งคุมกำลังพลม้าของเผ่าชี่ตันนั้น ไม่ถูกกับเคอทูข่านกัดกันจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วจึงฉวยโอกาสจัดการกับเคอทูข่านเสีย ปราบการแข็งข้อของเผ่าชี่ตันให้ราบคาบโดยเร็ว ในระหว่างที่อยู่ในค่ายของชี่ตัน หวางหุ่ยก็จงใจใกล้ชิดสนิทสนมกับ หลี่กว้อเจ๋อ พร้อมกับยกย่องความเก่งกาจของเคอทูข่าน และว่าพวกขุนนางแห่งราชวงศ์ถังต่างก็นิยมชมชอบ ในตัวเคอทูข่านเป็นอย่างยิ่ง เพื่อยั่วยุให้หลี่กว้อเจ๋อเกิดความริษยา หลี่กว้อเจ๋อก็หลงกล ตบโต๊ะพลางพูดขึ้น ด้วยความขุ่นเคืองว่า เคอทูข่านฆ่าหัวหน้าเผ่าเรา ซ้ำยังแข็งข้อต่อราชวงศ์ถัง ก่อให้เกิดศึกในครั้งนี้ขึ้น ทำให้ชาวชี่ตันและเผ่าซีต้องรับทุกข์จากสงครามจนเดือดร้อนกันทั่วหน้า ชาวเผ่าชี่ตันเราต่างพากัน ด่าว่าอย่างเหลืออดแล้ว ไฉนพวกท่านจึงพึงพอใจในตัวมันอีกเล่า ? หวางหุ่ยก็แสร้งทำเป็นตกใจ กล่าวว่า เรื่องนี้ข้าพเจ้ามิได้รู้เรื่องเลยหากการณ์เป็นไปดังที่ท่านขุนพลว่า เหตุไฉนหัวหน้าเผ่าชี่เลี้ยจึงยังทนต่อเคอทูข่านได้อีก? หลี่กว้อเจ๋อจึงบอกว่า ชี่เลี้ยเป็นหัวหน้าเผ่าก็จริงอยู่ แต่ก็ด้วยการแต่งตั้งของเคอทูข่านนั้นดอก หาได้มีอำนาจอย่างใดไม่ ทุกวันนี้ก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจอยู่ในอก มิกล้าเอ่ยปากพูด หวางหุ่ยก็แสดงความเห็นใจ ยั่วยุหลี่กว้อเจ๋อซ้ำเข้าไปอีกว่า ท่านก็เป็นขุนพลคนเกล้า เหตุไฉน จึงยังรีรออยู่มิคิดแก้ไข ความสามารถของท่านก็หาน้อยหน้าผู้ใดไม่ หากท่านขจัดเคอทูข่านได้ ข้าพเจ้าก็ยินดี จะกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ท่านก็จักมีความดีความชอบมิมีผู้ใดเสมอเหมือน หลี่กว้าเจ๋อได้ฟังคำของหวางหุ่ย เห็นตรงกับความในใจของตนมาแต่เดิมก็ให้รู้สึกมีความยินดี ลุกขึ้นยืนคำนับ กล่าวแก่หวางหุ่ยว่า ข้าพเจ้าหลี่กว้อเจ๋อเป็นชายชาตรีสูง ๗ เชียะมิได้เป็นรองผู้อื่น หาได้เกรงกลัวเจ้าถ่อยคนนั้นไม่ หากได้ท่านเมตตาอีกแรงหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จักขจัดเคอทูข่านให้ท่านได้ประจักษ์แก่สายตา! ดังนั้น หลี่กว้อเจ๋อกับหวางหุ่ยก็ลักลอบปรึกษาหาอุบายแก่กันและกันจนเป็นที่ตกลง หวางหุ่ยก็ทราบข่าวในเวลาต่อมาอีกว่า เคอทูข่านกำลังส่งคนไปติดต่อกับเผ่าฮวนทู่เจี๋ย คิดจะยืมทหารทู่เจี๋ยไปร่วมกันตีเมืองซิวโจว หวางหุ่ยจึงให้รู้สึกคับขันนัก ขืนรั้งอยู่กับเผ่าชี่ตันต่อไปเห็นทีจะไม่เป็นการ จึงหาทางบอกลาชี่เลี่ย เดินทางกลับไปยังซิวโจวโดยเร็ว ในคืนวันที่ ๒ หลังจากหวางหุ่ยเดินทางกลับแล้ว หลี่กว้อเจ๋อก็นำไพร่พลของตน ทะลวงเข้าไปในค่ายของเคอทูข่าน เคอทูข่านมิได้ระมัดระวังตัว มิหนำซ้ำยังเมามายไม่ได้สตินอนหลับสนิท หลี่กว้อเจ๋อจึงตัดคอเคอทูข่านเสียในทันที ชี่เลี้ยซึ่งมากินเหล้าอยู่กับเคอทูข่าน ก็พลอยถูกหลี่กว้าเจ๋อสังหารเสียด้วยในหมู่เผ่าชนชี่ตัน จึงเกิดโกลาหลกันไปทั้งกองทัพ ผู้ใกล้ชิดของเคอทูข่านและพวกขุนพลของเผ่าชี่ตันทั้งหลาย เห็นเคอทูข่านกับชี่เลี้ยถูกฆ่าตาย ต่างก็รวบรวมกำลัง ต้านทานหลี่กว้อเจ๋ออย่างสุดความสามารถหลี่กว้อเจ๋อยามปกติก็ถือดีทะนงตน ใช้อำนาจอย่างไรความเป็นธรรม จึงมิได้เป็นที่ชอบพอแก่ไพร่พลของชี่ตันเท่าใดนัก ในที่สุด ขุนพลของเคอทูข่านคนหนึ่งชื่อเนี่ยหลี่ซึ่งเข้มแข็งกว่าผู้อื่น ก็ตีกำลังของหลี่กว้าเจ๋อจนแตกพ่ายหลี่กว้าเจ๋อถูกเนี่ยหลี่จับตัวได้ ก็ให้ตัดคอหลี่กว้อเจ๋อตายตกตามเคอทูข่านและชี่เลี้ยไป หวางหุ่ยกลับถึงเมืองซิวโจว ก็แจ้งเรื่องที่ตกลงกับหลี่กว้อเจ๋อกับข่าวที่เคอทูข่านจะยืมทหารของทู่เจี่ยมาตีเมืองซิวโจว ให้จางโส่วกุ่ยทราบ จางโส่วกุ้ยจึงเรียกประชุมขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองซิวโจวปรึกษาหารือเรื่องยกทัพปราบเผ่าชี่ตัน จึงตกลงกันว่า ทางหนึ่ง ให้เสริมการป้องกันเมืองซิวโจวให้แข็งขันขึ้นเพื่อความไม่ประมาท ทางหนึ่ง จางโส่วกุ้ยก็นำทัพไปสนับสนุน หลี่กว้อเจ๋อตามที่ตกลงกันไว้ แต่ครั้นเมื่อจางโส่วกุ้ยยกทัพไปถึงค่ายของเผ่าชี่ตัน ก็ได้ข่าวว่าเคอทูข่านกับหลี่กว้าเจ๋อถูกฆ่าตายทั้งคู่ ทัพถึงจึงฉวยโอกาสที่เผ่าชี่ตันขาดหัวหน้า ไล่ฆ่าฟันไพร่พลชี่ตันซ้ำเติมจนระส่ำระสายไปทั้งกองทัพมิเป็นอันสู้รบ จนเนี่ยหลี่ก็ถูกจับเป็น เนี่ยหลี่จึงกล่าวแก่จางโส่วกุ้ยว่า หลี่กว้อเจ๋อป่าเถื่อนไร้คุณธรรม ไพร่พลทั้งหลายมิยอมขึ้นด้วย จึงได้พร้อมใจกันสังหารเสีย มิใช่เป็นผู้ใดสั่งความบัดนี้ชี่เลี้ยก็ตายแล้ว เราก็ขาดหัวหน้า ซ้ำก็เบื่อหน่ายในการศึกเป็นกำลัง จึงคิดจะขอสงบศึก มิแข็งข้อต่อราชวงศ์ถึงอีกต่อไป จางโส่วกุ้ยจึงปล่อยเนี่ยหลี่เป็นอิสระ เมื่อเผ่าชี่ตันไร้พิษสงอันใดแล้วชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์ถัง ก็สงบราบคาบมานานปี กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า ปลาไม่เห็นทิศทางเมื่อน้ำขุ่น คนแยกจริงเท็จไม่ออกยามชุลมุน จึงเกิดช่องว่างอันมากหลายที่จะเอาประโยนช์ได้ กวนน้ำจับปลา ย่อมหมายถึงในสงครามชุลมุนแห่งการแก่งแย่งอำนาจกันนั้น ควรฉวยโอกาสใช้กำลังที่อ่อนแอ ให้คล้อยตามความประสงค์ของตน ที่สำคัญคือเอาเท็จพรางจริง กวนน้ำให้ขุ่นโดยเจตนา แล้วรีบซ้ำเติมเอาชัยแก่ศึกเสีย ดังนี้ หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 02:43:57 PM หนังสือเดิมชื่อ 36 กลยุทธ์ สับประยุทธ์ทุกปริมณฑน(อาจตก ๆ หล่นไปบ้างในชื่อเรื่องนะพี่) ข่าวดีคือ ผมมีหนังสือเล่มนี้ ข่าวร้ายคือ ถ้าเป็นของท่าน พันเอกโสภณ ศิริงาม อันนี้ผมไม่มีครับ ถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อ ๆ กลยุทธ์เดิม + บทสรุปของกลยุทธ์ว่าคืออะไร และมีตัวอย่างแบบโบราณสมัยก่อนนิดหน่อย ก็ยื่มได้ครับพี่ แต่ถ้าพี่หาเล่มของ พันเอกโสภณ ศิริงาม ผมก็ขอยืมจากพี่ละกัน ;D ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ ;Dเยี่ยมครับพี่ บทวิเคราะห์ตัวอย่างสมัยใหม่ แบบนี้คนอ่านรุ่นใหม่ก็พอนึกภาพตามออก......ถ้ามีลิ๊งให้ไปดูดละเยี่ยมเลยครับ...อ๋อใน 36 กลยุทธ์นี่ ผมชอบกลยุทธ์สุดท้ายครับ คือ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์" เพราะหากคนเรารู้จักประมาณตนไม่ดื้อดึง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ ยอมถอยออก เพื่อตั้งหลัก ก็ย่อมมีโอกาศแก้ตัวได้ใช้กลยุทธ์ที่เหลืออีก 35 กลยุทธ์ได้ในภายภาคหน้า ;Dสำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดย พันเอกโสภณ ศิริงาม ๑๒ เมษายน ๒๕๔๗ ผมไม่มีหนังสือหรอกครับ คัดลอกมาจากเวปบอร์ดนี้ครับ http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=336&VIEW=1318 สถานการณ์ปัจจุบันนี้ให้ทายว่า ใครจะใช้กลยุทธ์สุดท้าย อิ อิ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๑ จักจั่นลอกคราบ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 02:59:43 PM กลยุทธ์ที่ ๒๑ จักจั่นลอกคราบ
คงโครงรูป จบกระบวนท่า มิตรมิแคลง ศัตรูมิเคลื่อน เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า รักษาไว้ซึ่งแนวรบเยี่ยงเดิม ให้ดูน่าเกรงขามเหมือนเก่า ฝ่ายมิตรก็มิสงสัย ฝ่ายข้าศึกก็มิกล้าผลีผลาม ครั้นแล้ว จึงถอนตัวอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังหลักให้หลบเลี่ยงไป เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง คำนี้มาจาก คัมภีร์อี้จิง ลวง เลี่ยง ก็คือหลบหลีก ลวง ก็คือ ทำให้งงงวยนี้นับเป็นกลยุทธ์ถอยทัพอย่างไม่กระโตกกระตาก เพื่อเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้หรือหลีกเลี่ยง ความสูญเสียอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ใน บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติตระกูลหาน มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ยุคจ้านกว๋อ ในปีที่ ๑๖ ของซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน ซึ่งตรงกับตันปี ที่ ๘ ของ ฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน (๓๑๗ปีก่อนคริสตกาล) จางอี๋ เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉิน ส่วนแคว้นฉี แคว้นฉู่ แคว้นเอี้ยน แคว้นหาน แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย รวม ๖ แคว้นด้วยกัน ได้ตกลงร่วมกำลังกันเพื่อต่อต้านแคว้นฉิน ภายใต้การโน้มน้าวใจของซูฉิน นักการทูตสัญจร แต่ครั้นเมื่อเยนเหวินกงแห่งแคว้นเอี้ยนถึงแก่อายุขัย อี้อ๋องบุตรชายขึ้นครองอำนาจแทน ทางฉีซวนอ๋องแห่งแคว้นฉีก็ละเมิดคำสัญญา ฉวยโอกาสที่แคว้นเอี้ยนยังอยู่ในความทุกข์โศกไม่เรียบร้อย บุกตีแคว้นเอี้ยน จนได้ ๑๐ หัวเมืองใหญ่ไปครอบครองติดต่อกัน ในขณะนั้นซูฉินกำลังอยู่ในแคว้นเอี้ยน อี้อ๋องจึงขอให้ซูฉินเดินทางไปแคว้นฉี เพื่อให้แคว้นฉีคืน ๑๐ หัวเมือง ที่ยึดไปให้กับแคว้นเอี้ยนตามเดิม ซูฉินจึงไปแคว้นฉีตามคำขอร้องของ อี้อ๋อง จางอี๋ได้ข่าวนี้ ก็รู้ว่านโยบาย รวมกำลังต่อต้านแคว้นฉินของซูฉิน จะต้องล้มเหลวลงในไม่ช้า ก็ออกจากแคว้นฉินไปแคว้นเว่ย เกลี้ยกล่อมให้ แคว้นเว่ยสวามิภักดิ์ด้วยแคว้นฉิน เพื่อทำลายแผนการรวมกำลังของซูฉินเสีย เซียงอ๋องแห่งแคว้นเว่ยสองจิตสองใจ แต่ก็มิยอมคล้อยตามคำข่มขู่ของจางอี๋ในที่สุด ฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉินจึงบันดาลโทสะที่แคว้นเว่ยมิยอมค้อมหัวแก่ตนโดยดี จึงยกพลรุกเข้าแคว้นเว่ย ยึดเอาเมืองชี่ว่อ (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ของเว่ยได้ และฉวยโอกาสความฮึกเหิมต่อชัยชนะ บุกเข้ารังควาน แคว้นหานอีกแคว้นหนึ่ง แคว้นหานมิใช่คู่ต่อสู้ของแคว้นฉิน ก็พ่ายแพ้เสียหายหนักขุนพลแคว้นหาน ๒ คนชื่อหยีโซ่ว กับเซินชา ถูกจับเป็นที่กวนเจ๋อ (ในมณฑลเหอ หนานปัจจุบัน) เมื่อข่าวความพ่ายแพ้แพร่ไปถึงเมืองหลวงซินเจิ้น (ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) ของแคว้นหาน ซวนฮุ่ยอ๋อง ก็ตกใจเป็นที่ยิ่ง จึงเรียกขุนนางทั้งหลายมาปรึกษาหารือ กงจ้งฉื่นอัครมหาเสนาบดีจึงเสนออุบายขึ้นมาว่า บัดนี้พันธมิตรที่เคยทำข้อตกลงร่วมกันมาแต่กาลก่อน จักหวังพึ่งมิได้แล้วแม้เราจะมีข้อสัญญากับแคว้นฉู่ แต่แคว้นฉู่ก็ไม่แน่ว่าจะส่งกองทัพมาช่วยเรารบกับแคว้นฉิน อันแคว้นฉินนั้น นับแต่ซางเอียงได้ปรับปรุง ราชการแผ่นดินเป็นต้นมา ก็นับวันเข้มแข็งยิ่งขึ้น และหมายใจจะตีเอาแคว้นฉู่มาช้านาน ตามความเห็นของข้าพเจ้า เรามิสู้เจรจาสงบศึกกับแคว้นฉิน ยอมเสียเมืองให้สักเมืองหนึ่ง และให้อาวุธยุทโธปกรณ์ไปสักจำนวนหนึ่งให้แคว้นฉิน มุ่งไปตีแคว้นฉู่ทางใต้ ให้ไฟสงครามลามไหม้ไปยังแคว้นฉู่เสีย ด้วยประการฉะนี้ความคับขันภัยพิบัติแห่งแคว้นหานเรา ก็จักแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ ซวนฮุ่ยอ๋องมิรู้ที่จะคิดเป็นประการใดอีก จึงจำใจต้องเห็นด้วยกับกงจ้งฉื่อ และให้กงจ้งฉื่อ ลงมือดำเนินการโดยพลัน กงจ้งฉื่อก็นำหนังสือของซวนฮุ่ยอ๋อง เตรียมตัวไปเจรจากับแคว้นฉินแต่ยังมิทันจะได้ออกเดินทาง แคว้นฉู่ก็ได้ข่าวในเรื่องนี้ ทางไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่จึงคิดว่า หากปล่อยให้ฉินกับหานตกลงกันได้ ปลายหอกก็จะพุ่งมาทางแคว้นฉู่เป็นแม่นมั่น จึงเรียกเฉินเจิ่นอัครมหาเสนาบดีของตนมาพบ เพื่อปรึกษาอุบายตอบโต้กับแผนของแคว้นหาน อันเฉินเจิ่นนั้น เดิมทีเป็นนักการทูตสัญจรซึ่งช่วยราชการร่วมกับจางอี๋อยู่กับฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน แต่จางอี๋ริษยาในสติปัญญาของเฉินเจิ่นจึงมักใส่ความเฉินเจิ่นต่อหน้าฮุ่ยเหวินอ๋องอยู่เสมอ ๆ ฮุ่ยเหวินอ๋อง จึงโปรดปรานในจางอี๋ แต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดี เฉินเจิ่นเห็นมิเป็นการ จึงออกจากแคว้นฉิน ไปอยู่กับไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่ เมื่อได้ถูกเรียกตัว ก็นึกรู้ว่าคงจะเป็นเรื่องการสงบศึกระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหาน จึงรีบเข้าไปพบตามความประสงค์ ไหวอ๋องจึงถามเฉินเจิ่นว่า เรื่องที่ฉินกับหานจะเจรจากันนั้น เฉินเจิ่นเห็นว่าควรจะทำประการใดดี เฉินเจิ่นจึงกล่าวว่า ที่แคว้นฉินจักตีแคว้นฉู่ของเรานี้ หาได้เพิ่งจะมาคิดในวันสองวันนี้ไม่ แต่มีมาช้านานแล้ว บัดนี้ ฉินก็จะได้ดินแดนของ แคว้นหานไปครองไว้เมืองหนึ่ง ซ้ำยังจะได้อาวุธยุทโธปกรณ์อีกมากหลาย ทั้งข้าพเจ้าก็ฟังมาว่า แคว้นหานยังแสดงว่า ยินดีจะส่งกองทัพมาช่วยแคว้นฉินตีแคว้นฉู่เราอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่แคว้นฉินตั้งความประสงค์มาหลายเพลาแล้ว เมื่อการสำเร็จดังคิด แคว้นฉินก็คงจะกรีฑาทัพมาตีแคว้นฉู่ในไม่ช้า ไหวอ๋องจึงว่า ที่ท่านพูดตรงกันกับที่เราคิด จึงเชิญท่านมาปรึกษาท่านจะมีอุบายแก้ความคับขันของแคว้นเราดังที่ท่านกล่าวมาหรือไม่ประการใด? เฉินเจิ่นจึงกล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านอ๋องควรจะออกประกาศให้ทราบทั่วไปในแผ่นดิน แจ้งว่า แคว้นฉู่กับแคว้นหานเคยทำสัญญาร่วมต่อต้านแคว้นฉินด้วยกัน อันที่จริงก็เป็นพันธมิตรกันอยู่ บัดนี้ แคว้นหานถูกแค้นฉินโจมตี แคว้นฉู่จึงมีหน้าที่ต้องไปช่วย ในขณะเดียวกัน ก็ควรจะจัดกำลังแม่ทัพนายกอง ยกไพร่พลไปตามเส้นทางสู่แคว้นหาน ให้ผู้คนทั้งหลายทราบทั่วกันว่า แคว้นฉู่กรีฑาทัพไปช่วยแคว้นหาน ตามข้อสัญญา พร้อมกันนั้นก็ให้แต่ทูตไปด้วยคนหนึ่ง นำของขวัญอย่างดี รวมทั้งเสบียงอาหารและ โค แกะ ไปปลอบขวัญทหารของแคว้นหาน ให้แคว้นหานเชื่อว่า แคว้นฉู่ยกกำลังไปช่วยแคว้นหานจริง ให้แคว้นหาน ไว้วางใจในแคว้นฉู่เรา ไม่ยกทัพไปช่วยแคว้นฉิน มาตีแคว้นฉู่ ถึงแม้จะยกทัพไปแล้วก็จะลังเล รบแต่พอเป็นพิธี ดังนี้ การคุกคามต่อแคว้นฉู่ก็จะลดน้อยถอยลงเป็นอันมาก ในเมื่อแคว้นหานไม่สมัครสมานด้วยแคว้นฉินแล้ว แคว้นฉินก็จักโกรธ อาฆาตแค้นในแคว้นหาน ซึ่งแต่เดิมมา แคว้นหานก็ดูหมิ่นแคว้นฉินเป็นทุนอยู่แล้ว บัดนี้กลับมาคืนดีกับเราก็ย่อมจะยิ่งมองแคว้นฉินไม่ขึ้น กระนี้แล้ว ใช่แต่ฉินกับหานจะรวมทัพกันไม่สำเร็จ ยังอาจจะถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันด้วยซ้ำไป ! ไหวอ๋องได้ฟังความเห็นของเฉินเจิ่นแล้ว ก็รู้สึกพอใจ พยักหน้ารับเป็นหลายครั้งว่า ดี! ดีจริงๆ ! จงทำตามที่ท่านว่านี้เถิด! ดังนั้น ไหวอ๋องจึงออกประกาศให้ทวยราษฎร์รับรู้การตัดสินใจของตน พร้อมทั้งแต่ทัพแพร่ข่าวว่าจะยกทัพไปช่วยแคว้นหาน จากนั้น บนเส้นทางไปสู่แคว้นหานก็เต็มไปด้วย ไพร่พลของแคว้นฉู่ เฉพาะรถที่บรรทุกของขวัญไป ก็มีมากถึงหลายสิบคัน ข่าวจึงระบือไปจนถึงแคว้นฉิน ทูตของแคว้นฉู่เมื่อไปถึงแคว้นหาน ก็เข้าเฝ้าซวนฮุ่ยแห่งแคว้นหานในทันที กล่าวว่า แคว้นฉู่เราแม้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็ได้ระดมพลังทางวัตถุเงินทองและไพร่พลทั่วประเทศ มาช่วยแคว้นหานอย่างเต็มสติกำลัง ขอท่านอ๋องจงอย่าได้ห่วงกังวลในเรื่องตีโต้แคว้นฉิน แคว้นฉู่เรายอมเสี่ยงกับความหายนะ ช่วยแคว้นของท่านอ๋องเป็นตามร่วมกันมิผิดวาจา ซวนฮุ่ยอ๋องก็ให้ปิติยินดีเป็นที่ยิ่ง ครั้นยิ่งเมื่อได้เห็นของขวัญที่แคว้นฉู่ส่งมามอบให้มีจำนวนถึงหลายสิบคันรถ ก็เชื่อว่า แคว้นฉู่ยินดีทำตามข้อสัญญามาช่วยแคว้นหานย่างจริงใจ จึงกล่าวแต่กงจ้งฉื่อว่า แคว้นฉู่ตั้งใจจะช่วย แคว้นหานต่อต้านแคว้นฉินจริง ๆ ให้ยับยั้งการเดินทางไปขอสงบศึกกับแคว้นฉินไว้ก่อน กงจ้งฉื่อเห็นซวนฮุ่ยอ๋องเชื่อคำพูดของทูตแคว้นฉู่อย่างง่ายดาย ล้มเลิกการเจรจากับแคว้นฉินดังนั้น ก็รู้ว่า ความหายะคืบคลานเข้ามาหาแคว้นหานแล้ว จึงทัดทานซวนฮุ่ยอ๋องด้วยความวิตกว่า ปัจจุบัน ทัพที่เรียงรายอยู่ตามชายแดนของเรา พร้อมที่จะบุกแคว้นหานในวันในพรุ่ง คือทัพใหญ่ของแคว้นฉิน ที่แคว้นฉู่นำทัพมาทำทีว่าจักช่วยเรานั้น ที่แท้เป็นเรื่องเสแสร้งแล้งทำหาใช่จักช่วยเราต้านแคว้นฉินอย่างใจจริงไม่ บัดนี้ท่านอ๋องเชื่อการช่วยเหลือจอมปลอมของแคว้นฉู่เอาง่าย ๆ ตัดการเจรจากับแคว้นฉินซึ่งส่งทัพประชิดอยู่ ณ ชายแดนของเราอย่างไม่ไยดี ดังนี้ ผู้รู้ทั้งหลายในแผ่นดิน ก็จักหัวเราะเยาะท่านอ๋องได้ว่า ความคิดของท่านอ๋องตื้นเขินนัก มิรู้ซึ่งในเหตุผลกลอุบายของแคว้นฉู่กับกับแคว้นหานหาได้เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันไม่ ทั้งก็มิได้ปรึกษาหารือเรื่องการต้านทานทัพฉินมาก่อน ที่แคว้นฉู่ส่งทูตมาครั้งนี้ ก็ด้วยเหตุการณ์บัง เห็นถึงอันตราย ที่ตนจักถูกบุกรุกในเร็ววัน การประกาศช่วยหานรบฉินจักต้องเป็นเล่ห์กระเท่ห์ของเฉินเจิ่นโดยแท้ ท่านอ๋องมิควร จะหลงกลอีกประการหนึ่งเล่า เราก็ส่งคนไปแจ้งของเจรจากับแคว้นฉินแล้ว มาบัดนี้ก็จะกลับคำเสีย แคว้นฉินจักต้องเข้าใจว่า เราหลอกลวงดูหมิ่นเขาเป็นแม่นมั่นเมื่อหมางใจกับแคว้นฉินอันยิ่งยงฉะนี้แล้ว ก็ยากที่จะคาดถึงผลเสียหายอันร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ครั้งถึงเวลานั้น จักเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้ว ขอให้ท่านอ๋อง ทรงโปรดไต่ตรองให้จงดี! ถ้อยคำของกงจ้งฉื่อเต็มไปด้วยเหตุผลอันพึงรับฟัง แต่ซวนฮุ่นอ๋องถูกมธุรสวาจา และเครื่องบรรณาการของทูตแคว้นฉู่ กล่อมเอาจนหูตาถูกปิดไปสิ้นแล้ว จึงยืนยันมิยอมเจรจาด้วยกับแคว้นฉินเป็นอันขาด กงจ้งฉื่อให้รู้สึกเสียเป็นที่ยิ่ง ฝ่ายฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน เมื่อจับหยีโซ่วกับเซินชาขุนพลของแคว้นหาน ได้ที่กวนเจ๋อแล้ว เดิมก็คิดจะบุกเข้าตีเมืองหลวงซินเจิ้นของหานให้เป็นการเสร็จสิ้นไป แต่เพราะแคว้นหานขอเจรจาสงบศึก แสดงว่ายินดีจะส่งทัพมาช่วยตีแคว้นฉู่ จึงได้รั้งทัพเอาไว้ก่อน แต่ฮุ่ยเหวินอ๋องรออยู่หลายเดือนก็ไม่เห็นแคว้นหาน ส่งทูตมาตามคำขอ มิหนำซ้ำยังได้ข่าวว่า แคว้นฉู่ส่งทูตมาโน้มน้าวซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน มิให้เจรจาด้วยกับฉิน ฮุ่ยเหวินอ๋องจึงพิโรธ บัญชาให้ทัพฉินพุ่งเข้าขยี้แคว้นหานโดยไม่รั้งรออีกต่อไป ซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหานทราบดังนั้น ก็รีบส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่ พร้อมกับเตรียมกำลังไพร่พลไว้รับมือกับทัพฉิน ซวนฮุ่ยอ๋องเชื่ออย่างสนิทใจว่า เมื่อมีการช่วยเหลือของแคว้นฉู่แล้ว ก็จักรบชนะแคว้นฉินได้โดยไม่ยาก แต่ซวนฮุ่ยอ๋องต้องผิดหวังอย่างแรง แคว้นฉู่กลับทำเมินเฉยต่ำคำขอไม่ส่งกำลังมาช่วยตามคำตกลง ปล่อยให้แคว้นหานรับข้าศึกกับแคว้นฉินแต่โดยลำพัง ถึงตอนนี้ ซวนฮุ่ยอ๋องจึงตะหนักในสายตาเล็งการณ์ไกลของกงจ้งฉื่อนึกเสียใจที่มิได้เชื่อในคำทัดทานของกงจ้งฉื่อ จึงต้องได้รับเคราะห์กรรมที่เลี่ยงไม่พ้น ตกอยู่ในภาวะ ขี่เสือไม่กล้าลง กอดมังกรก็หล่นจากฟ้า เยี่ยงนี้ แม้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตามที่สุดจะหลีกเลี่ยง ซวนฮุ่ยอ๋องก็ฮึดสู้ ระดมกำลังทุกอย่างบรรดามี ทั้งประเทศสู้รบกับแคว้นฉินอย่างไม่คิดชีวิต สงครามใหญ่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหานในคราวนี้ กินเวลานานถึง ๓ ปี ก็ยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน แต่แคว้นหานต้องประสบกับความยากลำบากนานัปการ จนกระทั้งถึงปีที่ ๑๙ ของซวน ฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน (๓๑๔ ปีก่อนคริสตกาล) ทัพฉินตีเมืองอั้นเหมิน (ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) ของแคว้นหานแตก แคว้นหาจำต้องยอมขอสงบศึกกับแคว้นฉิน ยอมสยบแก่ฉิน ซวนฮุ่ยอ๋องต้องส่งบุตรชาย ไปเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นฉิน สงครามสองแคว้นจึงได้ยุติลง อีก ๒ ปีต่อมา คือปีที่ ๒๑ ของซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน (๓๑๒ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉินก็เตรียมบุกแคว้นฉี แต่แคว้นฉีกับแคว้นฉู่มีสัญญาพันธมิตรแก่กัน แคว้นฉินจึงส่งจางอี๋ไปเจรจากับไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่ว่า ขอแต่เพียงแคว้นฉู่ตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉี แคว้นฉินก็จะคืนพื้นที่ ๖๐๐ ลี้ ที่เมืองซางอีของแคว้นฉู่ที่ฝ่ายฉินยึดครองไว้กลังไปให้ ไหวอ๋องดีใจคิดว่าแคว้นฉินมีเจตนาดี ไม่ฟังคำเตือนของเฉินเจิ่น จึงตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉีเสีย ผลสุดท้ายพื้นที่เมืองซางอีที่แคว้นฉินว่าจะคืนให้ ไหวอ๋องก็มิได้รับคืน มิหนำซ้ำตัวเองกลับต้องตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว ไหวอ๋องโกรธที่ถูกแคว้นฉินหลอกลวง จึงตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉินและส่งกองทัพบุกฉินเพื่อแก้แค้นที่เสียรู้ ฉินส่งทัพออกมารับศึก ทั้งสองฝ่ายรบกัน ที่เมืองตันหยาง (อยู่ในระหว่างมณฑลส่านซีกับเหอหนานปัจจุบัน) แคว้นฉินขอให้แคว้นหานยกทัพมาช่วย ตามข้อตกลงสงบศึกที่เมืองอั้นเหมินซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหานก็ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นฉู่จากทางใต้ เพื่อแก้แค้นที่ถูกแคว้นฉู่หลอกใช้ให้ปะทะกับแคว้นฉินอย่างโดดเดี่ยวเมื่อครั้งกระโน้น การรบที่เมืองตันหยาง แคว้นฉู่พ่ายแพ้ยับเยิน เสียทหารไป ๘ หมื่น ฝ่ายฉินจับแม่ทัพชี่หวาง ขุนพลฝงโหวโฉ่ว และแม่ทัพนายกองอื่นๆ อีก ๗๐ กว่าคน ยึดพื้นที่ของแคว้นฉู่ที่เมืองฮั่นจงได้อีก ๖๐๐ ลี้ ใน จดหมายเหตุราชวงศ์ซ้อง ก็มีเรื่องทำนองเดียวกันในอีกแง่มุมหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ในสมัยราชวงศ์ซ้อง พวกฮวนเผ่าจิน (แมนจู) เข้มแข็งมาก บุกรุกเข้ามาในแผ่นดินของชาติฮั่น อย่างรวดเร็วเหมือนไร้สิ่งกีดขวาง ขุนพลปี้จ้ายแห่งราชวงศ์ซ้องนำทัพออกไปรบ ก็พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ขุนพลปี้จ้ายจึงคิดจะถอยทัพที่ประจันหน้ากันอยู่ ไปตั้งหลักใหม่เพื่อให้พ้นจากการคุกคามของข้าศึก จึงใช้กลยุทธ์ จักจั่นลอกคราบ กล่าวคือ ในระหว่างที่ทัพซ้องถอยตัว ก็ปล่อยให้ธงทิวในค่ายปลิวสะบัดอยู่ย่างสง่าผ่าเผยมิผิดกับทุกวันที่ผ่านมา พร้อมกันนั้นก็เอาแพะมาแขวนเอาหัวลง ให้เท้าหน้าเหยียบอยู่กับกลอง ในยามที่แพะดิ้นเพื่อจะให้หลุดจากการผูกมัด เท้าหน้าก็จะซอยเท้ากระทบกับหน้ากลองเหมือนหนึ่งทหารย่ำกลองในยามปรกติ ทหารฝ่ายจีนได้ยินเสียงกลองยังดังอยู่ตลอดเวลา ก็เข้าใจว่าทหารซ้องยังอยู่ในค่าย ไม่สงสัย แต่นานวัน ก็เกิดรู้สึกผิดสังเกต ส่งทหารอกไปสอดแนมยังค่ายของทหารซ้อง ก็พบว่า ที่แท้ค่ายนั้นว่างเปล่าไปนานแล้ว หาได้มีทหารเดินขวักไขว่อยู่เยี่ยงปกติไม่ ครั้นบุกเข้าไปดูในค่าย ก็เห็นแพะถูกแขวนไว้ตีกลองในที่ต่าง ๆ รอบค่าย ส่วนทหารซ้องจะถอนตัวไปเมื่อใดและไปไหนทหารจีนก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า จักจั่นลอกคราบ เป็นวิธีสะบัดให้หลุดพ้นจากการเผชิญหน้ากับข้าศึก ด้วยการเคลื่อนย้ายหรือถอยทัพ ที่ว่า ลอก มิใช่อย่างตื่นตระหนก อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ยังคงไว้ซึ่งรูปโฉมภายนอก ทว่าได้ถอดเนื้อหา ออกไปหมดสิ้นแล้ว หนีแสดงว่าไม่หนี ปกปิดข้าศึก เพ่อให้หลุดพ้นจาห้วงอันตราย วิธีการ ลอกคราบ มีหลายแบบหลายอย่าง เนื้อแท้ก็คือการใช้เล่ห์กลหลอกลวงข้าศึก เป็นพฤติการณ์ที่ใช้การพรางตา ปลอมปนความจริงเอาตัวรอดนั่นเอง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๒ ปิดประตูจับโจร เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 03:21:00 PM กลยุทธ์ที่ ๒๒ ปิดประตูจับโจร
ศัตรูเล็กพึงล้อม ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อข้าศึกอ่อนแอจำนวนน้อย พึงโอบ้อมแล้วทำลายเสียให้สิ้น เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราภายหลัง ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน มาจาก คัมภีร์อี้จิง ปล่อย ปล่อย ในที่นี้หมายถึงการแตกกระจายออกเป็นกองเล็กกองน้อยของข้าศึก กำลังก็อ่อนเปลี้ย จนไร้สมรรถนะที่จะสู้รบแล้ว ติดพัน หมายถึงการไล่ติดตามไม่ลดละทั้งใกล้และไกล มิเป็นคุณซึ่งติดพัน ก็คือ ต่อข้าศึกกองเล็กกองน้อยปล่อยให้หนีไปได้ แม้จะเล็ก แต่ก็สามารถย้อนกลับมาสร้างความยุ่งยากแก่เรา จนเราต้องไล่ติดตามเพื่อทำลายเสีย เช่นนี้ มิเป็นประโยชน์แก่เรา ใน จดหมายเหตุราชวงศ์ถึงเก่าและใหม่ ประวัติหวงฉาว มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ในระยะหลังของราชวงศ์ถัง การปกครองบ้านเมืองเต็มไปด้วยความเหลวแหลกเละเทะ การขึ้นครองและสืบราชสมบัติล้วนแต่ได้ถูกกำหนดโดยขันทีผู้ทรงอิทธิพลทั้งสิ้น องค์ฮ่องเต้เองหาได้มี พระราชอำนาจอันใดไม่ ขุนนางทั้งหลายแม้จะมีปากก็พูดไม่ออก ที่ลาออกเพราะทนดูความหายนะต่อไปไม่ไหว ขันทีก็มีไม่น้อย ต่างก็ก่อกรรมทำเข็ญแก่ราษฎรนานัปการ ความโอ่อ่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในราชสำนักเป็นประดุจคำ ที่กล่าวเสียดสีไว้ว่า ภายในประตูแดงเหล้าเนื้อแรงด้วยกลิ่นเหม็น ตามถนนคนลำเค็ญ อดอยากเป็นศพเกลื่อนไป ประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างร้องระงมไปทุกหย่อมหญ้า พากันไม่พอใจ สาบแช่งราชวงศ์ถังกันทั่วไป ในขณะที่พระเจ้าถังอี้จงฮ่องเต้จัดพิธีอภิเษกสมรสราชธิดาถงชางกงจู่ก็ใช้จ่ายเงินไปถึง ๑ ล้าน ๒ แสนหมิน (๑ หมินเท่ากับ ๑,๐๐ อีแปะ) ม่านหน้าต่างห้องประทับประดับด้วยไขมุก บ่อน้ำก็ก่อด้วยหยกก้อน ส่วนแก้วแหวนเงินทองก็พระราชทานเป็นสินสมรสนับจำนวนไม่ถ้วน เมื่อท้องพระคลังต้องร่อยหรอไป เพราะการใช้จ่ายอย่างไม่ยับยั้ง ถึงอี่จงฮ่องเต้ก็จำต้องรีดภาษี อากรจากราษฎรมาชดเชย ความเดือดร้อนของประชาราษฎรก็หนักหน่วงยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ กาลมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๗๔ ๘๗๙) ทางเหอหนานเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากยากแค้นแสนสาหัส จึงพากันไปร้องเรียนยังจวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหาได้รับฟัง ความทุกข์ยากของราษฎรไม่ กลับชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ในจวนของตน พลางตวาดราษฎรที่มาร้องทุกข์ว่า พวกเจ้าว่าฝนแล้งไรนาแห้งตามหมด พวกเจ้าจงถ่างตาดูซิว่า ต้นไม้ของข้ายังใหญ่โต ใบไม้เขียวชอุ่ม งอกงามดีอยู่อย่างเดิม ถ้าฝนแล้วอากาศแห้งอย่างพวกเจ้าว่า ต้นไม้ข้าจะอยู่ได้อย่างไรกัน? ขุนนางเลวแบบนี้ มีอยู่มากมายในปลายสมัยราชวงศ์ถัง ที่ใกล้จะสิ้นราชวงศ์แล้ว ในปีที่ ๒ ของถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๗๕) ทางซานตงเกิดแล้งจัด ประชาราษฎรทนต่อการดูดายของทางราชสำนัก ต่อไปอีกไม่ไหว หวางเซียนจือ คนเมืองผูโจว (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ก็รวบรวมราษฎรแข็งข้อลุกขึ้นสู้ กับทางราชวงศ์ถัง ในปีรุ่งขึ้น หวางเซียนจือก็นำกำลังบุกเข้าไปในแคว้นฉาวโจว (ในมณฑลซานตง และเหอหนานในปัจจุบัน) ต่อมาหวงฉาวก็ลุกขึ้นสู้ นำราษฎรที่ทุกข์ยากแข็งข้อต่อราชวงศ์ถังอีกแรงหนึ่ง หวงฉาวเป็นคนเมืองเหมี่ยนจี้ (ในมณฑลซานตง) ในวันเด็กเคยร่วมมือกับหวางเซียนจือ ค้าเกลือเถื่อน ชอบการเล่าเรียนและฝึกเพลงอาวุธ เคยเข้าสอบไล่เพื่อเป็นบัณฑิตหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ครอบครัวพอมีอันจะกิน มักจะจับจ่ายทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือ คนตกทุกข์ได้ยากเสมอมา ครั้นเห็นชาวนาทั้งหลายอดอยากยากแค้นสุดคณนา ทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ก็หมดสิ้นแล้ว เมื่อได้ข่าวว่าหวางเซียนจือเพื่อนเกลอนำราษฎรแข็งข้อต่อฮ่องเต้ จึงรวบรวมบรรดาชาวนาที่ไม่พอใจใคร่จะกบฏ ก่อการแข็งข้อขึ้นมาบ้าง ต่อมา หวางเซียนจือถึงแก่ชีวิตในการรบ กับเจิงหยวนยี่แม่ทัพปราบกบฏของราชวงศ์ถัง ที่เมืองหวงเหมย (ในมณฑลฆูเป่ยในปัจจุบัน) กำลังของหวางเซียนจือ จึงตกมาเป็นของหวงฉาวทั้งหมด หวงฉาวจึงตั้งตนขึ้นเป็น ขุนพลทะลุฟ้า อันมีความหมายว่า จักขจัดฮ่องเต้ ผู้อุปโลกน์ตัวเองเป็นพระราชบุตรแห่งสวรรค์ให้สิ้นไป ในปีแรก ๆ หวงฉาวนำไพร่พลร่อนเร่รบไปในแถบซานตง เหอหนานอันฮุย และหูเป่ย ฆ่าขุนนางที่ข่มเหงราษฎร ปล้นคนรวยช่วยคนจน ขจัดคนพาลอภิบาลคนดีเรื่องมา ต่อมาหวงฉาวก็นำกลับข้ามแม่น้ำแยงซีตีลงมาทางใต้ ยังเมืองหังโจว เย่โจว ฉีโจว (ในมณฑลเจ๋อเจียงปัจจุบัน) เจี้ยนโจว ฝูโจว (ในมณฑลฮกเกี้ยนปัจจุบัน) จนถึงกว่างโจว (ในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน) เดิมทีหวงฉาวเห็นกว่างโจวมีชัยภูมิดี คิดจะตั้งหลักอยู่กว่างโจว แต่เนื่องจากไพร่พลส่วนใหญ่เป็นคนทางเหนือ ไม่ชินต่อดินฟ้าอากาศทางใต้ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยกันเป็นอันมาก หาวฉาวจึงเลิกล้มความตั้งใจ จำต้องนำกำลังบุกกลับขึ้นไปทางเหนือ เข้าหูหนานก่อน ต่อมาก็เข้าไปในหูเป่ย ในขณะนั้น หวางต้ออัครหาเสนาบดีของราชวงศ์ถังถูกส่งตัวให้มาหาทางสกัดทัพของหวงฉาวที่เมืองเจียงหลิง (ในมณฑลหูเป่ยในปัจจุบัน) มิให้รุกขึ้นไปทางเหนือ แต่หวางต้อกลับตั้งมั่นอยู่ในเมืองเจียงหลิงเฉยอยู่ แต่เมื่อข่าวแพร่มาว่าวหวงฉาวนำทัพ ๕๐ หมื่นพุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วรี่ พวกขุนนางน้อยใหญ่ และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ในเมืองเจียงหลิงต่างก็พากับหลบหนีเอาตัวรอด มิมีใจรบด้วยหวงฉาวเป็นจ้าละหวั่น หวางต้อเห็นดังนั้นก็ขวัญหนีดีฝ่อ ก็ทิ้งเมืองเจียงหลิงเอาตัวรอดไปบ้าง หวงฉาวทราบว่า หวางต้อถูกส่งตัวมาสกัดทัพของตนที่เมืองเจียงหลิง ก็นำทัพตรงเข้ามายังเมืองเจียงหลิงเพื่อรบกับหวางต้อให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่ครั้นมาถึงเมืองเจียงหลิง จึงรู้ว่าหวางต้อหนีไป จนไม่เห็นเงาแล้ว ก็ยกทัพวกลงมาทางเมืองเจียงโจว ซิ่นโจว (ในมณฑลเจียงซีปัจจุบัน) ฉือโจว (ในมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน) ข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงที่เมืองไฉ่สือ เข้าตีเมืองซู่โจว (ในมณฑลเจียงซูปัจจุบัน) แล้ว พุ่งเข้าตีเมืองเลาะหยาง จากเลาะหยางก็รุดเข้าตีเมืองหลวงฉางอัน ที่หวงฉาวสามารถเดินทัพและรบชนะได้รวดเร็วเช่นนี้ ก็เพราะกองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวมีวินัยเข้มงวด ได้รับการสนับสนุนจากมวลชนโดยเฉพาะชาวนาอย่างกว้างขวาง ไปถึงที่ใด ที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง แทบจะมิได้รับการต่อต้านขัดขวางแต่ประการใดเลย เมื่อกองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวได้เมืองเลาะหยางอันเป็นเมืองหลวงทางตะวันออกของราชวงศ์ถังแล้ว พระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ก็เตรียมการหลบหนีออกจากนครฉางอัน เมื่อกองทัพของหวงฉาวผ่านด่านถงกวนเข้ามา ถังซีจงฮ่องเต้พร้อมด้วยขันดีคนโปรดเถียนลิ่งเซี่ยว และขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคนก็หลบออกจากนครฉางอัน ไปยังเมืองซิงหยวน (ในมณฑลส่านซีปัจจุบัน) อย่างเงียบๆ เช้าวันรุ่งขึ้น พวกขุนนางทั้งหลายก็ไปเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงตามปกติแต่เฝ้าคอยก็คอยหาย ไม่เห็นพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ออกขุนนางเยี่ยงทุกวัน ก็เกิดรวนเรกันเป็นการใหญ่ เมื่อไต่ถามเข้าไปยังพระราชวังชั้นใน จึงรู้ว่าฮ่องเต้ชิงหนีไปเอาตัวรอดไปก่อนแล้ว ขุนนางทั้งหลายก็ยิ่งตื่นตกใจ ที่หนีก็หนี ที่ซ่อนก็ซ่อน มิมีผู้ใดคิดการที่จะกอบกู้เมืองหลวงเลย ในเมืองหลวงฉางอันจึงเต็มไปด้วยความอลหม่าน ไม่เป็นอันรบป้องกันเมือง ทำให้หวงฉางสามารถยาตราทัพเข้านครฉางอันโดยมิต้องเสียทหารเลยแม้สักคนเดียว ประชาราษฎรในเมืองหลวง พากันต้อนรับทหารของหวงฉาวด้วยความปิติยินดี เวลานั้น ตรงกับปีที่ ๑ แห่งศักราชกว่างหมิงของพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๘๐) เมื่อทัพของหวงฉาวเข้าเมืองหลวงฉางอันได้แล้ว ก็นำราชสมบัติในท้องพระคลังและทรัพย์สินของพวกขุนนางทั้งหลาย ออกแจกจ่ายแก่อาณาประชาราษฎร์ผู้ทุกข์ยากโดยทั่วหน้า แล้วประกาศแก่ราษฎรทังหลาย ว่า กองทัพลุกขึ้นสู่ของหวงฉาว ที่แท้นั้นเพื่อประราษฎร์ หาได้กดขี้บีฑาไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของราษฎร เฉกเช่นราชวงศ์ถังแห่งตระกูลหลี่ไม่ บัดนี้ความสงบสุข มิต้องเกรงกลัวอีกต่อไป ในชั้นแรกที่เข้าเมืองหลวง หวงฉาวมิได้เข้าไปพำนักอยู่ในพระราชวังเพียงแต่สั่งให้คอยพิทักษ์วังต้องห้ามเหล่านั้นให้ดี ตนเองก็ไปพักเสียที่บ้านของขันทีเยนลิงเซี่ยว ให้เข้มงวดในวินัยของทหาร เพื่อมิให้ฮึกเหิมจนเสียการจึงได้รับ การสนับสนุนจากราษฎรในเมืองหลวงเป็นอันดี แต่ชั่วระยะเวลาไม่นาน หวงฉาวก็หลงในคารมของพวกประจบสอพลอ นำครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ตั้งตนเป็นฮ่องเต้มีชื่อว่าพระเจ้าไต้ฉีฮ่องเต้ เปลี่ยนศักราชเป็นจิงถ่ง ตั้งให้ช่างย่างเป็นอัครมหาเสนาบดี การหลงระเริงต่อความสุสำราญในพระราชวัง ทำให้หวงฉาวค่อยๆ ลืมไปว่า ถังซีจงฮ่องเต้ยังอยู่ อิทธิพลของขุนนางเก่าในราชวงศ์ถังยังอยู่ จึงมิได้รุกไล่ติดตามถังซีจงให้สิ้นแผ่นดิน ถังซีจงจึงสามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้โดยสะดวก ถังซีจงหนีไปอยู่เมืองเฉิงตู (ในมณฑลเสฉวนปัจจุบัน) เมื่อเห็นว่าพ้นจากการคุกคามของหวงฉาว ก็ทรงเรียกขุนนางทั้งหลายเข้าปรึกษาเพื่อตอบโต้หวงฉาว ครั้นแล้ว ก็จัดฝึกปรือกำลังทหาร เสริมอาวุธยุทโธปกรณ์ โยกย้ายกำลัง เตรียมการตีโต้กลังอย่างเร่งรีบ ในขณะเดียวกันก็ลักลอบติดสินบน ขุนพลของหวงฉาวตลอดจนขุนพลราชวงศ์ถังเก่าที่สวามิภักดิ์ด้วยหวงฉาว ยุยงให้ทรยศหักหลังหวงฉาว พร้อมกันนั้น ก็ส่งทูตไปขอความช่วยเหลือจากซาทอหลี่เค่อเผ่าฮวนชาติทู่เจี๋ย (เตอร์ก) ทางตะวันตก เพื่อให้ส่งกำลังมาช่วยขจัดกองทัพชาวนาของหวงฉาว การดำเนินงานของถังซีจงฮ่องเต้ หวงฉาวตั้งอยู่ในความประมาทมิได้ใส่ใจในพฤติการณ์ของฝ่ายราชวงศ์ถังอย่างใกล้ชิด ในเดือนที่ ๕ ปีที่ ๒ แห่งศักราชจินถ่งของหวงฉาว (ค.ศ.๘๘๑) การจัดวางกำลังของราชวงศ์ถังก็เสร็จสิ้น เรียงรายโอบล้อมนครฉางอันไว้โดยรอบในระยะห่าง หวงฉาวก็ยังมิได้เล็งเห็นถึงความคับขันของเหตุการณ์ เพียงแต่ส่งซ่างย่างให้นำทัพไปตีเมืองฝังเสียง (ในมณฑลส่านซีปัจจุบัน) เจิ้นเถียนขุนพลราชวงศ์ถัง ซึ่งจัดวางกำลังซุ่มไว้คอยท่าในชัยภูมิที่ได้เปรียบอยู่ก่อนแล้ว ก็นำกำลังออกล่อรบด้วย โดยตั้งทัพไว้บนเนินสูง ซ่างย่างเห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าเจิ้นเถียนอ่อนหัดมิรู้เรื่องพิชัยสงคราม จึงเร่งทหารเข้าตี ยังไม่ทันที่ทัพของซ่างย่าง จะขึ้นเนิน ก็ถูกกองทัพที่เจิ้นเถียนซุ่มเอาไว้ก่อน บุกเข้าตีจนถูกตัดออกเป็นหลายส่วน คุมกันไม่ติด สั่งการไม่ได้ ซ่างย่างจึงรีบถอยทัพกลับ แต่ก็เสียกำลังไพร่พลไปกว่าครึ่งแก่คนที่ตนดูถูกว่า มิรู้ซึ้งถึงตำราพิชัยสงครามคนนั้น ชัยชนะที่เมืองฝังเสียง ทำให้ทางราชวงศ์ถังฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งเดินทัพติดตามซ่างย่างมาอย่างไม่ลดละ ด้วยกำลังทัพที่เตรียมไว้ ซ่างยางเมื่อถึงเมืองหลวงฉางอัน ก็เข้าไปแจ้งแก่หวงฉาวให้ทราบถึงความพ่ายแพ้ของตน โดยตลอดแล้วว่า บัดนี้ ทหารราชวงศ์ถังมากมาย กำลังไล่ตามหลังมาติด ๆ คงจะประชิดฉางอันในไม่ช้า เหตุการณ์คับขันนัก ท่านจะทำประการใดก็จงเร่งคิดโดยเร็วเถิด หวงฉาวพร้อมด้วยขุนพลทั้งหลายจึงปรึกษาการศึกครั้งนี้โดยละเอียดเห็นว่า ควรจะให้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุก ปิดประตูจับโจร ครั้งแล้ว ในวันที่ ๖ เดือน ๕ หวงฉาวก็ถอยออกจากฉางอันทางตะวันออกอย่างปิดเงียบ พักซุ่มซ่อนตัวอยู่บนเขื่อนแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากฉางอันนัก กองทัพของราชวงศ์ถังซึ่งนำทัพไปโดยขุนพล เฉินจงฉู่ ถังหงฟู หวางซู่ฉุน ก็ตีบุกเข้าไปในเมืองหลวงฉางอัน ได้โดยสะดวก เห็นทหารของหาวฉาวไม่มีเหลืออยู่เลยสักคน ก็เข้าใจว่าหวงฉาวรักตัวกลัวตาย รีบถอยหนีไปเสียก่อน เหล่าทหารจึงต่างพากันปล้นสะดมชาวเมือง ข่มเหงรังแกสตรีเพศโดยปราศจากความกังวล เมืองหลวงฉางอัน แทบจะกลายเป็นเมืองนรกไปในบัดดล ตอนดึกของคืนวันนั้น กองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวก็เข้าล้อมฉางอันไว้ทุกด้าน แล้วแยกกันเข้าฉางอันจากทุกทิศ ทหารราชวงศ์ถังเหนื่อยเพลียจากการปล้นสะดมข่มเหงรังแกชาวเมืองมาทั้งวัน อีกทั้งเป็นห่วงทรัพย์สินที่ปล้นชิงมาได้ เมื่อถูกทหารหวงฉาวตีกระหนาบเข้ามาทุกทาง ก็ไม่เป็นอันสู้รบถูกฆ่าตายเป็นเบือ ส่วนแม่ทัพเฉินจงฉู่กับคนอื่น ๆ ผวาตื่นกลางดึก เพราะเสียงโห่ร้องเข้าตีของทหารหวงฉาวจนแยกทิศทางไม่ถูก จึงได้แต่คว้าอาวุธประจำตัว ต่างคนต่างคิดหนีเอกตัวรอด แต่พวกขุนพลทั้งหมดกลับถูกทหารหวงฉาวล้อมไว้อย่างหนาแน่น สุดจะตีฝ่าออกไปได้ ก็จำต้องฝืนสู้อย่างสุนัขจนตรอก ก็ถูกฆ่าตายในที่รบหมดทุกคน เมืองหลวงฉางอันกลับคืนสู่อุ้งมือขงราชวงศ์ถังยังไม่ทันจะครบวันดีก็ต้องมาเสียให้แก่กองทัพลุกขึ้นสู้ของชาวนาหวงฉาวอีก พร้อมกับพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อจักจับโจร พึงตัดทางหนี โอบล้อมไว้ให้แน่นหนา หากโจรเข้าในเมือง จงปิดประตูเมืองให้สนิท มิให้มีทางเล็ดรอดออกไปได้ จึงจักถูกจับได้โดยละม่อม กลับกัน พบโจรก็ไล่ ไม่ปิดประตูเมือง ไล่เหนือไปใต้ โจรก็พ้นไป โจรที่หนีพ้น ย่อมจักย่ามใจ จักย้อนกลับมาอีกพร้อมด้วยพรรคพวก หากปิดทางหนีโจรจักมิกล้า อู๋จื่อกล่าวไว้ว่า โจรที่ไม่คำนึงถึงความตาย หากซ่อนตัวตามสุมทุมพุ่มไม้ในป่ากว้าง ก็พอจักทำให้กำลังซึ่งติดตามมาเป็นพันคนอกสั่นขวัญแขวนลมพัดใบไม้ไหวก็แตกตื่น เพราะมิรู้ว่า โจรจักปรากฏตัวออกมาจู่โจมเอาชีวิตเมื่อใด จับโจร จึงควรระวังมิให้เป็นปลาลอดร่างแห หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: Zeus-รักในหลวง ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 04:30:19 PM ;Dดูดมาใส่word แล้ว แปลงอักษรเป็น คลอเดียนิว ขนาด 16 กั่นหน้าและหลัง 2.5 , 2.7 จัดหน้าใหม่ เบ็ดเสร็จ 170 หน้าครับ ไม่ขาดไม่เกิน......ต้องทำใจอีกซักพักถึงจะอ่านเพราะแยะเหลือเกินจะเป็นลม :~)
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: SA-KE ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 04:37:27 PM ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....? เดี๋ยวจะลองทำให้ครับ ต้องเอาไปเรียบเรียงใน WORD ใหม่แล้วแปลงเป็น PDF ขอบคุณมากครับ.... คุณ Narongt นำข้อมูลค่อนข้างแยอะมากมาลงเผยแพร่ ให้พวกเรา ต้องบอกว่า..นับถือครับ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๓ คบไกลตีใกล้ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 05:07:42 PM กลยุทธ์ที่ ๒๓ คบไกลตีใกล้
สภาวการณ์บังคับ เอาใกล้จักได้ มุ่งไกลจักเสีย เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไหลลง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อถูกจำกัดโดยสภาพแวดล้อม ควรตีเอาข้าศึกที่อยู่ใกล้ตัว จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน โจมตีข้าศึกที่อยู่ไกล จัดเป็นผลร้ายแก่ตน เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไหลลง หมายความว่า การผูกมิตรนั้น แม้ความคิดเห็นจะไม่ตรงกันก็สามารถที่จะร่วมมือกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คำนี้มาจาก คัมภีร์อี้จิง ต่าง ความว่า เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไกลลง บุรุษจักร่วมกันเราความผิดแผก ดังนั้น ต่อข้าศึกใกล้และไกล พึงมีนโยบายที่แตกต่างกัน นี่เป็นกลยุทธ์ที่ผูกมิตรกับรัฐไกล เพื่อเอาชัยต่อรัฐใกล้อย่างหนึ่ง ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ....... ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศขนาดเล็กที่อยู่ปลายแหลมมาลายู ที่เมื่อครั้งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่ง ของประเทศมาเลเซีย แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ได้แยกตัวเป็นอิสระจากประเทศมาเลเซียไป ชื่อเสียงของประเทศสิงคโปร์ในสายตาของประชาคมโลกนับว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะมีเครดิตดี อันเนื่องมาจากการที่สิงคโปร์มีการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าตามแนวทางของลัทธิทุนนิยม อย่างได้ผล ทั้ง ๆ ที่สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กกว่าจังหวัดภูเก็ตของไทยด้วยซ้ำไป มีประชากรประมาณ ๓ ล้านคนเศษ แต่รายได้ต่อหัวของประชากรสิงคโปร์มีสูงกว่าทุกประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทุกประเทศ บรรพบุรุษของชาวสิงคโปร์เป็นชาวจีนโพ้นทะเล โดยกำเนิด แต่เนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมายาวนานจึงทำให้ชาวสิงคโปร์มีวิถีชีวิตคล้ายคลึง กับชาวตะวันตกหรือตามแบบอย่างอังกฤษ สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับประเทศได้จึงจำเป็นต้องดิ้นแสวงหาความมั่งคั่งด้วยวิธีอื่น ที่ไม่ใช่ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการบริหารจัดการที่ดีและเป็นระบบทำให้ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวยในที่สุด เป็นเสือหนึ่งในห้าของเอเชีย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าด้วยข้อจำกัด ด้านทรัพยากรธรรมชาติและเป็นประเทศเล็ก สิงคโปร์จึงใช้ทุกวิธีทางในอันที่จะสร้างความมั่งคั่ง ให้กับตนเอง ในกลยุทธ์นี้อยากที่จะกล่าวถึงพฤติกรรมในการดำเนินนโยบายการคบไกลตีใกล้ของสิงคโปร์ ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของตน ใคร่ที่จะขอกล่าวถึงการแย่งชิงความเป็นใหญ่ของประเทศมหาอำนาจในโลกในแต่ละยุคแต่ละสมัย ก่อนที่จะกลับมากล่าวถึงสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่งนั้น นับตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมา ประเทศใดก็ตาม ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในโลก ย่อมพยายามที่จะแย่งชิงผลประโยชน์จากพื้นที่ต่าง ๆ ในทั่วทุกมุมโลกมาเป็นของตน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในยุคสงครามเย็นที่ผ่านมา ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศต่างแข่งขันกันแย่งชิงผลประโยชน์กันทั่วทุกมุมโลก ด้วยการแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในดินแดนต่าง ๆ แล้วนำความมั่งคั่งกลับสู่ประเทศของตน ยิ่งในยุคปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ที่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้แก่ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสาร ความรวดเร็วของ การขนส่ง และความรวดเร็วของการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่ง โลกาภิวัตน์ เกิดขึ้นก่อนที่จะสิ้นสุดยุคสงครามเย็น แต่มาเกิดผลเป็นรูปธรรมของการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่สิ้นสุดยุคสงครามเย็นเรียบร้อยแล้วคือหลังปี พ.ศ.๒๕๓๒ เป็นต้นมา ยุคต่างๆ ของการต่อสู้ของมหาอำนาจ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่เป็นเป้าหมายการแย้งชิงของประเทศมหาอำนาจนับตั้งแต่ ยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่ถูกประเทศมหาอำนาจยึดครองเป็นอาณานิคม ยกเว้น ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ประเทศสิงคโปร์ เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา มหาอำนาจทั้งปวงมหาอำนาจที่มีพลังอำนาจมากกว่าจะรีบเร่งเข้ายึดครอง สิงคโปร์ทันที ที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่ อังกฤษ ที่มีพลังอำนาจทางเรือมากกว่าประเทศใด ๆ ในยุคนั้นได้เข้ายึดครอง มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อดำรงอิทธิพลของตนเหนือช่องแคบมะละกาให้ได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ การสู้รบระหว่างมหาอำนาจเจ้าถิ่นในเอเชียกับมหาอำนาจตะวันตกคือ อังกฤษก็เริ่มขึ้น ญี่ปุ่นได้รีบเร่งเข้ายึดภูมิประเทศ สำคัญคือสิงคโปร์นี้ให้ได้ครั้นเมื่อสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ ๒ อำนาจอิทธิพลของอังกฤษเสื่อมลง มหาอำนาจในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ สหรัฐอเมริกา ได้นำพาประชาคมโลกเข้าสู่สงครามเย็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังเป็นพื้นที่แย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจอยู่เช่นเดิม ประเทศในค่ายสังคมนิยม อันมีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นผู้นำ ได้พยายามจะขยายอิทธิพลของตนเข้าครอบครอง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกาก็ได้ระดมพลังของประเทศ ในค่ายโลกเสรีต่อต้าน การแพร่ขยายอิทธิพลอันนั้น มีสมรภูมิการต่อสู้ย่อย ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งด้วยกันเช่น ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีสงครามเกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสงครามเวียดนาม สงครามในอินโดจีน ทั้งลาวและกัมพูชา ซึ่งฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์สามารถที่จะขยายอำนาจอิทธิพลของตนลงมาทางใต้ครอบครอง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในระดับหนึ่ง จุดแย่งชิงสำคัญอยู่ที่ประเทศไทย ถ้าประเทศไทยล้มไปพร้อมกับประเทศ ในอินโดจีนทั้งหมด ตามทฤษฎีโดมิโนในขณะนั้นแล้วเชื่อแน่ว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะต้องล้มตามไปด้วย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การต่อสู้บนผืนแผ่นดินคนไทยมีความเหนียวแน่นมาก ที่เหนียวแน่น และทำให้ประเทศไทย ไม่ล้มตามทฤษฎี โดมิโน ดังที่กล่าวแล้ว ถ้าศึกษาให้ละเอียดลึกซึ้ง จริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องไม่ใช่บังเอิญ แต่เป็นด้วยการมีลักษณะพิเศษของสังคมไทย ที่จะใช้ทฤษฎีใดๆ มาอธิบายและคาดเดาสังคมไทย ก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ทำให้เห็นความเป็นพิเศษ และเอาประเทศชาติของไทย ได้มีมาโดยตลอด ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ประเทศไทยไม่แพ้ด้วย ในยุคล่าอาณานิคมทุกประเทศ ในภูมิภาคตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจหมดสิ้นเหลืออยู่เพียงประเทศเดียวคือ ประเทศไทย ที่ยังคงดำรงเอกราช และอธิปไตยของชาติไว้ได้ กล่าวถึงสิงคโปร์ในยุคหลังสงครามเย็น ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สิงคโปร์เป็นจุดแย่งชิงสำคัญของ มหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะถ้าประเทศใดยึดครองสิงคโปร์ได้ก็สามารถที่จะยึดครอง และมีอำนาจเหนือช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อมหาอำนาจทั้งหลาย จำเป็นอยู่ดีที่ผู้บริหารประเทศของสิงคโปร์ต้องหาทางออกที่ เมื่อมีการเปลี่ยนมหาอำนาจเข้ามามีอิทธิพล เหนือเกาะสิงคโปร์ ผู้บริหารประเทศของสิงคโปร์ก็ต้องพึ่งพาประเทศชาติของตนให้รอดพ้นความบอบช้ำ และถูกทำลายให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำสิงคโปร์ต้องมีความฉลาดเพียงพอที่จะสร้างความมั่งคั่งของประเทศตน ให้ได้ภายใต้จังหวะการเปลี่ยนแปลงการเข้ามีอิทธิพลและอำนาจเหนือเกาะสิงคโปร์ของมหาอำนาจ ในแต่ละยุคสมัยถ้าไม่เช่นนั้นแล้วสิงคโปร์ก็จะดำรงความเป็นประเทศอยู่ไม่ได้ ดังที่กล่าวแล้วว่า ในช่วงยุคสงครามเย็น สิงคโปร์เป็นเพียงฐานการส่งกำลังบำรุง และเส้นทางผ่านที่สำคัญของสหรัฐฯ ที่เข้าสู้รบในสมรภูมิเวียดนาม ลาว กัมพูชา และแม่แต่ในประเทศไทยเองก็ตาม สิงคโปร์ไม่ได้เป็นสมรภูมิ การสู้รบด้วยอาวุธในสมัยนั้น ดังนั้นในยุคนี้สิงคโปร์จึงยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจผู้นำโลกเสรีคือ สหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ ได้มีส่วนเสริมสร้างความแข่งแกร่งหลายด้านให้สิงคโปร์ต่อจากอังกฤษที่ยึดครองสิงคโปร์ จนกระทั้งสงครามเย็นสิ้นสุดลง สิงคโปร์ก็ยังคงอยู่ในบรรดาประเทศที่อยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจของ มหาอำนาจสหรัฐอเมริกา จะเห็นได้จาก นายกรัฐมนตรี ลีกวน ยู ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายสหรัฐอเมริกา ทั้งทางลับและเปิดเผย มาถึงยุค นายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง ของสิงคโปร์ สิงคโปร์ก็ยังคงอิงสหรัฐอเมริกาอยู่เช่นเดิม จากการขยายอิทธิพลของจีน หลังยุคสงครามเย็น หลังจากที่จีนประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ (Reform and Openning Up Policy) โดยผู้นำ เติ้ง เสี้ยว ผิง ของจีน ทำให้อิทธิพลของจีนขยายเข้ามาสู้ภูมิภาค เอเชียตะวันออก เฉียงใต้อย่างรวดเร็ว ด้วยการที่จีนมีชาวจีนโพ้นทะเลอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ทำให้การดำเนินกินกรรมใด ๆ ของจีน เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งจีนค่อย ๆ มีอิทธิพลเข้าไปถึงสิงคโปร์ด้วยอย่างน้อยที่สุดคนสายเลือดเดียวกัน ของชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับชาวจีนโพ้นทะเลที่อยู่ในสิงคโปร์ เมื่อจีนขยายอิทธิพลของตนเข้าทับพื้นที่อิทธิพลของสหรัฐฯ แต่เดิมทำให้สหรัฐฯ อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ สหรัฐฯ ยังคงดำเนินนโยบายการปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการโต้ตอบการขยายอิทธิพลของจีนโดยสหรัฐฯ จึงต้องกลายเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจ ที่เห็นได้ชัดอีกช่วงหนึ่งของการปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีน โดยสหรัฐอเมริกาคือ การสร้างวิกฤติเศรษฐกิจ ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มต้นจากประเทศไทย แล้วขยายออกไปสู่ภาคอาเซียน และภูมิภาคเอเชีย ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์ในการเข้าครอบครองเอเชียด้านเศรษฐกิจ โดยการดำเนินการ ๒ ทางด้วยกัน ๑) ทางที่หนึ่งคือการ ใช้นักการค้าตนเอง ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศสหรัฐฯ ได้ดำเนินการในการรุกเข้าสู่พื้นที่ต่างๆ เช่นเดียวกับประเทศล่าอาณานิคมในอดีตทำ กล่าวคือ เป็นลักษณะของการรุกไปพร้อม ๆ กันทุกองค์กร ทั้งด้านการค้า การทหาร และด้านศาสนา ที่ทั้งสามองค์กรดังกล่าวจะต้องมีการประสานงานและเกื้อกูลประโยชน์กันอย่างสอดคล้อง ถ้าศึกษาและสังเกตให้ดีจะทราบว่ากำลังทหารก็มีส่วนสนับสนุนงานด้านการค้าขาย นักการข่าวหรือสายลับ อย่างองค์กร ซีไอเอ ก็แสวงหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนนักธุรกิจทั้งสิ้นเหมือนกัน นักธุรกิจของสหรัฐฯ ที่ประกอบไปด้วย บรรษัทข้ามชาติทั้งหลายร่วมมือกับองค์กร ของรัฐอย่างเช่น องค์กร ซีไอเอ รวมทั้งองค์กรการเคลื่อนไหวอย่าง NGOs เข้าสู่ประเทศเป้าหมายโดยตรง ดังจะเห็นได้จากการที่มีบรรษัทข้ามชาติของทั้งสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเข้ามาลงทุน ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากองค์กรที่แฝงเข้ามากับบรรษัทข้ามชาติในขณะนั้นก็คือ องค์กรซีไอเอ ทั้งนี้เพราะ ซีไอเอเป็นองค์กรที่รวบรวมข่าวสารในทุก ๆ ด้าน ซีไอเอจะเข้าแทรกซึมในทุกองค์กรของประเทศไทยเป้าหมาย เข้าแทรกแซงทางการเมือง ทางการทหารเข้าสู่ระบบราชการของประเทศนั้น ๆ การปฏิบัติงานของซีไอเอ จะสอดคล้องกับกิจกรรมของ NGOs ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่สังเกตจะไม่มีทางเข้าใจว่าทั้ง ซีไอเอ กับ NGOs ทำงานประสานสอดคล้องกันอย่างไร ซึ่งได้กล่าวถึงความมาขององค์กรทั้ง ๒ ไปแล้วในเนื้อหาตัวอย่าง กลยุทธ์ต้น ๆ และเมื่อศึกษาให้ดีจะเห็นในภาพรวมว่าการเคลื่อนไหวของซีไอเอ และ NGOs เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ ต่อบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ มีข้อมูลด้านการติดที่ทันสมัยกว่าบรรษัทข้ามชาติของประเทศอื่นๆเพราะมีองค์กรของรัฐบาล สหรัฐฯ คอยป้อนข้อมูลข่าวสารด้านการค้าที่ทันสมัยให้อยู่อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของบรรษัทสหรัฐฯดังกล่าวก็ได้แก่ บ.จีอี แคปปิตอล เลแมน บราเดอร์ส์ โกลด์ มานแซ็กซ์ ซึ่งอยู่ในเครือของ จอร์จ โซรอส ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย และคนไทยก็ทราบภายหลังว่า ผู้อยู่เบื้องหลังจอร์จ โซรอส คือ รัฐบาลสหรัฐฯ นั้นเอง แล้วเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น นักธุรกิจของสหรัฐฯ และประเทศในเครือก็เข้าควบคุมและครอบครองธุรกิจของไทยโดยเบ็ดเสร็จ อันเป็นที่ทราบกันทั่วไป ของนักธุรกิจชั้นนำ นักยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชั้นนำของประเทศไทยอยู่แล้ว ซึ่งการครอบครองธุรกิจดังกล่าว เป็นไปทั้งทางลับ และเปิดเผย ทางลับคือใช้ชื่อนักธุรกิจของไทยเป็นตัวแสดงแต่เจ้าของทุนและผู้มีอำนาจสั่งการจริง ๆ แล้ว เป็นเจ้าของบรรษัทข้ามชาติสหรัฐอเมริกา ๒) การใช้สิงคโปร์เป็นฐาน ในบทบรรยายเพิ่มเติมตำราพิชัยสงคราม ซุน วู กล่าวไว้ว่า การต่อสู้ด้านการค้ากับการต่อสู้ ด้านการทหารก็ใช้หลักการเดียวกัน ฉะนั้นผู้ที่วางแผนการรบ และปฏิบัติการสู้รบเก่งก็จะทำการค้าเก่งด้วยการดำเนินการ คิดของสหรัฐฯ ก็เช่นเดียวกันที่มีการวางแผนเหมือนกันกับการสู้รบทางทหาร คือ การโจมตีเป้าหมาย ๒ ระลอก ระลอกแรกคือส่วนที่โจมตีเป้าหมายโดยตรงตามข้อ ๑) ที่ได้กล่าวไปแล้ว คือ การเข้าสู่เป้าหมายการยึดครองโดยตรง ของนักการค้าและการข่าวของสหรัฐฯ เช่น เข้าสู่ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง ระลอกที่ ๒ จะตั้งฐานอยู่ที่สิงคโปร์ มีรายงานข่าวหลายกระแสที่น่าเชื่อถือและมีเหตุมีผลถึงเรื่องความร่วมมือ ของนักธุรกิจสิงคโปร์กับนักธุรกิจสหรัฐฯ คือเงินทุนเป็นของ บรรษัทข้ามชาติสหรัฐฯ แต่ชื่อบริษัทในสิงคโปร์ เป็นชื่อชาวสิงคโปร์ หมายเหตุ เรื่องนี้อธิบายได้ด้วย ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่สามารถจะทุ่มเงินทุนผ่านประเทศเล็ก ๆ และเข้าซื้อประเทศบางประเทศ ทั้งประเทศอย่างไม่เป็นทางการหรือเป็นทางการก็อยู่ในขีดความสามารถ ที่จะทำได้โดยง่าย นอกจากนั้นสิงคโปร์จำเป็นที่จะต้องทำประเทศชาติของตนเองให้รอด สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ต่อสิงคโปร์ สิงคโปร์ทำได้ทั้งนั้น เป็นหลักธรรมดา สิ่งที่เห็นชัดเจนในเรื่องนี้คือ หลักวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทจำนวนมาก ในชื่อ สิงคโปร์เข้ามากว้านซื้อกิจการด้านเศรษฐกิจของไทยไว้เป็นอันมาก สิงคโปร์ทำเช่นนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจทุกประเทศ สิ่งที่สิงคโปร์ได้รับคือ ผลประโยชน์ตอบแทนหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการเงิน ด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอนาคต ในระยะยาวของสิงคโปร์สำหรับประเทศไทยที่คนไทยรู้กันดีอีกเรื่องหนึ่งคือ การที่นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เข้าซื้อกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตของไทยไว้ทั้งหมด โดยมีการจ่ายเงินให้กับนักการเมืองผู้รับผิดชอบด้านนี้อยู่ ในขณะนั้นจำนวนถึง ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนมหาศาล สำหรับนักการเมืองที่สามารถจะตัดสินใจขายกิจการของประเทศไทยให้กับต่างชาติได้อย่างสบาย ที่ผู้เขียนได้กล่าวมาทั้งหมดเพื่อที่จะอธิบายกลยุทธ์ คบไกลตีใกล้ โดยยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ที่คบกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจและให้ประโยชน์แก่สิงคโปร์แล้วสิงคโปร์ก็เข้าตีเพื่อนบ้าน อย่างไม่ปราณี เข้าแย่งยึดผลประโยชน์ในประเทศเพื่อนบ้านไป สิงคโปร์ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นเพื่อนบ้าน ไม่คำนึงถึงความเป็น สมาชิกอาเซียนด้วยกัน สิ่งที่สิงคโปร์ทำไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติของตน เพื่อความอยู่รอดของตนเอง และเพื่ออนาคตของประเทศสิงคโปร์เอง นั้นเป็นเรื่องธรรมดา อีกตัวอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายการใช้กลยุทธ์ คบไกลตีใกล้ ที่กระทบกับประเทศไทยอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ การที่ประเทศไทยส่งกำลังทหารเข้าไปในนามขององค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพที่ติมอร์ตะวันออก ถ้าคิดกันให้ดีแล้ว ถ้ามองในมุมมองของอินโดนีเซียก็จะมองประเทศไทยว่า ได้คบกับสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย ทำลายความเป็นเอกภาพหรือบูรณภาพของอินโดนีเซีย ก็เหมือนว่าเราช่วยประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการแยกตัว ออกมาเป็นประเทศเอกราชของติมอร์ตะวันออก ออสเตรเลียได้ประโยชน์ในเรื่องการสลายความแข็งแกร่งของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของออสเตรเลียมานาน นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์ในด้านของผลประโยชน์ทาง ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่บริเวณโดยรอบติมอร์ตะวันออกที่มีปริมาณมหาศาล และอื่น ๆ อีกมาก ส่วนสหรัฐฯ ก็มีส่วนที่ได้รับประโยชน์อยู่เป็นอันมากแต่จะไม่ขอกล่าวในรายละเอียดในที่นี้ นักการทหารไทยมักจะกล่าวกันเสมอว่า เป็นความชอบธรรมของติมอร์ตะวันออกที่จะแยกตัวออกไปจากอินโดนีเซีย เพราะที่ผ่านมาติมอร์ตะวันออกเคยเป็นรัฐอิสระ ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ แต่ถ้าเราคิดกันในมุมมองของอินโดนีเซียแล้ว เราจะเห็นว่า ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ซ้ำเติมความบอบช้ำเพื่อนบ้าน ไทยช่วยเหลือกบฏของอินโดนีเซียให้แยกตัว ออกจากรัฐบาลกลางอินโดนีเซีย ทำให้อินโดนีเซียเกิดความเคียดแค้น รอเวลาว่าเมื่อใดประเทศไทยมีสภาพเช่นอินโดนีเซีย อินโดนีเซียก็จะทำอย่างไทยบ้างคือสนับสนุนกบฏในประเทศไทยแบ่งแยกดินแดนหรือแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระบ้างเหมือนกัน ดังเช่นที่ทราบกันจากข่าวสารที่ได้รับทราบกันว่า อินโดนีเซีย เรียกร้องให้ไทยให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมภาคใต้ นั่นเป็นแนวโน้มว่าเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่อินโดนีเซียจะแก้แค้นไทยบ้างแล้ว อาจจะสนับสนุนชาวมุสลิมภาคใต้ แบ่งแยกดินแดนออกไปจากรัฐบาลกลางจริง ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า นี้เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแยกสลายหรือป้องกันการร่วมมือกันของฝ่ายตรงข้าม เพื่อจุดมุ่งหมายในการตีให้แตกทีละส่วน ที่คำโบราณจีนเคยกล่าวไว้ว่า ญาติไกลมิสู้มิตรใกล้ นั้น ตรงกันข้ามกับกลยุทธ์นี้ แท้ที่จริงแล้ว ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน ความขัดแย้งกับประเทศไกลมักจะน้อย กับประเทศใกล้กับจะมากกว่า เพราะอาจจะมีการกระทบกระทั่งกัน ในเรื่องผลประโยชน์และอื่น ๆ อีกนานัปการ กลยุทธนี้มีหลักปรัชญาในการแสวงหาประโยชน์ พร้อมทั้งป้องกันตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน สุดแต่ผู้ใดจักใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๔ ยืมทางพรางกล เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 05:53:40 PM กลยุทธ์ที่ ๒๔ ยืมทางพรางกล
ระหว่างสองใหญ่ ศัตรูบังคับให้สยบ เราพึงแสดงท่าที ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา กลยุทธ์นี้มีความว่า ประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง ๒ ประเทศใหญ่เมื่อถูกข้าศึกบังคับให้สยบอยู่ใต้อำนาจเรา พึงให้ความช่วยเหลือโดยพลัน เพื่อให้ประเทศที่ถูกข่มเหงเชื่อถือ ต่อประเทศที่ตกอยู่ในความยากลำบาก การช่วยเหลือแต่เพียงทางวาจา มิได้มีการกระทำที่เป็นจริง ย่อมจะมิได้รับความไว้วางใจ จากผู้ที่รอความช่วยเหลืออยู่ ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา มาจาก คัมภีร์อี้จิง ทุกข์ ความเต็มว่า เมื่ออยู่ในทุกข์ จักไม่เชื่อใครโดยง่าย จึงมิเชื่อเพียงวาจา อันนับเป็นกลยุทธ์ใช้การหลอกยืมทางผ่าน เพื่อบรรลุการให้ยึดครองอีกฝ่ายที่เราต้องประสงค์อย่างหนึ่ง ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ การที่จีนให้การช่วยเหลือพม่าในยามที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางตะวันตกที่ประณามและบีบคั้นพม่าเป็นอันมากทำให้พม่าไม่มีทางออก ผู้ที่เห็นประโยชน์ที่จะใช้พม่าให้เป็นประโยชน์ได้คือจีน ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้กลยุทธนี้ดังต่อไปนี้ หลังจากที่พม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม อังกฤษได้แสวงประโยชน์จากความมั่งคั่ง ทางทรัพยากรธรรมชาติของพม่าเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปสู่ประเทศแม่ของตนเป็นอันมากนั้น อังกฤษไม่เพียงจะ ไม่ได้สร้างพื้นฐานการพัฒนาให้กับพม่าเท่านั้น ยังได้วางยาพม่าด้วยการกำหนดในรัฐธรรมนูญพม่าหลังจากที่ให้ เอกราชแก่พม่าว่า ให้ชนกลุ่มน้อยของพม่าสามารถที่จะแยกตนเองเป็นอิสระหรือประกาศอิสรภาพจากพม่าได้ นั่นคือปัญหายิ่งใหญ่ของพม่าที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่อังกฤษวางยาพม่าไว้นั่นเอง พม่าต้องขมขื่นกับการวางยาของอังกฤษที่ทำให้พม่าต้องพยายามที่จะรวบรวมแผ่นดินของตนให้เป็นหนึ่งเหมือนเดิม การสร้างบูรณาการของชาติพม่าที่ประกอบด้วนชน กลุ่มน้อยต่าง ๆ มากมายเป็นปัญหาที่รัฐบาลทหารพม่าต้องทุ่มเท ความพยายามทั้งทรัพยากรเงินทุน และกำลังทหารเข้าดำเนินการแต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะสำเร็จลงได้ ถ้าศึกษาเรื่องเกี่ยวกับปัญหาในประเทศพม่าให้ดีก็พอที่จะมองปัญหาโดยสรุปออกมาเป็นปัญหาหลัก ๆ ดังนี้คือ ๑. ปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่พม่าต้องใช้เวลาและทรัพยากรทุ่มเทเพื่อแก้ปัญหาอันนี้มายาวนาน แต่ก็ยังมองไม่เห็นฝั่งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ๒. ปัญหาการบีบคั้นกดดันจากประเทศโลกเสรี ประเทศพม่านับเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบ เผด็จการทหารมายาวนาน ประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการทหารนั้นก็ต้องตกเป็นเหยื่อของการการกดดัน และบีบคั้นของประเทศในค่ายโลกเสรีทางตะวันตก ประเทศที่บีบคั้นกดดันพม่าหลัก ๆ คือประเทศทางตะวันตก ทั้งกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริการวมทั้งอังกฤษที่เคยวางยาพม่ามาแล้วเมื่อครั้งให้เอกราชแก่พม่า ประเด็นที่ประเทศทางตะวันตกบีบคั้นและกดดันพม่าอย่างรุนแรงต่อเนื่องคือเรื่อง สิทธิมนุยชนและเรื่องประชาธิปไตย อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนั้น ๓. ปัญหานาง ออง ซาน ซู จี ประเทศตะวันตกพยายามที่จะหยิบยกกรณีนาง ออง ซาน ซู จีมาในการกดดันพม่า กรณีของนางอองซานซูจี เป็นประเด็นหลักในการกดดันพม่าเพื่อที่จะให้รัฐบาลทหารพม่าเปิดทางให้ นางออง ซานฯ ขึ้นมาบริหารประเทศตามครรลองประชาธิปไตยตามที่ตะวันตกต้องการ ในขณะที่พม่ามีความเห็นว่า ตัวนาง ออง ซาน ซู จี ขึ้นบริหารประเทศพม่ามีความเห็นว่า พม่าหรือเมียนม่าในปัจจุบันต้องล่มสลายไป ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ต้องประกาศอิสรภาพและตั้งประเทศใหม่ขึ้นอีกหลายประเทศ และประเทศตะวันตก ก็จะเข้ามาครอบครองพม่าและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรณ์อันมั่งคั่งของพม่าไปเหมือนดังเช่นที่ อังกฤษเคยทำมาแล้วเมื่อยุคสมัยล่าอาณานิคม ประเด็น นาง ออง ซาน ซูจี ในแง่คิดมุมมอง ของผู้นำทหารพม่า กล่าวว่า นาง ออง ซาน ซูจี เหมือนไม่ใช่คนพม่าเพราะตั้งแต่เด็กจนกระทั้งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่และเข้ามาเคลื่อนไหว ทางการเมืองพม่า นางอองซานซูจี ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศพม่าเลย เพราะนางอองซานฯ เติบโตในอังกฤษ ได้รับการศึกษาและมีครอบครัวที่อังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่เคยครอบครองพม่าและทำลายประเทศพม่ามาแล้ว ฉะนั้น นางออง ซาน ซูจี เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองในพม่าต้องได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกเพื่อตอบสนอง ต่อผลประโยชน์ของประเทศตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย เงินช่วยเหลือต่อนางอองซานฯ จากประเทศตะวันตก มีจำนวนปีละไม่น้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลทหารของพม่ารู้ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นที่รัฐบาลทหารพม่า จะต้องแสวงประโยชน์จากนาง ออง ซาน ซูจี ดีกว่าที่จะสังหารหรือต่อต้านนาง ออง ซาน ซูจี เพียงแต่ปล่อยให้ นาง ออง ซาน ซูจีได้แสดงกิจกรรมตามความประสงค์ของประเทศตะวันตก บางครั้งบางคราวเท่านั้น ส่วนที่รัฐบาลทหารของพม่าคือ เงินที่ได้รับจากประเทศตะวันตกที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมของ นาง ออง ซาน ซูจี แต่ละปีซึ่งเป็นเงินเงินก้อนโต เพียงพอที่รัฐบาลทหารพม่าจะนำไปใช้ในการบริหารกิจการต่าง ๆ ของตนได้ ๔. ปัญหาความยากจน ด้วยการปิดประเทศของพม่ามายาวนานตั้งแต่ครั้งมีการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันซึ่งต้นเวลาเกือบครั้งศตวรรษแล้ว ทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจของพม่าดำเนินไปอย่างล่าช้า ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน มีภาพบ้านเมืองทั่วไปอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับการพัฒนาดังนี้มีคนกล่าวเปรียบเทียบ สภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนในพม่าในปัจจุบันนี้ว่า สภาพดังกล่าวเหมือนกับสภาพของประเทศไทย ที่นับย้อนถอยหลังไปจากปัจจุบัน (๒๕๔๗) อีกประมาณ ๓๐ ๔๐ ปี ซึ่งผู้เขียนเองก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ความยากจนค้นแค้นของประชาชนชาวพม่าทำให้คนพม่าต้องหลบหนีเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบัน ดังที่ทราบกันดี ๕. ปัญหาอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สืบเนื่องมาจากข้อต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ทำให้การแก้ปัญหาประเทศชาติ โดยรัฐบาลทหารพม่าไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ เหมือนงูกินหาง ซึ่งปัญหาก็ยังคงวนเวียนกลับมาสู่ ต้นเหตุของปัญหาเช่นเดิม ยังทำให้รัฐบาลทหารพม่ายากที่จะหาทางออก จึงทำได้เพียงรักษา สถานะของรัฐบาลทหารพม่าไว้ให้ได้ยาวนานที่สุดเท่านั้น นี่คือสภาพที่เป็นอยู่ของรัฐบาลพม่าประเทศที่รู้ปัญหาของพม่าดีที่สุดและพร้อมที่จะเข้าโอบอุ้มรัฐบาลพม่าคือ ประเทศจีน จากรายงานข่าวสารอันเป็นทราบกันโดยทั่วไปว่า จีนได้ให้การช่วยเหลือรัฐบาลทหารพม่า มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แต่ยุคสมัยเริ่มต้นยุคสงครามเย็นที่พม่าปิดประเทศเป็นต้นมามีรายงาน ที่เป็นหลักฐานเรื่องการช่วยเหลือของจีนต่อพม่าที่คิดเป็นจำนวนเงินแล้วมีมูลค่ามหาศาลนั้นมีรายการ โดยประมาณดังต่อไปนี้ ๑) อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติการทางทหารทั้งทางบก เรือ และ อากาศ ๒) เงินทุน จีนให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่พม่าเป็นเงินก้อนมหึมา ๓) ที่ปรึกษาทางทหาร ๔) กำลังทหาร ๕) การสร้างเมืองโดยชาวจีนที่อยู่ในพม่า ที่มีชาวจีนเข้าไปในพม่าเป็น ล้านคนเศษ ๖) อื่นๆ การที่จีนให้การสนับสนุนพม่า เช่นนี้จีนย่อมการผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ซึ่งที่เห็นชัดที่สุด และเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับหลักการที่ว่า ไม่มีอะไรได้เปล่าในโลกนี้ นั้นพอที่จะประมาณสิ่งที่จีน ต้องการจากพม่า อันได้แก่ ๑) เส้นทางออกสู่ทะเลทางด้านอันดามัน จากแผนการปิดล้อมจีน ของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยต่อยุคสมัยอยู่เสมอ นั้น ทำให้จีนต้องการทางออกทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่จีนกำลังขยายตลาดทางการค้ากับประเทศในตะวันออกกลางกลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกา กลุ่มประเทศในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง เฉพาะในกลุ่มประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง จีนได้ขยายพันธมิตรด้านการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ การติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคของจีน กับสินค้าพลังงานปิโตรเลียมของชาวตะวันออกกลาง ซึ่งมีประมาณการแลกเปลี่ยนค้าขายกันเป็นจำนวนมหาศาล ในระยะหลังนับตั้งแต่จีนใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ ( Reform and Openning up policy ) ปริมาณการค้าขายระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางยังเพิ่มทวีมากขึ้นโดยลำดับ ในเวลาต่อมา เมื่อชาวตะวันตกข่มเหงรังแก ชาวมุสลิมทั่วโลกมากขึ้น ยังทำให้ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางหันมาสถาปนา ความร่วมมือกับจีนในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งเห็นได้ว่าตะวันออกกลาง เป็นแหล่งค้าขายที่ใหญ่ที่สุด และสำคัญที่สุดของจีน แห่งหนึ่งที่จีนต้องดำรงรักษาไว้ ตราบใดที่จีนยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เศรษฐกิจของตน มีความเจริญอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าเส้นทางออกสู่ทะเลทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ของจีนที่ต้องผ่านพม่าเป็นเส้นทางสายยุทธศาสตร์ของจีน จีนจะอยู่รอดและมั่งคั่งได้หรือไม่ด้านหนึ่งมาจากเส้นทางนี้ เหมือนกัน นั้นแสดงว่าการที่จีนลงทุนทุ่มงบประมาณ และทรัพยากรมหาศาลลงที่พม่าย่อมให้ผลคุ้มค่าแก่จีน ๒) รักษาเส้นทางส่งกำลังทางทหารของจีน แม้ว่าจีนจะประกาศนโยบายต่อชาวโลกที่ค่อนข้างชัดเจนว่า จีนจะไม่มีนโยบายส่งกำลังทหารไปประจำอยู่ในพื้นที่ใด ๆ บนพื้นโลกนอกจากบนผืนดินและผืนน้ำของจีนเอง ก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกยังไม่ค่อยจะรู้กันมากนักก็คือการที่จีนมีกองกำลังส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังทางทหาร และช่างเทคนิคที่ไปประจำอยู่ในเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดหัวรบนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต ลอยลำอยู่ใต้ผิวน้ำในทะเลแถบตะวันออกกลางทั้งทะเลแดง และทะเลอาราเบียน รายงานข่าวที่เชื่อถือได้ ยังแจ้งอีกว่า หลังจากที่อดีตสหภาพโซเวียตล้มสลายกองเรือขนาดมหึมาของอดีตสหภาพโซเวียตได้ตกไปอยู่ ในการดูแลของรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ แต่รัสเซียซึ่งประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำไม่สามารถที่จะดำรงกองเรือดำน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ติดหัวรบนิวเคลียร์เหล่านั้นไว้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้การซ่อมบำรุง อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นไว้พันธมิตรเก่าที่เชื่อถือต่อการรักษาความลับได้มากที่สุดในขณะนั้นมีเพียงจีนเท่านั้น โดยเงือนไขของทั้ง ๒ ประเทศตกลงกันว่าจะดูแลเรือดำน้ำด้วยกันแต่ผู้จ่ายงบประมาณมหาศาลเหล่านั้นคือจีน ทำให้ขณะนี้มีกองกำลังของจีนครึ่งหนึ่งอยู่ในเรือดำน้ำของรัสเซีย จึงเป็นความสำคัญประการหนึ่งที่จีนจำเป็น ที่จะต้องรักษาเส้นทางส่งกำลังบำรุงด้านนี้ของตนไว้คือการรักษาเส้นทางด้านพม่าไว้นั้นเอง ๓) ความร่วมมือกับกลุ่มเอเชียใต้ แม้ว่าจีนจะเคยมีข้อขัดแย้งกับอินโดนีเซียถึงขั้นใช้กำลังทางทหารเข้าสู้รบกัน บริเวณชายแดนมาแล้ว เมื่อครั้ง เหมา เจ๋อ ตุง ขยายอำนาจของตนทำให้เป็นข้อพิพาทอันยาวนาน ของทั้ง ๒ ประเทศมาแล้วนั้นก็ตาม มาระยะหลังจีนกับอินเดียได้สถาปนาความสัมพันธ์ด้านการค้า และการลงทุนระหว่างกันมากขึ้นจะเห็นได้จากการที่ผู้นำของจีนเน้นการไปเยือนอินเดียและผู้นำอินเดีย ได้เดินทางมาเยือนจีนเป็นการตอบแทนเมื่อปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมาปรากฏการณ์เช่นนี้ นับเป็นก้าวใหม่ของ ความสัมพันธ์จีน อินเดีย ผลที่เกิดขึ้นจากการเยือนซึ่งกันและกันครั้งนั้นเด่นชัดที่สุดคือการที่อินเดียยอมรับว่า ธิเบตเป็นดินแดนของจีนและจีนจะรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาคาใจที่ค้างกับอินเดียให้หมดสิ้นโดยเร็ว และหันมาร่วมมือกันด้านการค้าและการลงทุน ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าจีนเข้าไปมีอิทธิพลในเอเชียใต้อย่างมาก ความสัมพันธ์ของจีนกับปากีสถาน , บังคาเทศ, ศรีลังกา, เนปาล, ก่อนข่าวจะมีการพัฒนาขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับปากีสถานซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของจีน เมื่อความสัมพันธ์กับประเทศในเอเซียใต้ดำเนินไปด้วยดี จะทำให้สามารถที่จะเอื้อประโยชน์กับอินเดียถ้าอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน อย่างน้อยที่สุดจะสามารถ ประสานรอยร้าวระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนานได้กับทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง อินเดียกับสหรัฐฯ ไม่ค่อยสู้ดีนักอันเนื่องจากอินเดียไม่พอใจที่สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการของปากีสถาน ที่กระทบกับอินเดีย สิ่งเหล่านี้คำตอบอยู่ที่จีน เมื่อจีนสามารถประสานรอยร้าวทั้งหมดของกลุ่มประเทศในเอเชียใต้ จะทำให้ทั้ง จีนและอินเดียและประเทศอื่น ในเอเชียได้ประโยชน์ จุดเริ่มต้นนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์อันดี จะเริ่มต้นขยายออกไปจากเส้นทางด้านพม่านี่เอง ต่อเรื่องเกี่ยวกับพม่าที่กำลังเกิดเป็นข่าวฮือฮาเรื่องการทำรัฐประหารในพม่าเมื่อประมาณวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา มีข่าวที่นำเสนอทางสื่อมวลชนกล่าวถึงสถานการณ์ในพม่าว่า สาเหตุของการทำรัฐประหารในพม่า เป็นเพราะนายพล ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีพม่าที่ถูกยึดอำนาจและให้ถูกออกไปนั้นเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการคอรัปชั่น เป็นอันมากในรัฐบาลของพม่าช่วงที่นายพล ขิ่น ยุ้นต์ บริหารประเทศ ทำให้คณะนายทหารทั้งหลายไม่พึงพอใจ อีกทั้งนายพล ขิ่น ยุ้นต์ ดังกล่าวนี้กำลังจะพาประเทศของตนออกห่างจากความเป็นรัฐบาลทหารพม่า และอีกกระแสหนึ่ง นายพลขิ่น ยุ้นต์ มีสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักทำให้อาจจะไม่สามารถที่จะบริหารประเทศต่อไป อย่างมีประสิทธิภาพได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในที่สุด จึงต้องเกิดรัฐประหารขึ้น อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า รัฐบาลทหารพม่าอยู่ยงคงกระพันมายาวนาน ไม่สามารถมีประเทศมหาอำนาจใด ๆ มาโค่นล้มได้แม้ว่าประเทศตะวันตกจะรุมกระหน่ำโจมตีพม่าอย่างไม่หยุดหย่อนก็ตาม จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถ ที่จะโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่าได้ ความเข้มแข็งดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้รับการสนับสนุนหรือการหนุนหลังจากจีน ตราบใดที่จีนยังคงเป็นใหญ่สามารถที่จะท้าทายอำนาจของประเทศตะวันตกได้ ตราบนั้นพม่าก็จะยังคงยืนท้าทายอิทธิพล และอำนาจของประเทศตะวันตกได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นกรณีพม่ามีข่าวที่ท้าทายความเชื่อถืออยู่กระแสหนึ่งคือ การที่ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าไปรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และกู้เงินประเทศไทยที่พม่าเชื่อว่าเป็นเงินของสหรัฐฯ โดยที่ผู้รับผิดชอบคือพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรี เงื่อนไขของการรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ คือการปล่อยตัว นาง ออง ซาน ซู จี ออกจากที่คุมขัง เมื่อรัฐบาลทหารพม่ารับเงินมาแล้วแต่ไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว จึงปล่อยข่าวว่ามีการทำรัฐประหารและปลดนายกรัฐมนตรีเดิมออก ผลที่ตามมาคือ พม่าได้เงินฟรี ไม่ต้องใช้หนี้ และไม่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับสหรัฐฯ หรือแม้แต่กับไทยก็ตาม พม่าก็อาจจะไม่ใช้หนี้รัฐบาลไทยก็ได้ ส่วนพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ ก็ยังคงมีอำนาจในรัฐบาลทหารพม่าอยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศเท่านั้นเอง ( ๒๓ ต.ค.๔๗ ) ดังนั้นเมื่อพม่าถึงจุดอับ จีนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ พม่าได้ประโยชน์จีนได้ประโยชน์แต่จีนได้ประโยชน์มากกว่า เพราะได้ประโยชน์ด้านการสู้รบในภาพรวมที่จะรวมพลังทั้งสิ้นของตน โดยใช้เส้นทางผ่านพม่า นำไปสู่ผลประโยชน์ ในกลุ่มประเทศต่างๆ ทั่วโลก เป้าหมายสุดท้ายของจีนอยู่ที่สร้างความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และโค่นล้มสหรัฐอเมริกาลงให้ได้นั้นเอง จีนได้รับความมั่งคั่งจากการใช้เส้นทางพม่าเป็นอันมาก ทั้งการค้าขายกับอัฟริกา ค้าขายกับลาตินอเมริกา และค้าขายกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ล้วนแต่ต้องใช้เส้นทางออกด้านพม่าทั้งสิ้น จีนจึงจำเป็นที่จะต้องให้ได้เส้นทางนี้มา และจีนจะต้องรักษาเส้นทางนี้ไว้ให้ได้อย่างเหนียวแน่น สิ่งที่จีนทำกับพม่าคือการใช้กลยุทธ์ ยืมทางพรางกล แล้วยึดครองประเทศพม่าและยึดครองเส้นทางของจีน ในประเทศพม่าตามกลยุทธ์นั่นเอง กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า ปัญหาของกลยุทธ์นี้อยู่ที่คำว่า ยืมทาง ถ้ายืมทางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ใช้กลยุทธ์ยืมทาง จักต้องหาเหตุผลในการยืมทางให้ดี เพื่อปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน ความจริงคำว่า ศัตรูบังคับให้ ( อีกฝ่ายหนึ่ง) สยบ เราพึงแสดงท่าที นั้น ก็คือ ฉวยโอกาสที่ อีกฝ่ายหนึ่ง เพลี่ยงพล้ำ เรายื่นมือเข้าไปช่วย แล้วเอาประโยชน์จากนี้ อันที่จริงการกระทำดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง แต่ในสงครามหรือในการต่อสู้ใด ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามักจะเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ทั่วไปในชีวิตจริง เพราะเหตุว่า แต่ละฝ่ายย่อมจะเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หากปราศจากเสียซึ่งการร่วมมืออันถาวร ก็จักไม่มีการช่วยเหลือที่แท้จริง มิตรและศัตรู คำมั่นสัญญากับการปฏิบัติจึงพึงจำแนกให้ชัด พิจารณาให้ถ่องแท้ มิฉะนั้นแล้ว หากเห็นแก่ได้ถ่ายเดียวก็จักสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตตน หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 05:57:51 PM ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....? เดี๋ยวจะลองทำให้ครับ ต้องเอาไปเรียบเรียงใน WORD ใหม่แล้วแปลงเป็น PDF ขอบคุณมากครับ.... คุณ Narongt นำข้อมูลค่อนข้างแยอะมากมาลงเผยแพร่ ให้พวกเรา ต้องบอกว่า..นับถือครับ รับทราบครับท่าน หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๕ ลักขื่อเปลี่ยนเสา เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 10:00:27 PM ส่วนที่ ๕
กลยุทธ์ร่วมรบ เมื่อร่วมรบด้วยพันธมิตร พึงให้ได้อำนาจบัญชาการ ทั้งฝ่ายเราและศัตรู กลยุทธ์ที่ ๒๕ ลักขื่อเปลี่ยนเสา ลวงให้ย้ายแนวบ่อย หลอกให้ถอนทัพหลัก รอให้พ่ายไปเอง ฉกฉวยเอาภายหลัง หยุดซึ่งกงล้อ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อกำลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อข้าศึกจักต้องหาทางเปลี่ยนแปลง แนวรบของฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อนย้ายกำลังสำคัญของฝ่ายนั้นไป รอให้ฝ่ายนั้นอ่อนแอ ต้องประสบกับ ความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเราแล้ว ควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา หยุดซึ่งกงล้อ มาจาก คัมภีร์อี้จิง มิทัน อันหมายความว่า รถคันหนึ่งนั้นสำคัญที่ล้อ ถ้าหยุดล้อได้ก็สามารถบังคับให้เคลื่อนที่ไป ตามความประสงค์ของเรา อันเป็นกลยุทธ์กลืนกำลังของพันธมิตรหรือสลายกำลังของข้าศึกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ กรณีจีนเข้าไปควบคุมพม่าในลักษณะ ลักขื่อเปลี่ยนเสา ดังมีรายละเอียดของเนื้อหาดังนี้ ดังที่เคยนำเสนอมาแล้วในกลยุทธ์ที่ผ่านมาว่า จีนเป็นประเทศที่มี ความทะเยอทะยานอย่างสูงที่จะยกตัวเองให้ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแทน สหรัฐอเมริกา ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วเช่นเดียงกัน แต่การที่ประเทศใด ๆ จะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้ จำเป็นจะต้องสร้างพื้นฐานของการยึดครองประชาคมโลกให้ได้หลาย ๆ มิติ ดังเช่นที่สหรัฐฯ ทำอยู่ในขณะนี้ ขอนำเสนออีกครั้งหนึ่งถึงเนื้อหาในหนังสือเรื่อง Hegemony of a new type ซึ่งเขียนโดย Bezezinski โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่อง ความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯจะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ด้านการทหาร สหรัฐฯ ใช้งบประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณทหาร ของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ เป็นงบประมาณทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ ) เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก สหรัฐฯ เป็นประเทศ ที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔ ของตลาดหนังมาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย , การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต , สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก เช่น UN , IMF ,WB , WTO .( รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ฉะนั้นถ้าจีนต้องการที่จะเป็นมหาอำนาจดังเช่นสหรัฐอเมริการในปัจจุบัน จำเป็นที่จีนจะต้องสร้างความเหนือกว่า สหรัฐฯ อย่างน้อย ๔ มิติดังที่กล่าวมาแล้ว คือ ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม ถ้าเมื่อใดก็ตามที่พลังอำนาจทั้ง ๔ ประการหรือมากกว่านั้นของจีนยังไม่สามารถที่จะทัดเทียม สหรัฐอเมริกาได้ ความเป็นมหาอำนาจของจีนที่หวังไว้จึงจะยังเป็นไปไม่ได้ ทางด้านการสร้างความเหนือกว่าของจีน บริเวณโดยรอบผืนแผ่นดินจีนนั้น จีนได้ใช้ความพยายามอย่างขมักเขม้น จีนพยายามสร้างอิทธิพลให้เกิดขึ้น ทั้งในเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทวีปอัฟริกา เกือบทั้งทวีปเป็นพันธมิตรกับจีนตั้งแต่ครั้งที่อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์เข้าไปมีอิทธิพล ทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลางก็เป็นพันธมิตรของจีนไม่ใช่น้อย ประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรน้ำมัน อย่างประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางก็ให้ความเห็นใจจีนมากว่าสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน รัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตร ในยุคสงครามเย็นของจีนก็กลับมาเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับจีนอีกครั้งหนึ่ง กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ที่ได้รับพิษสงการใช้พลังอำนาจ ( Hard Power ) ของสหรัฐอเมริกา ทำให้หันมาร่วมมือกับจีนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีในประเทศจีนสินค้าของทางประเทศในแถบยุโรปในจีนมีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าด้านเครื่องยนต์กลไก เช่น รถยนต์ ประมาณร้อยละ ๘๐- ๙๐ เป็นยี่ห้อของทางยุโรปทั้งสิ้น นอกจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับประเทศคู่อริเก่าอย่างเช่น ญี่ปุ่น เริ่มได้รับการพัฒนามากขึ้น จีนเคยบอบช้ำ จากการรุกรานของญี่ปุ่นในอดีต ในขณะนี้จีนเริ่มผ่อนคลายการต่อต้านญี่ปุ่นลงบ้างแล้วหันมาร่วมมือ ทางการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น ดังที่มีตัวอย่างของการทำข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่จะให้มี การผลิดรถยนต์ยี่ห้อของญี่ปุ่น เช่น โตโยต้าในจีนได้ เป็นต้น ซึ่งเชื่อกันว่า ในความพยายามทั้งหลายของจีน ล้วนมุ่งไปสู่เป้าหมายหลักคือการสร้างพันธมิตรเพื่อที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งและเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง ให้ได้ในที่สุด ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่คลุกคลีเรื่องราวเกี่ยวกับจีนมาพอสมควรนั้น จะเห็นว่า ด้วยการที่จีนมีประวัติศาสตร์มายาวนานมากกว่าประเทศใด ๆ ที่เป็นมหาอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ จีนเคยเป็น มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เคยเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดประเทศหนึ่งมาแล้วในอดีด เมื่อมีความรุ่งเรืองแล้วก็มีความเสื่อมแล้วรุ่งเรืองใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้เป็นวัฐฎจักรเรื่อยไป จนกระทั่งถึงยุคที่ จีนเสื่อมถอยอำนาจลง ทำให้จีนถูกประเทศเล็ก ๆ อย่างญี่ปุ่นรุกราน ประเทศผู้ล่าอาณานิคมตะวันตกย่ำยีจีน อย่างบอบช้ำ จีนพยายามที่จะยกตนเองขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งตั้งแต่เริ่มมีการตั้งจีนใหม่ ( Modern China ) ขึ้นมาหลังจากที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๒ และพัฒนาเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ จีนเชื่อว่า เมื่อครั้งอดีต จีนเคยรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจมา กับการที่จีนจะกลับมาเป็น มหาอำนาจอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปได้ กรณีด้านพม่า จีนถือว่าพม่าเป็นมิตรที่เก่าแก่มากที่สุดประเทศหนึ่ง แม้ว่าในอดีตจีนกับพม่าจะเคยมีกรณีพิพาท กันเรื่องชายแดนของทั้งสองประเทศแต่เมื่อมาถึงปัจจุบัน จีนกับพม่าถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความแนบแน่น ทางด้านความสัมพันธ์ทุก ๆ ด้านอย่างหาประเทศที่เป็นมิตรกับจีนใด ๆ จะมาเปรียบได้จีนถือว่า เมื่อครั้งที่จีน ถูกรุมประณามเรื่องการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประเทศโลกเสรีทุกประเทศประณามจีนหมด ประเทศที่มีความเห็นอกเห็นใจและไม่ประณามจีนคือพม่า และพม่าก็ยังคงเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์กับจีนมาโดยตลอด ระยะเวลาอันยาวนาน มา ณ ปัจจุบันนี้จีนกับพม่าก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันไม่เสื่อมคลาย สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองประเทศ ดังกล่าวมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันได้ ก็คือ เรื่องของการมีผลประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง จีนได้หยิบยื่นผลประโยชน์ในสิ่งที่พม่าโหยหายากที่พม่า จะหาจากแหล่งอื่น ๆ ได้ นั่นคือการช่วยเหลือ ต่อต้านผู้คุกคามพม่าหรือผู้ที่บีบคั้นและประณามพม่า เช่นประเทศตะวันตก และประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศในโลกเสรี ที่ต้องการเห็นพม่าเป็นประชาธิปไตย ตามแบบตน จีนไม่เคยประณามพม่าในกรณีใด ๆ เลย กลับให้การสนับสนุนช่วยเหลือพม่าอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้พม่าเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจจีนมากยิ่งขึ้นโดยลำดับ นอกจากนั้นจีนยังให้การสนับสนุนเงินทุน ในการพัฒนากองทัพเพื่อปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่า ตามโครงการสร้างบูรณาการของประเทศเมียนม่า จีนทุ่มเทงบประมาณไม่น้อยให้กับพม่าในด้านนี้ รวมทั้งจีนได้ให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ พร้อมทั้งที่ปรึกษาทางทหารให้กับพม่าเป็นธรรมดาที่ผู้รับย่อมเกรงใจผู้ให้ พม่าก็ยิ่งเพิ่มความเกรงอกเกรงใจ จีนมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผลประโยชน์ที่จีนกำลังได้รับคือการได้ใช้พม่าเป็นเส้นทางไปสู่ทะเลอันดามัน อันเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อเส้นชีวิตของจีนอีกเส้นหนึ่ง นัยว่าผลประโยชน์ด้านการค้าขายของจีน ที่ต้องผ่านเส้นทางนี้มีมากมาย ทั้งนี้เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางการค้าขายของจีน ที่จีนดำเนินกิจกรรม ทางด้านการค้าขายกับหลายกลุ่มประเทศ เช่น กลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกา กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาใต้ กลุ่มประเทศในอเมริกากลาง กลุ่มประเทศบางส่วนของเอเชียใต้ รวมทั้งพื้นที่สำคัญยิ่งอีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง สินค้าอุปโภค บริโภคราคาถูก แต่คุณภาพชั้นดีจำนวนมากของจีนส่งไปขาย ให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ในขณะเดียวกันจีนก็นำสินค้าพลังงานปิโตรเลียมจากกลุ่มประเทศ ตะวันออกกลางกลับประเทศตน นอกจากนั้นจีนยังได้ทำสัญญากับบางประเทศในการแลกเปลี่ยนสินค้า อุปโภคบริโภคกับน้ำมันโดยตรง ( Exchanged ) ไม่ใช่ Barter Trade ซึ่งมีการทำกันโดยทั่วไป กับประเทศคู่ค้าหลายประเทศอยู่แล้ว จึงเห็นได้ว่าประเทศจีนมีผลประโยชน์จากพม่าที่เพียงขอใช้เส้นทางผ่าน แต่คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับจำนวนมหาศาล จึงทำให้จีนจะไม่ยอมสูญเสียเส้นทางนี้ไปเป็นอันขาด เป็นที่น่าสังเกตที่ เมื่อครั้งที่ผู้เขียนกำลังศึกษาหลักสูตรป้องกันประเทศของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ ของจีนอยู่นั้น นักศึกษาร่วมชั้นเรียนที่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ชาวพม่าได้เดินทางไปร่วมต้อนรับ ผู้นำทหารพม่าที่เดินทางไปเยือนจีนทุก ๆ เดือน หลังจากที่มีการเยือนเสร็่จแล้ว รุ่งขึ้นก็จะมีข่าว เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพม่ากับจีน หรือความร่วมมือกันของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น มีการให้เงินช่วยเหลือ จากจีนต่อรัฐบาลทหารพม่าเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จึงทำให้เห็นอย่างแน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ ประเทศนี้ มีความแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะต่างมีผลประโยชน์เอื้อซึ่งกันและกัน จีนมีผลประโยชน์ด้านการใช้เส้นทาง ผ่านพม่า พม่าได้รับเงินช่วยเหลือจากจีน เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลทหารพม่า เป็นรัฐบาลทหารที่มีความอยู่ยงคงกระพันมากที่สุดในโลกรัฐบาลหนึ่ง ที่ท้าทายอำนาจของประเทศตะวันตกที่กระหายประชาธิปไตย พม่าไม่ได้สนใจต่อคำว่ากล่าวและประณามใด ๆ จากประเทศตะวันตกถึงเรื่องประชาธิปไตย ถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน นั่นเพราะพม่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องอาศัย ประเทศเหล่านั้น พม่าทำเช่นนี้มายาวนานก็ไม่เห็นว่าจะมีประเทศตะวันตก ที่บูชาประชาธิปไตยประเทศใด ที่จะล้มล้างรัฐบาลทหารพม่าได้ อีกในแง่มุมหนึ่งก็คือ ถ้ารัฐบาลทหารพม่าไม่ได้รับความเห็นชอบหรือได้รับ การสนับสนุนจากประชาชนในประเทศของตน ก็เชื่อแน่ว่ารัฐบาลทหารพม่าคงอยู่ไม่ได้เช่นกันที่มีคนกล่าวว่า ประชาชนทั้งประเทศต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าจึงน่าจะไม่เป็นจริงทั้งหมด อย่างน้อยที่สุดส่วนใหญ่ต้องให้ การสนับสนุนไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่นานได้ถึงเพียงนี้ นี่น่าจะเป็นหลักสัจจธรรม ผู้เขียนเองมีความเชื่อว่า รัฐบาลทหารพม่าคงไม่ใช่คนโง่เสมอไปและประชาชนที่เป็นปัญญาชนของพม่า ก็คงไม่ใช่คนโง่เสมอไป ต้องรู้เหตุและผล อย่างน้อยที่สุด การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างปัญญาชน และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของพม่าต้องลงตัว และประชาชนทั้งประเทศต้องได้รับผลประโยชน์ร่วมกันด้วย หรืออย่างน้อยเรื่องของการปฏิบัติการจิตวิทยาของรัฐบาลทหารพม่าต้องเป็นเลิศอย่างแน่นอน และเขาคงจะให้สัญญากับประชาชนอย่างพึงพอใจจึงสามารถที่จะตกลงกันได้และอยู่ทนนานเช่นนี้ ( ผู้เขียน) เรื่องราวเกี่ยวกับที่พม่าและจีนจะต้องร่วมมือกันรักษาผลประโยชน์ของซึ่งกันและกัน คือจีนรักษาเส้นทาง พม่ารักษาเอกราชของชาติตน ประเทศที่เป็นภัยคุกคามของทั้งสองประเทศนี้คือชาวตะวันตก ถ้าเป็นกลุ่มประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป จีนยังพอที่จะเป็นตัวประสานให้เพลาการกดดันพม่าลงได้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปค่อนข้างจะมีความแน่นแฟ้น แต่ประเทศที่เป็นปัญหาของทั้งพม่าและจีนคือสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะใช้อิทธิพลของตน เข้าไปสู่ประเทศพม่าให้ได้แต่ยังไม่เป็นผลทั้งนี้เพราะได้รับการต่อต้านจากพม่าอย่างเหนียวแน่น สาเหตุที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะเข้าไปในพม่าก็เพราะว่า สหรัฐฯ ต้องการที่จะตัดเส้นทาง การออกสู่ทะเลของจีนนั่นเอง ซึ่งถ้าสามารถตัดเส้นทางออกสู่ทะเลด้านอันดามันของจีนได้ ก็เท่ากับว่าได้ดำเนินการไปตามแผนการปิดล้อมจีนอย่างได้ผล คือการที่จะทำให้ผลประโยชน์ ทางการค้าของจีนที่ต้องใช้เส้นทางผ่านพม่าต้องถูกตัดไปซึ่งเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาลของจีน ที่ได้รับในแต่ละปีซึ่งจีนจะยอมไม่ได้เป็นอันขาดที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์ส่วนนี้ไป ดังที่ผู้เขียน ได้เคยกล่าวมาแล้วและคงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปของนักการทหารและนักการข่าวด้านความมั่นคง โดยทั่วไปว่า สิ่งที่จีนให้การช่วยเหลือแก่พม่าได้แก่ ๑) งบประมาณทางทหาร ๒) อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธยุทโธปรกรณ์จำนวนมากของพม่าที่ได้รับจากจีน ๓) ที่ปรึกษาทางทหาร จีนให้ที่ปรึกษาทางทหาร ๔) ด้านการค้า เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของพม่าต้องพึ่งพาจีน ๕) ด้านการเมืองระหว่างประเทศ จีนจะออกมาปกป้องพม่าต่อการกดดันและบีบครั้งของประชาคมโลก ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น ภารกิจในการสกัดกั้นการเจริญเติบโตของจีนก็ยังคงเป็นเรื่องหลักไม่เช่นนั้นแล้ว สหรัฐฯจะอยู่ไม่ได้ หรือจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจชั้นรองหรือมหาอำนาจขนาดเล็ก อย่างประเทศอังกฤษไป ถ้าจีนขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ โดยนักวิเคราะห์ จากหลายสำนักนั้น สิ่งที่สหรัฐฯ จะต้องทำคือการที่ต้องรีบตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีนให้ได้ ถ้าภารกิจอันนี้สำเร็จลงได้ ก็เท่ากับว่าสามารถทำลายความหวังที่จะเป็นมหาอำนาจผู้นำของโลกของจีน ตามกำหนดเวลาได้ กิจกรรมต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ดำเนินการเพื่อการตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีน ได้แก่ ๑) ใช้กรณียาเสพติด เป็นที่เปิดเผยกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อขบวนการผลิต และค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย- พม่า คือสหรัฐฯ โดยมีองค์กรที่เกี่ยวข้องด้วยดังนี้คือ (๑) UNHCR คือองค์กร NGOs สาขาหนึ่ง ที่มีชื่อเต็มว่า สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ องค์กรนี้ ถ้าสืบค้นหาต้นตอของความเป็นไปเป็นมาก็คือองค์กรที่อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา ( เพราะสหรัฐฯเป็นผู้นำในการตั้ง UN และสามารถควบคุม UN ให้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ ตามนโยบายของตนได้ ) องค์กรนี้จะเข้าประจำอยู่ตามค่ายผู้ลี้ภัยชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า ชนกลุ่มนี้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จากรายงานข่าวของทางทหารและสายข่าวหน่วยรบพิเศษ ที่เป็นเพื่อนของผู้เขียนเอง ที่ได้เข้าไปปฏิบัติงานใกล้ชิดและบางครั้งได้เข้าร่วมปฏิบัติงานกับชนกลุ่มนี้ สามารถชี้ชัดได้ว่า ชนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยของพม่าผลิตและค้ายาเสพติด พร้อมกับส่งเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมอมเมาคนไทย และพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง ทหารไทยกับทหารพม่า ให้ได้เพื่อให้เกิดการสู้รบกันทางทหารของทั้งสองประเทศ เรื่องเช่นนี้ถ้าวิเคราะห์ กันให้ดีก็จะพบว่า เมื่อ UNHCR เป็นชาวคาทอลิก ที่มีอุดมการณ์ในการเผยแพร่ศาสนาของตนตามแนวทาง ของวาติกัน ที่ให้การสนับสนุนหลักด้านการเงิน จึงต้องทำลายศาสนาอื่น หรือไม่ก็ต้องพยายามให้ ศาสนิกของศาสนาอื่นที่เชื่อมั่นศรัทธาศาสนาของตนอย่างแนบแน่นให้ละความศรัทธาลงแล้วหันเข้าหา และนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในที่สุด ดังที่เห็นได้จากการที่เมื่อคนไทยที่เป็นชาวพุทธ เสพยาเสพติดแล้วจิตใจก็มิได้จดจ่อต่อหลักการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ไม่สามารถปฏิบัติสมาธิจิตได้ ไม่สามารถรักษาศีลได้ หันไปสนใจในสิ่งยั่วยุทางจิตใจ หันเข้าหาอบายมุข การห่างเหินศาสนาเป็นการทำลายวัฒนธรรมเดิมของตนเอง เพราะวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยมาจาก รากฐานของพระพุทธศาสนา เมื่อประชาชนชาวไทยห่างเหินจาก ศาสนาพุทธก็เท่ากับเป็นการทำลาย ศาสนาพุทธไปในตัว แล้วในที่สุดวัฒนธรรมแบบตะวันตกที่มีแนวทางของ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นแกนก็จะเข้าครอบงำสังคมไทย ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ สังคมไทยกำลังถูกกลืน ด้วยวัฒนธรรมของสังคมอื่น คนไทยมองเห็นพุทธศาสนาแต่เพียงเปลือก ศาสนาพุทธถูกทำลายไปทุกวัน ด้วยชื่อเสียต่าง ๆ นานา เป็นประจำทุกวัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่มีองค์กรของศาสนาอื่นอยู่เบื้องหลัง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๕ ลักขื่อเปลี่ยนเสา (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 10:02:25 PM ตัวอย่างที่เห็นชัดอีกตัวอย่างหนึ่งคือ เมื่อชาวพุทธทะเลาะกับชาวมุสลิม ชาวคริสต์เริ่มโฆษณาหนังสือ พลังชีวิต นั่นคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ( นักการทหารต้องมองภาพรวมที่ครบถ้วน ) ซึ่งช่วงที่คนไทยจำนวนหนึ่งติดยาเสพติด จำนวนมากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นอกจากนั้นแล้วยังทำให้ทั้งประเทศไทยและพม่ามีความระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน เช่น คนไทยก็จะระแวงสงสัยว่าพม่าให้การสนับสนุน ชนกลุ่มน้อยของพม่าผลิตและส่งยาเสพติดเข้ามามอมเมาคนไทย ส่วนพม่าก็ระแวงสงสัยว่าคนไทย สร้างเรื่องขึ้นเองเพื่อหาเหตุที่จะรุกรานพม่าด้วยกำลังทหารซึ่งต่างฝ่ายต่างแค่ สงสัยและระแวงซึ่งกันและกันเท่านั้นและบ่อยครั้งถึงขั้นส่งกำลังเข้าละเมิดดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง นั่นเป็นการยุแหย่ที่ได้ผลที่สุดโดยเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องหลัก แต่ทำแค่บังหน้า ส่วนภารกิจหลักมี ๒ ประการหลัก ๆ คือ ประการแรก การพยายามสร้างความอ่อนแอให้กับสังคมชาวพุทธของไทย และประการที่สองคือ การพยายามตอกลิ่มลงในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่า เพื่อที่จะเมื่อทั้งสองประเทศ รบกันแล้ว ผู้ที่จะได้ให้การช่วยเหลือคือสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ก็จะรีบส่งกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์มาช่วย เมื่อเกิดสงครามขึ้นจริง ทั้งพม่าและไทยก็ต่างจะต้องได้รับความบอบช้ำ ส่วนผลประโยชน์ที่จะตกแก่สหรัฐฯ คือการได้เข้ายึดพม่าและตัดเส้นทางออกทะเลอันดามันของจีนนั่นเอง (๒) CIA ดังที่ทราบกันดีว่า องค์กรนี้ได้ส่งไปเป็นสายลับอยู่ทั่วโลก มีวีรกรรมที่สร้างความสับสนวุ่นวาย ให้กับประเทศต่าง ๆทั่วโลก จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกที่จะพูดว่า CIA เข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องราว ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ด้วยเจตนาและขีดความสามารถขององค์กรนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ดังที่ได้รับข่าวสาร จากญาติของผู้เขียนเอง ที่เข้าไปเป็นครูฝึกของหน่วยงาน CIA ก็ยังยืนยันได้อีกเช่นกันว่า องค์กรนี้รู้เรื่องและเข้าไปข้องเกี่ยวกับทุกเรื่องในโลกนี้อย่างแท้จริง เรื่องยาเสพติดที่โคลัมเบียก็มีองค์กรนี้ เข้าไปเป็นผู้สร้างเรื่องราวให้บานปลายแล้วทำให้สหรัฐฯ สามารถที่จะหาเหตุส่งกำลังเข้าไปยึดครองประเทศโคลัมเบีย โดยอาศัยเงื่อนไขการปราบยาเสพติด ฉะนั้นก็เช่นเดียวกัน องค์กรปราบยาเสพติดของสหรัฐฯ ที่มีที่ตั้งอยู่ในตอนเหนือ ของประเทศไทยก็ล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยงานที่อยู่ในการดูแลและกำกับขององค์กร CIA นี้ทั้งสิ้น หน่วยงานรบพิเศษที่เป็นเพื่อนกับผู้เขียนได้เคยเข้าร่วมทำงานกับองค์กรนี้และสามารถยืนยันการทำงานขององค์กรนี้ว่า เป็นองค์กรที่อยู่ในกำกับของ CIA และทำงานร่วมกับชนกลุ่มน้อยของพม่าตามแนวชายแดนไทย- พม่าผลิตยาเสพติด แล้วสั่งยาเสพติดให้ไหลทะลักเข้าประเทศไทยแล้วอ้างว่าพม่าให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยเพื่อที่จะให้ฝ่ายไทยหลงผิด และเข้าโจมตีพม่า ซึ่งสหรัฐฯ ก็จะรีบให้การช่วยเหลือโดยเร็วเช่นกัน แล้วในที่สุดสหรัฐฯ ก็จะหาเหตุเข้ารุกรานพม่า ด้วยกลไกทั้งปวงเพื่อบรรลุเป้าหมายในการตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีนในที่สุดเหมือนข้อที่ ๑ (๓) ชนกลุ่มน้อยที่ค้ายาเสพติดจริง มีชนกลุ่มน้อยที่มีความต้องการที่จะผลิตและค้ายาเสพติดจริงตามที่ทราบกัน เมื่อผสมกับผู้ยุแหย่อยู่เบื้องหลังคือฝ่ายตามข้อที่ ( ๑) และ ( ๒) แล้วยิ่งทำให้ชนกลุ่มน้อยบางส่วนเหล่านี้ มีความสะดวกสบายในการดำเนินการในเรื่องนี้มากขึ้น แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรนอกจากทำมาค้าขาย ของผิดกฏหมาย ไม่ได้คำนึงถึงผลเสียหาที่จะเกิดขึ้นกับฝ่ายใด ๆ (๔) นักการเมืองบางคนที่อยู่เบื้องหลังยาเสพติด คงเป็นเรื่องของรายงานข่าวทางทหารที่ทั้งหน่วยรบพิเศษ และรายงานข่าวที่ได้จากองค์กร CIA ที่มีรายละเอียดของผู้ทำผิดกฎหมายทั้งหมดในประเทศไทยว่า มีใครทำอะไรที่ผิดกฎหมายบ้าง สิ่งเหล่านี้องค์กร CIA จะรวบรวมไว้ทั้งหมด ดังตัวอย่างครั้งหนึ่งนายทหาร ที่เคยร่วมทำงานกับองค์กรปราบยาเสพติดของสหรัฐฯ ได้ถูกใช้ให้ไปรวบรวมข้อมูลการกระทำผิดกฎหมาย ของนักการเมืองที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยบางคน เมื่อรวบรวมเสร็จเรียบร้อยแล้วนำกลับมาส่งให้กับ เจ้าหน้าที่ขององค์กร CIA แต่ข้อมูลที่นายทหารไทยดังกล่าวได้มาเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ขององค์กร CIA ก็นำหลักฐานการทำความผิดของนักการเมืองไทยทั้งหลายได้กระทำมาแล้วให้ดู ซึ่งในนั้นได้รวบรวมความผิดของนักการเมืองไทยไว้มากมายที่สามารถจะถูกโค่นล้มด้วยหลักฐานต่าง ๆ เหล่านี้ให้ออกจากตำแหน่งทางการเมืองได้ทั้งสิ้น นี่คือตัวอย่างของนักการเมืองไทยที่มีบางส่วน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่แพร่ระบาดอยู่ในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงเรื่องนี้ที่มีส่วนในการพาดพิงถึงนักการเมืองมิใช่ว่านักการเมืองไทยเป็นเช่นนี้ทุกคน เป็นเพียงนักการเมืองบางคนเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้และในต่างประเทศก็มิใช่ว่าจะไม่มีนักการเมืองเช่นนี้ก็หาไม่ ๒) ใช้กรณีนาง ออง ซาน ซู จี กรณีของนาง ออง ซาน ซู จี เป็นที่รู้จักกันของผู้ที่ติดตามข่าวสารต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวสารเกี่ยวกับ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่นประเทศพม่า เรื่องราวที่เป็นข่าวฮือฮาอยู่เป็นประจำและเป็นเรื่องหลักของประเทศพม่า ที่ชาวโลกสนใจติดตามก็คือเรื่องนาง ออง ซาน ซู จี ชาวโลกได้รับทราบข้อมูลว่า นาง ออง ซาน ซู จี เป็นสัญญลักษณ์ ของประชาธิปไตยในพม่า ทุกคนต่างหวังที่จะให้พม่าเป็นประเทศ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ดังเช่นประเทศอื่น ๆ ตามแนวทางการปกครองในระบอบที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อมีการเลือกตั้งในพม่าซึ่งรัฐบาลทหารพม่า ได้ล้มกระดานการเลือกตั้งครั้งนั้นโดยสิ้นเชิงโดยที่นาง ออง ซาน ซู จี เป็นฝ่ายได้คะแนนเสียงข้างมากที่จะขึ้นมา บริหารประเทศ แต่แล้วรัฐบาลทหารพม่าก็ยึดอำนาจและปกครองด้วยระบอบการปกครองแบบทหาร ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่วายที่ประชาคมโลกจะประณามการดำเนินการของรัฐบาลทหารพม่าก็ตาม หลายครั้งที่มี การกดดันจากประเทศตะวันตก เช่นประเทศในกลุ่มยุโรปและสหรัฐอเมริกา พม่าก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะมอบคืนอำนาจ การปกครองบริหารประเทศให้แก่นาง ออง ซาน ซู จี ตามครรลองประชาธิปไตย นอกจากไม่มอบคืนอำนาจแล้ว รัฐบาลทหารพม่ายังกักขังตัวนางออง ซาน ฯ อีกด้วย นั่นคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการละเมิดการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาลทหารพม่าที่ดำเนินการมาโดยตลอดเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา หันมาฟังความคิดเห็นของชาวพม่าโดยเฉพาะรัฐบาลทหารพม่ากันบ้างว่าเขามีความคิดเห็นและมีเหตุผลอย่างไร ทำไมจึงมีแรงจูงใจให้เขายังคงยึดครองอำนาจเบ็ดเสร็จแบบทหารต้านกระแสการประณามของประชาคมโลก อยู่ในขณะนี้ หรือว่าฝ่ายทหารจะเพียงต้องการที่จะรักษาอำนาจทางทหารเพื่อฝ่ายทหารของตนที่จะครอบครอง อำนาจให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เท่านั้นเอง ผู้นำทางฝ่ายทหารและฝ่ายทหารทั้งหมดมองเป็นมุมมอง อันเดียวกันว่า นางออง ซาน ซู จี ไม่ได้มีความรู้เรื่องของพม่า เหมือนไม่ได้เป็นคนพม่าจริง ๆ เพราะไม่ได้เติบโต ที่ประเทศพม่า ย่อมไม่รู้ปัญหาที่แท้จริงของพม่า จึงไม่อาจที่จะแก้ปัญหาให้กับชาวพม่าและประเทศพม่าได้เพราะ นาง ออง ซาน ฯ เดินทางไปอยู่ประเทศตะวันตก มาตั้งแต่เด็กไม่ได้คลุกคลีรับรู้ปัญหาของชาวพม่าและประเทศพม่า อย่างเพียงพอ อีกทั้ง นาง ออง ซาน ฯ ได้รับการสนับสนุนจากศัตรูของพม่าคือประเทศที่ข่มเหงรังแกประเทศพม่า และชาวพม่ามาในอดีตคือ ประเทศอังกฤษและประเทศตะวันตก จึงเป็นไปไม่ได้ว่าเมื่อนาง ออง ซานฯ จะสามารถแก้ปัญหาของชาวพม่าได้ อีกทั้งหลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้วปัญหาหลักของพม่าคือ การที่ชนกลุ่มน้อยทั้งหลายพยายามที่จะแยกตัวออกเป็นประเทศอิสระตามแนวทางที่อังกฤษได้เขียนแนวทางไว้ ก่อนที่จะให้เอกราชแก่พม่า ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น พม่าก็จะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ มีจำนวนประเทศที่เกิดใหม่ในพม่า ไม่ต่ำกว่าจำนวนชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในพม่า ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าและชาวพม่ายอมไม่ได้ที่จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พม่าจะปล่อยให้นาง ออง ซานฯ ขึ้นบริหารประเทศ เมื่อหันกลับไปศึกษาอดีตที่ผ่านมาของพม่า จะเห็นว่า พม่าได้รับความบอบช้ำจากประเทศผู้ล่าอาณานิคมชาวตะวันตกเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่า ในปัจจุบันนี้เป็นที่แน่ชัดว่า นาง ออง ซานฯ ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่จะโค่นล้ม รัฐบาลทหารพม่าจากอังกฤษและมีประเทศตะวันตกอื่น ๆ ผสมโรงด้วยรวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ในแต่ละปี มีเงินทุนไหลเข้าประเทศพม่าเพื่อเข้าไปสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนาง ออง ซานฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าก็ทราบดี ถ้าเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม รัฐบาลทหารพม่าสามารถที่จะสังหารนาง ออง ซานฯ ได้หรือไม่ เชื่อว่าทำได้ เพราะพม่าได้สนใจต่อการกดดันใด ๆ อยู่แล้ว แต่ที่รัฐบาลทหารพม่ายังปล่อยให้นาง ออง ซาน ฯ เคลื่อนไหวอยู่ก็ด้วยหวังผลประโยชน์ที่ได้จากนาง ออง ซานฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศนั่นเอง จึงเป็นอันว่า รัฐบาลทหารพม่าใช้นาง ออง ซานฯ ดูดเอาเงินจากประเทศตะวันตกนั่นเอง นี่คือเรื่องของนาง ออง ซาน ซู จี ๓) ใช้กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชน มีการเสนอข่าวมากมายเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า การสังหารหมู่ การเข่นฆ่าชนกลุ่มน้อยอย่างไม่ปราณี เป็นเรื่องที่รัฐบาลทหารพม่าทำอยู่เป็นประจำ นั่นเป็นปัญหาที่ชาวตะวันตก กำลังกดดันให้พม่ารีบเร่งแก้ไข พม่าโต้ตอบข้อกล่าวหาและแรงบีบคั้นของชาวตะวันตกรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน บางประเทศที่พยายามจะกดดันรัฐบาลทหารพม่าในเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องภายในของประเทศพม่า ในครั้งที่ผู้นำระดับสูง และคณะนักศึกษาด้านการทหารระดับสูงของพม่ามาเยี่ยมสถาบันวิชาการป้องกันประเทศของไทย ผู้นำระดับสูงของพม่า ได้กล่าวถึงเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในพม่าว่า พม่ากำลังพัฒนาการปกครองของพม่า ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและอยากจะเห็นพม่ามีความเจริญรุ่งเรืองด้านการปกครองดังเช่นประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศแต่ละประเทศต่างก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ไม่เหมือนกัน มีประเพณีวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่าประชาธิปไตยของแต่ละประเทศจึงไม่เหมือนกัน ประชาธิปไตยของไทย ก็คงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับของคนไทย ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ก็คงจะต้องเหมาะสมกับอเมริกันชน ส่วนประชาธิปไตยของพม่าก็ย่อมต้องเหมาะสมกับความเป็นอยู่และประชาชนของพม่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ความสัมพันธ์ของไทยกับพม่าคงจะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าประชาธิปไตยของทั้งสองประเทศ จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้างก็ตาม พม่าถือว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังที่ถูกกล่าวหาเป็นเรื่องที่จะเป็นต้องทำ ถ้าไม่ทำเช่นนั้นประเทศเมียนม่าก็คงอยู่ไม่ได้ รัฐบาลทหารพม่าจึงหัวชนฝาที่จะต่อสู้กับประเทศที่กดดันรัฐบาลพม่า เรื่องสิทธิมนุษยชน ๔) ให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า เป็นที่แน่ชัดเช่นเดียวกันว่า ชนกลุ่มน้อยของพม่า ได้รับการสนับสนุนทั้งเงินทุนและที่ปรึกษาจากประเทศตะวันตก นักการทหารและนักการข่าวของไทยเองก็ยิ่งรู้ดีว่า บุตรหลายชนกลุ่มน้อยในพม่าได้รับการศึกษาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานศึกษาด้านการทหาร จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นการให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าโดยสหรัฐอเมริกา เป็นเรื่องธรรมดา ในปัจจุบันนี้ชนกลุ่มน้อยในพม่ามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่าของกองทัพพม่าและทันสมัยยิ่งกว่าอาวุธ ที่ใช้ประจำการในกองทัพไทยเสียอีก อาวุธเหล่านั้นจะมาจากไหนได้นอกจากการให้การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรื่องนี้ทหารไทยรู้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารหน่วยรบพิเศษของไทยที่ปฏิบัติงานที่จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การรวบรวมข่าวสารชนกลุ่มน้อยของพม่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือในช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทย กับชนกลุ่มน้อยพม่าเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด หลังจากที่เสร็จสิ้นเรื่องนี้หน่วยรบพิเศษของไทยได้รับมอบอาวุธ ที่ใช้ซุ่มยิงที่ทันสมัยกว่าที่หน่วยรบพิเศษของกองทัพไทยมีอยู่อย่างไม่เป็นทางการจำนวนหลายกระบอก ( ยังไม่ได้เข้าประจำการ ) ซึ่งอาวุธที่ใช้ซุ่มยิงเหล่านี้สามารถทำการซุ่มยิงอย่างแม่นยำได้ในระยะหลายกิโลเมตร เป็นที่น่าประหลาดใจมากว่าอาวุธดังกล่าวมีใช้อยู่ทั่วไปในกองกำลังของชนกลุ่มน้อยในพม่า นี่เป็นเครื่องยืนยันถึง การสนับสนุนด้านอาวุธแก่ชนกลุ่มน้อยโดยสหรัฐอเมริกา บ่อยครั้งที่ชนกลุ่มน้อยในพม่าได้ถูกสั่งให้ปฏิบัติการ ล้ำดินแดนประเทศไทยและประเทศพม่า ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง พม่าเองก็เข้าใจว่า เป็นความจงใจของกองทัพไทยที่ต้องการจะล่วงล้ำดินแดนของพม่าเข้าไปเพื่อยั่วยุให้เกิดการสู้รบทางทหาร ทางฝ่ายไทยก็เข้าใจเช่นเดียวกันว่าพม่าให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายต่างอดรนทนไม่ไหวต่อการยั่วยุถึงขั้นบางครั้งถึงขั้นตัดสินใจที่จะใช้กำลังทหารขนาดใหญ่เข้าสู้รบกัน แต่นับว่าเป็นเรื่องโชคดีของทั้งสองฝ่ายที่มีชนชั้นนำของทั้งสองฝ่ายรู้เห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจึงสามารถยุติ ความขัดแย้งได้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วทั้งสองประเทศอาจจะมองหน้ากันไม่ได้ ซึ่งผลประโยชน์ก็คงต้องตกอยู่กับ มือที่สามที่คอยยุแหย่คือสหรัฐอเมริกาที่ต้องการจะให้ไทยกับพม่ารบกันเพื่อจะอาศัยกำลังทหารของไทย ที่จะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ เข้าโจมตีเพื่อตัดเส้นทางออกสู่ทะเลด้านฝั่งอันดามันของจีน ๕) การพยายามผลักดันให้รัฐบาลไทยใช้กำลังทหารเข้าสู้รบกับพม่า ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่า เป็นความพยายามอย่างมากที่สหรัฐฯ จะสนับสนุนกองทัพไทยให้รบกับพม่า โดยการอ้างทั้งประวัติศาสตร์ ของไทยกับพม่าที่เคยสู้รบกันและสร้างความบอบช้ำให้กันและกันมายาวนาน ท่าทีของประเทศพม่าในปัจจุบัน ที่ให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยที่มุ่งบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย ซึ่งโดยสรุปแล้วโดยภาพรวมแล้ว การดำเนินการของพม่าในขณะนี้นั้นคือการที่มีเจตนาที่จะรุกรานไทยด้วยกำลังทหาร ถ้าประเทศไทยต้องการ ที่จะรักษาเกียรติภูมิของชาติไว้ให้ได้เมื่อมีการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยไม่ทราบฝ่ายของให้ทราบว่านั่นคือพม่า หรือไม่ก็เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือเปิดฉากการรุกพม่าก่อนก็เป็นเรื่องที่สามารถจะกระทำได้ ซึ่งมีอยู่บ่อยครั้ง สถานการณ์พัฒนาขึ้นไปถึงขั้นเตรียมที่จะสู้รบกันด้วยกองทหารขนาดใหญ่ด้วยซ้ำไป ทั้งนั้นทั้งนี้ ข่าวสารที่กองทัพไทย ได้รับล้วนแล้วแต่ได้รับมาจากหน่วยงานด้านการข่าวของสหรัฐฯ หรือไม่ก็เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ ที่องค์กรด้านการข่าวของสหรัฐฯ เช่น องค์กรซีไอเอ อยู่เบื้องหลังหรือเป็นผู้สร้างสถานการณ์ขึ้นแทบทั้งนั้น ที่ผู้เขียนได้กล่าวมาโดยยืดยาวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย- พม่าและ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพม่า ที่เป็นแง่คิดมุมมองที่แตกต่างไปจากข่าวสารที่สาธารณะชนได้รับจากสื่อเปิดทั้งหลาย ซึ่งเมื่อคิดในแง่มุมของความมั่นคงโดยทหารแล้วไม่อาจที่จะคิดเพียงแง่คิดมุมมองเดียวจากข่าวสารที่ได้รับ จากสื่อทั้งหลายทั้งนี้เพราะนั่นจะเป็นการล่อแหลมต่อการถูกใช้เป็นเหยื่อหรือเป็นเครื่องมือโดยข่าวสารที่ ฝ่ายที่สร้างข่าวสารนั้นขึ้นมา ทหารจะแตกต่างจากบุคคลทั่วไปที่จะต้องคิดเสมอว่าถ้าคนทั่วไปรับรู้ข่าวสารเช่นนี้ ทหารต้องสามารถที่จะมองในมุมที่แตกต่างจากคนทั้งปวงได้อีกแง่มุมหนึ่ง เช่น จะต้องคิดได้ว่า เมื่อคนส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารจากสื่อและเชื่อตามนี้ ถ้าในอีกแง่มุมที่ตรงกันข้ามจะเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ทหารได้รู้แง่คิดมุมมองที่แตกต่างกันออกไปได้อีกหลายแง่มุมที่เป็นประโยชน์ ต่องานด้านความมั่นคงของกองทัพที่รับผิดชอบในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้วนั้นคือ ลักขื่อเปลี่ยนเสา ประเทศจีนเมื่อทราบสภาพทั่วไปและปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นโดยตลอดต่อประเทศพม่า จึงเป็นการง่ายที่จีนจะสามารถแสวงประโยชน์จากสภาพแวดล้อมนั้น ๆ ของพม่าเพื่อเข้าครอบครองพม่าให้ได้ เพราะถ้าตนไม่สามารถครอบครองพม่าไว้ให้ได้ตั้งแต่ต้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ ได้ใช้ประเทศพม่า เป็นเครื่องมือในการขัดขวางการบรรลุเป้าหมายของจีนเองคือการออกสู่ทะเลทางด้านฝั่งอันดามันเพื่อที่จะ สามารถติดต่อกับประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ได้ เมื่อสภาพความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ระหว่างจีนกับพม่าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าจีนได้เข้ายึดครองพม่าอย่างเบ็ดเสร็จนั่นเอง กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อกำลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อข้าศึก จักต้องหาทางเปลี่ยนแปลงแนวรบของฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อนย้ายกำลังสำคัญของฝ่ายนั้นไป รอให้ฝ่ายนั้นอ่อนแอต้องประสบกับความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเรา แล้วควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา ดังที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วนั้น เมื่อจีนมีอิทธิพลเหนือพม่าอย่างมากแล้วในที่สุดจีนก็จะใช้พม่าเป็นเหมือนกับกำลังของตน ดังคำกล่าวที่ว่า .....จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเรา แล้วควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา... ซึ่งขณะนี้เท่ากับว่าจีนได้ควบคุมกำลังของพม่าให้ปฏิบัติการเพื่อผลประโยชน์ของจีน ดังนั้นถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนั้น สถานการณ์ใด ๆ ที่เป็นฝ่ายที่พม่าสร้างขึ้นหรือเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นในพม่าก็เท่ากับว่าเป็นสิ่งที่จีนกำหนดให้พม่าทำเช่นนั้น หรือเหตุการณ์ทั้งหลายในพม่าล้วนแล้วแต่มีจีนอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ดังเช่น เหตุการณ์ยึดอำนาจในรัฐบาลทหารพม่า ในเดือนตุลาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมา กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า กลยุทธ์นี้มีความหมายอยู่ ๒ นัย หนึ่งหมายถึงการหาทางสับเปลี่ยนกำลังหลักของพันธมิตรชั่วคราวที่เป็นศัตรูโดยเนื้อแท้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำลายหรือกลืนกินพันธมิตรนั้นเสีย ซึ่งในสมัยศักดินาโบราณ มักจะชอบกระทำกันเป็นนิจ โดยมิได้คำนึงถึงสัจวาจาหรือธรรมแต่ประการใด อีกนัยหนึ่ง หมายถึงเป็นกลยุทธ์ในการโยกย้ายกำลังหลักของฝ่ายข้าศึก โดยใช้กลลวงต่าง ๆ นานา ทำให้ข้าศึกต้องเปลี่ยนแนวรบหรือเคลื่อนย้ายกำลังไปตามความประสงค์ของเรา ครั้นแล้วจึงเข้าตีตรงจุดอ่อนของข้าศึก เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ดังนั้น ผู้บัญชาการที่ชาญฉลาด จึงมิใช่แต่จะสันทัดในการใช้กำลังพลของฝ่ายตนเท่านั้น หากยังต้องสันทัดในการเคลื่อนย้ายหรือกระจายกำลังของข้าศึก ด้วยกลยุทธ์ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนอีกด้วย หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 10:05:29 PM ตามอ่านอยู่ครับ....สุดยอด...ครับ...
หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๖ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 10:30:23 PM กลยุทธ์ที่ ๒๖ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว
ใหญ่ข่มเหงเล็ก พึงเตือนให้เกรง แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อผู้ที่เข้มแข็งกว่าหรือรัฐใหญ่รังแกผู้ที่อ่อนแอหรือรัฐเล็กแล้วก็ควรจะใช้วิธีการ ตักเตือนให้เกรงกลัว ถ้าแม้นเราแสดงความเข้มแข็งให้ประจักษ์ ก็จักได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่อนแอ ถ้าเรากล้าใช้ความรุนแรง ก็จักเป็นที่ยอมรับนับถือแก่ผู้อ่อนแอ แกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ เดิมมาจาก คัมภีร์อี้จิง แม่ทัพ ความเต็มว่าแกร่งจึงต้อนรับ เสี่ยงจึงยอมสยบ นี่คือหนทางปกครอง แผ่นดินราษฎรจึงขึ้นต่อ ความหมายของ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ตรงกับสุภาษิตไทยเราคำว่า ตีวัวกระทบคราด แต่เมื่อใช้ในการสัประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางการทหารหรืออื่น ๆ ก็เป็นกลยุทธ์ ที่มีความหมายในทำนองสร้างเกียรติภูมิของตนขึ้นด้วยวิธี ฆ่าไก่สอนลิง เพื่อให้ฝ่ายอื่นที่อ่อนแอกว่า หรือผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชายอมสยบด้วยอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ในหนังสือ ชุนชิว ศักราชที่ ๑๓-๓๐ ของจวงกง และ จ่อจ้วน มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ในตอนกลางของยุคชุนชิว ฉีหวนกง (อยู่ในอำนาจช่วง ๖๙๕-๖๔๓ ปีก่อนคริสตกาล) ผู้ครองแคว้นฉี แต่งตั้งให้ก่วนจ้ง เป็นอัครมหาเสนาบดีของตนแคว้นฉีจึงเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว และใคร่จะเข้าครองอำนาจ ในจงหยวนแต่ผู้เดียว ในขณะนั้น ทางแคว้นฉู่ ฉู่เฉิงอ๋องกำลังครองอำนาจอยู่ ซึ่งมีจื่อหยวน ผู้เป็นอา ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งฉู่ เคยยกทัพไปตีแคว้นเจิ้น แต่มิได้ประสบความสำเร็จ ต่อมา จื่อหยวน ย้ายเข้าไปพำนักอยู่ในวัง ก็กำเริบเสิบสาน ข่มขืนนางกำนัลตามอำเภอใจ จึงถูกฉู่เฉิงอ๋อง ประหารให้ตายตกไปตามกันทั้งครอบครัว ครั้งแล้วจึงแต่งตั้งให้จื่อเหวินเป็น อัครมหาเสนาบดีแทน จื่อเหวินเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เคร่งครัดต่อกฎระเบียบ ทำตัวเป็นแบบอย่าง ทั้งสันทัดในการใช้คน จึงได้รับความรักและความเคารพนับถือจากราษฎรแคว้นฉู่เป็นอันมาก เมื่อจื่อเหวินเป็นอัครมหาเสนาบดีแล้ว ก็ปกครองและปรับปรุงกิจการบ้านเมืองอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนอื่น ได้เสนอว่าผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมีศักดินา ให้ตัดอาณาเขตศักดินาในอำนาจของตนเข้าแคว้นกึ่งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้ขุนนางศักดินาทั้งหลายมีอิทธิพลสูงกว่าผู้ครองแคว้น ในการนี้จื่อหยวนก็เริ่มต้นจากตัวเองก่อน ดังนั้น ผู้มีศักดินาทั้งหลายจึงต้องปฏิบัติตามโดยมิขัดขืน ต่อมา จื่อเหวินก็โยกย้ายเมืองหลวงจากเมืองตันหยาง (ในมณฑลหูเป่ยในปัจจุบัน) ไปอยู่เมืองอิ่ง (ในมณพลหูเป่ยในปัจจุบัน) ซึ่งเมืองนี้มีชัยภูมิที่ดีกว่า คือ ทางเหนือสามารถจุควบคุมแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำฮั่นสุ่ยได้ส่วนทางใต้ก็ควบคุมลุ่มน้ำเซียงเจียงและหยวนสุ่ยได้ อันเป็นอาณาเขตที่นักการทหารโบราณใคร่จะแย่งยึดไว้เป็นของตนโดยทั่วหน้า พร้อมกันนั้น จื่อเหวินก็ส่งเสริม การฝึกกำลังรบ เลือกเฟ้นคนดีมีความสามารถมาใช้งาน โดยแต่งตั้งให้ชี่อ๋วน เป็นเสนาบดีฝ่ายบุ๋น ให้โต่วจาง เป็นเสนาบดีฝ่ายบู๊นำทัพของแคว้นฉู่ ดังนั้น แคว้นฉู่จึงเกรียงไกรยิ่งขึ้นทุกวันความรุ่งเรืองของแคว้นฉู่ ย่อมจะเป็นก้างขวางคอต่อการครองอำนาจในจงหยวนของแคว้นฉี ส่วนทางแคว้นฉีนั้น นับแต่ก่วนจ้งเป็นอัครมหาเสนาบดีเป็นต้น ก็ปกครองแคว้นโดยถือขนบประเพณีเป็นที่ตั้ง อภัยและลดโทษแก่เหล่านักโทษทั้งหลาย ลดภาษีอากร เพิ่มผลผลิต หล่อเงินตรา ทำนาเกลือ เพื่อยังความอุดมสมบูรณ์แก่แคว้นตน พร้อม ๆ กับส่งเสริมการเพิ่มพลเมืองเร่งฝึกทหารจัดสำมะโนครัว เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ใช้คนที่มีความสามารถ เช่น แต่งตั้งให้ซี่เผิงเป็นเสนาบดีฝ่ายราชการ ดูแลควบคุมเลือกถอดถอนพวกขุนนาง แต่ตั้งให้หลินเย่เป็นเสนาบดีฝ่ายที่นา ดูแลการเพาะปลูก แต่งตั้งให้หวางจื่อเฉิงเป็นเสนาบดีฝ่ายการทหาร ดูแลควบคุมกองทัพ แต่งตั้งให้ปินซูเป็นเสนาบดีฝ่ายยุติธรรม ดูแลการฟ้องร้องตัดสินความ แต่งตั้งให้ตงกว่อหยาเป็นเสนาบดีฝ่ายฎีกา ดูแลการร้องทุกข์และการตรวจราชการ ส่วนตัวก่วนจ้งเองก็เป็นอัครมหาเสนาบดีดูแลกิจการบ้านเมืองทั้งหมด บ้านเมืองแคว้นฉี จึงอยู่ในความสงบสุขเฟื่องฟูขึ้นเป็นลำดับ แต่ฉีหวนกงมักมากในกามคุณ และชอบล่าสัตว์อีกโสดหนึ่ง วันหนึ่ง จึงถามก่วนจ้งว่า เราชอบสองสิ่งนี้ ท่านว่าจะเป็นภัยแก่การเป็นใหญ่ของเราหรือไม่? ก่วนจ้งจึงตอบอย่างนอบน้อมว่า หาเป็นภัยไม่ ที่เป็นภัยแก่การเป็นใหญ่มีอยู่ ๔ ประการ คือ ไม่เห็นผู้มีสติปัญญาหนึ่ง พบคนมีสติปัญญาแล้วไม่ใช้สอง ใช้แต่ไม่เชื่อสาม เชื่อแต่กลับไปใช้คนถ่อยสี่ ๔ ประการนี้แหละที่เป็นภัยแก่การเป็นใหญ่ของท่าน! ฉีหวนกงได้ฟังก็รู้สึกว่า คำของก่วนจ้งเต็มไปด้วยเหตุผล จึงมอบอำนาจทั้งหมดของตนให้กับก่วนจ้งไป นี่นับเป็นครั้งแรกที่ก่วนจ้งใช้อุบาย ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว เพื่อให้ฉีหวนกงไว้วางใจตน เพื่อจะได้ช่วย ฉีหวนกงเป็นใหญ่ในจงหยวนอย่างปราศจากความกังวลในเจตนาของตน ต่อมาไม่นาน ฉีหวนกงก็อ้าง พระนามพระเจ้าโจวหลีอ๋อง แห่งราชวงศ์โจวซึ่งเป็นกษัตริย์ของผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ในยุคนั้น เชื้อเชิญผู้ครองแคว้นซ่งหลู่ เฉิน ช่าย เว่ย เจิ้น ฉาว และจู รวม ๘ แคว้น มาชุมนุมกันที่เมืองเป่ยซิ่ง (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) เพื่อผูกเป็นพันธมิตรให้รับรองความเป็นใหญ่ในจงหวยนของตน แต่ผู้ที่ได้รับเชิญ มีแต่ยี่ส้อแห่งแคว้นซ่ง ฉู่จิ้ว แห่งแคว้นเฉิน จื่อกว้อแห่งแคว้นหลู่ เซี่ยนอู่แห่งแคว้นช่ายเดินทางมาเท่านั้น เมื่อประชุมตกลงอ้างว่าขัดต่อพระราชโองการของพระเจ้าโจวหลีอ๋อง ยี่ส้อแห่งแคว้นซ่งไม่เห็นด้วย จึงขอลากลับไปก่อน ฉีหวนกงบันดาลโทสะ ก็เปลี่ยนใจจะจัดการกับแคว้นซ่งก่อนหลู่ แต่ก่วนจ้งทัดทานไว้ว่า ซ่งไกล หลู่ใกล้ซ้ำยังขัดพระราชโองการไม่มาชุมนุมด้วย หากมิกำราบแคว้นหลู่ก่อน จะทำให้ซ่งยอมสยบได้ไฉน? ฉีหวนกงจึงกลับใจเตรียมตีแคว้นหลู่ตามเดิม ก่วนจ้งจึงเสนอให้ใช้อุบายสยบหลู่ โดยมิต้องใช้กำลัง ฉีหวนกงจึงถามว่า ก่วนจ้งมีอุบายอะไรที่พอจะใช้ได้ ก่วนจ้งจึงตอบว่า ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำฉีสุ่ยมีแคว้นเล็กๆ อยู่แคว้นหนึ่งชื่อแคว้นสุย เป็นแคว้นที่ขึ้นต่อแคว้นหลู่ เป็นแคว้นเล็กและอ่อนแอ จักตีได้โดยง่าย หากทัพฉีเราตีแคว้นสุยได้ แคว้นหลู่ก็จักเกรงกลัวเมื่อหลู่หวั่นก็จักมาเป็นพันธมิตรด้วยกับเรา เราอาจจะรับปาก เมื่อซ่งเห็นหลู่ ยอมเข้าเป็นพันธมิตรกับเราแล้ว ก็จักกลัวเกรงในเรา ดังนี้ เราตีแคว้นสุยแคว้นเดียว ก็สามารถจะสยบ ได้ถึง ๒ แคว้น! นี่คือกลยุทธ์ ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว อันจักได้ผลเป็นทวีคูณ ฉีหวนกงย่อมจะยินดีในกลยุทธ์นี้ เพราะสามารถสยบได้ถึง ๒ แคว้นมากกว่าที่ตนได้คิดเอาไว้ มิหนำซ้ำยังมิเปลืองไพร่พลจึงพอใจเป็นอันมาก ให้ก่วนจ้งรีบดำเนินตามอุบายนี้โดยเร็ว แคว้นสุยจึงถูกแคว้นฉียึดครองเอาไปได้ในไม่ช้า ผู้ครองแคว้นหลู่ก็ตกใจกลัว ส่งคนมาเจรจาปรองดองด้วยดังคาด และขอให้จัดพิธีเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันในเขตของแคว้นฉี ดังนั้น ฉีหวนกงจึงให้พบปะกันในเมืองเคอ (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) หลังจากได้ตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว แคว้นฉีก็คืนเมืองเหวินหยางเถียน ที่ยึดเอาไป คืนให้กับแคว้นหลู่ ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็พากันสรรเสริญว่าแคว้นฉีรักษาวาจาสัตย์ยิ่งนัก ในปีที่ ๒ แห่งรัชสมัยโจวหลีอ๋อง (๖๙๐ ปีก่อนคริสตกาล) ฉีหวนกงก็เตรียมบุกแคว้นซ่ง ส่วนทางแคว้นเว่ยและแคว้นฉาวรู้เข้าก็กลัวต่อแสนยานุภาพของแคว้นฉี จึงขอเข้าเป็นพันธมิตรด้วย พร้อมกับส่งกำลังมาช่วยฉีบุกตีแคว้นซ่ง ในระหว่างเดินทัพ ฉีหวงกงก็ได้ที่ปรึกษาชื่อชิหลิงมาอยู่ด้วย อีกคนหนึ่งจึงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดี ชิหลิง จึงเสนอแก่ฉีหวนกง ขอใช้ลิ้น ๓ นิ้วของตนไปโน้มน้าว ซ่งกวนกงแห่งแคว้นซ่ง ให้มาร่วมเป็นพันธมิตรกับฉี หลังจากนั้นฉีหวนกงก็ช่วยเจิ้นลี่กงแห่งแคว้นเจิ้น คืนสู่อำนาจอีก ดังนั้นแคว้นฉีจึงได้รับการยกย่องจากแคว้นต่าง ๆ เป็นเสียงเดียวกัน ในปีที่ ๓ แห่งรัชสมัยโจวหลีอ๋อง ฉีก็เรียกชุมนุมผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ณ เมืองซิวโจว (ปักกิ่งในปัจจุบัน) จึงมีผู้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วยเป็นอันมาก เช่น ซ่ง หลู่ เฉิน เว่ย เจิ้น สี่ เป็นต้น การตั้งต้นเป็นใหญ่ของฉีหวนกง ก็นับว่าได้รับความสำเร็จขั้นต้น ในขณะนั้น ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับแคว้นฉีก็ยังคงเป็นแคว้นฉู่ ดังนั้นฉีหวนกงกับก่วนจ้ง จึงปรึกษากันในเรื่องชิงความเป็นใหญ่เหนือจงหยวนกับแคว้นฉู่อีกชั้นแรก ฉีหวนกงคิดจะใช้ความยิ่งยงของตน ระดมให้ผู้ครองแคว้นต่างๆ ส่งกำลังมาร่วมตีแคว้นฉู่พร้อมกัน ก่วนจ้งจึงท้วงว่า แคว้นฉู่เป็นแคว้นใหญ่อยู่ทางภาคใต้ นับแต่ฝั่งใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงไปจนถึงทะเลใต้ ล้วนแต่อยู่ในอำนาจของฉู่จนสิ้น และเพราะได้ปกครองมาด้วยดี แคว้นจึงมั่งคั่งและราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุข แม้แต่กษัตริย์โจวเอง ก็ยังมิกล้าตอแยด้วย หากจักใช้กำลังของแคว้นต่าง ๆ ไปบุก ก็หาใช่เป็นอุบายที่ดีไม่ บัดนี้ แคว้นเล็กแคว้นน้อยต่าง ๆ เพิ่งจักยอมสยบต่อฉีเรา ฉะนั้น เราจึงควรสร้างสมบารมีไปพลางก่อน มิพึงร้อนใจใช้กำลังง่ายดายเกินไป ดังนี้ แคว้นต่าง ๆ จึงจะมิแคลงใจว่า เป็นมือเท้าเรา ควรรอจนเมื่อแคว้นฉู่เกิดความวุ่นวายภายใน ค่อยอ้างเหตุไปกำราบ จึงจะนับว่าเป็นอุบายชั้นเลิศ ฉีหวนกงแม้ใจใคร่จะเร่งใช้แสนยานุภาพยกฐานะ ความเป็นใหญ่ของตนให้สูงขึ้น แต่คำทักท้วงของก่วนจ้งก็มีเหตุผล จึงครุ่นคิดอยู่ช้านาน แล้วกล่าวแก่ก่วนจ้ง อีกว่า ถ้ากระนั้น เราก็ใคร่จะตีแคว้นจาง (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเราก่อน ท่านจะเห็นเป็นประการใด? อันแคว้นจางนี้ ผู้ครองแคว้นเป็นหลานห่าง ๆ ของเจียงไท่กง แคว้นฉีก็เป็นเชื้อสายรุ่นหลังของเจียงไท่กงเช่นเดียวกัน ก่วนจ้งจึงทักท้วงอีกว่า จางเป็นแคว้นเล็กก็จริงอยู่ แต่ก็มีศักดิ์เป็นหลายของเจียงไท่กง แซ่เดียวกันกับของท่าน หากกำจัดแม้แต่คนในตระกูลเดียวกันแล้ว ก็เรียกได้ว่า ไร้คุณธรรมมิบังควรทำเป็นอันขาด ฉีหวนกงจึงอึ้งไปอีก ก่วนจ้งคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าวว่า แคว้นจางติดอยู่กับแคว้นจี่ จางขึ้นต่อจี่ แคว้นจี่ได้ถูกฉีตีพ่ายไปแล้ว แต่เมื่อครั้นผู้ครองแคว้นคนก่อน ตอนนี้เราควรจะให้เฉิงฟู่บุตรชายของท่านยกทัพไปตรวจตราแคว้นจี่ แล้วแสดงท่าทีว่าจะบุกรุกเข้าไปในแคว้นจาง แคว้นจางก็จะหวาดกลัวรีบมายอมสยบด้วยเรา ดังนี้ ฉีก็จะมิได้ชื่อว่ารังแกแม้กระทั่งคนในตระกูลเดียวกัน แต่โดยความจริงแล้วเราก็ได้ดินแดนของจางมาครอง ฉีหวนกงได้ฟังดังนั้น ก็ให้รู้สึกดีใจ จึงดำเนินตามอุบายของก่วนจ้งโดยไม่รอช้า เมื่อกรีฑาทัพไปถึงจี่แล้ว เฉิงฟู่ก็เที่ยวคุยว่า ฉีหวนกงบิดาเรา เป็นพันธมิตรกับแคว้นต่าง ๆ มากมาย แม้แต่กษัตริย์โจวหลีอ๋องก็ยังทรงเกรงกลัวมิอาจขัดด้วยความประสงค์ของบิดาเรา บัดนี้ กลับมีแคว้นเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้เปลือกตามองแคว้นเราไม่ขึ้น ซ้ำร้ายยังเป็นแคว้นที่ใช้แซ่เดียวกันกับเราเสียอีก ถ้าแม้นไม่สำนักตัว เมื่อกองทัพใหญ่ของเราไปถึง ก็จะถูกเหยียบจนกลายเป็นเศษธุลี คำของเฉิงฟู่ แม้จะมิได้ระบุชื่อ แต่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า หายถึงแคว้นจาง อันต้องด้วยอุบาย ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว ของก่วนจ้ง ฝ่ายผู้ครองแคว้นจาง เมื่อได้ข่าวดังนั้น ก็ให้รู้สึกวิตก จึงเรียกขุนนางทังหลายมาปรึกษาความว่า บัดนี้ เฉิงฟู่บุตรชายของฉีหวนกงนำทัพมายังแคว้นจี่ แต่กลับประกาศว่าจะเหยียบแคว้นจางเรา พวกท่านเห็นว่าแคว้นเราควรจะทำประการใดดี บรรดาขุนนางทั้งหลายของจาง ล้วนแล้วแต่เป็นคนถ่อยที่เห็นแต่ตัว ห่วงแต่ครอบครัวและชีวิตตน หากได้คิดถึงชีวิตความเป็นตายของชาติบ้านเมืองไม่จึงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ฉีหวนกงมีความประสงค์จะตั้งตัวเป็นใหญ่แคว้นทั้งหลายในจงหยวนล้วนแต่ต้องเข้าจิ้มก้องกันทุกปีมิได้ละเว้น แคว้นจางเราเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ หากจะต่อต้านด้วย ก็มิผิดเอาไข่ไปกระทบหิน รังแต่จะแตกทำลาย เรามิสู้ยอมจำนน ดังนี้ยังจะสามารถรักษาศาลเจ้าบรรพบุรุษเซ่นไหว้ มิฉะนั้นแล้ว ชาติก็จะสูญชีวิตก็จะสิ้น ด้วยกำลังบุกรุกของแคว้นฉีท่านผู้ครองแคว้นจงพิจารณาไตร่ตรองให้ดี ผู้ครองแคว้นจางเห็นขุนนางทั้งหลายแต่ละคนล้วนแต่รักตัวกลัวตาย หาได้เจ็บแค้นต่อคำเหยียดหยามของเฉิงฟู แม้แต่น้อยหนึ่งไม่ ซ้ำยังมิกล้าสู้ด้วยกับฉีจึงให้เสียใจนัก แต่ก็จนปัญญาที่จะคิดเป็นอื่น จึงจำต้องแต่งทูต นำแผนที่หนังสือรังวัดและสำมะโนครัวของทั่วทั้งแคว้นจาง ไปมอบให้ฉีหวนกง แสดงความประสงค์ ที่จะสวามิภักดิ์ด้วยแคว้นฉีอย่างไม่มีข้อแม้ ฉีหวนกงมีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวแก่ขุนนางทังหลายว่า อุบายของอัครมหาเสนาบดีช่างเยี่ยมนัก มิมีผิดไปจากที่คาดคิดไว้เลยแม้แต่น้อย นับเป็นบุญแก่การตั้งตัวเป็นใหญ่ของเราอย่างยิ่ง ความดีความชอบของท่านก่วนจ้งคราวนี้ ใหญ่หลวงนัก หาผู้ใดเทียบมิได้เลย! กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า เพื่อที่จะดำเนินตามแผนการที่ได้วางไว้ จักต้องใช้มาตรการเด็ดขาด จึงจะสามารถได้รับผลตามที่กำหนด แต่ความเด็ดขาดนั้น ใช่ว่าจะต้องอาศัยกำลังความรุนแรงเสมอไป อาจดำเนินด้วยวิธีการหนึ่งใด ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตระหนักในเจตนา ยอมสยบแต่โดยดี เพราะจนปัญญาที่จะต่อตีด้วยเรา นั้นเอง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๗ แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 10:50:06 PM กลยุทธ์ที่ ๒๗ แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า
แกล้งไม่รู้ไม่ทำ ดีกว่าแสร้งรู้วู่วามทำ เฉยไม่แสดงปฏิกิริยา ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟากฟัน กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ยอมแสร้งทำเป็นโง่ มิเคลื่อนไหว อย่าทำเป็นสู่รู้ทำบุ่มบ่าม คำว่า ดุจดั่งอสนีบาตหยุดฟาดฟัน เก็บความจาก คัมภีร์อี้จิง หยุด ความว่า อสนีบาตฤดูหนาว แฝงกายอยู่ใต้พื้นพสุธา จักแผดร้องก้องนภาคราฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มีสติพึงแสดงตัว แต่พึงเตรียมการทั้งปวงอย่างลับ ๆ ประหนึ่งคมดาบที่อยู่ในฝัก มิปรากฏให้เห็น ครั้นเมื่อถึงกาลอันควร ก็จักคำรนคำรามเหมือนสายฟ้า ที่จะกระหน่ำพสุธาให้แตกสลายไปฉะนั้น นี้นับเป็นกลยุทธ์หลวงลวงมึนชาข้าศึก แสดงความบ้าใบ้ทางภายนอกแต่ตื่นตัวโดยตลอดอยู่ภายใน ดำเนินการอย่างลี้ลับและพลิกแพลงเพื่อเอาชนะข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้ มีส่วนละม้ายคล้ายกับ สำนวนไทยเราที่ว่า หน้าไหว้หลังหลอก หรือ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ในบางแง่มุม ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ.........กรณีจีน และรัสเซีย ปล่อยให้สหรัฐฯ รุกเข้ายึดอิรัก โดยที่มีการต่อต้าน จากสองฝ่ายแรกพอเป็นพิธี แล้วสหรัฐฯ ก็สามารถยึดครองอิรักได้ แต่เป้าหมายของจีนและรัสเซียคือ การที่จะร่วมกันกำจัดสหรัฐฯ ในสมรภูมิอิรักนั่นเอง....... สงครามอิรักครั้งที่ ๒ หรือสงครามอ่าวครั้งที่ ๒ ที่ระเบิดขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๖ ที่ผ่านมาทำให้ประชาคมโลก ได้เห็นปรากฏการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นทั้งที่เป็นความเห็นส่วนตัวที่อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข่าวสาร ที่ได้รับจากสื่อที่คนอื่นชอบ อย่างไรก็ตามเนื้อหาของข่าวสารที่จะนำเสนอต่อไปนี้ จะนำเสนอมุมมอง ที่แตกต่างจากมุมมองทั่ว ๆ ไป โดยจะอยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห์สถานการณ์ของโลกในเชิงของความมั่นคง ที่อยู่บนพื้นฐานของตำราพิชัยสงครามหลักการสงครามทางทหาร และทฤษฎีการสงครามต่าง ๆ ที่ค่อนข้างจะขัดแย้งกับความรู้สึกนึกคิดและข่าวสารที่ได้รับทราบกันมาโดยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นสงครามอิรัก ครั้งที่ ๒ เป็นต้นมาจนกระทั้งถึงปัจจุบันนี้ ในขณะที่สงครามอิรักปะทุขึ้นผู้เขียนศึกษาอยู่ใน มหาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรของจีน (NDU) ซึ่งเมื่อเกิดสงครามขึ้นได้มีการศึกษาสงคราม กันอย่างกว้างขวางและเอาจริงเอาจังท่ามกลางผู้เข้าร่วมศึกษาและสัมมนาจากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและสถานการณ์ด้านความมั่นคงของโลกผู้เขียนได้มีโอกาสนำเสนอ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสงครามอิรักหลายครั้งเริมตั้งแต่การนำเสนอเรื่องเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ (เวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์) ซึ่งผลที่ตามมาคือจะเกิดสงครามอิรักอีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้ทำเป็นเอกสารวิจัย ให้กับคณะกรรมการตรวจเอกสารวิจัย ของ NDU จีน ตั้งแต่เดือน พ.ย. ๔๕ และได้พยากรณ์ล่วงหน้าว่า จะเกิดสงครามอิรักขึ้น ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงในเดือน มี.ค.๒๕๔๖ คือก่อนเหตุการณ์ ๕ เดือน นอกจากนั้น ผู้เขียนยังได้นำเสนอวิวัฒนาการของสงครามอิรัก และกล่าวถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหลังสงครามอิรัก ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพาะปรากฏการณ์โรค ซาร์ซ ปรากฏการณ์ไข้หวัดนก สงครามยืดเยื้อในอิรัก จนกระทั้งเอกสารที่ผู้เขียนนำเสนอได้รับการพิจารณาเป็นเอกสารวิจัยดีเด่นหลักสูตร ๑ ฉบับ ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้นำเสนอในที่ประชุมนานาชาติที่ NDU จีน ๑ ฉบับ และได้รับคัดเลือก ให้บรรยายให้กับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง และนักศึกษาหลักสูตรความมั่นคงของจีนได้ฟังอีก ๑ ฉบับ และเมื่อได้รับหนังสือประกาศเป็นหลักฐานว่าเป็นเอกสารวิจัยดีเด่นแล้วเมื่อ เดือน ธ.ค.๒๕๔๖ แล้ว ผู้บัญชาการสถาบันป้องกันประเทศ กองบัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพไทย ในขณะนั้น ได้กรุณาอนุมัติให้พิมพ์เป็นเอกสารทางราชการเพื่อให้นักศึกษาด้านความมั่นคงของกองทัพไทย ได้ศึกษาเป็นแบบอย่างอีกด้วย ในเนื้อหาของเอกสารวิจัยได้กล่าวถึงการต่อสู้ของประเทศมหาอำนาจเพื่อแย่งชิงพื้นที่สำคัญ ทางยุทธศาสตร์คือ อิรัก ซึ่งอิรักเป็นประเทศที่นอกจากจะเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งทางทรัพยากรน้ำมัน มากเป็นอันดับ ๒ ของโลกที่ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้าครอบครองทั้งสิ้น ด้วยความจำเป็นของสหรัฐอเมริกาฯ ที่ต้องรีบเข้ายึดอิรักด้วยเหตุผลที่สร้างขึ้น หลายประการ ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านค่าเงินดอลลาร์ที่กำลังถูก ค่าของเงินยูโรคุกคาม ปัญหาภัยคุกคามด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศของมหาอำนาจจีน ปัญหาการบีบคั้นกดดันจากชนชั้นนำในสังคมอเมริกัน และอื่น ๆ อีกหลายรายการ หลายประเทศ ซึ่งเป็นมหาอำนาจชั้นรองลงมาต่างต่อต้านมิให้สหรัฐฯ บุกอิรัก ทั้งนี้เพราะประเทศอื่นก็ล้วนแล้ว แต่มีผลประโยชน์มหาศาลในอิรัก และจะได้รับผลกระทบเมื่อสหรัฐฯ เข้ายึดครองอิรัก สงครามอิรัก เริ่มขึ้นในเดือน มี.ค.๒๕๔๖ ประเทศต่าง ๆ ที่สูญเสียผลประโยชน์ต่างต่อต้านสหรัฐฯ รวมทั้ง จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ประเทศที่ได้ชื่อว่าสูญเสีย ผลประโยชน์จำนวนมากคือ จีน และ รัสเซีย ทั้งนี้เพราะทั้ง ๒ ประเทศมีการค้าขายและมีการลงทุนด้านน้ำมันในอิรักเป็นจำนวนมากเงินมหาศาล เมื่อสงครามเกิดขึ้นทำให้ผลประโยชน์ที่ทั้ง ๒ มหาอำนาจชั้นรองดังกล่าวแล้วต้องสูญเสียไปโดยปริยาย ในช่วงเริ่มต้นของสงครามมีเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ ออกมาประกาศถึงการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสูงของรัสเซีย เข้าไปแจม( JAM) ระบบการควบคุมบังคับบัญชาของการทหารของสหรัฐฯ ซึ่งผู้ที่ติดตามข่าวสงครามอิรัก อย่างต่อเนื่องก็คงจำได้ ถ้าวิเคราะห์กันต่อไปจะทราบว่า ก่อนหน้าที่สหรัฐฯจะสั่งเคลื่อนกำลังทหารบุกเข้าอิรักในเดือนมีนาคม ๒๕๔๖ สหรัฐฯ หยุดชะงักการปฏิบัติการทางทหารทั้งสิ้นเหมือนว่า จะยุติการบุกอิรักอยู่ประมาณ ๒ ๔ วัน จากรายงานข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งว่าในช่วงนั้น รัสเซียโดยความร่วมมือกับ จีนและกลุ่มประเทศ อียู ที่ร่วมกันคัดค้าน และต่อต้านการทำสงครามอิรักตั้งแต่ต้น ได้มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าให้รัสเซีย ใช้เครื่องมือทางอิเลคทรอนิกส์ชั้นสูงที่พัฒนาไปได้ไกลมาก (เชื่อว่าเทคโนโลยีด้านนี้จะสูงกว่าสหรัฐฯ) เข้าไปแจม (JAM) ระบบควบคุมบังคับบัญชาทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อเป็นการเตือนว่า ทุกย่างก้าวของสหรัฐฯ ฝ่ายที่คัดค้านการทำสงครามรู้เท่าทันหมด เพียงแต่ว่าจะขัดขวางหรือไม่เท่านั้นเอง จึงทำให้สหรัฐฯ ถึงขั้นต้องหยุดชะงักการปฏิบัติการทางทหารไปชั่วขณะ เมื่อวิเคราะห์ผลได้ผลเสีย รวมทั้งขีดความสามารถของตนแล้วสหรัฐฯ จึงสั่งกำลังทหารบุกโจมตีอิรักโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใด ๆ ทั้งจากประเทศมหาอำนาจชั้นรอง และจากองค์การสหประชาชาติ สหรัฐฯ จำเป็นต้องเสี่ยงอย่างยิ่ง ทั้ง ๆที่ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับกำลังทหารของตนในอนาคต ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้ว เมื่อในกลยุทธ์อื่น ๆ ว่า ผู้สั่งการให้โจมตีไม่ใช่ผู้บัญชาการทางทหาร ไม่ใช่ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ แต่เป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังที่ทรงพลังอำนาจและอิทธิพลอย่างยิ่งต่อรัฐบาลอเมริกาซึ่งประกอบด้วย ทั้ง FED , Vatican และ Jew สามสถาบันหลักที่อยู่เบื้องหลังสังคมอเมริกัน ซึ่งคนทั่วไปจะไม่ค่อยได้ยินชื่อเรื่องนี้นัก ดังนี้ นำเสนอไปแล้วเช่นกัน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งอยู่เหนือรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นผู้สั่งการตัวจริงว่าจะให้บุกหรือ ถอย ด้วยเรื่องผลประโยชน์ ๓ กลุ่มดังกล่าวต้องสั่งบุก จนกระทังยึดครองอิรักได้อย่างเบ็ดเสร็จในเวลากันรวดเร็ว ในขณะที่สงครามกำลังดำเนินอย่างเข้มข้นไปอยู่นั้นในมหาวิทยาลัยป้องกัน ประเทศ (DNU) ของจีน พลตรี Ji Ming Kui ผู้อำนวยการส่วนการศึกษาของ ส่วนการศึกษาของนักศึกษาต่างประเทศ NDU จีน ได้บรรยายถึงสงครามประชาชน (People War) สงครามยืดเยื้อ (Protracted War) สงครามท้องถิ่น (Local ware ) และมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในการบรรยายหลายครั้งในห้องเรียนโดยเจตนา จะชี้ให้นักศึกษา ในหลักสูตรป้องกันประเทศทราบโดยทั่วกันว่า ต่อแต่นี้ไปสงครามอิรักจะเข้าสู่สงครามประชาชน สงครามยืดเยื้อ สงครามท้องถิ่นตามหลักนิยมด้านการทหารของจีน ซึ่งนักศึกษาหลายคน ก็ยังแสดงความไม่เข้าใจว่าทำไมจีนจึงต้องออกมาเน้นย้ำถึงสงคราม เหล่านี้ทั้ง ๆ ที่เมื่อสหรัฐฯ ได้เข้ายึดครองอิรักไปแล้วนั่นก็คือการสิ้นสุดของสงครามจะมีสงครามอะไรอีกต่อไป จีนยังพูดถึงสงครามเดิมอยู่อีกหลายครั้ง ผู้เขียนได้พยายามอธิบายในชั้นเรียนให้เพื่อน ๆ นักศึกษาในหลักสูตรทราบว่าความหมายคือ จีนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำสงครามอิรัก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่สหรัฐฯ ยึดครองอิรักได้แล้วโดยใช้สงครามตามรูปแบบของจีน คือ สงครามประชาชน สงครามยืดเยื้อ และสงครามท้องถิ่น ในที่สุดเหตุการณ์ก็ปรากฏให้ชาวโลกได้เห็นคือ สงครามประชาชน สงครามท้องถิ่น และสงครามยืดเยื้อ สร้างความเสียหายให้กับสหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง จนกระทั้งกระทบต่อคะแนนเสียงของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ของสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ถ้าวิเคราะห์ต่อไปโดยกล่าวถึงกลยุทธ์ แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า ก็คือ กลุ่มประเทศที่ร่วมกันคัดค้านการบุกอิรัก ของสหรัฐฯ ร่วมมือกันที่จะถล่มสหรัฐฯ ใน สงครามอิรัก ผลที่ต้องการคือให้สหรัฐตกอยู่ในสงครามเป็นฝ่ายรับอย่างขมขื่น ในสงครามอิรัก โดยอาจจะไม่ให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากอิรักได้โดยง่ายและสหรัฐฯ อาจจะต้องพ่ายแพ้สงครามประชาชน (ระเบิดพลีชีพ) ในอิรักเหมือนเมื่อครั้งพ่ายแพ้สงครามในเวียดนาม ซึ่ง สหรัฐฯ ต้องบอบซ้ำทั้งทางเศรษฐกิจ ทางการทหาร และทางการเมืองระหว่างประเทศ ยกเว้นว่าสหรัฐฯ ไหวตัวทันรีบแก้เกมครั้งนี้ให้ทันคือ อาจเพิ่มจำนวนพันธมิตรของตนมากขึ้น หรืออาจจะถอนทหารออกจากอิรักโดยเร็ว สหรัฐฯ จึงจะรอดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผลที่กระทบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เป็นตัวแสดงในฐานะผู้นำสงครามคือ ฐานคะแนนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ ๒ ของบุช ต้องเกิดปัญหา ปัญหาไม่ได้อยู่ประชาชนว่าจะชอบหรือไม่ชอบ บุช แต่ ๓ องค์การใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังตัวแสดงคือ FED, Vatuican และ Jew ที่เป็นเจ้าของผลประโยชน์ทั้งหมดในสังคมอเมริกัน จะเป็นผู้ตัดสิน ถ้าบุช สามารถแสดงบทบาทในการแก้ปัญหาในอิรักได้อย่างเป็นที่น่าพึงพอใจของทั้ง ๓ กลุ่ม อิทธิพลดังกล่าวหรือไม่ ถ้าทำได้ บุช อาจจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป แต่ถ้าสถานการณ์ยังเลวร้ายอยู่ บุช อาจต้องหลุดไปอันมีตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเดิมพัน ปรากฏการณ์เมื่อ ๒๓ ต.ค.๔๗ ยังคงเห็นคะแนนเสียง บุช และ แครี ที่สูสีกันมาก วันที่ ๒ พ.ย.๔๗ ก็เช่นเดียวกัน นั่นคือการเปิดโอกาสให้ บุช สร้างผลงานเพื่อลบล้างความผิดที่ไม่สามารถ แก้ภาพพจน์ของสหรัฐฯ ต่อประชาคมโลกและการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ให้ได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั้นคือ ผลของกลยุทธ์ แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า ของ จีน รัสเซีย อียู ที่ใช้ในการต่อสู้กับสหรัฐฯ ( ข้อมูลอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้อ่านได้มาจากสื่อทั่วไป แต่ในมิติของความมั่นคง นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไม่อาจที่จะคิดตามแนวทางของข้อมูลที่คนทั่วไปรับรู้นั้นได้ทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้น นักการทหาร นักยุทธศาสตร์ ก็ไม่แตกต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่รับข้อมูลมาอย่างไร แล้วก็เชื่อตามนั้น นักการทหาร นักยุทธศาสตร์ ต้องสามารถแยกแยะได้ว่า ข่าวสารใดลวง ข่าวสารใดเป็นข่าวสารจริง ) กลยุทธ์นี้ จึงมีผู้สรุปว่า ยามเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นผลดี ควรจะสะกดกลั้นตัวเองไว้ แสร้งทำเป็นโง่เง่า อวดฉลาดยิ่งจะไม่เป็นผลดีแก่ตน นี้เป็นวิธีรู้รักษาตัวรอดอย่างหนึ่งในยามปั่นป่วน คนฉลาดมักจะใช้วิธีการนี้ป้องกันตัวและวางแผนเอาชนะศัตรู คนที่ดูโง่เขลานั้น โดยภายนอกก็อาจจะเห็นเป็นเต่าตุ่น แต่ที่แท้แล้วภายในนั้นคมกริบ รู้เขารู้เรา พึงถอยก็รู้จักถอย มิดันทุรังรุกไปโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ดังนั้น จึงสามารถที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มกระทำในการทั้งปวง เพราะเข้าใจในเหตุการณ์ อย่างรู้แจ้งแทงตลอดและรอจังหวะที่จะบุกกระหน่ำมิยอมให้ศัตรูตั้งตัวติดตลอดเวลา กลยุทธ์นี้ มักจะพบเห็นบ่อย ๆ โดยทั่วไป ผู้ใดใช้เป็นด้วยความสันทัดจัดเจน ผู้นั้นย่อมจะได้รับผลสำเร็จ และเป็นที่น่ากลัวสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่มิรู้แจ้งในกล หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๘ ขึ้นบ้านชักบันได เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 14, 2006, 11:24:49 PM กลยุทธ์ที่ ๒๘ ขึ้นบ้านชักบันได
แสร้งเปิดทางสะดวก ล่อให้รุกเข้า ตัดการหนุนช่วย ให้ถึงที่ตาย เจอพิษ มิควรที่ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จงใจเปิดจุดอ่อนให้ข้าศึกเห็น สร้างเงื่อนไขและล่อหลอกให้ข้าศึกเข้าตี ครั้นแล้วตัดขาดจากส่วนหน้าที่คอยสมทบ และส่วนหลังที่เป็นกำลังหนุน บีบให้ข้าศึกเข้าไปในปากถุง ที่เปิดอ้าไว้รับหรือในวงล้อมหลุมพรางที่วางดักไว้ เจอพิษ มิควรที่ มีใน คัมภีร์อี้จิง ขบ เปรียบประดุจเคี้ยวกระดูกหรือเนื้อเหนียว รังแต่จะทำให้ฟันชำรุดเสียหาย หรือเหมือนดั่งมักได้ ในสิ่งมิควรได้ย่อมจักนำมาซึ่งความวิบัติฉะนั้น ขึ้นบ้านชักบันได มีความหมายอย่างเดียวกันกับ ข้ามคลองรื้อสะพาน นี้คือกลยุทธ์ที่ใช้ผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ล่อหลอกให้ข้าศึกพินาศไป ทั้งกองทัพอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ใน สามก๊ก ประวัติราชวงศ์ฮั้น ประวัติขงเบ้งลิเงียม มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ สมัยสามก๊ก ( ค.ศ.๒๒๐-๒๙๐ ) ขงเบ้งรับการฝากฝังของเล่าปี่ก่อนสิ้นชีพจึงสถาปนาเล่าเสี้ยน ขึ้นครองราชย์บัลลังก์รัฐจ๊ก หลังจากนั้น ขงเบ้งก็หมกมุ่นอยู่แต่บรรลุเจตนารมณ์ของเล่าปี ที่จะกำราบโจโฉและซุนกวน ผนวกดินแดนของขุนศึกทั้งสองเข้ามาอยู่ในขอบขัณฑสีมา ของราชวงศ์ฮั่นแห่งตระกูลเล่าให้สิ้นเชิง ในระหว่าง ๗ ปีนับแต่ ค.ศ.๒๒๗-๒๓๔ ขงเบ้งกรีฑาทัพสู้รบกับตระกูลโจและซุนถึง ๖ ครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะฟื้นราชวงศ์ฮั่นให้ครองแแผ่นดินทั้งหมดได้ดังใจหมาย ในขณะเดียวกัน ทั้งตระกูลโจและซุน ก็ไม่กล้าผลีผลามบุกเข้าตีรัฐจ๊ก ดังนั้นสภาวะสามก๊ก คือรัฐจ๊กของเล่าปี่ รัฐวุยของโจโฉ รัฐหวูของซุนกวน จึงตั้งยันกันอยู่หลายปี ในการกรีฑาทัพครั้งที่ ๕ เป็นปีที่ ๙ แห่งศักราชเจี้ยชิงของพระเจ้าเล่าเสี้ยนในครั้งนั้น ขงเบ้งยกทัพใหญ่ออกจากรัฐจ๊ก เข้าประชิดชายแดนของรัฐวุยทางเขากิสาน ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน) ประจวบเหมาะกับขุนพลโจจิ๋นซึ่งรักษาภาคตะวันตกของรัฐวุยล้มป่วยหนัก เมื่อไพร่พลไร้ผู้นำเสียแล้ว ค่ายของทัพวุยก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก จึงมีหนังสือแจ้งเข้าไปยังเมืองหลวงฮูโต๋วันละ ๓ เวลา พระเจ้าเว่ยหมิงตี้ ( โจยอย) จึงเรียกขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาหารือการศึกอย่างรีบด่วน บังเอิญในเวลานั้น สุมาอี้เดินทางกลับมาจากเมืองเกงจิ๋วถึงเมืองฮูโต๋พอดี เว่ยหมิงตี้ดีพระทัย จึงกล่าวแก่สุมาอี้ว่า บัดนี้ ขงเบ้งยกทัพมาทางเขากิสานประชิดพรมแดนเรา ภาคตะวันออกกำลังคับขัน เว้นแต่ท่านแล้วเห็นทีจะมิมีผู้ใดไปต่อกรด้วยขงเบ้งได้ เราจึงขอให้ท่านเป็นแม่ทัพนำเตียวคับ โกฉุยยกทัพไปแก้ศึกขงเบ้งยังเขากิสาน สุมาอี้รับพระราชโองการแล้วก็มิได้หยุดพักผ่อน นำทัพออกเดินทางไปทางตะวันตกในเพลานั้น ครั้นถึงเมืองเตียงฮัน สุมาอี้ก็ให้ทหาร ๔ พันอยู่กับตน เพื่อรักษาเมืองเสเกี๋ยง ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน) ส่วนไพร่พลนอกนั้นก็ให้เตียวคับนำไปช่วยทางชายแดนเขากิสานจนหมด ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าสุมาอี้นำทัพมา ก็ให้อองเป๋งนำไพร่พลส่วนหนึ่งล้อมตีทางเขากิสาน ส่วนตนก็นำเกียงอุย อุยเอี๋ยน ซึ่งเป็นทัพหลวงไปรบด้วยสุมาอี้ที่โกฉุยให้รู้ดีรู้ชั่ว ในการรบครั้งแรก ขุนพลโกฉุยของสุมาอี้ ก็พ่ายแพ้แก่รัฐจ๊ก ขงเบ้งจึงฉวยโอกาสตัดเอาข้าวสาลีในท้องทุ่งหลงเสไปเป็นเสบียงของตนเป็นอันมาก สุมาอี้เห็นทหารขงเบ้งฮึกเหิมนัก จักรบด้วยก็มีแต่ปราชัย จึงยึดชัยภูมิเฉยอยู่ ขงเบ้งออกมาท้ารบ ก็เป็นหลายครั้ง สุมาอี้ก็ไม่กล้ายกทัพออกมาสู้ด้วย ขงเบ้งเห็นดังนั้น ก็ยกกำลังถอยไปยังเขากิสาน เพื่อล่อให้สุมาอี้ออกจากค่าย สุมาอี้เห็นขงเบ้งถอยทัพ ก็เข้าใจว่าขงเบ้งถอยหนีเพราะขาดเสบียงจึงเร่งทหารให้ไล่ตาม ครั้นพอจะใกล้ถึงเขากิสาน ก็ตกเข้าไปในวงล้อมที่ขงเบ้งวางดักไว้ ทหารวุยถูกทหารจ๊กฆ่าฟันล้มตาย เสียไพร่พลไป ๓ พันกว่าคน ทิ้งเสื้อเกราะและเกาทัณฑ์ไว้เป็นหมื่นชิ้น สุมาอี้จึงรีบถอยทัพกลับมายังเสเกี๋ยงตามเดิม ขงเบ้งล้อมตีสุมาอี้สำเร็จแล้ว แต่ด้วยเสบียงอาหารขาดแคลน จึงให้ทหารฝึกปรืออยู่แต่ในค่าย รอเสบียงที่กำลังนำมาจากรัฐจ๊ก ผู้คุมเสบียงของทัพจ๊กในคราวนี้เป็นลิเงียม อันลิเงียมคนนี้ เป็นคนเกียจคร้าน แต่อยากได้ความดีความชอบ มิสู้จะสนใจในเรื่องของบ้านเมือง ในระหว่างนั้น ก็พอดีเป็นปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วง ย่างเข้าหน้าฝนฝนก็ตกชุก ถนนหนทางกลายเป็นเลนตม การลำเลียงเสบียงเต็มไปด้วยความยากลำบาก และมักจะไปไม่ทันเวลาที่กำหนด เสบียงของกองทัพ จึงมักจะขาดแคลน ลิเงียมเกรงว่าตนจะมีความผิด จึงปลอมพระราชโองการของพระเจ้าแผ่นดินขึ้นมา ฉบับหนึ่งให้ขงเบ้งรีบกลับมายังเมืองหลวงเซงโต๋ ขงเบ้งได้รับพระราชโองการดังนั้น ก็มิรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเมืองหลวงจึงได้แต่สั่งทหารเตรียมถอยทัพกลับไป แต่ขงเบ้งก็รู้ดีว่า การถอยทัพของตนครั้งนี้ สุมาอี้จักฉวยโอกาสนำทัพไล่กระหน่ำตามหลังอย่างแน่นอน จึงครุ่นคิดวิธีที่จะพ่ายทัพสุมาอี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อมิให้การถอยทัพต้องได้รับความเสียหาย ขงเบ้งก็รู้ดีเช่นกันว่า สุมาอี้เป็นคนฉลาดเฉลียว สุขุมรอบคอบ ไม่ผลีผลามย่ามใจโดยใช่เหตุ มาตรแม้นจะทำให้พ่ายก็พึงล่อ ด้วยผลประโยชน์ให้ติดเบ็ดครั้นแล้วจึงใช้กำลังที่เหนือกว่าซุ่มตีทำลายเสีย เมื่อคิดได้อุบายหนึ่งแล้ว ขงเบ้งก็เรียกแม่ทัพนายกองของตนมาสั่งความ ให้ทุกคนปฏิบัติตามอุบายมิให้ผิดพลาด ฝ่ายสุมาอี้เมื่อถูกขงเบ้งหลอกตีเมื่อครั้งที่แล้ว ก็ยังเข็ดเขี้ยวอยู่ เกรงว่าขงเบ้งจะตามตีประชิดมา ครั้นรอง ๆ ไปก็ไม่เห็นทัพขงเบ้งปรากฏตัว ซ้ำกองสอดแนมยังเข้ามารายงานอีกว่า ขงเบ้งแยกทหาร ที่เขากิสานออกเป็นหลายทาง ไปชุมนุมกันที่โลเสีย แล้วก็บ่ายหน้าไปทางบอกบุ๋น สุมาอี้ให้รู้สึกประหลาดใจ ด้วยบอกบุ๋นนี้เป็นเส้นทางที่จะต้องผ่านเมื่อจะกลับเจ้ารัฐจ๊ก หรือขงเบ้งจะถอยทัพหนีแล้ว สุมาอี้ให้รุ่มร้อยอยู่ในใจ แต่สุมาอี้ก็มาคิดอีกทีว่า ขงเบ้งเริ่มรบชนะไป ๒ ครั้งติด ๆ กันอยู่หยก ๆ ขวัญทหารกำลังฮึกเหิม ไฉนขงเบ้งจะมาถอยทัพเสียง่าย ๆ ช่างผิดวิสัยนัก ในขณะที่สุมาอี้คิดไม่ตกลังเลอยู่นั้น ขุนพลทั้งหลายจึงว่า ขงเบ้งชุมนุมพลที่บอกบุ๋น หากมิรุกก็ถอย เราพึงฉวยโอกาสที่ขงเบ้งรวมพล ส่งกำลังใหญ่เข้าล้อมทำลายเสียโดยพลัน สุมาอี้ส่ายศีรษะพลางว่า ขงเบ้งเป็นคนถนัดในกลอุบายยิ่งนัก จักวู่วามเกินไปมิได้ ควรสังเกตดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อนจึงควร ว่าแล้ว ก็นำเตียวคับพร้อมด้วยขุนพลทั้งหลาย ไปตรวจดูความเป็นไปของกองทัพขงเบ้งบนภูเขาที่อยู่ใกล้กับบอกบุ๋น ก็เห็นค่ายของขงเบ้งมีธงทิวปลิวไสว ฟืนไฟก็ลุกโพลง แต่ก็ไม่เห็นตัวทหารขงเบ้งเลยแม้สักคนเดียว สุมาอี้สังเกตอยู่เป็นนาน จึงกล่าวแก่เตียวคับว่า ขงเบ้งถอยทัพไปแน่แล้ว แต่ใจยังกริ่งเกรงว่า จะเป็นอุบายของขงเบ้งอีก มิกล้าไล่ตามไป ขุนพลทั้งหลายเห็นสุมาอี้ลังเลอยู่ดังนั้น จึงพูดขึ้นว่า ทหารจ๊กถอยทัพในวันนี้จักต้องเป็นเพราะเกิดเรื่องหนึ่งใดในรัฐจ๊ก อาจจะเป็นรัฐหวูบุกเข้ามา หรือพวกฮวนทางใต้ก่อความไม่สงบ หรือเล่าเสี้ยนเจ็บป่วย หรือเสบียงอาหารขาดแคลน ขงเบ้งปล่อยค่ายให้ว่างเปล่าหลอกลวงเรา ก็เพราะเกรงเราจักตามตีหากเราไล่กระหนาบเสียแต่บัดนี้ ก็จะได้ชัยเป็นแน่แท้ ขอให้ท่านแม่ทัพจงออกคำสั่งโดยเร็ว อย่างได้ลังเลไปอีกเลย สุมาอี้เห็นขุนพลทั้งหลายอยากสร้างความดีความชอบเป็นกำลัง อีกทั้งตนก็เห็นเป็นโอกาสอันควร ที่จะไล่กระหน่ำตามตี ก็คิดจะสั่งการ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นเตียวคับนิ่งเฉยอยู่ ก็ชะงัก ถามว่า ท่านมิเอ่ยวาจาหรือท่านเห็นมิเป็นการสมควรที่จะไล่ตามขงเบ้งไป เตียวคับจึงตอบว่า ตำราพิชัยสงครามมีกล่าวไว้ว่า ทัพถอยมิควรไล่ ขุนพลอื่นได้ฟังดังนั้นก็หัวร่อเยาะว่า หรือท่านหวาดหวั่นด้วยข้าศึก ถ้อยคำอันเหยียดหยามเช่นนี้ เตียวคับทนฟังต่อไปไม่ได้ จึงโพล่งตอบไปด้วยความโทสะว่า เตียวคับหาได้เกรงกลัวแก่ข้าศึกไม่ สุมาอี้จึงมีคำสั่งให้เตียวคับนำทหารม้า ๑ หมื่น ยกไปเป็นกองหน้าก่อนและกำชับเป็นหลายครั้งว่า ทัพจ๊กแม้จะถอย ก็คงจะซุ่มกำลังไว้คอบสกัดท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด เตียวคับเป็นขุนพลเอกของรัฐวุยคนหนึ่ง เคยติดตามโจโฉรบเหนือพุ่งใต้สร้างความดีความชอบไว้มากมาย เมื่อครั้งที่ขงเบ้งนำทัพตีเขากิสานครั้งแรกเว่ยหมิงตี้ประทับอยู่ที่เมืองเตียงฮัน ได้สั่งให้เตียวคับออกรับศึก ขงเบ้งยังเมืองกงเต๋ง ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน) และรบจนม้าเจ๊กของฝ่ายจ๊กก๊กต้องพาายไปทำให้ขงเบ้ง ไม่อาจคบหน้าต่อไปได้ ่จำต้องถอยทัพกลับรัฐจ๊กโดยอ้อมไปทางเมืองเสเสีย ( ในมณฑลกานสูปัจจุบัน) ขุนพลหลายคนของรัฐจ๊กล้วนแต่เคยประมือกับเตียวคับมาแล้วเกือบทุกคน ต่างก็รู้ว่า เตียวคับมีทั้งฝีมือ่ความกล้า และความฉลาด ขงเบ้งเองก็ถือเตียวคับเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง คราวนี้ เมื่อได้รับคำสั่งให้ไล่ตามทัพขงเบ้ง เตียวคับนำทัพออกจากบอกบุ๋นไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนเรียก พร้อมด้วยมีทหารจ๊กปรากฎตัวออกมาจากป่า เตียวคับหันไปมอง ก็เห็นเป็นอุยเอี๋ยนกำลังย่างม้าเข้ามา พร้อมทั้งง้าวใหญ่อยู่ในมือ ตวาดว่า เจ้าโจรเตียวคับ ท่านขงเบ้งให้ข้ามารอเจ้าอยู่ที่นี่ช้านานแล้ว เจ้าจะหนีไปไหน เตียวคับบันดาลโทสะ กระทืบโกลนม้าทะยานเข้าหาอุยเอี๋ยน ทั้งสองคนสู้รบกัน พัลวันอยู่หลายเพลง อุยเอี๋ยนก็แสร้งทำเป็นสู้ไม่ได้ ชักม้าหนีหันกลับไปทางเดิม เตียวคับไม่ยอมปล่อย กระตุ้นบังเหียนม้าให้ตามหลังไปติด ๆ พออ้อมพ้นเนินเขาไปลูกหนึ่ง อุยเอี๋ยนก็หายไป เตียวคับหยุดม้ามองหาไปรอบ ๆ ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย จึงกระตุ้นม้าให้ไล่ตามต่อไป ทันใดนั้นก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาอีกจากป่าข้างทาง พร้อมทั้งทหารจ๊กก็ปรากฏตัวออกจากที่ซ่อน ส่วนขุนพลนั้นเป็นอองเป๋ง ตวาดเตียวคับว่า เตียวคับ เจ้าไม่ต้องตามหา ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เตียวคับไม่โต้ตอบ โผนม้าพุ่งทวนเข้าแทงอองเป๋ง อองเป๋งไม่รบด้วย กลับชักม้ากลับรีบหนีไป เตียวคับไล่ติดตามไปพักหนึ่ง ทั้งอองเป๋งและไพร่พลก็หายไปอีก เตียวคับชักสงสัยเกรงว่าจะมีทหารจ๊กคอยซุ่มตี จึงส่งคนออกไปสอดแนมก็ได้รับแจ้งว่า ในบริเวณนั้นไม่มีกองทหารดักซุ่มอยู่เลย เตียวคับก็นำทหารติดตามเข้าไปในป่าลึกเข้าไปอีก ก็พบอุยเอี๋ยนควบม้าเข้ามาปะทะด้วย พออุยเอี๋ยนหนีไป อองเป๋งก็ปรากฏตัวออกมารบแทน อุยเอี๋ยนกับอองเป๋งผลัดกันออกมารบกับเตียวคับ รบพางหนีพลาง พร้อมทั้งทิ้งเสื้อเกราะ อาวุธม้าศึก แสดงให้เห็นว่ารบแพ้เกลื่อนอยู่ตลอดทาง ส่วนเตียวคับยิ่งรบก็ยิ่งอาจหาญ มิได้แสดงให้เห็นถึงความหวาดหวั่นต่อข้าศึกเลย อุยเอี๋ยนกับอองเป๋ง รบพลางถอยพลาง ล่อเตียวคับให้ไล่ติดตามด้วยความบันดาลโทสะเข้าไปในหุบเขา ฟ้ามืดแล้ว แต่เตียวคับลืมคำกำชับของสุมาอี้ไปเสียสิ้น ประกอบกับเชื่อว่า สุมาอี้ยกทัพติดตามตนมาอยู่ ณ เบื้องหลัง จึงขับม้าไล่ตามขุนพลจ๊กทั้งสองไปอย่างกระชั้นชิด ปากก็ตวาดว่า เจ้าหน้าขี้แพ้ จะหนีไปไหนพ้น อุยเอี๋ยนก็ยิ่งเร่งม้าหนีลึกเข้าไปในเส้นทางแคบ ๆ แล้วแสร้งทำเป็นเกิดอลหม่าน เพราะไพร่พลชิงกันหลบหนี ทิ้งอาวุธและเสื้อเกราะไว้เกลื่อนกลาด เตียวคับเห็นดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ รุกไล่ถลำเข้าไปจนถึงทางแคบที่แทบจะขยับตัวไม่ได้ ทันใดนั้น ก็มีเสียงระเบิดเป็นสัญญาณ ดังขึ้นกึกก้อง หุบผาทั้งสองข้างก็มีแสงไฟลุกพรึบขึ้น พร้อมกับเสียงระเบิดติดต่อกันหลายครั้ง กัมปนาทดุจดังภูเขาจะถล่ม เตียวคับก็ตกใจรู้ว่าหลงกลเสียแล้ว รีบสั่งไพร่พลถอยหลังกลับ แต่ก็ช้าเกินการ พร้อม ๆ กับ เสียงระเบิด ทั้ง ๒ ฟากของหุบเขาก็มีหินก้อนใหญ่และท่อนซุงกลิ้งลงมาสุมเข้าหุบเขา เตียวคับถอยไม่ได้จึงแข็งใจไล่ตามอุยเอี๋ยนเข้าไปอีก ขณะนี้เอง สองฟากหุบเขาก็มีลูกเกาทัณฑ์ ยิงลงมาดังห่าฝน เตียวคับไม่ทันรู้ตัว จึงถูกยิงเข้าในที่สำคัญตกม้าตาย ทหารของเตียวคับ ที่ติดตามเข้าไปในหุบเขาถูกเกาทัณฑ์ตายหมด เหลืออยู่ก็แต่กองหลังที่ถอยทัพ แต่ก็ถูกทหารจ๊กซึ่งดักไว้ฆ่าตายไม่มีเหลือ วันรุ่งขึ้น สุมาอี้นำไพร่พลติดตามมาถึงหุบเขาบอกบุ๋น ก็เห็นซากศพทหารวุยเกลื่อนกลาดไปหมด เตียวคับก็ตาย แต่ไม่เห็นทหารของขงเบ้งอยู่เลยสักคน สุมาอี้จึงไม่กล้าตามทัพขงเบ้งไปอีก จัดการศพไพร่พลของตนแล้วนำศพเตียวคับกลับไป ส่วนขงเบ้งเมื่อกลับไปถึงรัฐจ๊ก พบลิเงียมก็ไต่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของพระราชโองการ ลิเงียมตอบไม่ออก ได้แต่กระอักกระอ่วนอยู่ เมื่อขงเบ้งกลับถึงเมืองหลวงเซงโต่ ทูลถามพระเจ้าเล่าเสี้ยน ก็ได้รู้ความจริง ขงเบ้งให้เสียดายโอกาสยิ่งนัก แต่ก็สุดปัญญาที่จะแก้ไขอะไรได้ โทษแต่ตัวเอง ที่ใช้คนบ้องตื้นอย่างลิเงียม จึงถอดลิเงียมลงเป็นไพร่เสีย หลังจากนั้น ขงเบ้งก็ฝึกปรือทหาร เร่งการเพาะปลูก จัดทำตำราพิชัยสงคราม คิดค่ายกลประดิษฐ์วัวและม้ากล อย่างขะมักเขม้น ๓ ปีให้หลัง ขงเบ้งก็ออกศึกตีรัฐวุยอีก แต่สุมาอี้ก็ใช้ความสุขุมรอบคอบและความเยือกเย็น ผ่อนหนักเป็นเบา เห็นว่าขงเบ้งเดินทัพมาจากทางไกล จักต้องรบแตกหักอย่างรวดเร็ว ไม่สะดวกที่จะทำศึกยาวนาน เพราะจักเกิดการขาดแคลนเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ จึงใช้กลวิธีมิออกรบด้วย เอาแต่รักษาเมืองเฉยอยู่ แม้ขงเบ้งจะเพียรใช้กลอุบายร้อยแปด เพื่อล่อหลอกให้สุมาอี้ออกรบด้วย สุมาอี้ก็ไม่นำพา เฉยเสีย ขงเบ้งจึงไม่มีโอกาสได้สู้รบกับสุมาอี้ จนในภายหลังขงเบ้งก็ป่วยสิ้นลมในกองทัพ ทัพจ๊กจึงจำต้องถอยกลับบ้านเมืองของตน สงครามระหว่างจ๊กกับวุยก็ยุติลงนับแต่นั้นมา กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า ขึ้นบ้านชักบันได มีความหมายค่อนข้างกว้าง หนึ่งในนั้นคือใช้ผลประโยชน์เล็กน้อย ล่อให้ข้าศึกเข้าปิ้ง แล้วทำลายเสียสิ้น ซึ่งก็หมายความว่าเมื่อข้าศึกบุกเข้าในอาณาเขตของเรา เราจงใจจะเปิดทางตันให้กับเขา เมื่อข้าศึกหลงกลตกอยู่ในวงล้อม ก็จะตื่นตระหนกเดินไป ตามหนทางที่เราเปิดไว้ให้ เมื่อเราตัดทางรุกและทางถอย ข้าศึกก็จนด้วยเกล้า ถ้าไม่ยอมจำนน ก็เหลืออยู่แต่ทางตายถ่ายเดียว ในกลยุทธ์นี้ ที่สำคัญคือ บันได จงใจให้ข้าศึกเห็นจุดอ่อนและมุ่งมั่น จะใช้จุดอ่อนให้เป็นประโยชน์แก่ตน นี้ก็คือ บันได ถ้าหากไม่มี บันได ดังกล่าว กลยุทธ์นี้ก็ยากที่จะได้รับผล หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๙ ต้นไม้ผลิดอก เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 10:59:18 AM กลยุทธ์ที่ ๒๙ ต้นไม้ผลิดอก
ยืมสถานการณ์สร้างกระบวนท่า เล็กแต่ทำใหญ่นกใหญ่โผบิน ปีกขนช่วยพาสง่างาม กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้แนวรบของมิตรมาสร้างแนวรบที่เป็นประโยชน์แก่เราขึ้น แม้กำลังจะน้อยแต่ก็สามารถทำให้ดูเหมือนใหญ่โต ดุจเดียวกับนกอินทรีที่ผกผินอยู่ในอากาศ ปีกขนกางเหยียดมีท่วงท่าน่าเกรงขาม คำว่า นกใหญ่โผบิน ปีกขนช่วยพาสง่างาม มาจาก คัมภีร์อี้จิง รุก หมายความว่า นกใหญ่เหินฟ้า อาศัยสองปีกอันแข็งแรง บินร่อนซอกซอนไปตามปุยเมฆ มิมีสิ่งกีดขวาง อันคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ปีกหนักกวักละโยชน์ กลยุทธ์นี้มองอีกแง่หนึ่ง ก็จะเหมือนกับคำว่า สร้างสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ หรือ ยืมมือที่สาม เมื่อใช้ในการทหาร ก็เป็นกลยุทธ์ในการยืมกำลังของผู้อื่น มาเสริมกำลังตนให้ดูแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ........บทบาทของ NGOsในการปฏิรูปการเมืองไทย - ดังมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวไว้ในหนังสือ NGOs ๒๐๐๐ เศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ในท่ามกลางโลกมืดที่เต็มไปด้วยโลภจริต ความคับแคบทางจิตใจและการปองร้ายซึ่งกันและกัน ก็ยังมีด้านตรงข้ามคือ ด้านของความสว่าง ความรักเพื่อนมนุษย์ ความเสียสละให้แก่ผู้อื่น ด้านนี้แหละที่ทำให้ชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่ง กำเนิดองค์กรช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ยามทุกข์ยาก เป็นองค์กรที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อ ในอุดมการณ์ และผลประโยชน์ทางวัตถุ แต่ยึดมั่นในความเป็นมนุษย์ที่พึงมีสิทธิได้รับการดูแล ให้ชีวิอยู่รอดปลอดภัย องค์กรนี้ชื่อว่า แคทอลิคบริการบรรเทาทุกข์ หรือแคทอลิค รีลีฟ เชอร์วิส ( Catholic Relief Services = CRS ) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ( ค.ศ. ๑๙๔๓ ) เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยจากสงครามตามด้วย เชิช เวิร์ลด์ เซอร์วิส ( Church World Service ) กำเนิดขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกัน ( ค.ศ.๑๙๔๖ ) ..องค์กรเหล่านี้คือกำเนิดขององค์กรพัฒนาเอกชน หรือรู้จักกันในนาม NGOs ( Non Governmental Organization ) - .NGOs จำแนกออกเป็น ๓ ประเภทตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานกล่าวคือ ๑. เป็นกลุ่มทำงานทางด้านบรรเทาทุกข์ ซึ่งจัดว่าเป็น NGOs กลุ่มแรกและมีขนาดใหญ่ กำเนิดขึ้นในทศวรรษที่ ๑๙๔๐ และกลุ่มต่อมาได้พัฒนาบทบาทของตนมาสู่บทบาท การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๒. เป็น NGOs ที่ทำงานด้านเทคนิคและวิชาการเป็น NGOsที่ทำงานเฉพาะด้าน จึงมีขนาดเล็กและไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กรศาสนาใด ๆ มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือ ยกระดับความรู้ทางเทคนิคและฝึมือ ( เช่น Techno Serve , Dental Health International ) ๓. เป็นกลุ่มที่เล็กที่สุด เป็นกลุ่มที่ทำงานสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนากลุ่มนี้มีทัศนะว่า การพัฒนาเป็นเรื่องที่เลียนแบบกันไม่ได้ จะต้องเกิดขึ้นจากความเป็นจริงของท้องถิ่นและชุมชน .. ( NGOs ๒๐๐๐ ) - การดำเนินงานของ NGOs จากประเทศอุตสาหกรรมและขยายตัวสู่บทบาทของการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมประเทศด้อยพัฒนา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของ NGOs เพราะในประเทศด้อยพัฒนา ปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม มักจะผูกพันเกี่ยวเนื่องกันในแทบทุกกรณี ยิ่งกว่านั้นแนวทางการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้อยพัฒนายังถูกชี้นำและกำหนดโดยองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งโดยแท้จริงนโยบายและการตัดสินใจของสององค์กรนี้ อยู่ภายใต้วิเทศนโยบายของกลุ่ม G- ๗ ( สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และญี่ปุ่น ) นโยบายต่าง ๆ ที่กำหนดออกมาจึงต้องสอดคล้องหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศทั้งเจ็ด .( NGOs ๒๐๐๐) - NGOs ใหญ่ ๆ ที่งบประมาณส่วนใหญ่ได้จากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้แก่ Oxfam America World Vision และ CARE อย่างไรก็ตาม งบประมาณส่วนหนึ่งได้จากการบริจาคของบุคคลและภาคธุรกิจ เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะผ่านรัฐบาลหรือผ่าน NGOs ย่อมมีวัตถุประสงค์ของมัน หากมองตามทฤษฎีอรรถประโยชน์นิยมซึ่งกล่าวว่า การที่มนุษย์ตัดสินใจทำอะไรลงไปอย่างหนึ่งย่อมคาดหวังประโยชน์ที่จะได้ตอบแทนไว้แล้วเสมอ ก็ย่อมหมายความว่า การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งให้เงินช่วยเหลือแก่ประเทศหนึ่งก็ย่อมคาดหวังจะได้ประโยชน์ บางสิ่งบางอย่างตอบคืน ( NGOs ๒๐๐๐) - จากการทดสอบและใช้แนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรมวลชนในการต่อต้านอำนาจรัฐ ภายในประเทศไทย ในปี ๒๕๑๖ และ ๒๕๑๙ ประสานงานโดยพรรคคอมมิวนิสต์สากล และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ CIA ได้ถูกนำมาพิจารณา วิเคราะห์แนวทางที่เป็นไปได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากสภาพการเคลื่อนไหวในประเทศไทยนั้น แตกต่างกับประเทศอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง นอกจากมวลชนจะไม่ใช้อาวุธประกอบในการเรียกร้อง และสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ตามความต้องการแล้ว ยังสามารถทำลายภาพพจน์ขององค์กรทหาร ซึ่งมีบทบาทที่เป็นอุปสรรคสำคัญชองการเปลี่ยนแปลงระบอบและการยึดครอง ตามแผนที่วางไว้ รัฐบาลอเมริกา แต่เดิมมานั้นไม่ค่อยให้ความสนใจต่อกลุ่ม NGOs ต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่ในประเทศด้อยพัฒนานัก เพราะถือว่ารัฐบาลของประเทศด้อยพัฒนาต่าง ๆ มักรับฟังคำแนะนำของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดี สหรัฐอเมริกาไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่การเคลื่อนไหวของ NGOs ในอเมริกาใต้ที่ร่วมมือกับ วาติกัน และบางครั้งร่วมมือกับขบวนการต่อต้านรัฐบาลที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่ ไม่อาจทำให้รัฐบาลอเมริกานิ่งเฉยอยู่ได้ จำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบาย NGOs โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี ๑๙๙๐ ( ๒๕๓๓ ) หลังกำแพงเบอร์ลินพังทลาย สหรัฐอเมริกาและธนาคารโลก ได้เปลี่ยนนโยบายต่อ NGOs . ( ชำระประวัติศาสตร์ กรณีตุลา พฤษภาทมิฬ โดยศูนย์นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์สยาม ) - มิติใหม่ของการยึดครอง และการต่อสู้จะกลายเป็นเรื่องของเศรษฐกิจการครอบครองตลาดการค้า เป็นสิ่งที่ทุกประเทศปรารถนา ทัศนคติ พฤติกรรมของประชาชนในประเทศต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจ หรือประเทศผู้ควบคุมการผลิตต้องการรู้ เพื่อเข้าถึงตลาด ความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับ NGOs จึงมีอย่างแนบแน่นและสอดคล้องต่อ มติของวอชิงตัน ว่าด้วย การใช้กลไกตลาด และการเปิดตลาดเสรี ซึ่งมีเนื้อหาสาระโดยสรุปคือ ๑. การยกเลิกระเบียบที่ขัดขวางการค้าเสรี ๒. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเป็นของเอกชน ๓. การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดยองค์กรเอกชน ๔.ตัดภาครัฐทุกส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจ บริการ สาธารณูปโภคทั้งหมด .( ชำระประวัติศาสตร์ฯ อ้างแล้ว) - NGOs ทั่วโลกมีประมาณ ๕ หมื่นองค์กร ในประเทศไทยมีประมาณ ๑๗,๐๐๐ องค์กร ทุกองค์กรล้วนแต่เป็นเครือข่ายกันทั้งสิ้น เป็นที่น่าสังเกตุสำหรับการทำงานของ NGOs ๑. ทำงานเป็นเครือข่ายกันทั่วโลก ๒. มีทุนสนับสนุนชนิดไม่จำกัด ๓. อ้างแนวทางการทำงานตามคำประกาศการจัดระเบียบโลกใหม่ของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น ๔.สำหรับในประเทศไทย NGOs ไม่ปรากฏเลยว่ามีการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศได้ผล เช่น กรณีประเทศไทยขายสินทรัพย์โดย ปสร.ขาดทุนถึงเกือบ ๗๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งคนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับภาระ ไม่มีการต่อต้านการออกพระราชบัญญัติขายชาติ ๑๑ ฉบับ ที่ทำให้ประเทศชาติต้องถูกครอบครองทางเศรษฐกิจโดยต่างชาติโดยสิ้นเชิงจนกระทั่งปัจจุบัน ๕. ไม่มี NGOs ใด ๆ คัดค้านต่อต้านรัฐบาลใด ๆ ที่ทำธุรกรรมโดยอ้างว่าประเทศไทยเป็นหนี้ IMF ซึ่งทำให้ประเทศชาติและประชาชนต้องสูญเสียประโยชน์ให้ประเทศอย่างมหาศาล เพราะประเทศไทยไม่ได้เป็นหนี้ IMF เนื่องจาก ๕.๑ ไม่มีสัญญาใด ๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีการเซ็นต์สัญญากู้เงิน ถ้ามีเอามาแสดง ให้ประชาประชาชนทั้งประเทศทราบด้วยว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะประชาชนทั้งประเทศ ต้องร่วมกันแบกรับภาระหนี้สินอันนี้ ลูกหนี้ย่อมต้องสามารถที่จะขอดูมูลหนี้ได้ ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่นี่ไม่เคยมีเลยแต่ทุกคนในประเทศนี้ต่างยอมรับกันโดยดุษฎีว่าเป็นหนี้กัน NGOs ที่ว่าจะรักษาผลประโยชน์ของ ประเทศชาติและประชาชนนั้นทำไมไม่ออกมาเคลื่อนไหว ทั้ง ๆ ที่นักกฏหมายก็มี นักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถ เท่าทันต่างชาติก็มี หรือรู้เท่าทันนักการเมืองที่โกงชาติกินเมืองได้ก็มี ๕.๒ ไม่ปรากฏว่ามีตัวเงินใด ๆ เข้ามาในประเทศแม้แต่บาทเดียวจาก IMF ๕.๓ ถ้าบอกว่ามีเอาเงินนั้นไปไว้ที่ไหน หรือเอาเงินนั้นไปใช้ในกิจการอะไรแล้วประเทศชาติและประชาชน ได้ประโยชน์อะไร บุคคลหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในธุรกรรมอันนี้ช่วยออกมาอธิบายความเป็นมาเป็นไปของ เงินดังกล่าวให้ประชาชนทั้งประเทศทราบด้วย NGOs ก็สามารถเป็นแกนหลักในการเคลื่อนไหวแต่ไม่มีเช่นเดิม ๕.๔ การขายธนาคารของประเทศให้ต่างชาติ ซึ่งถือว่าเป็นการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จโดยต่างชาติ โดยเริ่มจากการยึดเศรษฐกิจของชาติ ก็ไม่มีองค์ NGOs ใด ๆ ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการเมืองนั้นมีข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับ NGOs ดังนี้ - นายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บุคคลผู้นี้เคยเป็นประธาน TDRI มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่า เป็นกรรมการของบริษัท จีอี แคปปิตอล ( ของ จอร์จ โซรอส ) ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร คาทอลิค และ CIA ให้นำ NGOs เข้าผลักดันการปฏิรูปการเมือง เพื่อสนองผลประโยชน์ของทั้ง CIA และ คาทอลิค ( วาติกัน ) นายอานันท์ฯ ได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุน NGOs ได้มีการประชุม NGOs ทั่วประเทศถึง ๒ ครั้ง ซึ่ง NGOs เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนคำว่า โปร่งใส ของ นายอานันท์ฯ มาจนเท่าทุกวันนี้ ( ชำระประวัติศาสตร์ฯ อ้างแล้ว) - ๑ มีนาคม ๒๕๓๔ รสช.ประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับการต่อต้านจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง (ร่วมกับ NGOs) ซึ่งได้มีมติในเวลาต่อมาว่าให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราตามที่เรียกร้อง - นายประเวศ วะสี , นายพิภพ ธงไชย ซึ่งเป็นกรรมการของมูลนิธิ โกมล คีมทอง (NGOs) เป็นแกนนำเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยตั้งกลุ่มขึ้นมา ๒ กลุ่มเพื่อผลักดันการปฏิรูปการเมืองคือ ๑. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ๒. ศูนย์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งทั้ง ๒ องค์กรดังกล่าวเป็นเครือข่าย NGOs เพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องกับ New World Order ของสหรัฐฯ ผู้เป็นหลักในการประสานงานในประเทศไทย คือ นายอานันท์ ปันยารชุน นอกจากนั้นยังมีกลุ่มองค์กรเอกชน (NGOs) อีกเป็นอันมากที่ร่วมกันรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง - เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ โดยสรุป ผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้มีการนองเลือดจากการปะทะกันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง คือ CIA และคาทอลิก ผู้ดำเนินการหรือผู้ปฏิบัติคือ กลุ่ม NGOs ทั้งสิ้น อันประกอบด้วย สมาพันธ์ประชาธิปไตย, คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย จึงสามารถล้มรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหมากเกมครั้งใหญ่ในการทำลายอำนาจของรัฐและการทำลายทหาร ซึ่งไม่รู้เท่าทันสถานการณ์ และมีผลสืบเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ - นายอานันท์ ปันยารชุน ผู้เป็นบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง NGOs ทั้งหมด ได้อนุมัติให้สถานีโทรทัศน์ CNN ซึ่งเป็นสื่อมวลชนต่างประเทศ (เครื่องมือของสหรัฐฯ CIA) เข้ามาดำเนินการถ่ายทอดเหตุการณ์จลาจล กรณีพฤษภาทมิฬ เพื่อให้เผยแพร่ออกไปทั่วโลกให้ได้ เพื่อที่จะให้ต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจ จะได้มีความชอบธรรมในการแทรกแซงกิจการของประเทศได้และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลืองานของ นายอานันท์ ฯ ด้วย - นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามอนุมัติกฏหมายถึง ๘๐๐ ฉบับ ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งไม่มีรัฐบาลชุดใดทำกันซึ่งล้วนแล้วแต่เกื้อกูลต่อต่างชาติที่จะเข้ามาแสวงประโยชน์ในประเทศไทย ทั้งยังได้เดินทางไปลงนามทั้งประเทศผูกพันเป็นสมาชิก องค์กรสิทธิมนุษยชนโลก โดยมิได้รับการเห็นชอบ จากคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำให้เกิดการจัดตั้งองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGOs ขึ้นในประเทศไทย ทั้งยังเป็นการเปิดทางให้ต่างชาติสามารถเดินขบวนประท้วงประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะประเทศไทยได้กลายเป็นสมาชิกเสียแล้ว กรณีนี้นับว่าเป็นความผิดทางอาญา มีผลทำให้ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ทั้งหมดในประเทศไทย เป็นองค์กรนอกกฏหมาย เพราะผู้ลงนามในสัญญาผูกพันนั้น ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น การจัดตั้งองค์กร NGOs ทั้งหมดสืบมาจึงเป็นการเคลื่อนไหวอันมิชอบด้วยกฏหมาย - ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ - ๒๕๓๗ รัฐบาลนาย ชวน หลีกภัย พุทธศาสนิกชนชาวไทย ซึ่งมีอยู่ราว ร้อยละ ๙๕ ของ พลเมืองในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งได้ร่วมลงชื่อกันมากมายถึง ๖๔๐,๐๐๐ รายชื่อ เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีการบัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นผู้คัดค้านสุดตัว (โดยกล่าวว่าตายเป็นตายจะไม่ยอมให้มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเป็นอันขาด ) ส.ส. ได้นำเข้าเป็น ญัตติอภิปรายในสภากรณีดังกล่าว ทำให้ วาติกัน จัดบุคลากรเข้าปฏิบัติการในกลุ่มพุทธศาสนิกชนไทยในทันที โดยแอบอ้างว่าเข้าไปช่วยเหลือด้านกฎหมาย และเอกสารเพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการดำเนินการแต่โดยเนื้อแท้ เพื่อตรวจสอบ และหาข่าวภายในองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ในขณะเดียวกันได้มีการแปรเปลี่ยนทิศทางของ พุทธศาสนิกชน โดยยื่นญัตติให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ** หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๒๙ ต้นไม้ผลิดอก (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 11:00:27 AM - ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ นายประเวศ วะสี ,นายพิภพ ธงชัย , นายโคทม อารียา และคณะกรรมการรณรงค์
เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย (ครป.) องค์กร NGOs แนวร่วมทั้งหลายได้ร่วมกันรณรงค์ให้ - มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยการอ้างว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๓๕ เป็นเผด็จการ รัฐบาลบรรหารจะต้องจัดให้มีการยกร่างใหม่ขึ้น - การเคลื่อนไหวผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทั้งฉบับ โดยแอบอ้างว่ากระทำตามมาตรา ๒๑๑ ซึ่งความจริงเป็นโมฆะตั้งแต่ต้นแล้วนั้น การรณรงค์เคลื่อนไหวใช้คำว่า เสรีภาพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นคำขวัญของ วาติกัน ตามการประชุมที่บาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์ แสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวข้างต้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวาติกันอย่างเห็นได้ชัด - ผู้ที่เป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญคือ นายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นผู้กำหนดกรอบการร่าง โดยมีนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธาน สสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) การร่างรัฐธรรมนูญ อยู่ในกรอบของคำประกาศการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ของสหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น เช่น มาตรา ๘๗ รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี อาศัยกลไกตลาด..... หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา ๒๖,๒๗,๒๘,๒๙,๓๐ และ ๓๑ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา ๓๐ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและ ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน... ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลที่เป็นต่างชาติด้วย ให้มามีสิทธิใด ๆ ตามกฎหมายเหมือนกับคนไทยทุกประการ อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อต่างชาติมีสิทธิคุ้มครองตามกฏหมายเท่ากับคนไทยในประเทศ ( โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ) ส่วนที่ ๘ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา ๑๙๙,๒๐๐ (NGOs) รายละเอียดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐ - จะเห็นได้ว่า ๑. ความเป็นมาของการปฏิรูปการเมือง ผู้สนับสนุนหลักคือ NGOs ซึ่งอยู่ภายใต้การบงการและสนับสนุน โดยกลุ่มศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก และ CIA โดยสหรัฐฯ ซึ่งมีคนไทยในประเทศ คอยรับคำสั่งปฏิบัติตามคำบงการนั้นอยู่ตลอดเวลา ๒. การรณรงค์ในการปฏิรูปการเมือง ก็กลุ่มเดียวกันคือ NGOs (ขบวนการธงเขียว ซึ่งคือสีของธงประจำสำนักวาติกัน ซึ่งเป็นคำตอบได้ว่าทำไมจึงต้องใช้ธงเขียวในการรณรงค์ฯ ) ***หมายเหตุ ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองขาว และมีรูปกุญแจสองดอกไขว้กันแทน*** ๓. การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ กลุ่มผู้ร่างก็ได้รับการบงการจาก กลุ่มเดียวกัน สมาชิก สสร. ไม่ได้มีความรู้ เรื่องรัฐธรรมนูญและเนื้อหาในตัวรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น ( จากพยานหลักฐานที่เป็นบุคคลที่ร่วมพิจารณา ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ คืออดีต ส.ว.) ได้ร่างเสร็จเรียบร้อยไว้แล้วเมื่อ ๑๐ ปี ที่แล้วโดยตัวร่างอยู่ที่กลุ่มผู้สนับสนุน อยู่เบื้องหลังการพิจารณาจึงรวบรัดพอเป็นพิธี แล้วรีบสรุปจบด้วยเวลาอันสั้น หลักฐานคือตัวบุคคลที่ร่วมพิจารณา ร่างรัฐธรรมนูญ ( วุฒิสภา ) ทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจดีและสามารถที่จะให้ข้อมูลได้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลอย่างไร ๔.การผ่านร่างรัฐธรรมนูญก็ผ่านชนิดไม่ปกติ มีการข่มขู่ถ้าไม่รับ หรือไม่ผ่านจะนองเลือด ประกาศข่มขู่คนทั้งประเทศ โดย NGOs ที่รณรงค์ให้รับรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือได้ขัดต่อเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ที่เพิ่มเติมให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 ให้มีการพิจารณารับร่างฯ อย่างสันติ ห้ามข่มขู่ ห้ามบีบบังคับใดๆ ซึ่งถือว่าการกระทำของกลุ่ม NGOs ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตามตัวบทกฎหมายถือว่าผิดกฎหมาย และเป็นโมฆะ ๕. ผลของรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ ซึ่งกระทบในการทำลายทุกระบบ ของประเทศไทย ๕.๑ ทำลายพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ กล่าวคือ ลดพระราชอำนาจและฐานะขององค์พระมหากษัตริย์ และองค์พระประมุข ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ตั้งแต่ หมวด ๓ ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ ของประชาชนชาวไทย มาตรา ๒๖ เป็นต้นไป จนกระทั่งสิ้นสุดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งมีมากถึง ๓๓๕ มาตรา ไม่มีมาตราใดเลยที่ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตย ตามที่หลอกลวงไว้ในมาตรา ๓ ลดฐานะองค์พระมหากษัตริย์เป็นบุคคลธรรมดา ในมาตรา ๒๖ ,๒๗ และเป็นการเปิดโอกาสให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตีความสถานองค์พระมหากษัตริย์ว่าเป็นบุคคลธรรมดาในเวลาต่อมา มีสิทธิและหน้าที่ในการเลือกตั้งเหมือนบุคคลธรรมดา แต่จะไปเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้ ๕.๒ ให้ชาวต่างชาติมาแย่งอาชีพของคนไทยได้ทุกอาชีพ ซึ่งไม่มีมาตราใดในรัฐธรรมนูญปี ๔๐ ที่สงวนอาชีพไว้ให้คนไทย ซึ่งยังไม่สามารถที่แข่งขันอย่างเท่าเทียมกับต่างชาติ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าได้ โดยตัดมาตรา ๗๕ ของรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๓๘ ออก รัฐจะต้องสงวนอาชีพบางประเภท ที่สำคัญให้แก่คนไทย พร้อมกับยกเลิก ปว.๒๘๑ ซึ่งป้องกันรักษาอาชีพของคนไทยทั้งชาติไว้ เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติ (บรรษัทข้ามชาติ) เข้ามายึดครองเศรษฐกิจของประเทศไทยได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งก็เป็นความต้องการของกองทุนต่างชาติที่เป็นมหาอำนาจคือ สหรัฐฯ และคาทอลิกรวมกันอยู่แล้ว เป็นไปตามแผนผู้รับปฏิบัติตามแผนคือ NGOs ๕.๓ อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าสู่การบริหารประเทศ และการบริหารส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๓๐,๒๐๑,๒๐๒ ซึ่งเท่ากับว่าให้คนต่างชาติสามารถจะครอบครองประเทศชาติได้นั่นเอง ๕.๔ การทำลายอำนาจทางกฎหมาย และหน่วยงานอันเป็นภูมิคุ้มกันประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี ๔๐ นี้ นำมาซึ่งการยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เพราะทั้งผู้ที่รับคำสั่งจาก CIA และวาติกัน เข้ามาบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ ผู้สมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติทำลายเศรษฐกิจของประเทศ แล้วนำมาซึ่งการที่ให้ต่างชาติสามารถเข้ามาครอบครองและควบคุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร ทำให้ประเทศชาติต้องตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของ IMF, ธนาคารในประเทศ ทั้งรัฐ/ เอกชน ต้องถูกขายให้ต่างชาติ, ประเทศชาติเป็นหนี้สินมหาศาล พวกเหล่านี้ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ปี ๒๔๙๕ กฎหมายนี้จึงต้องถูกยกเลิก ๕.๕ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติไทยต้องถูกทำลาย พระราชพิธีและพิธีสงฆ์ของทางราชการ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ที่ร่างขึ้นมานั้น ล้วนขัดและทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติไทยทั้งสิ้น ขอให้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปฏิรูปการศึกษา , พ.ร.บ.คณะสงค์ ให้ดูทั้งความเป็นมาและรายละเอียดภายใน ก็จะเห็นแง่มุมอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ๕.๖ เป็นผลทำให้เกิดปัญหามากมายในประเทศ ทั้งปัญหาทางการเมือง, เศรษฐกิจ, สังคมจิตวิทยา รวมทั้งการทหาร ข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารต้องถูกระงับโครงการพัฒนาทั้งสิ้น โดยการถูกตัดงบประมาณเพราะอ้างว่าประเทศชาติเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ ( วิกฤตเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ใครเป็นคนสร้าง ? ผลจึงตกอยู่ที่ข้าราชการ และคนที่สร้างวิกฤตขณะนี้ทำอะไรอยู่ มีสภาพความเป็นอยู่ กันอย่างไรถ้าสงสัยก็ให้ติดตามดูกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ) - NGOs ในประเทศไทยมีอยู่ประมาณเกือบ ๒๐,๐๐๐ องค์กรในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ ๑. กลุ่มที่ทำงานในองค์กรของรัฐ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง, กกต., ปปช. ฯลฯ รายละเอียดตามเอกสารเพิ่มเติม ๒. กลุ่มที่ทำงานไม่อยู่ในองค์กรของรัฐ เช่น ครป., สิทธิมนุษยชน ฯลฯ รายละเอียดตัวอย่าง รายชื่อองค์กรตามเอกสารเพิ่มเติม จะเห็นได้ว่าการปล่อยปละละเลยหรือการปล่อยให้ NGOs เป็นผู้นำในการปฏิรูปการเมืองทั้งที่เป็นมาแล้วในอดีต กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงมากมายเพียงใด จะเป็น NGOs ประเภทใดก็ตาม ก็หนีไม่พ้นจากการถูกบงการอยู่เบื้องหลังจากทั้งสององค์กรต่างชาติดังที่กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้น ผลกระทบต่อประเทศไทย อันเกิดจากการปล่อยให้ NGOs ดำเนินการและชี้นำในการปฏิรูปการเมืองอย่างน้อยที่สุด จะต้องกระทบต่อเรื่องหลัก ๆ ดังนี้ ๑.วาติกัน จะต้องผลักดันให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขก็หมายต่าง ๆ ให้เกื้อกูลต่อการที่จะทำให้ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทยมากขึ้น เพิ่มขึ้นจากที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องนับเป็นพัน ๆ ปี จะต้องมีการทำลายวัฒนธรรมประเพณีไทยกันอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งการทำลายพุทธศาสนาในทุกรูปแบบ เปิดโอกาสให้กลุ่มทุนคาทอลิกเข้าครอบครองระบบเศรษฐกิจของไทยมากขึ้นโดยลำดับหลังจากที่ครอบครอง ทั้งธนาคารของประเทศจำนวนมาก ครอบครองธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งหมดของประเทศไปเกือบทั้งหมด ในรูปของการซื้อกิจการ การควบรวม การเข้าเป็นหุ้นใหญ่ ซึ่งเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนแล้วหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ๒. CIA เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า องค์กรนี้แทรกเข้าไปอยู่ทุกองค์กรในโลกอย่างเปิดเผยแม้แต่ในประเทศไทย ก็มีการประกาศรับสมัครข้าราชการและเอกชนที่จะไปทำงานเพิ่มเติมในฐานะเป็นสมาชิกของ CIA กันอย่างเปิดเผย จะเห็นได้ว่า องค์กรนี้ได้สร้างความระส่ำระสายและล่มสลายให้แก่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาโดยตลอด เหตุการณ์ที่ใหญ่ ๆ ทุกเรื่องที่เกิดเป็นข่าวในโลกนี้ล้วนมี CIA เกี่ยวข้องด้วยเสมอ แล้วเมื่อ CIA เกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง แล้วผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการจะได้แก่ใคร ไม่ใช่ CIA หรือ สหรัฐอเมริกาดอกหรือ ปัจจุบันนี้ เจ้าหน้าที่ CIA เข้าไปแทรกซึมอยู่ตามทุกส่วนราชการรวมทั้งส่วนราชการทหารด้วย แล้วผลจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ก็ต้องมาวิเคราะห์กันต่อไป แต่ที่ผ่านมาสร้างความบอบช้ำย่อยยับให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาลแล้ว ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับเอ็นจีโอและซีไอเอ เข้ามาอธิบายกลยุทธ์ ต้นไม้ผลิดอก ก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า องค์กรเอ็นจีโอ และ องค์กรซีไอเอ เป็นเสมือนกองทัพร่วมของทั้งสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการจะดำรงความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกให้คงอยู่ตลอดกาลด้วยการใช้องค์กรซีไอเอที่กระจายอยู่ ทั่วทุกหนแห่งบนพื้นผิวโลก ปฏิบัติการเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกา เสมือนเป็นกำลังทหารที่อยู่หน้าสุด แต่กองทหารเหล่านี้ ได้แสวงประโยชน์จากประชาชนและเจ้าหน้าที่ของประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเป้าหมาย เข้ามาเป็นกำลังเสริม คือ องค์กร ซีไอเอ จะจัดตั้งสมาชิกของตนขึ้นจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ของประเทศนั้น ๆ ขึ้นเสริมกำลังหลักของตนให้มีขอบข่ายของการปฏิบัติงานที่กว้างขวางครอบคลุมพื้นที่และเรื่องราวต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันกับองค์กรเอ็นจีโอ ซึ่งเป็นกำลังส่วนหน้าหลักของสำนักวาติกันที่ใช้ในการเผยแพร่ศาสนา และการเอื้อประโยชน์ด้านการค้าให้แก่นักธุรกิจชาวคาทอลิกในด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทำธุรกิจทั้งหลาย โดยที่ประชาชนเจ้าของประเทศที่ร่วมเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์กรเอ็นจีโอ ในประเทศนั้น ๆ ไม่รู้เท่าทัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดกำลังของเอ็นจีโอและซีไอเอ ได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้ง สหรัฐอเมริกาและวาติกัน ในการต่อสู้เพื่อการบรรลุเป้าหมายของตนนั่นเอง ซึ่งตัวอย่างอันนี้เป็นตัวอย่างที่มีความสอดคล้องกับ หลักการของกลยุทธ์ ต้นไม้ผลิดอก เป็นอย่างยิ่ง กลยุทธ์นี้มองอีกแง่หนึ่ง ก็จะเหมือนกับคำว่า สร้างสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ หรือ ยืมมือที่สาม เมื่อใช้ในการทหาร ก็เป็นกลยุทธ์ในการยืมกำลังของผู้อื่น มาเสริมกำลังตนให้ดูแข็งแกร่งขึ้น เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าผู้ที่แสดงตนว่าเป็นสมาชิกขององค์กร NGOs ในทุกประเทศรวมทั้งของประเทศไทย ไม่ได้รู้สำนึกเลยว่ากิจกรรมที่เขาเหล่านั้นกำลังทำอยู่นั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาทั้งทางตรงและทางอ้อม เขาเหล่านั้นตกเป็นเครื่องมือที่ต่างชาติต่างศาสนา ใช้อย่างหัวปั่น บางครั้งก็สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ชนชั้นปัญญาชนเยี่ยงนั้นจะถูกต่างชาติปั่นหัว หลอกใช้ให้ทำลายประเทศและสังคมของตนเองอยู่ตลอดเวลา แต่ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าคนเหล่านั้นได้รู้ถึงข้อเท็จจริงแล้ว คนเหล่านี้จะกลับมาเป็นคนสำคัญของประเทศที่จะต่อต้านอิทธิพลของต่างชาติเองในที่สุด แต่ต้องรออีกระยะหนึ่ง กลยุทธ์นี้ จึงมีผู้สรุปว่า ที่ว่า ต้นไม้ผลิดอก ก็คือ ทำให้ต้นไม้ซึ่งที่แท้ไม่มีดอก สามารถผลิดอกออกสะพรั่งให้เห็น โดยใช้วิธีเอาดอกไม้ปลอมไปติดไว้ที่ต้นนั้น ซึ่งหากไม่พินิจพิจารณาให้ดี ก็จะไม่รู้ว่าเป็นของปลอม และอาศัยสิ่งนี้ หมุนเปลี่ยนสภาพการณ์ให้กลายมาเป็นผลดีแก่เรา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ยืมสิ่งอื่นมาบังหน้า ให้ข้าศึกเกิดความเข้าใจผิดแล้วฉวยโอกาสเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามความประสงค์ นั่นเอง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๐ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 12:21:40 PM กลยุทธ์ที่ ๓๐ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน
ฉวยช่องสอดแทรก ยึดจุดสำคัญ ค่อยผันสู่ชัยชนะ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเปิดช่องให้สอดแทรก ควรแทรก กุมจุดสำคัญหรือหัวใจของอีกฝ่ายไว้ ค่อยผันสู่ชัยชนะ พบได้ใน คัมภีร์อี้จิง รุก ซึ่งมีความเต็มว่า สรรพสิ่งในใต้หล้า เคลื่อนอย่างใจร้อนจักเสีย สงบแต่คล้อยตามจักได้ ค่อย ๆ ผันไปช้า ๆ จักเป็นคุณ เคลื่อนดังนี้จึงจะมีผล อันหมายความว่า การตอกลิ่มเข้าไป ในฝ่ายตรงข้าม เพื่อยึดอำนาจการบัญชาการนั้น จักต้องค่อยเป็นค่อยไป ดังนี้จึงจะบรรลุ ซึ่งชัยชนะได้ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน ความหมายเดิมก็คือ เจ้าบ้านต้อนรับแขกไม่เป็น แขกจึงชิงกลับมาเป็นฝ่ายต้อนรับเจ้าบ้านเสียเอง อันเป็นกลยุทธ์เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำ เป็นฝ่ายกระทำอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ใน สามก๊ก ประวัติฮองตง ก็มีเรื่องราวดังต่อไปนี้ เล่าปี่กรีฑาทัพจะเข้าฮันต๋ง ครั้นพ้นด่านแฮบังก๋วนมาแล้ว จึงส่งขุนพลเฒ่าฮองตง ไปตีเขาเตงกุนสัน เล่าปี่สั่งความแก่ฮองตงว่า อันเขาเตงกุนสันนี้ เป็นชัยภูมิเข้าสู่ฮันต๋ง แม้ได้เขาเตงกุนสันมาแล้ว ฮันต๋งก็มิพ้นมือเรา ของให้ท่านขุนพลจงรบเอาเขาเตงกุนสัน มาให้จงได้ ฮองตงก็คำนับรบคำแล้วนำทัพออกไป ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยน ซึ่งรักษาเขาเตงกุนสันอยู่ ได้ข่าวว่าเล่าปี่ให้ฮองตงมาชิงเอาเขาเตงกุนสัน ก็มีหนังสือแจ้งข่าวศึกไปบอกแก่โจโฉ ณ เมืองฮูโต๋ พร้อมกันนั้น ก็สั่งให้เตียวคับจัดซ่อมป้อมค่ายคูรบ ให้แข็งแรงขึ้น ฮองตงเมือมาปลงทัพอยู่ใกล้ ๆ กับเขาแตงกุนสันแล้ว ก็ปรึกษาเรื่องเข้าตีเขาแตงกุนสัน กับหวดเจ้ง หวดเจ้งจึงเสนออุบายว่า แฮหัวเอี๋ยนเป็นคนมุทะลุกล้าแต่ด้อยด้วยปัญญา เราพึงรุกคืบไปทีละส่วน แล้วตั้งค่ายลงให้มั่นคงล่อหลอกให้แฮหัวเอี๋ยนมิกล้าบุ่มบ่าม นี้เป็นกลยุทธ์สลับแขกเป็นเข้าบ้าน มิควรจะปะทะด้วยกำลังเร็วเกินไป เมื่อฮองตงปฏิบัติตามกลยุทธ์นี้ จึงสามารถยึดเขาเตงกุนสันได้ในที่สุด .............. ตัวอย่างเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์นี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ร่วมสมัยในยุคโลกาภิวัตน์มีดังนี้ ในช่วงปลายของยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาเห็นว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คงจะไม่สามารถ รักษาไว้ได้อีกต่อไป และในช่วงนั้นการเมืองภายในของสหรัฐฯ เองก็ต้องการที่จะให้สหรัฐฯ ถอนทหาร และอิทธิพลของตนออกจากภูมิภาคนี้ เหตุผลหลักก็เพราะการที่สหภาพโซเวียตใช้สงครามจิตวิทยาต่อประชาชน ชาวอเมริกันจนกระทั่งทำให้สหรัฐฯ ต้องถอนทหารออกจากเวียดนามและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในที่สุดสหรัฐฯ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามเวียดนามดังที่ทราบกันดี เกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สหรัฐฯ เองยังคงให้ความสำคัญแต่ด้วยทั้งการเมืองในประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศทำให้สหรัฐฯ ไม่มีทางเลือกที่จะต้องถอนทหารและลดอิทธิพล และบทบาทของตนลงในที่สุด สหรัฐฯ หันไปร่วมมือกับจีนต่อต้านสหภาพโซเวียต ดังเช่น ที่ประธานาธิบดี นิกสัน ของสหรัฐฯ เดินทางไปเชื่อมความสัมพันธ์กับจีนในเวลาต่อมา ในช่วงปลายของยุคสงครามเย็นสหภาพโซเวียต ต้องอ่อนล้าและล่มสลายอันนำมาสู่การสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นในที่สุดเมื่อประมาณปี ๒๕๓๒ ( ๑๙๘๙) ในความเป็นจริงแล้ว สหรัฐฯ มีความเป็นห่วงเป็นใยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่น้อย จะเห็นได้จาก การที่สหรัฐฯ ได้วางพื้นฐานแนวปิดล้อมการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ของทั้งจีนและสหภาพโซเวียต ในยุคสงครามเย็น คือการสร้างแนวปราการด้านเศรษฐกิจและการทหารไว้ตามแนวปิดล้อม คือตั้งแต่ญี่ปุ่น ,เกาหลีใต้ ,ไต้หวัน ,ฮ่องกง , ไทย ,มาเลเซีย,สิงคโปร์ ซึ่งแนวดังกล่าวเป็นแนวที่ค่อนข้างจะมีความเจริญก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ และด้านการเมืองภายในประเทศ เมื่อศึกษาและวิเคราะห์ให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญที่ประเทศเหล่านี้ จะมีความเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นจริงก็คือ ประเทศเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ทั้งด้านการทหารและด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ที่เมื่อสามารถสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจได้การทหารก็จะเข้มแข็ง และสามารถที่จะเป็นแนวในการต่อสู้กับการรุกของฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ ครั้นเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ก็หมดไป แต่ภัยอื่น ๆ ที่คุกคามต่อผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ ดังเช่นที่ IMF , WTO , WB รวมทั้งสำนักวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกได้กล่าวถึงการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีน จะนำไปสู่การท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ ถึงขั้นว่าจีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งแทนสหรัฐฯ ประมาณในปี ๒๐๒๕- ๒๐๕๐ ดังที่ Kugler ได้กล่าวไว้ในหนังสือ Power Transition ของเขาเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่สหรัฐฯ จะต้องรีบดำเนินการคือการสกัดกั้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้ได้ ด้วยการกระชับวงปิดล้อมเดิมที่สหรัฐฯ ได้ทำไว้เมื่อครั้งยุคสงครามเย็น การดำเนินการของสหรัฐฯ เป็นไปอย่างสอดคล้องกับกลยุทธ์ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน คือค่อย ๆ รุกและยึดครองทีละส่วน โดยเฉพาะพื้นที่ ที่จีนกำลังมีอิทธิพลเข้าครอบงำด้วนเศรษฐกิจและวัฒนธรรมคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในกิจกรรมที่สหรัฐฯ ดำเนินการตามกลยุทธ์นี้คือเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย ที่เริ่มต้นที่ประเทศไทยขยายวงกว้างออกไปยังอาเซียน และขยายเป็นวิกฤตของทั้งเอเชีย ที่ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้อีกเช่นเดิม เหมือนยุคเริ่มต้นสงครามเย็น รายละเอียดเป็นดังนี้ Information Warfare By US NDU. ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างแน่ชัดถึงหลักนิยมในการทำสงคราม Information Warfare ในยุคใหม่หรือยุคโลกาภิวัฒน์ เพื่อนำไปสู่การได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติของตน จึงเป็นเรื่องที่แน่ชัดว่า สหรัฐฯ มีหลักนิยมด้านการสงครามทางด้านนี้โดยตรง และสหรัฐฯ ก็มีศักยภาพที่จะทำสงครามเหล่านี้ได้ ซึ่งรูปแบบใหม่ของสงครามดังกล่าวมีดังนี้ ๑) Command and control warfare ๒) Intelligence based warfare. ๓) Electronics warfare ๔) Psychological warfare ๕) Hacker warfare ๖) Economical Information warfare ๗) Cyber warfare ............ รูปแบบที่หก คือ สงครามทางเศรษฐกิจ ( Economical Information warfare ) มีข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ คือ จากผลพวงของยุทธศาสตร์ฟอร์ซ ๒๑ ที่มุ่งกันเงินดอลลาร์ ไหลกลับ ว่าเริ่มขึ้นในปลายปี ๒๕๑๗ จากการคิดค้นของมหาอำนาจที่เคยพ่ายแพ้ในการรบกับประเทศเวียดนาม เป็นสมการของยุทธวิธี คือ E=MOC2 ซึ่งต้องทำให้สำเร็จก่อนมกราคม พ.ศ ๒๕๔๒ ที่ยุโรป จะใช้เงินสกุลเดียวกัน มีระบบคิดดังนี้ E= ( Economic ) คือเศรษฐกิจ M= ( Mental ) คือ การสร้างความเชื่อใหม่สลายศรัทธาเดิม O= (Organization ) คือ การสร้างกระแสและทำบายระบบการเมือง C= (Cash Value ) คือการทำลายค่าเงิน C= (Cash Control ) คือการควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ FORCE 21 FORMULAR สูตรกำลังรบในศตวรรษที่ ๒๑ ของสหรัฐอเมริกาได้ถูกคิดค้นขึ้น หลังจากที่สหรัฐฯ ต้องพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม กลุ่ม Strategic Defense Group ได้ดำเนินการวิจัยและกำหนดสูตรที่จะดำเนินการเพื่อให้ได้ชัยชนะในสงครามเย็นในศตวรรษที่ ๒๑ ให้ได้ ได้มีการนำสูตรควอนตัมของไอสไตน์ มาประยุกต์ใช้ ซึ่งสูตรนี้จะสามารถนำมาซึ่งการได้ชัยชนะ อย่างเด็ดขาดเบ็ดเสร็จในการดำเนินการโดยที่ไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อและมีการลงทุนน้อยที่สุด และการยึดครองประเทศที่เป็นเป้าหมายจะเป็นไปอย่างถาวรยาวนาน ซึ่งโดยสูตร Force 21 ดังกล่าวนี้ ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าครอบครองประเทศในเอเชียได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยเริ่มต้นที่การเข้าครอบครอง เศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ด้วยการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๐ แล้วตามมาด้วยวิกฤตเศรษฐกิจ กันโดยทั่วหน้าแล้วในที่สุดสหรัฐฯ ก็ได้ส่งกลไกของตนเข้ายึดครองประเทศอันเป็นเป้าหมายไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งสูตรดังที่กล่าวแล้วนั้นคือ E = MOC2 E = Economy: หมายถึงการเข้าครอบครองทางเศรษฐกิจของประเทศเป้าหมายก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เข้าครอบครองด้านอื่น ๆ ภายหลัง คือการยึดครองทางเศรษฐกิจได้เป็นการยึดครองทุกอย่างได้โดยปริยายนั่นเอง M= Mental : การเข้ายึดครองทางสมองเป็นเป้าหมายเบื้องต้นของการดำเนินการ สหรัฐฯ ได้ใช้อักษรตัว M ในการชี้นำแนวความคิดของประชาคมโลกทำให้ประชาคมโลกคล้อยตามแนวความคิดที่เป็นแบบอเมริกัน หรือแบบที่สหรัฐฯ ต้องการในที่สุด สหรัฐฯ ตระหนักว่า การที่สามารถเป็นผู้นำทางด้านความคิดของประชาคมโลกได้ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะครอบครองประชาคมโลกอย่างเบ็ดเสร็จ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุดคือ การที่สหรัฐฯ ได้ประกาศคำสั่งในการจัดระเบียบโลกใหม่ แล้วโลกทั้งโลกต้องเชื่อตาม โดยปริยายและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดที่ไม่ต้องมีความคิดไปตามแนวทางอื่น ซึ่งถึงแม้ว่าประเทศตนจะสูญเสีย ผลประโยชน์ต่าง ๆ มากมายก็ไม่มีทางเลี่ยงเป็นอย่างอื่น ที่จะต้องปฏิบัติตาม การต้องเป็นประชาธิปไตยแบบสหรัฐอเมริกา การที่ต้องรักษาสภาพแวดล้อมที่ตนต้องสูญเสียผลประโยชน์ การเรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่ต้องกระทบต่อ ความมั่นคงของประเทศตน การค้าเสรีที่ประเทศตนต้องเสียประโยชน์แก่สหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตก โดยความเป็นจริงแล้วการเข้ายึดครองทางด้านจิตใจต่อประชาคมโลกสามารถกระทำได้หลายทาง การที่เปิดโอกาสให้ข้าราชการเข้าไปศึกษาในสหรัฐฯ แล้วเปลี่ยนแนวความคิดให้คล้อยตามที่สหรัฐอเมริกาต้องการ การบริโภคข่าวสารจากสื่อของสหรัฐฯ เช่น CNN การคลั่งไคล้กับวัฒนธรรมของฮอลลีวูดจากภาพยนตร์ของสหรัฐฯ (ที่เรียกว่าวัฒนธรรมฮอลลีวูด) การรับความเชื่ออย่างไม่ระมัดระวังจากสื่อของสหรัฐฯ เช่น หนังสือพิมพ์และวารสารต่าง ๆ เป็นต้น สหรัฐฯ ตระหนักว่า การเข้าครอบครองสมองหรือแนวความคิดของคนก่อนแล้วจึงเข้าครอบครองเศรษฐกิจแล้ว จึงตามมาด้วยการยึดพลังอำนาจของชาติด้านอื่นในที่สุด ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ว่า ......การได้ชัยชนะโดยไม่ต้องรบเป็นสุดยอดของยุทธศาสตร์... O = Organization : หมายถึง องค์กร การยกเลิกองค์กรเดิมแล้วตั้งองค์กรใหม่ขึ้นมา องค์กรนาชาติต่าง ๆ อย่างเช่น IMF,WTO,WB NGOs ได้ถูกนำมาใช้ทดแทนองค์กรเดิมที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ปฏิบัติการ องค์กร NGOs เป็นจำนวนมากได้ถูกสั่งการให้เข้าไปดำเนินการเคลื่อนไหวด้านกิจกรรมก่อนที่วิกฤตเศรษฐกิจ จะเกิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นการปูทางไปสู่การปฏิบัติขั้นต่อไปของกิจกรรม และองค์กรนานาชาติจำนวนมาก ได้มามีบทบาทที่โดดเด่นและกว้างขวางขึ้นหลังจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้น เพื่อที่จะเข้ายึดครองภาพรวมของประเทศที่เป็นเป้าหมายนั้น C = Cash Devalue : คือการลดค่าเงินสกุลท้องถิ่นมีความจำเป็นมากในขั้นนี้ ตามที่สถานการณ์ต่าง ๆ ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยอักษร O ( Organization) และพร้อมกันนั้นนักรบทางการเงินของสหรัฐฯ ก็เข้าโจมตี สกุลเงินท้องถิ่นอย่างหนักในปี ๒๕๔๐ ค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียนก็ต้องถูกลดลงในที่สุด โดยรัฐบาลของประเทศตนเพราะสู้นักโจมตีค่าเงินไม่ได้ เมื่อค่าเงินของประเทศตนถูกลด หนี้จำนวนมหาศาล อันเกิดจากการที่มีหนี้จำนวนหนึ่งที่เป็นอัตราของเงินตราต่างประเทศอยู่ก็ตามมา วิกฤตการณ์ได้แพร่ขยายออกไป อย่างรวดเร็วจนกระทั่งครอบคลุมไปทั่วประเทศ ตามข้อเท็จจริงแล้ว เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปคือ IMF อยู่ภายใต้ การกำหนดนโยบายโดยสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แล้วประเทศที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจไปแล้ว ก็ต้องหันหน้ามาพึ่ง IMF โดยขอความช่วยเหลือการเงินและคำแนะนำในการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศตน ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงต่ออิทธิพลของสหรัฐฯได้ และการที่ประเทศใดก็ตามที่เข้าไปขอรับการช่วยเหลือ ทางด้านการเงินและทางวิชาการจาก IMF ล้วนแต่ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูประเทศของตนได้อย่างเป็นอิสระ ถ้าฟื้นฟูได้ก็อยู่ภายใต้การครอบงำของสหรัฐฯ ซึ่งใช้ IMF เป็นเครื่องมือ หรือไม่ก็เศรษฐกิจต้องล้มไปในที่สุด C = Cash Control : การควบคุมการเงิน ในท้ายที่สุดของการดำเนินการสูตรที่จะเข้าควบคุมการเงินในท้องถิ่น และการเข้าควบคุมระบบการเงินของประเทศเป้าหมายนั้นด้วย หลังจากนั้นจึงป้อนเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ เข้าไปยังประเทศนั้น พร้อมกับการตั้งกลไกของสหรัฐฯ เข้าไปควบคุมประเทศที่เป็นอาณานิคมของตนไปแล้ว หลาย ๆ ประเทศซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาในลาตินอเมริกา อเมริกาใต้ และประเทศทางทวีปอัฟริกาและ ประเทศในทวีปเอเชียต้องประสบกับการเข้าควบคุมด้านการเงินโดยสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากผลของการทำ สงครามเศรษฐกิจ โดยใช้ สูตร Force 21 คือ E= MOC2 ซึ่งนี่ก็คือสงครามเย็นที่ชาวโลกยังไม่รู้จะรู้ตัวอีกที ก็ต่อเมื่อประเทศทั้งประเทศถูกครอบครองโดยสิ้นเชิงไปแล้ว ( Information warfare : the quiet war in 21st century: Chana Pavakanunt. ) จอร์จ โซรอส เป็นหนึ่งในกลไกที่สหรัฐฯ ได้ใช้ในการทำสงครามเศรษฐกิจในครั้งนี้ หนังสือชำระประวัติศาสตร์ กรณีตุลาและพฤษภาทมิฬ โดย ศูนย์นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ และวรรณคดีสยาม ได้กล่าวถึง จอร์จ โซรอส ไว้ว่า จอร์จ โซรอส ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย และภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ มากกว่า ๒๐ ปีแล้ว บริษัทที่เป็นบริษัทในเครือของ โซรอส คือ บริษัท จีอี แคปิตอล บ.โกลด์ มานแสค บ. เลเมน บราเดอร์ ซึ่งนั่นแสดงว่า โซรอส ได้รวบรวมข้อมูล และรวบรวมสมัครพรรคพวกของตนไว้ในภูมิภาคไว้อย่างพอเพียงก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินในเอเชีย ทำให้ โซรอส ประสบความสำเร็จในการตีค่าเงินของประเทศต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับเมื่อมี เจ้าของประเทศซึ่งเป็นนักการเมืองของประเทศนั้น ๆ ให้การช่วยเหลือก็ยิ่งประกันความสำเร็จได้มากขึ้น โซรอส ได้กว้านซื้อหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ในประเทศที่เป็นเป้าหมายไว้มากมาย ซึ่งนอกจากจะสามารถสนับสนุนธุรกิจของเขา ให้ประสบผลสำเร็จอย่างมากมายแล้ว ยังสามารถที่จะตอบสนองความต้องการทางยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย จะเห็นได้ว่า เมื่อการตีค่าเงินไทยสำเร็จเป็นรูปธรรมเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลไทยซึ่งเข้าบริหารประเทศต่อจากรัฐบาล ที่เกิดวิกฤตทางการเงินต้องไปเจรจาเรื่องเศรษฐกิจกับ จอร์จ โซรอส ไม่ใช่เป็นการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีส่วนรู้เห็นกับการเป็นอาชญากรทางการเงินของ โซรอส ในครั้งนี้ อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ นอกจากที่ โซรอส จะมีวีรกรรมด้านการตีค่าเงินในประเทศกลุ่มอาเซียนแล้ว ยังมีวีรกรรมในภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมีหลักฐานยืนยันดังต่อไปนี้ ๑) ตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษ ก่อน ๑๙๙๗ ๒) ตีค่าเงินเยนของญี่ปุ่น ก่อน ๑๙๙๗ ๓) ตีค่าเงินของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ก่อน ๑๙๙๗ ๔) ตีค่าเงินของรัสเซีย ก่อน ๑๙๙๗ ๕) ตีค่าเงินของไทย ๑๙๙๗ ๖) ตีค่าเงินของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๑๙๙๗ ๗) ตีค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ ๑๙๙๗ ๘) ตีค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ๑๙๙๗ ๙) ตีค่าเงินหยวนของจีน และพ่ายแพ้ที่ประเทศจีน ๑๙๙๗ การเคลื่อนไหว NGOs สอดคล้องกับ มติของวอชิงตัน ว่าด้วย การใช้กลไกตลาดและการเปิดตลาดเสรี ดังที่ได้กล่าวมาแล้วถึงความสัมพันธ์ของ NGOs ของวาติกัน กับ CIA ของสหรัฐอเมริกามาแล้วตั้งแต่กลยุทธ์ต้น ๆ ว่า ทั้งสององค์กรนี้มีความสัมพันธ์และมีความผูกพันที่ต้องอาศัยกันและกันด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสารและกิจกรรม ที่จะต้องทำร่วมกัน ที่มีหลักฐานชัดเจนคือการเคลื่อนไหวของ NGOs และ CIA ในเหตุการณ์จลาจล ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน ที่มีหนังสือพิมพ์ของโลกตะวันตกออกมายืนยันอย่างชัดเจนถึงความร่วมมือของ ทั้งสององค์กรนี้อย่างแน่นแฟ้นในทุกพื้นที่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การเคลื่อนไหวในการทำงานของทั้งสององค์กรนี้ จะมีความประสานสอดคล้องกันตลอดเวลา ดังเช่นที่มีการเคลื่อนไหวของ NGOs ที่สอดคล้องกับ มติของวอชิงตัน ที่ว่าด้วย การใช้กลไกตลาดและการเปิดตลาดเสรี ดังนี้ การยกเลิกระเบียบที่ขัดขวางการค้าเสรี การแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปเป็นของเอกชน การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยองค์กรเอกชน ตัดภาครัฐทุกส่วนที่เกี่ยวกับธุรกิจ- บริการ- สาธารณูปโภคทั้งหมดออก ผลของมติวอชิงตันว่าด้วย การใช้กลไกตลาดและการเปิดตลาดเสรี ๑) เปิดโอกาสให้บรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ เข้าไปประกอบธุรกิจและในประเทศเป้าหมายต่าง ๆ ได้ทั่วโลก ๒) หากำไรในประเทศต่าง ๆ ได้โดยสะดวก ทั้งนี้เพราะกลไกด้านการค้าและการดำเนินการด้านธุรกิจข้ามชาติของสหรัฐฯ และประเทศในเครือของตนมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศที่เป็นเป้าหมายด้วยประการทั้งปวง ที่มีความคล้ายคลึงกับ ในยุคล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ ๑๕ เป็นต้นมาที่ประเทศล่าอาณานิคมมีกลไกการค้าขายที่เหนือกว่า ประเทศที่เป็นเป้าหมายในการล่าอาณานิคม ๓) สหรัฐฯ ได้ข่าวสารเกี่ยวกับการค้าเท่าที่ต้องการ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน ในประเทศนั้น ๆ เป็นต้น ๔) NGOs ผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ เปิดเสรีให้มากที่สุด เงินสนับสนุนที่ NGOs ได้รับ ๑) เงินช่วยเหลือด้านการวิจัยโดยผ่าน USAID ๒) เปิดโอกาสให้ NGOs ประมูลโครงการไปทำ....เจ เปรน แอทวูด ( J.Brain Atwood) ผู้บริหาร USIAD ได้ชี้แจงเกี่ยวกับ NGOs ว่า ......โครงการช่วยเหลือของสหรัฐฯ ในประเทศต่าง ๆ ที่ผ่านและไม่ผ่านและไม่ผ่าน NGOs นั้น ไม่ใช่โครงการการกุศล แต่เป็นโครงการเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้สหรัฐอเมริกา เป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก และด้วยความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกของสหรัฐอเมริกาขณะนี้ ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงสามารถระดมความร่วมมือจากประเทศตาง ๆ ให้เป็นผู้บริจาคเงินช่วยเหลือ ทั้งในส่วนของ IMF หรือ IBRD ได้ และสหรัฐอเมริกาสามารถได้รับผลสูงสุด เพราะสามารถลดจำนวนเงิน ช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาลง ขณะที่สามารถเพิ่มเงินช่วยเหลือโดยความร่วมมือจากประเทศอื่น ๆ ได้มากขึ้น USAID : United State Agency for International Development สามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการรักษาความมั่นคงของรัฐอยู่แล้ว กรรมวิธีในการเข้าควบคุมระบบเศรษฐกิจของแต่ละชาติ สร้างเงื่อนไขเพื่อส่งบุคลากรของตนเข้าสู่หน่วยราชการที่มีอำนาจบริหารสั่งการควบคุมเศรษฐกิจรัฐบาลไทย ต้องเผชิญกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างกะทันหันในปี ๒๕๒๗ จึงต้องเข้าสู่โปรแกรมของ IMF ,WB คำแนะนำที่ตามมาคือการเปลี่ยนวิถีสังคมไทยจาก ประเทศการเกษตร สู่ ประเทศอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลไม่มีความชำนาญต้องพึ่งพาที่ปรึกษาสหรัฐฯ ทั้งสิ้นการผุดขึ้นของนิคมอุตสาหกรรมที่ไม่คำนึงถึง ผลกระทบทางด้านสภาพแวดล้อมที่ตามมาสร้าง TDRI เพื่อให้ประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาสหรัฐฯ กิจกรรมที่ NGOs ทำในประเทศไทย ได้แก่ รณรงค์เรียกร้องประชาธิปไตย รณรงค์เรียกร้องด้านสิทธิมนุษยธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับการค้าเสรี สิ่งที่ NGOs ละเว้นไม่ปฏิบัติในประเทศไทย ๑) การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เช่น การคัดค้านการขายสินทรัพย์ของ ปรส. ที่ประเทศไทยต้องขาดทุนเกือบ ๗ แสนล้านบาท ๒) ไม่ต่อต้านการออกกฎหมาย ๑๑ ฉบับที่ทำให้ประเทศชาติต้องเสียประโยชน์ ( กฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ ) ๓) ไม่เคยคัดค้านกรณีที่มีการบ่อนทำลาย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันแห่งความมั่นคงของประเทศไทย ๔) อื่น ๆ ที่ประเทศชาติต้องสูญเสียประโยชน์จำนวนมาก NGOs จะไม่ใส่ใจแต่จะใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธี หนังสือเรื่อง Hegemony of a new type ซึ่งเขียนโดย Bezezinski โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่อง ความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯ จะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ทหาร ครึ่งหนึ่งของงบประมาณของทหารของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ เป็นงบประมาณ ทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ ) เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔ ของตลาดหนัง มาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย , การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก เช่น UN , IMF ,WB , WTO . ในที่สุดของสงครามทางการเงินและสงครามเศรษฐกิจในช่วงปี ๒๕๔๐ ( ๑๙๙๗ ) ทำให้สหรัฐอเมริกา กลับเข้ามามีอิทธิพลและอำนาจในภูมิภาคเหมือนเดิม กล่าวคือ สหรัฐฯ สามารถยึดครองเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมกันนั้นได้สร้างนักการเมืองและนักธุรกิจสายพันธ์อเมริกัน ไว้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ นักการเมืองและนักธุรกิจของบางประเทศที่หน้าฉากเหมือนว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ แต่หลังฉาก ถูกควบคุมด้วย พลังเศรษฐกิจและพลังทางการเมืองของสหรัฐฯ โดยอาศัยช่วงที่สหรัฐฯ สร้างวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียเป็นเครื่องมือ ในการขยายผล ถ้าคิดในเชิงของกลยุทธ์ในการต่อสู้ในสงครามแล้วถือว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ชนะสงครามและยึดครอง ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้ขับไล่อิทธิพลของจีนออกจากพื้นที่ได้ค่อนข้างจะเบ็ดเสร็จ จีนเองต้องใช้เวลา อีกไม่น้อยในการที่จะกอบกู้สถานการณ์ที่จะทำให้ตนกลับเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคเหมือนเดิมได้ ฉะนั้น ในขณะนี้สหรัฐฯ ได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน อย่างสมบูรณ์แล้ว คือค่อย ๆ ยึดครองทีละส่วนและได้ทั้งหมดในที่สุด และในที่สุดจากเดิมสหรัฐฯ เป็นเพียงแค่แขกแต่ปัจจุบันนี้ ( ๒๕๔๗ ) สหรัฐฯ ก็คือ เจ้าบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตัวจริง กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า สลับแขกเป็นเจ้าบ้าน ก็คือแขกแย่งเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง เปลี่ยนฐานะจากฝายถูกกระทำ เป็นฝ่ายกุมอำนาาจการกระทำ และบงการให้สถานการณ์เป็นไปตามความประสงค์ ในขณะที่ตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ จะต้องยอมเป็น แขก ชั่วคราว เพื่อช่วงชิงเวลาสะสมกำลัง อาศัยชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า โดย เจ้าบ้าน จำยอมต้องกลับกลายเป็น แขก เพราะมิมีปัญญาที่จะต้านทานได้เลย ฉะนี้ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๑ กลสาวงาม เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 12:52:57 PM ส่วนที่ ๖
กลยุทธ์ยามฝ่ายแพ้ เมื่อกำลังเราอ่อนแอ แต่ศัตรูกล้าแข็งฮึกห้าว พึงรีบถอยโดยเร็ว ที่ถอยใช่แพ้ แต่เตรียมตีโต้กลับเมื่อพร้อม กลยุทธ์ที่ ๓๑ กลสาวงาม ไพร่พลกล้า พึงตีนาย นายฉลาด พึงตีใจ นายอ่อน ไพร่พลหน่าย จักแพ้ภัยตัว บัญชาศัตรูได้ จัดรักษาตัวรอด กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สำหรับข้าศึกที่มีกำลังเข้มแข็ง พึงสยบแม่ทัพเสียก่อน ต่อแม่ทัพที่เฉลียวฉลาด ก็โจมตีจุดอ่อนทางใจ ให้มีอุปสรรค ส่วนแม่ทัพที่ย่นย่อท้อแท้ ไพร่พลที่กำลังถดถอย ก็จักเสื่อมโทรม แพ้พ่ายไปเอง บัญชาศัตรูได้ จักรักษาตัวรอด มาจาก คัมภีร์อี้จิง รุก หมายความว่า ต่อข้าศึกที่เข้มแข็ง มิพึงใช้กำลังเข้าปะทะ ควรอาศัยจุดอ่อนของฝ่ายนั้น แทรกซึมและสลายเสีย ต่อตัวเอง พึงสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รักษาและเสริมสร้างกำลังของตนเอง แปรเปลี่ยนสภาพการณ์ เพื่อเอาชนะข้าศึก กลยุทธ์นี้เป็นอุบายที่ใช้สาวงามหรือสิ่งอื่นใดล่อหลอกเย้ายวนข้าศึก ให้ฝ่ายนั้นมัวเมาหลงใหล มิคิดถึงการศึก เกิดความร้าวฉานภายในครั้นแล้วจึงเข้าโจมตีเพื่อชิงชัยอย่างหนึ่ง ใน ชุนชิว ประวัติโก้วเจี้ยน มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ในยุคชุนชิว ฉู่ผิงอ๋องแห่งแคว้นฉู่เชื่อคำใส่ร้ายของเฟ่ยอู่จี้เสนาบดีคนสนิท ฆ่าฮู่เซอและไป่เชี่ยอ่วน ขุนนางผู้ใหญ่หมดทั้งโคตร บุตรคนที่ ๒ ของอู่เซอ ชื่ออู่จือซี และหลานชายของไป่เซี่ยอ่วนเชื่อ ไป่พี่เคราะห์ดีรอดมาได้ จึงพากันหลบหนีไปยังแคว้นอู๋ ต่างได้รับการแต่งตั้งจากอู๋อ๋องเหอหลี ให้เป็นเสนาบดี เมื่อถึง ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แคว้นฉู่ผลัดเปลี่ยนผู้ครองแคว้นเป็นฉู่จาวอ๋อง อู่อ๋องก็ตั้งซุนอู่ (ซุนวู) เป็นแม่ทัพ อู่จื่อและไป่พี่เป็นรองแม่ทัพ นำกำลัง ๑๐ หมื่นไปตีแคว้นฉู่ ก็รบชนะจนประชิดถึงเมืองอิ่ง (ในมณฑลเหอเป๋ยในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฉู่ ฉู่จาวอ๋องต้องหนีไปอาศัยอยู่กับแคว้นสุย (ในมณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน) ในขณะนั้น อู่อ๋องมาอยู่ที่เมืองอิ่ง โดยคิดว่าเมื่อตีแคว้นฉู่ขับฉู่จาวอ๋องไปแล้ว แคว้นฉู่ ก็จะต้องตกเป็นของตนอย่างแน่นอน แต่มิได้คาดคิดว่า แคว้นเย่รีบถอยทัพกลับ เย่อ๋องยุ่นฉางได้ข่าวว่าอู๋อ๋องยกทัพกลับ ก็รู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอู๋อ๋อง เพราะมีซุนอู่ ผู้ชำนาญพิชัยสงครามอยู่ด้วย จึงรีบยกทัพกลับเมืองโดยไม่รอช้า การก่อกวนของทัพเย่ในครั้งนี้ ได้ทำลายความหวังที่จะครอบครองแคว้นฉู่ไปสิ้นเชิง อู๋อ๋องให้รู้สึกเจ็บใจใจเย่อ๋องเป็นอย่างยิ่ง จึงผูกใจอาฆาตและคิดหาทางแก้แค้นเอากับเย่อ๋องทุกขณะจิต เมื่อถึง ๔๙๖ ปีก่อนคริสตกาล อู๋อ๋องเหอหลีทราบว่าเย่อ๋องยุ่นฉางถึงแก่กรรม บุตรชายโกวเจี้ยน ขึ้นมาครองอำนาจแทน ก็นำทัพ ๓ หมื่นไปตีแคว้นเย่ด้วยตนเอง โกวเจี้ยนได้รับข่าวศึก แม้จะอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ ก็จะต้องนำกำลังออกต้านทานด้วย กองทัพทั้งสองจึงรบกัน ขนานใหญ่ที่จุ้ยหลี่ อู๋อ๋องเหอหลี เสียที ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนตายในที่รบ บุตรชายฟูชา จึงขึ้นมาครองอำนาจแทน และสาบานว่าจะชำระความแค้นนี้ให้จงได้ อู๋อ๋องฟูชาสั่งให้ทหารผลัดเปลี่ยนกันยืนอยู่หน้าวัง ทุกคราวที่เห็นอู๋อ๋องก็ให้ถามว่า ฟูชา ท่านลืมว่าบิดาท่านถูกเย่อ๋องฆ่าตายแล้วหรือ? ฟูชาจะตอบกลับไปทันทีว่า ไม่ลืม เราไม่ลืมเป็นอันขาด? ในขณะเดียวกันก็สั่งให้อู๋จื่อชีและไป่พี่ เร่งฝึกช้อมไพร่พล ให้เข้มงวดกวดขัน เวลาผ่านไป ๓ ปี กำลังของอู๋อ๋องฟูชาก็แข็งแกร่งขึ้น จึงตั้งอู่จื่อชีเป็นแม่ทัพ ไป่พี่เป็นรอง ให้นำกำลังเท่าที่มีทั้งหมดไปตีแคว้นเย่ พร้อมกับตนเอง ก็ติดทัพไปด้วย เย่อ๋องโกวเจี้ยน ก็นำทัพออกรับมือ จึงเกิดการรบฟุ่งกันอย่างดุเดือดที่ฟุเจียว อู๋อ๋องออกรบลงมือตีกลอง บัญชาการด้วยตนเอง เพื่อเป็นกำลังใจแก่เหล่าไพร่พล การรบคราวนี้ เย่อ๋องโกวเจี้ยนพ่ายแพ้ยับเยิน ทหาร ๓ หมื่นเหลือรอดตายไปอยู่เขาฮุ่ยจีชาน พร้อมกับโกวเจี้ยนเพียง ๕ พันคน เย่อ๋องพิจารณาดูสถานการณ์ก็เห็นว่าความพ่ายแพ้ของตน มิอาจหลีกเลี่ยงได้เป็นแน่นอน จำต้องหาทางรักษาเอาตัวรอดไว้ก่อน ค่อยคิดการแก้ไขกันภายหลัง จึงส่งเหวินจ่งเสนาบดีไปขอเจรจาสงบศึกกับอู๋อ๋องโดยผ่านไป่พี่ การขอสงบศึกของเย่อ๋อง ได้ก่อให้เกิดการโต้แย้งกันชุลมุนในค่ายของอู๋อ๋องฟูชา ในขณะนั้น ไป่พี่มีความเห็นให้ใช้หลักเมตตาธรรมยอมรับการเจรจาสงบศึกกับเย่อ๋อง เพื่อให้เป็นที่ทราบ โดยทั่วกันว่า ฟูชาเป็นผู้มีจิตใจกรุณาจักได้หาโอกาสครอบครองเอาจงหยวนในภายหลัง แต่อู่จื่อชีมีความเห็นให้ฆ่าโกวเจี้ยนเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยแก่แคว้นอู๋ในภายหลัง เดิมที อู๋อ๋องฟูชา คิดจะครอบครองจงหยวนอยู่แล้ว ความเห็นของไป่พี่จึงต้องด้วยความประสงค์ของฟูชา บวกกับไป่พี่ ได้รับสินบนจากเย่อ๋องในการนี้จึงกล่าวสนับสนุนการขอเจรจาอย่างเต็มกำลังว่า แม้ท่านไม่เจรจาด้วยกับเย่อ๋อง เย่อ๋องก็จักต้องสู้ตายเป็นแม่นมั่น ข้าพเจ้ายังได้ข่าวมาว่า เย่อ๋อง เตรียมจะฆ่าครอบครัวและลูกเมียจนหมดทุกคน พร้อมทั้งทำลายทรัพย์สินอันล้ำค่าของแผ่นดินไปสิ้น รบจนตัวตายกับท่าน แม้ท่านจะชนะ แคว้นเย่ก็ไม่เหลืออะไรอยู่อีกเลย ดังนี้ จะมีประโยชน์อันใดแก่แคว้นอู๋ของเราเล่า? มิหนำช้ำ ท่านก็ยังจะสูญเสียชื่อเสียงแห่งความเมตตา กลับกัน ท่านก็จะได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้คนทั้งปวง ความสนับสนุนก็จักหลั่งไหลมายังท่าน การเข้าครอบครองจงหยวนก็จัดสำเร็จในไม่ช้า ฟู่ชาเห็นด้วยกับความเห็นของไป่พี่ในที่สุด ยินยอมให้โกวเจี้ยนมาเจรจาสงบศึก แต่อู่จื่อชีก็ยังคงยืนยันในความเห็นของตน เตือนอู๋อ๋องว่า แคว้นเย่กับแคว้นอู๋เรามีดินแดนติดต่อกันอยู่ แต่ก็เป็นคู่อาฆาตกันมาหลายชั่วคน บัดนี้เราชนะแล้ว แต่กลับมิขจัดผู้ครองแคว้นเย่ให้สูญสิ้น ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปนี่คือการส่งเสริมศัตรูให้มีโอกาสฟื้นตัว ถ้าเป็นเช่นนี้ อู๋ก็จะถูกเย่ล้มเสียในไม่ช้า ขอให้ท่านจงใคร่ครวญให้ดี แต่ฟูชาไม่ฟังคำเตือนของอู่จื่อชี รับแคว้นเย่ให้เป็นแคว้นที่อยู่ในการปกครองของแคว้นอู๋ แล้วให้โกวเจี้ยนสามีภรรยา มาเป็นผู้รับใช้ในวังของตน โกวเจี้ยนและภรรยานำฟ่านหลี เสนาบดีของตนมายังเมืองหลวงของแคว้นอู๋ด้วย กลางวันก็เป็นสารถี และดูแลม้าให้ฟูชา กลางคืนก็ไปนอนหนาวอยู่ในห้องศิลาอันเยือกเย็น โกวเจี้ยนสามีภรรยาและฟ่านหลี อยู่ในแคว้นอู๋ ๓ ปี ปรนนิบัติฟูชาดังหนึ่งบิดา ในที่สุดฟูชาก็กระเทือนใจในพฤติการณ์ อันอ่อนนอบน้อมถ่อมตนของโกวเจี้ยน คิดจะปล่อยให้โกวเจี้ยนกลับแคว้นเย่ไป แม้อู่จื่อชี จะพยายามทักท้วงอย่างสุดกำลังว่า จักเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า อันจะก่อให้เกิดเภทภัยแก่แคว้นอู๋ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดในวันหลัง แต่อู๋อ๋องก็มิฟัง ยังคงปล่อยให้โกวเจี้ยนกลับแคว้นเย่ ไปตามความตั้งใจเดิมของตน ๓ ปีของชีวิตแห่งการเป็นข้าทาสในเมืองหลวงของแคว้นอู๋ โกวเจี้ยนและภรรยามีความเจ็บแค้น ในความอัปยศอดสู่ที่ได้รับอย่างยิ่ง เมื่อกลับถึงแคว้นเย่ก็มิได้ลืมความทุกข์ยากในห้องศิลา แม้สักเวลาเดียว ทางหนึ่งก็สั่งให้เหวินจ่งเสนาบดีฝ่ายบุ๋นเร่งปรับปรุงการปกครอง อีกทางหนึ่ง ก็ให้ฟ่านหลีเร่งปรับปรุงฝึกปรือเหล่าไพร่พล ส่วนตัวเองนั้น ก็กินอาหารหยาบไม่มีเนื้อสัตว์ เสื้อผ้าก็สวมใส่แบบพื้น ๆ แต่ละครั้งที่ไปตรวจตรวจเยี่ยมราษฎร เมื่อไปพบชาวนาทำไร่ไถนา ก็ลงมือไปช่วยทำนาด้วย ส่วนภรรยาเยี่ยมราษฎรก็ปั่นด้ายทอผ้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน อย่างใกล้ชิด ตกกลางคืน ก็ไม่นอนฟูก แต่กลับไปนอนบนกองฟืนแข็งกระด้าง ขรุขระ และแขวนดีหมูไว้ ที่หน้าห้อง ยามเข้าออกก็เอามาแตะลิ้นให้รู้รสขม เพื่อมิให้หลงลืมความอาฆาตแค้นต่ออ๋องฟูชา ที่จะต้องแก้กันให้สิ้นไปสักวันหนึ่ง เสนาบดีเหวินจ่ง ก็แนะอุบายแก่โกวเจี้ยนว่า นกซึ่งบินสูง ตายเพราะอาหารอร่อย ปลาในน้ำลึก ตายเพราะเหยื่อหอม ถ้าท่านประสงค์จะล้างความอัปยศของท่าน ก็พึงคล้อยตามความพึงพอใจของฟูชา หลังจากนั้นจึงจะสามารถกำจัดฟูชาได้ ครั้นแล้วก็บอกแก่โกวเจี้ยนถึงกลวิธีในการล้มล้างแคว้นอู๋ ที่สำคัญคือหาทางทำให้ฟูชาใฝ่หาหกมุ่นอยู่แต่การส้องเสพ จิตใจปวกเปียกไม่สนใจกิจการบ้านเมือง ทำให้เกิดความแตกร้าวขึ้นภายในแคว้นอู๋ ในขณะเดียวกัน แคว้นเย่เองก็ให้มุ่งล้างความอับอาย เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทุกคนตระเตรียมไพร่พลให้แกร่งกล้า รอคอยใอกาสล้มอู๋เสีย ดังนั้นโกวเจี้ยนก็จัดหาแพรพรรณ ขนสัตว์และของมีค่าอื่นๆ ส่งไปเป็นบรรณาการแก่อู๋อ๋องฟูชามิได้ขาด เมื่ออู๋อ๋องฟูชาจัดสร้างวังกูชูไถของตนเสร็จแล้ว เย่อ๋องโกวเจี้ยนก็จัดคัดเลือกสาวงามทั่วประเทศ เพื่อส่งไปเป็นบรรณาการแก่ฟูชา โกวเจี้ยนพบสาวงามที่เขตเขาหนิงหลอ (ในมณฑลเจ็อเจียงปัจจุบัน) ๒ นาง นางหนึ่งชื่อ ซีซือ (ไซซี) อีกนางหนึ่งชื่อ เจิ้นต้าน จึงนำตัวเข้าวัง ฝึกสอนกิริยามารยาท และพิธีรีตองต่างๆ ให้ขับขานดนตรี และจับระบำรำฟ้อนทุกอย่างจนคล่องแคล่ว ๓ ปีให้หลัง สาวงามทั้งสองนางก็อยู่ในวัยสะพรั่ง โกวเจี้ยนจึงให้นำฟ่านหลีนำไปยังแคว้นอู๋เพื่อมอบให้กับอู๋อ๋องฟูชา เมื่อเข้าพบกับอู๋อ๋องฟูชา ฟ่านหลีจึงกล่าวแก่ฟูชาว่า โกวเจี้ยนผู้ต่ำต้อยแห่งทะเลตะวันออก มีความขอบคุณท่านอ๋องอยู่มิรู้ลืม แต่เนื่องจากไม่อาจจะนำภรรยามาปรนนิบัติท่านอ๋องด้วยตัวเอง จึงจัดให้ ข้าพเจ้าสาวใช้มา ๒ คน เพื่อปรนนิบัติท่านอ๋องแทน ขอท่านอ๋องได้โปรดรับความปรารถนาดี ของโกวเจี้ยนไว้ด้วย อู๋อ๋องฟูชาเมื่อได้เห็นซีซื่อกับเจิ้นต้าน ก็ตกตระลึงในความงามของนาง ให้รู้สึกขอบใจในโกวเจี้ยนเป็นอันมาก เข้าใจว่า โกวเจี้ยนยังคงกตัญญูรู้คุณในตนมิผันแปร อู่จื่อซีเห็นมิเป็นการ จึงท้วงขึ้นว่า ในอดีตกาล เซียเจี้ย อินโจ้ว โจวซิวอ๋อง ก็ล้วนแต่สิ้นชื่อเพราะอิสตรี เซี๋ยพินาศเพราะเม่ยสี่ อินบรรลัยเพราะต๋าจี่ โจวล่มจมเพราะเปาสื้อ สาวงามแท้ที่จริงแล้ว คือต้นตอแห่งความวิบัติท่านอ๋องควรจะพิจารณาไตร่ตรองให้รอบครอบ ฟูชาหลงสน่ห์ ๒ สาว ตั้งแต่ตอนแรกที่พบแล้ว จึงไม่ฟังเสียงทัดทานของอู่จื่อซีแต่ประการใดทั้งสิ้น ก่อนฟ่านหลีจะเดินทางกลับ ก็ได้ลักลอบสั่งความซีซื่อว่า ให้บรรลุในอุบาย ๒ ประการ หนึ่งคือให้อู๋อ๋องฟูชาหมกมุ่นอยู่แต่สุราและกามารมณ์ ซึ่งซีซือจะต้องเป็นผู้ปรนเปรอให้อย่างสุดความสามารถ สองคือจักต้องให้อู๋อ๋องเกิดแตกคอกับอู๋จื่อชีผู้เป็นก้างขวางคอของแคว้นเย่ไปทุกอย่าง นับแต่นั้นมา อู๋อ๋องฟูชาก็หาความสำราญกับซีซือและเจิ้นต้านทุกคืนวันแต่ซีซืออ้อนแอ้นอรชร และมีจริตชวนพิสมัยยิ่งกว่าเจิ้นต้าน ซึ่งซีซือก็ปรนเปรออู๋อ๋องฟูชาอย่างสุดฝีมือตามคำสั่งของฟ่านหลี ฟูชาจึงหลงใหลในตัวซีซืออย่างไม่ลืมหูลืมตา และมักจะปล่อยให้เจิ้นต้านอยู่ในวังเดิม แล้วพาซีซืออย่างไปหาความสำราญยังวังใหญ่ที่กูชูไถ ถือกูชูไถเป็นบ้าน มิยอมคืนวัง ต่อมาอู๋อ๋อ ก็ให้สร้างวังสวยงามให้กับซีซืออีกแห่งหนึ่งที่เขาหลิงเอี่ยนชานเป็นเฉพาะ และนำซีซือท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ จนมิเป็นอันใส่ใจในราชการบ้านเมือง ในขณะที่อู๋อ๋องฟูชาหลงกลสาวงามของโกวเจี้ยนอย่างโงหัวไม่ขึ้น อู่จื่อซีก็ได้ข่าวว่า ทางแคว้นเย่ฝึกทหารกันทุกวันอย่างคร่ำเคร่ง ก็คิดวิตกทุกเช้าค่ำจึงถอนหายใจรำพึงว่า แคว้นเย่ยังดำรงอยู่ตราบใด ก็เป็นอันตรายร้ายแรงแก่แคว้นอู๋อยู่ตราบนั้น เมื่อมีโอกาสคราใด อู่จื้อชีเป็นต้องท้วงติงฟูชามิให้คลายความระมัดระวังต่อเย่อ๋องโกวเจี้ยนเป็นอันขาด เนื่องจากอู่จื่อชีเป็นขุนนางเก่าแก่ ซึ่งสัตย์จงรัก พูดจาตรงไปตรงมาเป็นขวานผ่าซาก จึงทำให้อู๋อ๋องเกลียดชังเป็นกำลัง ประกอบกับซีซือคอยเป่าหูอู๋อ๋องอยู่ทุกครั้งเมื่อมีโอกาสอู๋อ๋องฟูชา จึงยิ่งไม่อยากเห็นหน้าฟังคำทักท้วงที่ชวนรำคาญของอู่จื่อชียิ่งขึ้น ๔๘๔ ปีก่อนคริสต์กาล แคว้นฉีจะบุกแคว้นหลู่ ขงจื้อจึงให้อู่จื้อกับลูกศิษย์ไปเกลี้ยกล่อมแคว้นต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แคว้นหลู่พ้นภัย จื่อกังไปเจรจากับแคว้นฉีทำให้แคว้นฉีเปลี่ยนความคิด ไปตีแคว้นอู๋แทน ครั้งแล้วจื่อกังก็ออกเดินทางไปในตอนกลางคืน เกลี่ยนกล่อมให้อู๋อ๋องฟูชายกทัพไปตีแคว้นฉีช่วยแค้นหลู่ ขณะนั้น อู๋อ๋องฟูชา ได้ข่าวว่า โกวเจี้ยนกำลังฝึกปรือทหารอยู่อย่างขะมักเขม้น เพื่อจักแก้แค้นความพ่ายแพ้ ที่เขาฮุ่ยจีชาน จึงเตรียมการยกทัพไปตีแคว้นเย่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อจื่อกังเข้าพบ ฟูชาจึงกล่าวแก่จื่อกังว่า รอเราตีแคว้นเย่เสียก่อน แล้วจึงจะไปตีแคว้นฉีช่วยแคว้นหลู่ ท่านจะเห็นเป็นประการใด? จื่อกังอธิบายผลได้ผลเสียในการตีแคว้นฉีกับแคว้นเย่ให้ฟัง แล้วว่าหากท่านอ๋องเป็นกังวลด้วยแคว้นเย่ ข้าพเจ้ายินดีจะไปพบโกวเจี้ยน ให้เขาส่งทหารมาช่วยท่านตีแคว้นฉีด้วย ดังนี้ ก็คงจะเป็นที่คลายกังวล แก่ท่านได้เป็นแน่ อู๋อ๋องจึงรับคำ จื่อกังจึงเดินทางไปเจรจากับแคว้นเย่อีก โกวเจี้ยนเพื่อที่จะมึนชาความะแวงสงสัยของอู๋อ๋อง จึงส่งทหาร ๓ พันไปช่วยอู๋ตีฉี ฟูชาจึงเห็นว่าเย่อ๋องโกวเจี้ยนยังคงจงรักภักดีต่อตนด้วยดี แต่อู๋จื่อมองเจตนาของโกวเจี้ยนได้ตลอดจึงท้วงขึ้นว่า ภัยของแคว้นอู๋อยู่ที่แคว้นเย่มิใช่แคว้นฉี ขณะนี้ หากเราไม่รีบกำจัดแคว้นเย่แล้ว อีกไม่นานแคว้นเราก็จะถูกแคว้นเย่ล่ม ดุจดังเรียกหมอมารักษาไข้ แต่แล้วกลับบอกให้หมดปล่อยต้นตอของการเจ็บไข้ได้ป่วยเอาไว้การทำดังนี้ภัยร้ายแรง ที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้า จักมากมายสุดคณานับ ฟูชามิฟัง ถือว่าการตีฉีช่วยหลู่คือ เส้นทางไปสู่การครอบครองจงหยวนตามความประสงค์ของตน จึงเกณฑ์ทหาร ๑๐ หมื่น ยกไปตีทางซานตง ฉีพ่านแพ้ยับเยิน เมื่ออู๋อ๋องได้ชัยกลับมา ก็รีบไปหาซีซื่อยังวังใหใหม่ก่อนอื่น กินเหล้าเคล้าซีซืออยู่ ๓ วัน ๓ คืน จึงได้กลับมาออกขุนนาง ขุนนางทั้งหลายก็แซ่ซ้องสรรเสริญกันอึงคะนึง หลายวันต่อมา เย่อ๋องโกวเจี่ยนก็มาแสดงความยินดีในชัยชนะต่ออู๋อ๋องด้วนตนเอง พร้อมทั้งนำเครื่องบรรณาการ มามอบให้อู๋อ๋อง และนำของขวัญมาแจกจ่ายแก่เหล่าแม่ทัพนายกองที่มีความดีความชอบโดยทั่วหน้ากัน อู๋อ๋องฟูชามีความยินดี จัดสุราอาหารต้อนรับเย่อ๋องโกวเจี้ยนอย่างมโหฬารด้วยเห็นว่า แคว้นเย่ก็มีความดีความชอบในการส่งทหารมาช่วยตีแคว้นฉี และจึงคืนดินแดนแคว้นเย่ ทียึดไว้แก่เย่อ๋องไปจนสิ้น พร้อมกับให้รางวัลแก่แม่ทัพนายกองผู้มีความดีความชอบทุกตัวคน ยกเว้นอู่จื่อซี อู่จื่อซีได้รับความอับอายเป็นอันมาก จึงร้องให้กล่าวว่า ท่านอ๋องเห็นผิดเป็นชอบ เชื่อคนสอพลอส่อเสียดผู้จงรัก แผ่นดินของแคว้นอู๋เห็นทีจะสิ้นด้วยน้ำมือของท่านอ๋องเป็นแน่แล้ว อู๋อ๋องฟูชาไม่พอใจอู่จื่อซีเป็นทุนเดิมอยู่รบกลับมาในคราวนี้ ก็ถูกไป่พี่ซึ่งกินสินบนของเย่อ๋อง โกวเจี้ยนใส่ความอีกว่าอู่จื่อซีคงจะสมคบกับแคว้นฉี จึงคัดค้านอย่างหัวเด็ดตีนขาดมิให้ตีแคว้นฉี เมื่อบวกกับซีซือคอยยุแย่ให้ร้ายตามอุบายที่ฟ่านหลีได้สั่งเอาไว้ อู๋อ๋องจึงบันดาลโทสะในถ้อยคำ อันจาบจ้วงของอู่จื่อชีอย่างสุดขีด ลุกขึ้นยืนตัวสั่นพลางโยนคาบอาญาสิทธิ์ให้กับอู่จื่อซี บอกให้ปลิดชีวิตตัวเองเสีย อู่จื่อซีเงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยน้ำตานองหน้า พลางตัดพ้อด้วยความโศกเศร้าว่า ท่านอ๋องฟูชา ข้าพเจ้าเคยตีแคว้นฉู่ถล่มแคว้นเย่ มีความดีความชอบและสัตย์ชื่อต่อแคว้นอู๋มาช้านาน บัดนี้ท่านกลับมามัวเมาด้วยอิสตรี เชื่อคำยกยอปอปั้น มิฟังคำเตือนของข้าพเจ้า ซ้ำยังให้ข้าพเจ้า ปลิดชีวิตตัวเอง ท่านนี้กลับตาลปัตรความซื่อกับ ความคดไปหมดสิ้น ดังนี้แคว้นอู๋ก็คงจักอยู่ได้ไม่นาน เมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะเสียใจก็ช้าไปก็ช้าเกินการเสียแล้ว อู่จื่อซีพูดจาจบก็ใช้ดาบเชือดคอตัวเองตาย อู๋จื่อซีจบชีวิตไปแล้ว อู๋อ๋องฟูชาก็สิ้นคนที่คอยท้วงติงกีดหน้าขวางตาจึงพาซีซือออกท่องไปตามที่ต่าง ๆ ละใฝ่ฝันที่จะเป็นใหญ่ในจงหยวนให้ได้ ๔๘๒ ปีก่อนคริสตกาล อู๋อ๋องฟูชาก็สั่งให้ขุดคลองยาวถึง ๑๔๐ ลี้ เพื่อใช้เดินทางไปจัดชุมนุมผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ณ เมืองหวงฉือ (ในมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) เพื่อชิงตำแหน่งประมุขของทุกแว่นแคว้นกับจิ้นติ้นกงแห่งแคว้นจิ้น เมื่อคลองขุดขุดสำเร็จ อู๋อ๋องก็ให้บุตรชาย ๓ คนรักษาเมืองหลวงเอาไว้ ตนเองนำทหารชาญศึกออกเดินทางไป ชิงตำแหน่งประมุขผู้ครองแคว้นตามคลองขุดยังเมืองหวงฉือตามกำหนด ทหารชาญศึกถูกอู๋อ๋องฟูชานำไปยังเมืองหวงฉือหมด ในแคว้นอู๋ก็เหลืออยู่แต่ทหารที่มิสู้ได้ความ เย่อ๋องโกวเจี้ยนได้ทราบข่าวดังนั้นก็เห็นเป็นโอกาสจึงนำทัพทั้งทางบกและทางเรือบุกแคว้นอู๋ด้วยตัวเอง ไพร่พลของแคว้นเย่ล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี จึงตีทัพอู๋พ่ายแพ้ยับเยินไปตลอดทาง จนในที่สุดก็เข้าล้อมเมืองหลวงของแคว้นอู๋ไว้ได้อย่างหนาแน่นทั้งทางบกและทางน้ำ บุตรชายของฟูชา จึงรีบมีหนังสือไปแจ้งข่าวศึกแก่ฟูชา ณ เมืองหวงฉือ ขณะนั้น อู๋อ๋องฟูชากำลังพุ่งรบกับจิ้นติ้งกงอยู่เพื่อเอาชนะในการเป็นผู้ดื่มเลือดน้ำสาบาน ซึ่งหากผู้ใดชนะก็จะได้ดื่มก่อนและจะได้เป็นประมุขของแว่นแคว้นต่าง ๆ เมื่อคนส่งหนังสือไปถึง แจ้งข่าวว่าเมืองหลวงคับขันให้รีบถอยทัพกลับไปช่วย อู๋อ๋องก็สะดุ้งอยู่ในใจ เกรงว่าข่าวจะรั่วไหล จึงจับคนแจ้งข่าวฆ่าเสีย ครั้นแล้วก็นำทัพออกไปตั้งแนว ตนเองคุมกลองสัญญาณเพื่อเผด็จศึกให้เสร็จสิ้น เนื่องจากฟูชานำกำลังไปมากกว่าจิ้นติ้งกงรบกันหลายครั้งก็แพ้แก่อู๋อ๋องฟูชา ทุกครั้ง ครั้นเห็นฟูชาตั้งแนว จะรบขั้นแตกหักดังนั้น หากขืนปะทะด้วยก็มิผิดกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ จึงจำใจยอมให้ฟูชาดื่มเลือดก่อน และได้เป็นประมุขของแว่นแคว้นต่างๆ บรรดาที่มาชุมนุมกัน เมื่อเสร็จจากงานนี้แล้ว อู๋อ๋องก็รับนำทัพกลับแคว้นตน แต่ข่าวที่แคว้นอู๋ถูกแคว้นเย่ตีก็ได้แพร่ไปในหมู่ไพร่พลแล้ว บวกกับเหล่าไพร่พลต้องเดินทางรอนแรมมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ที่ได้รับความเสียหายบาดเจ็บล้มตาย จากการแย่งตำแหน่งประมุขกับจิ้นติ้งกงก็ไม่น้อย จิตใจของไพร่พลแต่ละคนจึงอ่อนปวกเปียก มิมีใจจะสู้รบปรบมืออีกต่อไป ฟูชารู้ว่า หากตนขืนนำทัพไปรบในสภาพที่ขวัญทหารไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ ก็รังแต่จะพ่านแพ้ จึงส่งไป่พี่ไปเจรจาของสงบศึกยังค่ายของแคว้นเย่โกวเจี้ยนก็คำนึงถึงว่า อาศัยแต่กำลังของตนที่มีอยู่ในปัจจุบัน คงจะยังไม่สามารถกลืนแคว้นอู๋ได้ทั้งหมด จึงยอมเจรจาถอยทัพกลับไป นับแต่นั้นมา แคว้นอู๋ที่ผ่านการกวาดล้างของแคว้นเย่ก็ทรุดโทรมลงทุกวันสุดปัญญาที่อู๋อ๋องฟูชาจักแก้ไข ให้กระเตื้องขึ้นมาได้ ส่วนแคว้นเย่กลับคึกคักเหิมหาญยิ่งขึ้น ๔๗๘ ปีก่อนคริสต์กโกวเจี้ยนก็บุกแคว้นอู๋ช้ำอีก แคว้นอู๋ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับไปเป็นครั้งที่ ๒ ๔๗๓ ปีก่อนคริสต์กาล เย่อ๋องโกวเจี้ยนก็นำทัพที่ฝึกปรือมาอย่างดี รุกเข้าแคว้นอู๋อีก ทัพอู๋ต้านทานไม่ไหว ต้องถอยร่นจนเมืองหลวงก็ต้องเสียแก่โกวเจี้ยนไป ตัวอู๋อ๋องฟูชาหนีเข้าไปหลบอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง ชื่อหยางซาน ฟูชาหมดหนทาง จึงส่งซุนเหวยเสนาบดีของตนไปขอเจรจาสงบศึก แต่คราวนี้โกวเจี้ยนไม่ยอม จับตัวฟูชาเนรเทศไปอยู่เสียที่เมืองหย่งตงแดนกันดารในแคว้นเย่ แคว้นอู๋ต้องล่มจมไปด้วยน้ำมือของโกวเจี้ยน ผู้นอนบนกองฟืนและลิ้มรสดีขมเพื่อเตือนตัวเองไปในบัดนั้น อู๋อ๋องฟูชาเมื่อสิ้นแผ่นดินถูกเนรเทศไปยังเมืองหย่งตงฐานะเชลยศึกอย่างอัปยศเช่นนั้น ก็ร้องให้รำพึงว่า เพราะเราไม่เชื่อคำเตือนของอู๋จื่อซีแต่แรก จึงไม่มีแม้แต่ใบไม้จะคุ้มหัว ว่าแล้วก็ชักดาบฆ่าตัวตาย กลสาวงามของโกวเจี้ยนและฟ่านหลี ก็สำเร็จลุล่วงสมความปรารถนาไปด้วยประการฉะนี้? กลสาวงามเรื่องซีซือ ได้กลายเป็นแบบฉบับของกลสาวงาม และได้ถูกนำไปใช้กันอยู่เสมอๆ ตั้งแต่สมัยโบราณของจีนเรื่อยมา กลยุทธ์นี้ จึงมีผู้สรุปว่า เมื่อข้าศึกมีความเข้มแข็งประดุจกำแพงเหล็ก มิมีจุดอ่อนที่จะทะลวงเราไปได้ วิธีเอาชนะแต่เพียงหนึ่งเดียว ก็คือจะต้องแทรกซึมเข้าไปภายในของข้าศึกดุจดั่งหนอนกินลูกแอปเปิ้ล เจาะไซจากภายในออกมาภายนอก จนเน่าไปทั้งลูกฉะนั้น และขุนทัพย่อมเป็นหัวใจของกองทัพ เป็นประมุขของไพร่พล ถ้าขุนทัพถูกทะลวงจุดอ่อนจนหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียงแล้วไซร้ ก็จะมีอันเป็นไปไร้สมรรถภาพ จักมิพ่ายแพ้หาได้ไม่ หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๒ กลเปิดเมือง เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 01:26:13 PM กลยุทธ์ที่ ๓๒ กลเปิดเมือง
กลวงยิ่งทำกลวง สงสัยยิ่งให้สงสัย ท่ามกลางแข็งกับอ่อน พิสดารซ้อนพิสดาร กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า กำลังเราอ่อนก็ยิ่งจงใจแสดงให้เห็นว่า มิได้มีการป้องกันเลย ทำให้ข้าศึกฉงนสนเท่ห์ ในสภาวะที่ข้าศึกมีกำลังมาก เรามีน้อย การใช้กลยุทธ์เช่นนี้ ก็มีความพิสดารพันลุกเป็นทวีคูณ ท่ามกลางแข็งกับอ่อน มาจาก คัมภีร์อี้จิง แก้ ใช้ควบกับคำว่า พิสดารซ้อนพิสดาร ซึ่งหมายความว่า ในขณะที่ข้าศึกแข็งเราอ่อน ให้จัดกำลังโดยใช้กลยุทธ์ กลวงยิ่งทำกลวง แสดงให้เห็นถึงความพิสดารในกลศึกที่ข้าศึกคาดคิดไม่ถึง อุบายนี้ เป็นกลยุทธ์ ในการใช้วิธีเปิดเมืองหรือปล่อยเมืองว่างโล่ง ทำให้ข้าศึกเกิดความงงงวย ใช้ทั้งเท็จและจริง ล่อหลอกให้ข้าศึกถอยไป เพราะมิรู้ตื้นลึกหนาบางอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ในสมัย สามก๊ก ก็มีกลเปิดเมืองของขงเบ้ง ในตอนที่ขงเบ้งเสียทีแก่สุมาอี้จนต้องเสียเมืองเกงเต๋ง และเมืองหลิวเซียไป ซ้ำในเมืองเสเสียก็เหลือทหารน้อยตัว สุมาอี้กำลังฮึกเหิมในชัยชนะ จึงยกทัพมามืดฟ้ามัวดิน จะขจัดขงเบ้งเสียให้สิ้น เรื่องราวในตอนนี้ จะขออัญเชิญสำนวนแปล ของท่านพระยาคลัง (หน) มานำเสนอไว้ ณ ที่นี้ ขณะนั้นม้าใช้มาบอกว่า สุมาอี้ยกทหารมาแล้ว ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจทหารทั้งปวงก็หน้าชีดไปสิ้นทุกคน ขงเบ้งรู้ว่ามีทหารน้อยตัวและทหารผู้ใหญ่ไม่อยู่ มิรู้ที่จะสู้รบประการใด จึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นทหารสุมาอี้มาเป็นอันมากดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย จึงให้รื้อถอนธงที่ปักไว้บนกำแพงนั้นลงเสียสิ้นแล้ว ให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน จัดทหารและชาวบ้านให้กวาดทางประตูเมืองเป็นปกติอยู่ประตูละยี่สิบคน มิให้สะดุ้งสะเทือน แล้วก็ขับให้ทหารทั้งปวงเช้าซุ่มเสียมิให้พูดจากันเป็นปากเสียง จึงว่าเราจะคิดกลอุบาย อันหนึ่งให้สุมาอี้ถอยไปจงได้ ถ้าผู้ใดเจรจาอื้ออึงไปจะตัดศีรษะเสีย สั่งแล้วขงเบ้งก็ แต่งตัวโอ่โถง พาเด็กน้อยสองคนขึ้นบนหอรบ ให้เด็กนั้นถือกระบี่คนหนึ่ง คนหนึ่งถือแส้ยืนอยู่ทั้งสองข้าง แล้วตั้งกระถางธูปบูชาไว้ข้างหน้า ก็นั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่ ฝ่ายทหารกองหน้าของสุมาอี้ยกเข้ามาใกล้เชิงกำแพงเมือง แลขึ้นไปดูบนหอรบ เห็นขงเบ้งนั่งดีดกระจับปี่อยู่ก็คร้ามใจกลับออกไปบอกสุมาอี้ว่าบัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงกำแพง เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคนนั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่น อยู่บนเชิงหอรบเห็นประหลาดนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน สุมาอี้ไดฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งนี้จะอาจหาญกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง สุมาอี้ขึ้นม้าพาทหารไปประมาณยี่สิบคน ยืนอยู่แต่ไกลเชิงกำแพง แลขึ้นไปเห็นขงเบ้งแต่งตัวโอ่โถง หน้าตาแช่มชื่นบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหาได้มีความสะดุ้ง คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจแล้วว่าขงเบ้งจะชุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไปความกลัวมิทันจัดแจงทหาร ก็ให้กองหน้าเป็นกองหลังขับทหารรีบถอยออกมา สุมาเจียวผู้บุตรห้ามว่า เหตุไฉนบิดาจึมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เป็นคนสิ้นทหารสุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว ก็ชังตายแข็งใจทำกลเปล่าๆ อยู่ สุมาอี้จึงว่า ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่ในการศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไป ก็จะต้องกลขงเบ้งพากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าจะเชื่อฟังมิได้ แล้วก็เร่งขับทหารทั้งปวงให้รีบไป ขงเบ้งเห็นทหารยกกลับไปก็ตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงจึงถามว่าสุมาอี้ยกทหารมาห้าหมื่นจะทำร้ายท่าน การจวนตัวอยู่ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงมิกลัวตบมือหัวเราะเสียอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราหัวเราะทั้งนี้เพราะ เห็นสุมาอิ้รู้มิเท่าเรา สำคัญว่าเราซุ่มทหารไว้ก็ตกใจกลัวหนีไปเอง อันกลอุบายนี้เรามิทำก็จำทำด้วยจนใจ จวนตัวอยู่แล้วก็จำเป็น และสุมาอี้กลับไปครั้งนี้เห็นจะไปทางน้อยริมเขาบุกองสันเป็นมั่นคง ก็จะพบกองทัพกวนหิน เตียวเปา ซึ่งไปซุ่มอยู่ จะต้องด้วยกลของเราทำไว้จะไม่เสียทีเปล่า ทหารทั้งปวงได้ฟังขงเบ้งว่าก็ยินดี ชวนกันลงมาคำนับแล้วว่า ถ้าเป็นใจข้าพจ้าทั้งปวงนี้ ที่ไหนจะแข็งใจอยู่ได้ก็จะทิ้งเมืองเสียพากันหนีไป ขงเบ้งจึงว่า ถ้าจะทำใจอ่อนทิ้งเมืองเสีย เหมือนท่านว่านั้น ทหารเราสองพันห้าร้อยสักหยิบมือหนึ่งหรือจะหนีทหารสิบห้าหมื่นพ้น เขาก็จะไล่จับเอาดังหนู ประเดี๋ยวหนึ่งก็จะจูงจมูกมาได้สิ้น ว่าแล้วตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงก็ดีใจ ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้สุมาอี้ถอยทัพไปด้วยกลของเรานั้น ดีร้ายก็จะยกกลับมาทำร้ายเราอีกจะไว้ใจมิได้ ก็ให้กวาด ครอบครัวอพยพชาวเมืองทั้งปวงล่าถอยทัพมายังเมืองฮันต๋งสิ้น กลยุทธ์จี้จึงมีผู้สรุปว่า เท็จเท็จจริงจริง มักมีอยู่ในกลศึก ข้าศึกฉวยโอกาสยามเราอ่อนกำลังเราก็จงใจ แสร้งทำให้อ่อนปวกเปียกลงไปอีก จนข้าศึกฉุกใจฉงนสงสัย เข้าใจผิดคิดว่าเราพร้อมรบแต่แสร้งลวง เพื่อล่อหลอกให้ตกหลุมพราง นี้ถือเป็นสงครามจิตวิทยา โดยมิได้ใช้กำลังที่แท้เอาชนะข้าศึก แต่ด้วยการพินิจพิจารณาภาวะจิตของแม่ทัพข้าศึก เอาชนะด้วยอุบายอัน แยบยล จนข้าศึกหวั่นเกรงถอยกลับไปโดยเรามิได้พ่ายแพ้เสียทหารไปแม้สักคนในยามคับขัน" หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๓ กลไส้ศึก เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 01:54:10 PM กลยุทธ์ที่ ๓๓ กลไส้ศึก
ระแวงในระแวง มีผู้แฝงอยู่ภายใน ไม่เสียหายแก่เรา กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกสร้างอุบายเพื่อให้ฝ่ายเราเกิดแตกแยก เราก็พึงซ้อนกล สร้างแผนลวงให้ข้าศึกเกิดร้าวฉาน ให้ข้าศึกระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน ที่เราสามารถใช้เป็นประโยชน์ได้ มีผู้แฝงอยู่ภายใน ไม่เสียหายแก่เรา มาจาก คัมภีร์อี้จิง ช่วย หมายความว่า เนื่องจากมีการช่วยเหลือ มาจากภายในของข้าศึก จึงเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเรา เราจึงมีความมั่นใจที่จะตีข้าศึกให้ย่อยยับไป ตู้มู่ กวีจีนโบราณซึ่งเคยทำคำอธิบายแก่ ตำราพิชัยสงครามซุน วู ในสมัยราชวงศ์ถึง กล่าวไว้ว่า ข้าศึกส่งไส้ศึกมาดูเรา เราพึงล่วงรู้ก่อน หรือติดสินบนด้วยเงินหนา กลับมาให้เราใช้ หรือแสร้งทำไม่รู้ ปล่อยข่าวลวงให้ตายใจ ดังนี้ ไส้ศึกของข้าศึก ก็จักถูกเราใช้ ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ในบันทึกประวัติศาสตร์ จือจื้อทงเจี้ยนเหล่มหลัง ราชวงศ์ซ้องปีที่ ๑๐๘-๑๑๔ มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ปลายสมัยราชวงศ์ซ้องเหนือ ทหารจิน ( แมนจู ) บุกเข้าเมืองหลวงเปี้ยนจิง ( ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) จับพระเจ้าซ้องชินจงฮ่องเต้กับพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ พระราชบิดา ไปเป็นเชลย กลยุทธ์ใส้ศึกที่ใช้ในปัจจุบันอันได้แก่การใช้จารชนหรือสายลับตามที่ตำราพิชัยสงครามซุน วู ได้กล่าวไว้เรื่องการใช้จารชน ซึ่งก็จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับการใช้ไส้ศึกนั่นเอง ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีชื่อที่สุดในยุคนี้ในการใช้กลยุทธ์ใส้ศึกได้อย่างประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพราะ สหรัฐฯ ได้มีการศึกษาตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู มาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการใช้ใส้ศึก หรือการใช้จารชน องค์กรที่ทำงานเป็นจารชนของสหรัฐฯ ที่มีเครือข่ายครอบคลุม ทั่วทุกมุมโลกอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น คือองค์กร ซีไอเอ ( CENTRAL INTELLIGENCE AGENCY : CIA ) ที่มีชื่อเป็นภาษาราชการว่า องค์กรประมวลข่าวกลาง ผลงานด้านการทำงานเป็นไส้ศึกตามกลยุทธ์นี้ มีมากมาหลายอย่างดังที่จะกล่าวต่อไป แต่ก่อนที่จะกล่าวด้านผลงานของ ซีไอเอ จะขอกล่าว ความเป็นมาขององค์กรนี้ให้ทราบพอสังเขปก่อนดังนี้ เอกสารประกอบการบรรยายหลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูงรุ่นที่ ๑๕ ของ โรงเรียนกิจการพลเรือนทหารบก ได้กล่าวเกี่ยวกับองค์กร ซีไอเอ ไว้มีความตอนหนึ่งว่า .............ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ สองพี่น้องคาทอลิกแห่ง ตระกูลดัลเลส คือนาย อลัน ดัลเลส (Alan Dunlez) และ นายจอนด์ฟอสเตอร์ ดัสเลส (John Foster Duslez) จัดตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกาชื่อว่า องค์การซี. ไอ. เอ.(CIA) มีชื่อเต็มว่า Central Intelligence Agency ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๐ โดยมีลักษณะ เป็น องค์การลับ ใช้ปรัชญา Divided & Rule องค์การ CIA ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของ วาติกัน และได้รับฉายาว่าเป็น รัฐบาลนินจา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของนายทุนอภิมหาเศรษฐีคาทอลิก 8 ตระกูลของอเมริกาผู้ก่อตั้ง Federal Reserve (FED) ซึ่งเป็นเพียง โรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์ธนบัตรให้กับรัฐบาลอเมริกา ใน ๘ ตระกูลนี้ มี ๒ บริษัทที่น่าสนใจคือ บริษัทเลแมนด์(Lehmans) และ บริษัทโกลแมนแซ็ค(Goldman-Sacks) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ การประมูลซื้ออสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน) ของประเทศไทย จาก ปรส.ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมอยู่ด้วย (ประธานGoldman Sacks คือพ่อบุญธรรมของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เมื่อครั้ง ไปศึกษาใน USA เป็นผู้ตีราคาในการขายราคาทรัพย์สิน ปรส. บุคคลผู้นี้ได้มานั่งควบคุมการทำงานของนายธารินทร์ฯ ที่กระทรวงการคลัง ในตำแหน่งที่ปรึกษา ???) องค์กร CIA มีหน้าที่หลักคือการขยายตลาดการใช้เงินดอลลาร์ ที่ FED จัดพิมพ์ขึ้นโดยไม่มีทองสำรอง (แบงค์กงเต็ก) โดยสร้างสถานการความแตกแยกในประเทศต่าง ๆ และเข้าช่วยเหลือ จากนั้นเมื่อ ผู้นำที่องค์กร CIA สนับสนุนได้เข้าเป็นรัฐบาลประเทศนั้น ๆ ก็จะถูกกำหนดให้ใช้เงินดอลลาร์ เป็นเงินตราสำรองของประเทศ และห้ามใช้ทองคำเป็นเงินสำรอง โดยองค์กรCIA จะให้รัฐบาลประเทศนั้น ๆ นำทองคำที่มีอยู่ไปเก็บไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด โดยอ้างว่าเพื่อช่วยรักษาไว้ให้อยู่อย่างปลอดภัย และตอบแทนเป็นเงินดอลลาร์ที่ FED พิมพ์ขึ้นเหมือน แบ็งกงเต็ก ซึ่งดอลลาร์จริง ๆ แล้วใบละ $๕๐๐ นั้น ลงทุนไม่ถึง ๕ บาทไทย เป็นการทำให้ กระดาษเปลี่ยนเป็นทองคำ จึงเป็นการสร้างกำไรให้กับ กลุ่มอิทธิพล FED นี้อย่างมหาศาล แต่กลับสร้างหนี้สินให้กับประเทศอเมริกาอย่างมหาศาล (ดูบันทึกสภาคองเกรสในภาคผนวก) ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า CIA ทำหน้าที่สร้างสงครามอยู่ทั่วไป ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนกระดาษให้เป็นทองคำนั่นเอง องค์กร CIA จะเข้าแทรกแซงและบ่อนทำลายสถานภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและกิจการภายใน ของประเทศอื่น รวมทั้งให้การสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน สร้างปัญหาความขัดแย้งในประเทศต่าง ๆ อันเป็นการเปิดทางให้กับ วาติกัน ส่งบุคลากรของตนเข้าไปในรูปของ บาดหลวง หรือ องค์กรสาธารณะกุศล และขยายพื้นที่ของอาณาจักรคาทอลิก เพิ่มจำนวนศาสนิกโรมันคาทอลิก ซึ่งหมายถึงการเพิ่มผลประโยชน์จากรายได้ ๑๐% ของทั้งหมดในแต่ละแห่งนั้น ที่จะถูกส่งเข้าไปยัง นครหลวงของอาณาจักรคาทอลิก คือ นครวาติกัน อันมีสันตะปาปาเป็นประมุข บุคลากรที่ถูกคัดเลือกให้เข้าทำงานในองค์กร CIA จะถูกคัดเลือกจากบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษ เฉลียวฉลาด รอบรู้ทุกด้าน สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็วฉับพลัน ทุกคนจะต้องจบในหลักสูตรบังคับ วิชาพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อใช้ประโยชน์กับงานของ CIA จากเอกสารลับ Pentagon เปิดเผยว่า CIA เป็นผู้วางแผนโค่นล้มระบอบกษัตริย์ของประเทศในเอเซีย คือ เวียดนาม ลาว เขมร รวมทั้งการให้งบประมาณในการกวาดล้างชาวพุทธในประเทศเวียดนาม มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด (ฝิ่น-เฮโรอีน) ในภาคเหนือของลาว-พม่า-ไทย โดยให้การสนับสนุนกำลังอาวุธแก่นายพลวังปาว ชาวเขาเผ่าม้ง รวมทั้งการเกี่ยวข้องเชิงลึก ในกรณีเจ้าสุภานุวงศ์ ประเทศลาว จึงจัดได้ว่า CIA ก็คือผู้ดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดของคาทอลิก อยู่ภายใต้การควบคุม และวางแผนของ วาติกัน อย่างต่อเนื่องตลอดมา(อ่านรายละเอียดใน ไวรัสศาสนา : มหันตภัยของชาวพุทธ, ดร.เบ็ญจ์ บาระกุล) เป้าประสงค์ร่วมกันของ วาติกัน กับ CIA ในการเข้ายึดครองประเทศไทย เพื่อเป็นฐานขยายผล ครอบคลุมภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดนั้น ได้ปรากฏเป็นหลักฐานทางการของ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ โดยนาย Lindon B. Johnson รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ต่อมาเป็นประธานาธิบดี) ทำแผนปฏิบัติการร่วมอย่างถาวรของสหรัฐ(ลับที่สุด) นำเสนอต่อ ประธานาธิบดี John F. Kenede ในเอกสารลับนั้นมีข้อความระบุว่า เราจะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา แล้วยกขึ้นมาเป็นจุดสำหรับโฆษณา ภายใต้สื่อสารการควบคุมของเรา และนำเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และระบบเศรษฐกิจอันทันสมัย ที่เราแบบไว้แทรกเข้าไปใช้กับทางการตลาดและทางธุรกิจ(Enterprises)ของพวกเขา เพื่อผลประโยชน์ของเรา ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ของความต้องการอย่างแท้จริงของเรา ในพื้นที่บริเวณนี้ การปฏิบัติการอย่างตั้งใจจริง และประกอบด้วยความสามารถอย่างเปี่ยมล้น ที่จะเข้าควบคุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ วอชินตัน อย่างใกล้ชิด การตัดสินใจ การปฏิบัติการ และการดำเนินงานทุกด้านในภูมิภาคนี้ก็คืออย่างนี้ เราไม่สามารถจะอยู่รอดได้ด้วยการปฏิบัติการสนธิสัญญาใด ๆ ไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ด้วยประเทศ ที่เป็นมิตรของเรา แต่เราต้องพุ่งตรงไปข้างหน้า และวิธีการหลัก(Key) ที่ต้องทำก็คือ ต้องเข้าควบคุม, วางโครงการ, บังคับ, และเอาผลประโยชน์ที่แน่นอน จากโครงการช่วยเหลือทั้งหลายของเรา โดยใช้หน่วยคณะที่ปรึกษาทางทหาร(MAAG.) เป็นส่วนเจาะนำหน้าเข้าไป.... (หลักฐาน....เอกสารลับสุดยอดMission to South East Asia, India, and PakKistan) ความหมายสำคัญในเอกสารนี้ที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศไทย อยู่ตรงคำที่ว่า เราจะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา แสดงว่าในประเทศไทยนั้นต้องมีการสร้างภาพ หรือสถานการณ์อย่างหนึ่งขึ้นอย่างแน่นอน ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับคำยืนยันอันปรากฏในเอกสารลับ ของแพนตากอนปี พ.ศ.๒๕๐๘ ของ Gen.RoBert S. Macnamara รมว.กลาโหมของสหรัฐ ว่า .....ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่เหมือนกับประเทศเวียดนาม ที่มีความสำนึกในด้านชาตินิยมรุนแรง ประเทศไทยมีคอมมิวนิสต์ในประเทศอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น (It has few domestic Communist) ไม่สามารถทำความเสียหายได้ เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตา พยามทำให้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นของเรา ที่มั่นคงเหมือนหินมิใช่กองทราย (A foundation of rock political a bed of sand) ซึ่งเราจะได้ใช้เป็นฐาน ทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ ในอันที่เราจะเข้าไปครอบคลุมเอเซีย.... จากข้อมูลทางการของสหรัฐดังกล่าวนี้ทำให้เราได้ทราบว่า การเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ตัวจริง ในประเทศไทยนั้นจริงแล้ว แทบไม่มีเลย ตามรายงานของ Gen.Robert S. Macnamara ว่า ประเทศไทยมีคอมมิวนิสต์ในประเทศอยู่เพียงสองสามคนเท่านั้น แต่เหตุใดจึงมีการปะทะกับผู้ก่อการร้าย มีเขตปลดปล่อย มีกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ซึ่งมีกำลังพลเป็นพัน เป็นหมื่น มาจากไหน ? คำตอบนั้นอยู่ที่คำพูดของ Lindon B. Johnson เรา จะต้องสร้างสถานการณ์ สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา การสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นเป็นหน้าที่ขององค์กร CIA ที่ถูกจัดให้ปฏิบัติการใด ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ ๘ ตระกูลคาทอลิกผู้ก่อตั้ง FED มาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเคนเนดี้ ปรากฏตามหลักฐานอย่างเป็นทางการสหรัฐอเมริกา ของ นายพล เอ็ดวาร์ด แลนสเตน (Brig Gen.Edward GLansdale) ผู้เชี่ยวชาญสงครามกองโจรและการรบนอกแบบ ซึ่งนำเสนอต่อที่ปรึกษาของ PANTAGON คือนายพล แมกซเวล ดีเทย์เลอร์(Gen.Maxwell D.Taylor) ฝ่ายยุทธการของประธานาธิบดีเคเนดี้ ดังนี้ องค์การ CIA ได้ตั้งศูนย์บัญชาการขึ้นในประเทศไทย ที่จังหวัดอุดรธานี เรียกว่า บก. ๓๓๓ ภายใต้รหัสว่า ไว้ท์เฮ้าส์ แยกการทำงานออกเป็น ๒ หน่วยงานคือ ๑. หน่วย AD-1 (Action & Divide) รับ-ประมวลข่าวจากจารชน หรือ จากเครื่องบิน U2 ที่เข้าไปบินสอดแนมเหนือน่านฟ้าของ จีน เวียตนาม เขมร และลาว ๒.หน่วย OB(Order Battle) บัญชาการหน่วยกำลัง ที่ปฏิบัติการใน ซำทอง ล่องแจ้ง ปากเซ ไหหิน เชียงลม สุวรรณเขต เวียตนามตอนใต้ และด้านตะวันออกของกัมพูชา ดังนั้นการสร้างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์(ผกค.) การส่งความช่วยเหลือทางด้านการข่าว และส่งอาวุธ การฝึกอาวุธ ล้วนเป็นผลงานที่องค์กร CIA ได้ปฏิบัติการในประเทศไทย และอาวุธที่ยึดได้ ๘๐% ผลิตในอเมริกาทั้งสิ้น ได้ปรากฏเป็นหลักฐานเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า องค์กรCIA ได้ปลอมจดหมายให้กับ ผกค. ถึงนายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อขอแบ่งแยกดินแดนภาคอีสาน เพื่อเป็นเขตปลดปล่อยปกครองตนเอง ฯลฯ กรณีดังกล่าวนี้ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้เชิญ นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเนอร์ เอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย เข้าพบเพื่อชี้แจงกรณีดังกล่าว นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเน่อร์ ได้มีหนังสือขออภัยต่อนายกรัฐมนตรีไทยอย่างเป็นทางการ ต่อกรณีที่เกิดขึ้น และได้สั่งปิดสำนักงาน CIA ในจังหวัดสกลนคร และเจ้าหน้าที่ CIA ผู้กระทำความผิดฐานออกจดหมายผู้ก่อการร้ายถึงนายกรัฐมนตรีไทยนั้น ได้ส่งกลับอเมริกาไปแล้ว .. ?? จากข้อมูลหลักฐานความแท้จริงดังกล่าวนี้ สามารถยืนยันได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) หรือ ผู้ก่อการร้าย(ผกค.) เป็นหน่วยเฉพาะกิจ ที่ถูก CIA จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างสถานการณ์ในประเทศไทย บุคลากร องค์กรที่เคลื่อนไหวต่าง ๆ นั้น ล้วนได้รับทุนและการสนับสนุนจากแหล่งที่มาเดียวกันทั้งสิ้น โดยมี ๘ ตระกูลคาทอลิก ผู้ก่อตั้งบริษัท FED และ CIA มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศมหาอำนาจ ให้การสนับสนุน ประสานผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน อันมีเครือข่ายโยงใยไปทั่วโลก และความแตกแยกทางความคิด เชื้อชาติ อันเป็นสาเหตุของการแยกประเทศแยกดินแดนต่าง ๆ นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามและแตกต่างจากภาพหรือข่าวสารที่เราได้พบเห็น ทางสื่อสารมวลชน โดยสิ้นเชิง.......) จากหลักฐานที่เป็นสาธารณะเกี่ยวกับองค์กร ซีไอเอ ที่พอสืบค้นได้เองมีดังต่อไปนี้ องค์กรประมวลข่าวกลาง ( ซีไอเอ ) ในเอกสารประกอบการบรรยายการแก้ปัญหาของฝ่ายอำนวยการในโรงเรียนกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพไทย หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง ของกองทัพไทย มีข้อความบางส่วนกล่าวว่า ...............องค์กร CIA มีหน้าที่หลักคือการขยายตลาดการใช้เงินดอลลาร์ ที่ FED จัดพิมพ์ขึ้นโดยไม่มีทองสำรอง(แบงค์กงเต็ก) โดยสร้างสถานการณ์ความแตกแยกในประเทศต่าง ๆ และเข้าช่วยเหลือ จากนั้นเมื่อผู้ที่องค์กร CIA สนับสนุนให้ขึ้นเป็นผู้มีบทบาทสำคัญได้เข้าเป็น รัฐบาลประเทศนั้น ๆ ก็จะถูกกำหนดให้ใช้เงินดอลลาร์เป็นเงินตราสำรองของประเทศ และห้ามใช้ทองคำ เป็นเงินสำรอง โดยองค์กรCIA จะให้รัฐบาลประเทศนั้น ๆ นำทองคำที่มีอยู่ ไปเก็บไว้ในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด...........) ........องค์กร CIA จะเข้าแทรกแซงและบ่อนทำลายสถานภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและกิจการภายใน ของประเทศอื่น รวมทั้งให้การสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน สร้างปัญหาความขัดแย้งในประเทศต่าง ๆ........ ซีไอเอ ได้รับการจัดตั้งขึ้นโดย FED ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ เพื่อที่จะใช้ประโยชน์ในการปกป้องผลประโยชน์ ของ FED เป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่มีอยู่ทั่วไปทั้งในและนอกสหรัฐอเมริกา CIA ได้ถูกกระจายออกไป ทุกภูมิภาคในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการแข่งขันช่วงชิงผลประโยชน์กันระหว่างประเทศมหาอำนาจ และคู่แข่งต่าง ๆ สูงทั้งที่เป็นองค์กรลับและเป็นบุคคลที่เปิดเผยตัวให้ประชาชนทราบว่าตนเป็นสมาชิก ขององค์กร ซีไอเอ เพื่อที่จะให้มีความเหนือกว่าทางด้านข่าวสาร สมาชิกของ ซีไอเอ ได้ถูกส่งไปทั่วโลก เพื่อรวบรวมข้อมูล มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่า ซีไอเอ สนับสนุนขบวนการก่อการร้ายทั่วโลก โดยอาศัยความขัดแย้งเดิม ๆ ที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังได้ร่วมมือกับ NGOs ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เมื่อสังเกตให้ดีแล้วเป็นกิจกรรมที่กระทำเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทางการทหาร กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารทั่วโลกในอดีตที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่มี ซีไอเอ ไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น รวมทั้งเหตุการณ์ทั้งปวงที่มีลักษณะของความรุนแรงและการจลาจล ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งเมื่อสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นแล้วจะเป็น การเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ โดยที่มี FED เป็นผู้บงการและมี CIA เป็นผู้สร้างกิจกรรม และกำกับให้กิจกรรมทั้งหลายที่สร้างขึ้นดำเนินไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ เพื่อที่จะบรรลุภารกิจทั้งปวง CIA จึงได้ปฏิบัติตามหลักการถาวรของตนที่ได้รับการมอบหมายตั้งแต่ต้นและเป็นการถาวรคือ การแบ่งแยกและปกครอง หรือ Divided and Rules กิจกรรมของ CIA ในอดีตที่ผ่านมาเท่าที่มีหลักฐานแน่ชัดและได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วมีดังนี้ ๑. การปฏิบัติการสนับสนุนสงครามเกาหลีในปี พ.ศ.๒๔๙๓ ๒๔๙๕ ( ๑๙๕๐ ๑๙๕๓ ) ๒. ปฏิบัติการสนับสนุนการรัฐประหารที่กัวเตมาลาในปี ๒๔๙๖ ๓. ปฏิบัติการสนับสนุนรัฐบาลอินโดนีเซียในการปราบปรามฝ่ายค้านในปี ๒๕๐๑ ๔. สนับสนุน Operation Mongoose และ operation Bay of Pig ในคิวบา ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ๕. ปฏิบัติการสนับสนุนการรัฐประหารที่โดมินิกันในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ๖. ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่เวียดนาม ลาว และประเทศไทยในยุคสงครามเย็น ๗. สนับสนุนการรัฐประหารของ นายพล ปิโนเช่ ในชิลี ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ๘. สนับสนุนกบฏมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถาน ใน พ.ศ.๒๕๓๒ ๙. ปฏิบัติการก่อวินาศกรรมในแองโกล่า โคลัมเบีย เอล ซัลวาดอร์ และนิคารากัว ใน พ.ศ.๒๕๓๒ ๑๐. สนับสนุนการก่อการจราจลกรณีจัตุรัส เทียน อัน เหมิน ในจีน ปี พ.ศ.๒๕๓๒ ๑๑. ปฏิบัติการโดยใช้ชื่อ บิน ลาเดน กรณีวางระเบิดตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในปี ๒๕๓๖ ๑๒. สนับสนุนกองกำลังกบฏเคอร์ดิสโจมตีตอนเหนือของอิรักในปี ๒๕๓๘ ๑๓. เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการถล่มฐานทัพสหรัฐฯ ในซาอุดิอาระเบีย โดยในนาม บิน ลาเดน ในปี ๒๕๓๙ ๑๔. สร้างสถานการณ์กรณีถล่มสถานทูตสหรัฐฯ ในเคนยาและแทนซาเนีย ในนาม บิน ลาเดน ในปี ๒๕๔๑ ๑๕. จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการรบพิเศษลับสุดยอด ( Supersecret Special Operation group SOG ) ในการร่วมมือกับเครือข่ายจารชนทั่วโลก ๑๖. อยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมเรือรบสหรัฐฯ USS Coles ในนามของ บิน ลาเดน ในปี ๒๕๔๓ ( สร้างสถานการณ์ ) ๑๗. สร้างสถานการณ์ ๑๑ กันยายน ถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในนามของ บิน ลาเดน ในปี ๒๕๔๔ ๑๘. สนับสนุนการปฏิบัติการของกลุ่มพันธมิตรด้านเหนือในสงครามถล่มอัฟกานิสถานปี ๒๕๔๔- ๒๕๔๕ ๑๙. สนับสนุนกองกำลังกองโจรเคอร์ดิสโจมตีทางเหนือของอิรักในสงครามอิรักครั้งที่ ๒ในปี ๒๕๔๖ (ซีไอเอ ( CIA ) คือ อะไร: วัชรี สายสิงห์ทอง ) หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๔ กลทุกข์กาย เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 02:06:41 PM กลยุทธ์ที่ ๓๔ กลทุกข์กาย
คนมิทำร้ายตัวเอง ถูกทำร้ายจึงจริง เท็จจริงจริงเท็จ กลศึกจึงบรรลุ อาศัยจุดอ่อนแห่งจิต ลู่ตามจึงพิชิต กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า โดยสามัญสำนึก คนเราจะไม่ทำร้ายตัวเอง หากบาดเจ็บ ก็เชื่อกันว่า คงจะถูกทำร้าย ถ้าแม้นสามารถทำเท็จให้เป็นจริงให้ศัตรูเชื่อไม่สงสัย กลอุบายก็จะสัมฤทธิ์ผล ทว่าการทำให้ศัตรูเชื่อ ก็พึงเข้าใจในจุดอ่อนของศัตรู ทำเท็จให้จริงจัง ให้เชื่อว่าจริงแท้ อาศัยจุดอ่อนแห่งจิต ลู่ตามจึงพิชิต คำนี้มาจาก คัมภีร์อี้จิง ปิด หมายความว่า อาศัยความไร้เดียงสาของทารก ล่อหลอกโดยโอนอ่อนผ่อนตามไปก็จักลวงให้บรรลุจุดประสงค์ได้ กลยุทธ์นี้ เป็นอุบายใช้การทำร้ายตัวเอง ให้ศัตรูหลงเชื่อ เพื่อมึนชาแล้วพิชิตศัตรูอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือกรณีผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ หรือที่เรียกกันในชื่อของเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนทั้งโลกตะลึงงัน ตัวการสำคัญในการปฏิบัติการอันสะเทือนขวัญของคนทั้งโลกนั้น เป็นเพียงกลุ่มกองโจรที่ปฏิบัติการสงครามกองโจรอยู่ในที่ราบสูงดินแดนประเทศอัฟกานิสถานเท่านั้น ทำให้ตึกที่สูงเสียดฟ้าของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ต้องพังครืนลงมา มีผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ ไม่ต่ำกว่า ๒,๕๐๐ คนสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับชาวโลก สร้างความโศกเศร้าเสียใจและความโกรธแค้น ให้กับชาวอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อรวบรวมหลักฐานทั้งสิ้นแล้ว สามารถที่จะพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด ถึงการวางแผนถล่มตึกเวิร์ลดเทรด เซ็นเตอร์ โดยสหรัฐอเมริกาเอง ( การใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู วิเคราะห์ เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ และ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย: โดย พันโท โสภณ ศิริงาม นักศึกษาหลักสูตรความมั่นคงรุ่นที่ ๑๑ มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ระหว่าง ก.ย. ๒๕๔๕ ก.ย.๒๕๔๖:http:// ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com ) เป็นการใช้กลยุทธ์ กลทุกข์กาย เพื่อที่จะให้ได้มาในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ เบื้องหลังของการที่สหรัฐฯ ต้องสร้างเหตุการณ์ โดยการใช้กลทุกข์กายคือการที่ทำให้ประชาคมโลกเห็นว่าตนเองถูกทำให้เจ็บตัวโดยการสูญเสียชีวิต ชาวอเมริกันจำนวนมาก สูญเสียตึกระฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ คือตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ พร้อมทั้งดูว่าเป็นการสูญเสียเกียรติภูมินั้นเนื่องจากสหรัฐฯ ประสบปัญหาหลายประการด้วยกัน อาทิเช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนักที่สหรัฐฯ กำลังประสบอยู่ในเวลานั้นและวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ กำลังจะเกิดขึ้นตามมาและจะร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งใกล้กาลอันจะทำให้สหรัฐฯ ต้องล่มสลายได้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นประสบปัญหาด้านความนิยมตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศตน คือตกต่ำลงถึง ๔๐ % ภัยคุกคามจากที่จีนกำลังขยายอิทธิพลทั้งด้านการค้าและด้านการเมืองระหว่างประเทศ เข้าแทนที่สหรัฐอเมริกาและกำลังจะเข้าแทนที่การเป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกแทนสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การบีบคั้นจากกลุ่มอิทธิพลภายในประเทศเพื่อให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ การกดดัน ด้านเศรษฐกิจจากการขยายตัวของเงินตระกูลยูโรของกลุ่มสหภาพยุโรปที่กำลังจะเข้ามาทดแทนพื้นที่ การยึดครองของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในตลาดการเงินของโลก พร้อมทั้งประชาคมโลกกำลังรุมบีบคั้นสหรัฐฯ จากนโยบายอันผิดพลาดของสหรัฐฯ เองหลายประการด้วยกัน เมื่อสหรัฐอเมริกายอมที่จะเจ็บกายตาม กลทุกข์กาย ตามที่ตนเองได้สร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ขึ้นแล้ว ผลตอบแทนที่สหรัฐฯ ได้รับคือ ๑) สามารถที่จะนำประเทศของตนให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่ประดังเข้ามาก่อนที่จะสร้าง เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน และหลังจากที่ เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างขึ้นแล้ว จากหลักฐานดังที่แสดงไว้แล้ว ในตอนต้น วิกฤตการณ์ของสหรัฐอเมริกาประกอบไปด้วยวิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมือง ที่มีทั้งการเมืองภายในและการเมืองในระดับนานาชาติ วิกฤตทางด้านความมั่นคงปลอดภัยแต่วิกฤตที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาวิกฤตทั้งหลายคือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ๒) สามารถที่จะลดความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสองเสือเศรษฐกิจของโลกที่เป็นคู่แข่ง อันฉกาจฉกรรจ์ของสหรัฐฯ คือ จีนกับสหภาพยุโรป จีนจะแสดงบทบาทที่โดดเด่นในสังคมของประชาคมโลก ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและความเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐฯ จะถูกแทนที่ด้วยอิทธิพลของจีนในทุก ๆ ปัจจัยตามที่นักวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้รายงานไว้เงินยูโรดอลลาร์ได้ถูกประเมินว่าเป็นภัยคุกคามหลัก ต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดการเงินโลก ตามที่ทราบกันดีว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินที่ไม่ได้สร้าง ด้วยการรองรับของเศรษฐกิจจริงหรือทรัพย์สินจริงดังที่หลักสากลยอมรับกัน ดังนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นเงินปลอมตามความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม เงินยูโรดอลลาร์จะมีค่าที่แข็งขึ้นเนื่องจากมีทองคำสำรอง และมีเศรษฐกิจจริงที่มีความแข็งแกร่งของกลุ่มสหภาพยุโรปรองรับค่าเงิน ฉะนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะค่อย ๆ ถูกผลักให้ไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิดของตนโดยอิทธิพลของเงินยูโรดอลลาร์และฟองสบู่ขนาดมหึมา จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจุดจบของจักรวรรดิสหรัฐแห่งอเมริกาก็จะปรากฏขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ๓) ประสบความสำเร็จในการควบคุมระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศมหาอำนาจชั้นรองคือ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซีย พร้อมกับได้ส่งกำลังทหารส่วนหนึ่งไปประจำที่เอเชียกลาง เพื่อสอดส่องดูและการเคลื่อนไหวของรัสเซียและจีนอีกด้วย ๔) สามารถที่จะดำรงสภาพความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาไปได้อีกยาวนาน จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในการครอบครองเศรษฐกิจโลกโดยการใช้สงครามเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ หลังจากได้สร้าง ๒ เหตุการณ์ขึ้นแล้ว( ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ และ สงครามถล่มอัฟกานิสถาน ) ทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้นจากประเทศมุสลิมได้อย่างมั่นคง รวมทั้งกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในทวีปอัฟริกา ที่สำคัญคือการเข้าครอบครองแหล่งแรงงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้ อย่างจีนเพื่อที่จะนำไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ๕) สหรัฐฯ สามารถที่จะดำรงความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับกลุ่มครูเสดได้อีกครั้งหนึ่ง ( Crusader Groups) กลุ่มครูเสด เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ต่อเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย กลุ่มครูเสดเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ FED ซึ่ง FED เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดย ๘ ตระกูลคาทอลิกที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปและอเมริกาซึ่งครอบครองธุรกิจขนาดยักษ์ ๕ กลุ่มธุรกิจทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกที่เป็นสาขาของสหรัฐอเมริกา และ FED เป็นผู้สร้าง CIA เพื่อให้สามารถที่จะรักษาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของตนในทั่วทุกมุมโลก ๖) บรรลุเป้าหมายในการอ้างความชอบธรรมในการส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่มีความสำคัญ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งปวงของสหรัฐฯ ในการรักษาผลประโยชน์ของตนในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ตามที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกามีอยู่ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์ สหรัฐฯ ต้องการอย่างยิ่งยวด เพื่อที่จะให้สถานการณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมได้โดยองค์กรต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ได้ส่งออกไปแล้วในช่วงของการทำ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย ๗) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำลายจีนโดยแผน ปิดล้อม ,แบ่งแยกและย่อยสลายจีน โดยสหรัฐอเมริกา ๘) เพื่อเป็นเงื่อนไขในการสร้างความชอบธรรมในการบุกอิรักเพื่อยึดครองอิรักและตะวันออกกลางอีกครั้งหนึ่ง ในปี ๒๕๔๖ อันเป็นการเข้ายึดครองแหล่งความมั่งคั่งของโลกและพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลกไว้อีกด้วย ถ้าติดตามรายการโทรทัศน์หลายรายการในการพิสูจน์เรื่องการโจมตีเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา โดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นจะเห็นว่า การโจมตีนั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ของสหรัฐฯ เอง โดยให้ชาวโลกได้รับรู้ว่าเป็นการกระทำของญี่ปุ่นแต่เพียงฝ่ายเดียวแต่แท้ที่จริงแล้วหลักฐานของ ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศได้ยืนยันว่าเป็นการกระทำของสหรัฐอเมริกาเองหลังจากที่สหรัฐฯ ได้มีการประเมินกำลังที่เหลือของมหาอำนาจต่าง ๆ ที่ได้ทำสงครามกันมาตั้งแต่ต้นแล้วนั้น ต่างก็อ่อนล้าบอบช้ำกันแล้วทั้งนั้น แม้แต่อังกฤษที่เป็นฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมกับสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถ ที่จะฟื้นกลับคืนมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้อีกต่อไป เยอรมนี ญี่ปุ่น รัสเซีย ฝรั่งเศส หรือประเทศใด ๆ ก็ตาม ไม่สามารถที่จะกลับฟื้นคืนอำนาจของได้อีกอย่างแน่นอนแล้วสหรัฐฯ จึงกระโจนเข้าสู่สงครามในฐานะ ประเทศมหาอำนาจที่มีกำลังสดชื่นที่สุด และสหรัฐฯ มั่นใจว่าเมื่อเข้าร่วมทำสงครามในตอนนั้นแล้วตน จะต้องเป็นฝ่ายได้ชัยชนะอย่างแน่นอนและสามารถที่จะก้าวกระโดดเป็นมหาอำนาจชั้นนำของโลกได้ และจำสามารถครองความเป็นมหาอำนาจได้อีกยาวนานไม่ต่ำกว่า ๑ ๒ ร้อยปีเลยทีเดียว สหรัฐฯ จึงตัดสินใจสร้างเหตุการณ์ถล่มเพิร์ลฮาเบอร์ขึ้นและก็ได้รับผลตอบแทนตามที่สหรัฐฯ ต้องการทุกประการ เหตุการณ์ครั้งนี้มีชาวอเมริกันเสียชีวิตประมาณ ๖,๐๐๐ เศษ นั่นคือ กลทุกข์กาย ที่สหรัฐอเมริกา ได้เคยใช้มาแล้วในอดีต และกลยุทธ์อย่างนี้จะปกปิดความจริงได้อย่างแนบเนียนแม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาและติดตามเรื่องราวอย่างถ่องแท้ก็จะไม่เข้าใจ แต่ความขลังของกลยุทธ์นี้ก็ยังคงมีอยู่ ตลอดไปเท่าทุกวันนี้ กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปไว้ว่า คำโบราณของจีนมีกล่าวไว้ว่า ร่างกาย เส้นผม และผิวหนัง ได้มาจากบิดามารดา มิควรทำลาย นี้คืออันดับแรกแห่งความกตัญญู คำคำนี้เป็นทัศนะคติที่ฝังรากลึกอยู่ในมโนธรรมของชาวจีนมาช้านาน ดังนั้น การจงใจทำร้ายร่างกายตนเอง ยอมสวามิภักดิ์ แก่ศัตรูด้วยอุบาย จึงมักจะได้รับความเห็นใจ ให้ความเชื่อถือ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ล้ำลึกกว่า กลไส้ศึก เคยได้รับความสำเร็จอย่างงดงามมามากหลาย ตั้งแต่โบราณกาล หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: carrera ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 02:45:24 PM ล้ำลึกครับ ;D ;D ;D
หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๕ กลลูกโซ่ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 03:16:44 PM กลยุทธ์ที่ ๓๕ กลลูกโซ่
ขุนพลมากไพร่พลหลาย มิพึงปะทะด้วย ปล่อยให้อ่อนเปลี้ย ขจัดเสียซึ่งความแกร่ง แม่ทัพผู้ปรีชา จักได้ฟ้าอนุเคราะห์ กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อกำลังศัตรูเข้มแข็งกว่าหลายเท่า จักปะทะด้วยมิได้เป็นอันขาด พึงใช้กลอุบายนานา ให้ศัตรูต่างถ่วงรั้งซึ่งกันและกันทำลายความแกร่งของศัตรู หรือร่วมมือกับ พลังต่าง ๆ ทั้งมวล ร่วมกันโจมตีเพื่อขจัดความฮึกเหิมของศัตรูลงไป แม่ทัพผู้ปรีชา จักได้ฟ้าอนุเคราะห์ มาจาก คัมภีร์อี้จิง แม่ทัพ อันความหมายว่า แม่ทัพผู้ปรีชา ย่อมสามารถจะบัญชาการศึก ได้อย่างคล่องแคล่วดุจดั่งคล้อยตาม ความประสงค์ของฟ้า จัดต้องได้รับชัยชนะเป็นมั่นคง กลยุทธ์ที่เรียกว่า กลลูกโซ่ นี้ หมายถึงอุบายที่ใช้ซ้อนกัน ตั้งแต่ สองอุบายขึ้นไป เพื่อเอาชัยแก่ศัตรูอย่างหนึ่ง ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ... ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ(Force 21) นับตั้งแต่กลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ จวบจนปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจของไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤตตกต่ำสุดขีด เสียยิ่งกว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเราท่านไม่อาจจะคาดคำนวณกันได้ว่าผลสรุป และจุดจบของสภาวะเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองไปถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ว่า มาจากสภาพเศรษฐกิจของโลกบ้าง การตัดสินใจผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทยบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะกล่าวอ้างกันขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ คือไม่มีนักวิชาการ นักเศรษฐ ศาสตร์ผู้ใด ที่จะบอกกล่าว เล่าเตือนถึงมหันตภัยทางเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยล่วงหน้าถูกต้องได้เลยแม้แต่คนเดียว วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นแทบจะเรียกว่าข้ามคืนเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะใช้หลักวิชาการมาเป็นตัววิเคราะห์วิจัย ก็ไม่สามารถแก้ไขได้แม้แต่น้อย ยิ่งแก้ไขยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์อันดับหนึ่งของโลกผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเดินทางมาบรรยายในประเทศไทย ก็ยังคาดคำนวณสถานภาพเศรษฐกิจไทยล่วงหน้าผิดพลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ฉะนั้นอย่าพูดถึงนักการเมือง นักบริหาร หรือนักวิชาการในประเทศไทยเลย ที่จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ล่วงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร ที่ภาวะวิกฤตนี้เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเซีย/กำลังอยู่ในภาวะเจริญ เกือบสุดขีดจนประเทศเพื่อนบ้านของเรายึดถือเอาประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เงินกู้เงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมหาศาลที่กำลังไหลเข้าสู่ประเทศไทยมิได้ไหลเข้ามาเพราะคนต่างชาติโง่ หรือคนไทยหลอกลวงเก่ง เพราะการกู้ยืมโดยสถาบันการเงินก็ดี หรือโดยนักธุรกิจอิสระก็ดี เจ้าหนี้ผู้ให้ยืมเงินหรือ ร่วมลงทุนเหล่านั้นล้วนเป็นชาวต่างประเทศ ที่มาจากสารพัดชนชาติที่ทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ล้วนแล้วแต่ มีผู้ชำนาญทางการเงิน ซึ่งเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ถึงอนาคตการลงทุน และแนวทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทยว่าจะรุ่งเรืองที่สุดในย่านภูมิภาคเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้จึงปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชนลงทุน ในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุปัจจัยใดที่พอน่าเชื่อได้ว่านักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักลงทุน ที่ปล่อยเงินกู้เหล่านั้น นัดกันไอคิวตกทั้งโลก หากเช่นนั้นสาเหตุหรือมูลฐานปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไรกันแน่ ที่เป็นสาเหตุให้ ประเทศไทยตกเหววิกฤตแห่งเศรษฐกิจเพียงชั่วข้ามคืน นี่แหละคือคำถาม และบทวิเคราะห์ต่อไปนี้ อาจจะเป็นแนวทางที่ ชี้ถึงสาเหตุแห่งธนภัยและวิกฤต ซึ่งจะช่วยในการหาวิธีแก้ไขได้ถูกทางยิ่งขึ้น ในปลายปี ๒๕๑๗ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ได้มีการทบทวนบทบาทของการพ่ายแพ้ในการรบ ในสงครามเวียตนาม พบว่าชัยชนะไม่อาจได้มาด้วยการใช้กำลังอาวุธหรือกำลังพลที่เหนือกว่าตามที่เชื่อกันมาในอดีต ดังนั้นจึงได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นเพื่อวิเคราะห์ถึงยุทธวิธีสำหรับการรบในศตวรรษที่ ๒๑ (Force 21) ว่าควรเป็นไปในรูปใด จึงจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จถาวร มีการสูญเสียน้อยที่สุด เอื้อผลประโยชน์ให้มากที่สุด และใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติการสั้นที่สุด การวิเคราะห์ทดสอบของหน่วยงานนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ๒๕๓๓ ได้ผลสรุปว่าการยึดอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้นจะให้ชัยชนะและผลประโยชน์อย่างถาวร อันเป็นแผนปฏิบัติการที่ถูกนำมาใช้เรียกว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ โดยมีสมการของยุทธวิธีคือ E = MOC 2 E (Economic) เศรษฐกิจ M (Mental) สร้างความเชื่อใหม่, สลายศรัทธาเดิม O ( Organization) สร้างกระแส, ทำลายระบบการเมือง C (Cash Value) ทำลายค่าของเงิน C (Cash Control) ควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ สาเหตุที่หน่วยงานดังกล่าวต้องใช้สมการนี้เป็นหัวใจของยุทธวิธี ก็เนื่องจากได้วิจัยพบว่า เหล่านักวิชาการ หรือนักเศรษฐศาสตร์อันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ล้วนร่ำเรียนตามหลักวิชาที่มีรากฐานทางเดียวกันทั้งสิ้น ทั้งการสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ฉะนั้นหากมีปัญหาใดที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจปกติสามัญแล้ว ก็จะไม่พ้นปัญญาของผู้รู้เหล่านั้นที่จะแก้ไขได้ไม่ยาก ดังนั้นสมการนี้จึงถูกพัฒนาให้มีความผกผันในตัวของมันเอง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยพื้นฐานทางวิชาการเท่านั้น สมการนี้ยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้การแก้ปัญหา ในทุก ๆ ครั้งผิดแนวทางไร้ประโยชน์ และการแก้ไขนั้นจะกลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสมการนี้บรรลุเป้าหมาย เร็วยิ่งขึ้นไปอีกโดยอัตโนมัติ เท่ากับเป็นการช่วยเหลือสมการนี้เสียด้วยซ้ำ ตอนนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยใดทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะได้มีการวางแผนงานไว้แล้วอย่างเป็นขั้นตอน ผู้เขียนขอมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ ของท่านผู้อ่าน ที่จะวินิจฉัยด้วยภูมิปัญญาตามหลักวิชาการของแต่ละท่านโดยอิสระ หน่วยงานนี้ได้ค้นพบว่า สมการนี้จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อสามารถหาพื้นที่อันเป็นฐานที่มั่นถาวรในการปฏิบัติการ ทางยุทธวิธีที่เรียกว่า ยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ อันประกอบไปด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์และเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์ ครบ ๕ ประการ(Give Me 5) คือ ๑. ทางบก มีพื้นที่เป็นผืนเดียวกับแผ่นดินใหญ่ สามารถขยายเส้นทางคมนาคมทั้งทางยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์ หรือเชื่อมต่อกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต และมีอำนาจการซื้อได้โดยง่าย ๒. ทางน้ำ มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่สามารถขยายศักยภาพทางทะเล ทั้งทางทหารและ ทางพาณิชย์(พาณิชย์นาวี) ได้ครอบคลุมภูมิภาค ๓. ทางอากาศ มีความพร้อมในการขยายศักยภาพทางอากาศทั้งทางทหาร และเชิงพาณิชย์ ในพิสัยโดยรอบภูมิภาค ๔. มีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านการเกษตร สามารถขยายฐานผลิตด้านเกษตรได้โดยง่าย และมีพื้นที่ติดกับประเทศที่มีฐานทางการเกษตร (เนื่องจากสภาวะเรือน กระจกทำให้ผลผลิตสินค้า ด้านบริโภคจะมีความต้องการสูงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดในอนาคตของตลาดโลก) ๕. ผูกค่าสกุลเงินตราของประเทศไว้กับเงินสกุลดอลลาร์ ด้วยปัจจัยหลักดังกล่าวนี้ประเทศไทยนับว่า เป็นประเทศที่มีครบทุกประการ ฉะนั้นประเทศไทยอาจถูกเลือกให้เป็นยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ในการดำเนินยุทธวิธี แต่ทั้งนี้การดำเนินยุทธวิธีของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจะต้องขึ้นอยู่กับดัชนีแห่งเวลา (Time Table) เป็นตัวชี้นำว่า เมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะปฏิบัติการใช้ยุทธวิธีนี้ หากดัชนีแห่งเวลาไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่สามารถบรรลุผลได้ ดังนั้นยุทธวิธีจึงถูกแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอน โดยมีดัชนีเวลาเป็นตัวกำหนดอัตราเร่งและปฏิบัติการที่ตายตัว ขั้นตอนที่ ๑ เริ่มในปี ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๓๙ ใช้ยุทธวิธีตัว M(Mental)สร้างค่านิยมใหม่ สลายศรัทธาเดิม ประสานกับ O (Organization) สร้างกระแส ประสานเสริมศักยภาพให้กับ M ขั้นตอนที่ ๒ เริ่มในปี ๒๕๔๐ ใช้ยุทธวิธีของ C (Cash Devalue)อันเป็นC ตัวที่หนึ่ง เป็นตัวนำ โดยการทำลายค่าของเงินให้ต่ำลงเพื่อบีบให้เข้าสู่ ขั้นตอนที่ ๓ โดยใช้อัตราเร่งรวมจากผลคูณของ M และ O ขั้นตอน ๓ เริ่มในปี ๒๕๔๑ เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ใช้ยุทธวิธีของ C ตัวที่สองซึ่งจะมีอัตราเร่งสูงสุด จากผลคูณของมวลรวมของ ๑ และ ๒ โดยมีเป้าประสงค์อยู่ที่การเข้าควบคุมระบบการเงินทั้งหมดให้ได้แบบเบ็ดเสร็จถาวร โดยอาศัยอำนาจทางกฎหมาย หรือวิธีการอื่นใด เมื่อภาระกิจสามขั้นตอนดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นลงตามดัชนีเวลา (Time Table) นั่นก็หมายความว่ายุทธวิธี ทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ บรรลุเป้าประสงค์ สามารถยึดฐานที่มั่นอันถาวรเพื่อปฏิบัติการต่อเนื่องต่อไป ประเทศไทยเป็นประเทศอันอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมถึงขั้นเกือบ ๑๐๐% ที่ได้เตรียมการไว้อย่างเป็นรูปธรรม ในการต้อนรับนักธุรกิจ และนักลงทุนชาวฮ่องกง ที่มีความตั้งใจจะย้ายฐานการดำเนินการดำเนินธุรกิจจากเกาะฮ่องกง เข้าสู่ประเทศไทยภายหลังฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน มีการก่อสร้างที่พักอาศัย และอาคารพาณิชย์ไว้รองรับอย่างพรักพร้อม จึงมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์กันมากเป็นประวัติการณ์ สถาบันการเงินทุกแห่ง ต่างปล่อยสินเชื่อในด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ด้วยปัจจัยนี้เป็นหลัก ซึ่งหากปล่อยให้นักธุรกิจฮ่องกงย้ายฐานมาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาเซี่ยนได้เมื่อใดก็ตามนั่นหมายถึงความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของเอเซียอันเต็มไปด้วย ทรัพยากรทางเกษตรซึ่งเปรียบเหมือนกระเพาะของโลก จะเป็นตัวได้เปรียบทางด้านการค้า และการเงินของโลกในอนาคต อย่างมหาศาล เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของตลาดการค้าอื่น ๆ ซึ่งไม่มีพื้นที่จะสร้างผลผลิตทางเกษตรอันปัจจัยหลัก ในการดำรงชีพ เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และประกอบกับประเทศมหาอำนาจได้สูญเสียศักยภาพทางทะเล ในด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไป ยังไม่สามารถหามาทดแทนได้ ฉะนั้นอาศัยดัชนีเวลาที่เหมาะสมเป็นไปได้ว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นโดยมีประเทศไทยเป็นเหยื่อแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามยุทธวิธีแห่งสมการ ดังกล่าวตลอดมา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๓ ผู้เขียนจะไม่อธิบายในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้เองอย่างเป็นรูปธรรม ฉะนั้นจะขอลำดับเหตุการณ์ เฉพาะเหตุการณ์สะท้านโลกที่พาประเทศและประชาชนชาวไทย ก้าวเข้าสู่ห้วงวิกฤต ดังนี้ ในช่วงปลายปี ๒๕๓๙ ได้มีการข่าวที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งจริงและไม่จริง ทำลายความเชื่อ มั่น ในสถาบันการเงิน อย่างเป็นระลอก นี่เป็นการเริ่มต้นของ M(Mental) อันเป็นอักษรตัวแรกของสมการ เพื่อก่อให้ความเชื่อว่าน่าจะเป็นจริง ตามข่าวลือนั้นคือเกิดกระแส O(Organization) อักษรตัวที่สองคือความไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเงินเกิดขึ้น กับประชาชนในประเทศไทยจากนั้นเป็นหน้าที่ของ C(Cash Value) อักษรตัวที่สามอันสร้างจากสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ส์ และ เอสแอนพีประสานงานกันอย่างต่อเนื่องโดยลดความน่าเชื่อถือของไทยลงไป ตามติดด้วยนายจอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ค่าเงินบาทตกต่ำลงในทันทีและการกระทำดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เป็นการกระทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งได้เคยกระทำมาในอดีต โดยการป้องกันค่าเงินบาท แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ดังได้กล่าวไปแล้วว่าสมการนี้มีความผกผันมากมาย ฉะนั้นยิ่งแก้ไขยิ่งยุ่งเหยิง พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ประกาศจะสู้กับนักค้าเงินให้ถึงที่สุด ไทยเป็นเลือดนักรบมาแต่บรรพกาล แม้รู้ว่าจะต้องตายก็ขอสู้จนเลือดหยดสุดท้าย แต่ถึงท่านจะเก่งอย่างไร มีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการเงินที่เชี่ยวชาญขนาดไหน ก็ไม่มีวันพ้นศักยภาพแห่งสมการของ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ได้ตั้งดัชนีเวลาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการปล่อยข่าวทำลายศรัทธา(M) ทั้งสถาบันการเงิน และตัวท่านจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดท่านก็พลาดเข้าสู่สมการอุบาทว์แห่งยุทธวิธีนี้จนได้ ในการสั่งปิดสถาบันการเงินต่าง ๆ (O) และในที่สุดในวันที่ ๒ ก.ค.๒๕๔๐ ประเทศไทยต้องประกาศให้เงินบาทลอยตัว(C) ทำให้เงินบาทมีค่าน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน ดูเวลาช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน ย่อมมิใช่เป็นการบังเอิญเป็นแน่ และเป็นอุบัติการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งโลกช็อค หาคำตอบและสาเหตุไม่ได้ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ และไม่มีปัจจัยบอกเหตุทางเศรษฐศาสตร์ให้รู้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ สมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมิได้หยุดเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งทางของเป้าประสงค์เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากตัวสมการทุกตัวของยุทธวิธีมีค่าเป็นคูณเสมอ โดยเฉพาะตัวอักษร C นั้นนอกจากจะคูณแล้วยังยกกำลังสองอีกด้วย การปฏิบัติการจึงดำเนินต่อไปด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ สมการนี้ก็เริ่มดำเนินการอีกโดยการสร้างความเชื่อ ในสังคมว่าประเทศไทยต้องพึ่ง สถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF แห่งเดียวเท่านั้นจึงจะรอดพ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจ ในขณะที่สถาบันและองค์กรการเงินในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันสถาบัน การสร้างความเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่า นโยบายการทำงานของ IMF จะช่วยให้สมการ นี้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะในการสลายองค์กร(C) ซึ่งแน่นอนที่สุดสมการนี้ก็ประสบผลสำเร็จเช่นเคย ประเทศไทยตกลงกู้เงินจากIMF (ซึ่งเป็นตัวเบิกทางให้กับ C ตัวที่สอง) ให้เข้าควบคุมองค์กรและระบบการเงินของประเทศได้ โดยใช้เงื่อนไขเป็นหลักในการดำเนินการในอนาคต เส้นทางของเป้าประสงค์แห่งสมการอุบาทว์นี้ยังอยู่อีกไกล ทั้งนี้เป็นด้วยองค์ประกอบในขณะนั้น พรรคฝ่ายค้าน ล้วนแล้วแต่เป็นนักกฎหมาย ย่อมคัดค้านต่อรัฐบาลในการที่จะออกกฎหมายให้คนต่างชาติมีสิทธิทางกฎหมายเท่าเทียมกับ คนไทยในประเทศได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสัมฤทธิ์ผลในการเข้ายึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์ ตามกฎหมายและดุษณีภาพ สมการของ C ตัวที่สอง ดังนั้นยุทธวิธีทำลายความเชื่อมั่นในตัวผู้นำจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม (M) การสร้างแนวร่วมขึ้นต่อต้านโจมตีนโยบายรัฐบาล(O) พร้อมไปกับการลดความเชื่อถือทางการเงินทำให้ค่าเงินบาทลดลง อย่างน่าใจหาย (C) ในที่สุดรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ก็จบลง อันเป็นไปตามขั้นตอนของยุทธวิธี แห่งสมการ รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย เข้ารับหน้าที่แทน มีคณะทีมเศรษฐกิจซึ่งบอกเล่ากล่าวขานกันว่า มีฝีมือในการบริหารการเงิน เพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็มิได้รอดพ้นที่จะเป็นเครื่องมือของสมการอุบาทว์นี้เช่นกัน โดยแทบจะทันทีทันใดหลังรับตำแหน่ง ก็ได้สั่งปิดองค์กรและสถาบันการเงิน ๕๖ แห่งอย่างถาวร ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว การสั่งปิดหรือยึดทรัพย์ สินนั้นเป็นอำนาจของศาล ภายใต้ข้อเท็จจริงอันได้พิสูจน์โดยชัดแจ้ง ซึ่งก็นับว่าขัดต่อกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่จะใช้พิสูจน์ว่าหนี้ใดดีหนี้ใดเสียได้อีกด้วย แต่ด้วยพลังแห่งสมการทำให้ ทีมเศรษฐกิจใช้เพียงข้อสมมุติฐานว่าหากปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้ว จะทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นกลับมาลงทุน และค่าเงินบาทจะสูงขึ้นกว่าเดิม ผลปรากฏว่าต่างชาติกลับลงทุน ในตลาดหุ้นของไทยน้อยลง รวมทั้งค่าเงินบาททำสถิติตกดิ่งต่ำยิ่งกว่าเดิม ผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบายกันซ้ำอีกละว่า ยิ่งแก้เหมือนยิ่งช่วยเร่ง ผลที่เกิดตามมาคืออุตสาหกรรมการส่งออกขาดสภาพคล่องไม่มีเงินในการซื้อวัตถุดิบในการผลิต พนักงานตกงานในทันทีนับเป็นหมื่นคน วงล้อสมการอุบาทว์ยังคงหมุนต่อไป การทำลายความเชื่อถือในเงินบาท ยังเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอโดยสถาบันความเชื่อถือมูดี้ ประกาศลดเครดิตต่ำลงไปอีก ทำให้ต้องใช้เงินกู้ที่เป็นเงินสำรอง ออกแทรกแซงค่าเงินบาทซ้ำแล้วซ้ำอีก แนวความคิดเริ่มจะเชื่อว่าหากมีชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในบริษัทของคนไทย หรือซื้อบริษัทไปบริหารเลยได้มากเท่าไรจะช่วยเศรษฐกิจไทย ได้มากขึ้นเท่านั้นแรงขึ้นทุกขณะ และเกิดการเปลี่ยนแปลง บทบัญญัติอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นนิติบุคคลได้เกินกว่าร้อยละ 50 และต่อไปคืออนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดิน และประกอบอาชีพได้เช่นประชาชนไทย ภายใต้ความเชื่อว่าเป็นการนำเงินตราเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ ชาวต่างชาติเข้าซื้อหรือถือหุ้นในขณะนี้กลับเป็นสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้รัฐบาลมีความเชื่อว่าเป็นตัวก่อปัญหา ให้เกิดหนี้สิน (สิ่งนี้จะเห็นได้อย่างชัดในเรื่องตลาดเงินเสรี อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้สมการนี้) จะเห็นว่า ความผกผันของสมการนี้มีศักยภาพสูงมากเพราะว่ายิ่งแก้ไขมากเท่าไรยิ่งจมลงสู่ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ลึกลงไปทุกที สัจธรรมที่ว่าอย่าเชื่อสิ่งที่เห็น จงเชื่อสิ่งที่เป็น ยังคงความอมตะเสมอ ทีนี้เรามาดูถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไป ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อเกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้เกิดขึ้น ทางแก้ปัญหาโดยสามัญคือ การส่งสินค้าออกให้มากที่สุดเพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากที่สุด แต่สำหรับสมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้การแก้ไขคือการฆ่าตัวตาย พิสูจน์กันได้ชัดดังนี้คือ สินค้าออกของเราคือข้าว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นกันไปทั่วว่าเราขายข้าวเป็นสินค้าออกมากกว่าปีที่แล้ว และยังได้ราคาดีกว่าด้วยตามปกติแล้ว ย่อมหมายถึงกำไร แต่เปล่าเลยด้วยสมการนี้ ยิ่งส่งออกยิ่งขาดทุน ลองมาดูตัวเลขกันแบบตันต่อตันก็ได้ ในปี ๒๕๓๙ เราขายข้าวตันละ ๔,๐๐๐ บาท เท่ากับ $๑๔๒.๘๖(๒๘บาท/ดอลลาร์) แต่ในปี ๒๕๔๐ เราขายข้าวตันละ ๖,๐๐๐บาท เท่ากับ ๑๒๗.๖๖(๔๗บาท/ดอลลาร์) เมื่อนำเอาตัวเลขตามอัตราแลกเปลี่ยนมาลบกันจะเห็นว่าเราขาดทุนไปตันละ ๑๕.๒๐ ดอลลาร์ หรือประมาณ ๗๑๔บาท ในการขายข้าวทุก ๆ หนึ่งตัน ดังนั้นยิ่งส่งออกข้าวมากขึ้นเท่าไร นั่นหมายถึงเรายิ่งได้เงินน้อยลง และซ้ำร้ายไปกว่านั้นโรงสี ผู้รับซื้อข้าวขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนักไม่มีเงินสดมาซื้อข้าวจากเกษตรกร เนื่องจากสถาบันทางการเงินถูกปิด หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การแนะนำเงื่อนไขของ IMF ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการสร้างสภาพคล่องทางการเงินคือสร้างให้เกิดกระแสการเงินหมุนเวียนภายในประเทศให้มากที่สุด ส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยให้มาก หรือตามปกติ แต่ไม่ควรใช้ของนอก จำกัดการนำของนอกเข้า หรือจำกัดการนำเงิน ออกนอกประเทศ รีบกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้มากที่สุดโดยผ่านทางงบประมาณของรัฐ สร้างความเชื่อถือในความมั่นคง ของสถาบันการเงินให้มากที่สุด แต่เนื่องจากว่าการแก้ไขปัญหาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ได้สัญญาไว้กับ IMF เอาเฉพาะเรื่องที่เกิดความผลผิดพลาดอันจากคำแนะนำของ IMF ที่เกิดขึ้นกับประเทศเมื่อวันที่ ๘ ธ.ค.๒๕๔๐ ปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง ทำให้ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเฉพาะ ๔๘ ชั่วโมงแรกหลังคำสั่งนั้นกว่า ๕ หมื่นล้านบาท เฉพาะชั่วโมงเดียว ทำให้ประเทศไทยที่แทบจะไม่มีเงินสำรองอยู่แล้วต้องนำเงินออกมาปกป้องค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองของประเทศสูญไปอีก ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปัจจุบันว่าหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกมากเท่าใดใครจะรับผิดชอบ เงื่อนไขและคำแนะนำดังกล่าวมีผลกระทบไปถึงประชาชนชาวไทย มีผลต่อวิถีชีวิตครอบครัว สภาพธุรกิจทั่วไปซึ่ง ไม่อาจดำเนินกิจกรรมได้โดยปกติสุข ปัญญาผู้มีความรู้ทั้งทางการเงินและสาชาต่าง ๆ อันเป็นทรัพยากรบุคคลนับเป็นล้านคน ซึ่งรัฐได้เสียงบประมาณการศึกษาหลายแสนล้านสร้างขึ้นมา กลายเป็นบุคคลไร้อาชีพ เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวเอง เนื่องจากขาดสภาพคล่องในการดำเนินการ ก่อให้เกิดภาวะอาชญากรรม และเพิ่มจำนวนทุจริตชนมากขึ้น อันหมายถึง ความไม่สงบเรียบร้อยภายในย่อมเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงสภาพสังคมของเยาวชนไทยที่ต้องออกจากการศึกษา เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนานที่ฝังรากลึกกับอนาคตของชาติในด้านศีลธรรมจรรยา ที่พวกเขาพลาดเวลาในการเข้าศึกษาอบรมในวัยอันควรซึ่งจัดเป็นปัญหาในแนวดิ่ง การตัดงบประมาณต่าง ๆ ทำให้เสียสภาพคล่องในประเทศจัดเป็นการสูญเสียในแนวราบ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำของ IMF ทั้งสิ้น ต้องกล่าวชม นายกมหาเธร์ โมฮัมมัด ที่ไม่ยอมหลงกลเป็นเหยื่อให้กับสมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้ ซึ่งปรากฏผลว่า ปัจจุบันค่าเงินริงกิตของมาเลเซียไม่ได้ตกต่ำตามที่ใครๆ คิด เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในเวลาเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจ ในมาเลเซียปัจจุบันก็มิได้เลวร้ายเช่นดังเกิดขึ้นในประเทศไทย ในอนาคตระบบธนาคารของไทยโดยเฉพาะสินเชื่อ จะเป็นอัมพาต หนี้ด้อยคุณภาพจะพุ่งขึ้นสูงสุด สั่งเข้าส่งออกจะตายสนิท และต่างชาติ มหาอำนาจจะใช้รัฐบาลเป็นเครื่องมือออกกฎหมาย เพื่อเข้ายึดครองเบ็ดเสร็จ ณ จุดนี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ประเทศของเราเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไปแล้วหรือไม่ หากไม่เหตุไร เราจึงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยคนไทยเอง เหตุใดเราจึงต้องได้ยินคำกล่าวอ้างทุกครั้งว่าเป็นคำสั่ง หรือเป็นเงื่อนไขของ IMF เป็นผู้ให้กระทำทั้งสิ้น สิ่งที่น่าแปลกที่สุดในขณะนี้ก็คือการกระทำตามเงื่อนไขกลับเพิ่มปัญหา และส่งผลในทางลบกับประเทศ การกระทำหลายอย่างขัดต่อ ตัวบทกฎหมายความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี อันส่งผลร้ายในระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าชาวไทยในแผ่นดิน มิได้เลือกเว้นว่าเป็นลูกเล็กเด็กแดง อันไม่มีส่วนรับรู้ตกอยู่ในสภาพของเสมือนดังลูกหนี้ถ้วนหน้ากัน ต้องมีหน้าที่ใช้หนี้ที่ไม่เคยรู้เห็น ฉะนั้นหากเราเป็นหนี้ IMF จริง โดยสภาพกฎหมายประชาชนไทยในฐานะลูกหนี้ ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เห็นสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับเจ้าหนี้คือ IMF เพราะนับแต่วันที่อ้างว่ากู้เงิน IMF มาจนบัดนี้ยังไม่เคยมีการแสดงสัญญาเงินกู้ดังกล่าวต่อสาธารณชน และหากว่า สัญญาเงินกู้ดังกล่าวนั้นรัฐบาลถือว่าเป็นความลับของชาติ ภาครัฐก็สามารถส่งให้คณะกรรมการกฤษฏีกา หรืออัยการสูงสุด ซึ่งล้วนแล้วได้ผ่านการวินิจฉัยสัญญาอันเป็นความลับสุดยอดของประเทศมาแล้วทั้งสิ้น และเป็นอำนาจโดยตรงตามกฎหมาย ที่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญาใด ๆ อันรัฐได้กระทำกับต่างประเทศ ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบและ ผลประโยชน์ของประเทศอยู่แล้ว (เพราะไม่มีปรากฏในประมวลกฎหมายใดของประเทศไทย ที่อนุญาตหรือยกเว้นให้ชาวต่างชาติ มีอำนาจออกคำสั่ง ในการบริหาร สั่งการ หรือสร้างเงื่อนไขให้รัฐปฏิบัติตามได้ ผู้เขียน)แต่ก็ไม่เคยมีการส่งให้ หน่วยงานดังกล่าวตีความ เพราะข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงก็คือ ประเทศไทยไม่เคยทำสัญญาเงินกู้ใด ๆ เป็นลายลักษณ์อักษรกับ IMF แม้แต่ฉบับเดียว สิ่งที่นำมากล่าวอ้างเป็นเพียงข้อเสนอฝ่ายเดียวซึ่งรัฐบาลไทยเสนอกับ IMF ว่าจะทำอะไรตอบแทนบ้างเท่านั้น ดังที่เรียกกันว่าหนังสือแสดงเจตจำนงค์ หรือ LETTER OF INTENT นั้น ลงนามโดยรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว ซึ่งสามารถแก้ไข ยกเลิกได้ตลอดเวลา แต่ทำไมจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เช่นต้องปิดสถาบันการเงิน หรือขายรัฐวิสาหกิจ และไม่เคยปรากฏว่ามีสัญญาเงินกู้ LOAN AGREEMENT กับ IMF เลยแม้แต่ฉบับเดียว แล้วเราเป็นหนี้เขาแต่เมื่อไร ? นี่คือสิ่งที่ประชาชนไทยต้องการความกระจ่างชัด หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๕ กลลูกโซ่ (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 03:20:52 PM ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านผู้อ่านคงจะวินิจฉัยได้โดยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงขอฝากความเป็นความตายของชาติ
ไว้ในมือของท่านผู้ทรงปัญญา นักวิชาการและประชาชน ที่จะหาแนวทาง วิธีการแก้ไข ถอดสมการอุบาทว์ให้หมดศักยภาพไป " ก่อนที่คนไทย จะไม่เหลือแผ่นดิน " ( พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ : อ้างแล้ว ) สูตร E = MOC 2 นี้เป็นสูตรการปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้ยึดครองพื้นที่ต่าง ๆ แทนการเข้ายึดครองโดยกำลังทหารที่เคยใช้มา ตั้งแต่ในอดีตและได้มีการเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงเพื่อให้ประชาชนของประเทศที่เป็นเป้าหมายตายใจคิดไม่ถึงว่า การยึดครองจะสามารถใช้วิธีการอื่นนอกเหนือจากการใช้กำลังทหารได้ แต่เมื่อถูกยึดครองแล้วจึงรู้ตัว หรือไม่ก็ไม่รู้ตัวเลย ซึ่งโดยเป้าหมายของการใช้สูตรนี้ต้องการที่จะไม่ให้ประชาชนของประเทศที่เป็นเป้าหมายมีความรู้สึกว่าถูกยึดครอง ต้องการที่จะให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ในลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้วในที่สุดก็เฉยไป ผลที่ตามมาคือประชาชนเจ้าของประเทศไม่คิดที่จะต่อต้านการยึดครองอันนั้น นี่คืออานุภาพของสูตรแห่งการยึดครองอันนี้ กลยุทธ์นี้จึงสามารถที่จะเรียกได้อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นกลยุทธ์ ปิดฟ้าข้ามทะเล กลยุทธ์นี้ใช้การพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ของตน มิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้อย่างหนึ่ง นั่นคือการยึดครองทางเศรษฐกิจแทนการยึดครอง ด้วยกำลังทหารที่หาโอกาสใช้ยากขึ้นแล้วในยุคต่อ ๆ มา M ( Mental ) แท้ที่จริงแล้วการใช้การยึดครองจิตใจของคนหรือการเข้าครอบงำจิตใจ คือการยึดพื้นที่ทางสมองให้ วิธีการอาจจะเป็นลักษณะโดยการให้การศึกษาให้มีความเชื่อตามแนวทางของผู้ต้องการยึดครอง ประการนี้จะเห็นได้ว่า เมื่อผู้ใดก็ตามที่จบการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศมหาอำนาจใด ๆ ก็ตามก็มักจะมีจิตใจโน้มเอียงไป ในทางเข้าข้างประเทศนั้น ในประเทศไทย นักเรียนนอกในยุคปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จบการศึกษามาจากประเทศสหรัฐอเมริกา บุคคลเหล่านี้จะมีความจงรักภักดีต่อประเทศนี้ชนิดที่ยอมสละชีวิตเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะบุคคลเหล่านี้หลังจากที่จบการศึกษา จากประเทศดังกล่าวมาแล้วถ้าทำตัวให้เด่นในวงสังคมและวงการงานประเทศดังกล่าวก็จะให้การสนับสนุนให้มีหน้าที่การงานที่ดี มีอิทธิพลอำนาจพอที่จะสามารถอำนวยประโยชน์ให้กับเขาได้ ในหลายประเทศก็เป็นเช่นนั้น ในวงการเมือง วงการทหาร วงการข้าราชการ วงการธุรกิจ วงการศึกษา ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลของประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในลักษณะของการ ให้ความช่วยเหลือโดยผ่านผู้ที่จบการศึกษาที่ถูกใส่ข้อมูลมาในเบื้องต้นแล้วมาครอบงำเพื่อนร่วมงานในวงการงานของตน ด้วยความรู้ทางวิชาการแฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมที่ประเทศสหรัฐฯ ใส่เข้ามาทางความคิดเหมือนลักษณะการล้างสมองหรือการสะกดจิต นอกจากการให้การศึกษาแล้วยังมีการใช้สื่อต่าง ๆ ที่ทำให้ประชาชนในประเทศเป้าหมายมีความนิยมชมชอบวัฒนธรรมของสหรัฐอเมริกา ในลักษณะมีความจงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลาย การปฏิบัติลักษณะเช่นนี้วิทยาการทางทหารสมัยใหม่เรียกว่า Psychological Warfare หรือสงครามจิตวิทยา การใช้สงครามจิตวิทยาดังกล่าวนั้นในยุคโลกาภิวัตน์ อันเป็นยุคแห่งข่าวสารข้อมูลที่มีความรวดเร็วประสิทธิภาพ ของการปฏิบัติงานด้านสงครามจิตวิทยายิ่งมีมากขึ้น การครอบครองโดยการยึดครองพื้นที่ทางสมองจึงเป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ดังนั้นการปฏิบัติตามสูตร E = MOC 2 ในขั้นตอนนี้ อาจจะสามารถเป็นได้ทั้งกลยุทธ์ ปิดฟ้าข้ามทะเล และกลยุทธ์ จับโจรเอาหัวโจก ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของประชาชนประเทศที่ถูกยึดครองมักจะไม่ระวังการยึดครองด้านมันสมอง หรือด้านความคิด ทำให้สำเร็จในสิ่งที่ไม่คาดคิดในลักษณะการจู่โจมปกปิดเป้าหมายที่แท้จริงจึงเป็นการใช้กลยุทธ์ ปิดฟ้าข้ามทะเล ส่วนกลยุทธ์ จับโจรเอาหัวโจก นั้น ถ้าคิดถึงจุดศูนย์ดุลของประเทศคือจิตใจของประชาชน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สามารถยึดกุมจิตใจของประชาชนในชาติได้ก็ย่อมที่จะสามารถยึดครองประเทศได้ทั้งหมด ถ้าเปรียบประเทศเหมือนกองทัพ จิตใจของประชาชนในชาติก็เหมือนแม่ทัพ ซึ่งมีความสำคัญถึงขั้นการเป็นหัวหน้า ถ้าเปรียบกับโจรก็เปรียบได้เป็นหัวหน้าโจร ฉะนั้นการยึดกุมจิตใจของประชาชนในชาติก็เท่ากับว่าเป็นการจับเอาหัวใจของประเทศนั่นเอง นั่นคือการปฏิบัติลักษณะเช่นนี้ จึงสามารถที่จะกล่าวได้อีกเช่นเดียวกันว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ จับโจรเอาหัวโจก O ( Organization) หมายถึงองค์กร ประเทศผู้ใช้สูตรสมการกลืนชาติอันนี้ได้มีการวางแผนการเกี่ยวกับการใช้องค์กรที่เป็นหลักใหญ่ ๆ คือ การสร้างองค์กรใหม่ สลายองค์กรเดิม ที่เห็นได้ชัดในประเทศไทยก็ได้แก่ การยุบเลิกหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน การปรับเปลี่ยนโดยอ้างว่าเพื่อให้มีความเหมาะสมแก่ยุคแก่สมัย การลดอำนาจของฝ่ายข้าราชการประจำเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับ ข้าราชการการเมือง การพยายามปฏิรูปองค์กรด้านสาธารณูปโภคของประเทศ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปการเมือง ที่สลายองค์กรเก่า แล้วมีองค์กรใหม่ขึ้นมาแทน สิ่งเหล่านี้ ฟังแล้วดูดี เป็นเป้าหมายที่เมื่อประชาชนฟังแล้วเกิดความคิดคล้อยตาม สิ่งเหล่านี้ได้มีการว่างแผนมาล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทำให้ได้ในลักษณะเช่นนี้ให้ได้ในเบื้องต้น คือการใช้เงื่อนไขที่สอดคล้อง กับความต้องการของประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่จึงจะช่วยสนับสนุน กลยุทธ์อย่างนี้คือ ยืมดาบฆ่าคน แต่ประชาชน ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็คล้อยตามเพียงได้ทราบข้อมูลเพียงชั้นเดียวก็คล้อยตามซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของชาวบ้านที่ไม่ได้มีความคิด ที่ลึกซึ้งหรือวิเคราะห์อะไรที่มากไปกว่าชั้นเดียว ส่วนนักวางแผนต้องคิดลึกมากกว่านั้นหลายเท่า เมื่อประชาชนสนับสนุน แม้ว่าจะได้รับการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่หรือบุคคลในองค์กรและผู้ที่พอจะรู้เป้าหมายของแผนการบางกลุ่มด้วยเสียงสนับสนุน จากประชาชนที่มากกว่าย่อมจะสู้ไม่ได้ จึงสามารถที่จะบรรลุตามเป้าหมายการปฏิบัติการของฝ่ายวางแผนอย่างง่ายดาย การลดขนาดของข้าราชการประจำ หรือเปลี่ยนจากข้าราชการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เห็นเด่นชัดก็คือ การตัดขาดความสัมพันธ์ ระหว่างข้าราชการกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การเข้าชี้นำการบริหารงานของข้าราชการประจำให้ได้เพื่อให้ข้าราชการใหม่ ต้องคล้อยตามแนวทางของฝ่ายการเมืองที่มีประเทศสหรัฐฯ ผู้ใช้สูตรสมการกลืนชาติโดยผ่านทางฝ่ายการเมืองได้โดยง่าย การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ก็เพื่อผลประโยชน์ที่ต่างชาติต้องการเพราะเป็นสาธารณูปโภคที่มีค่าทางทรัพย์สินและมีค่าทางด้าน การครอบครองประเทศ เมื่อครอบครองความเป็นอยู่ของประชาชนได้ก็เท่ากับว่าควบคุมประชาชนได้ทั้งหมดและก็เท่ากับว่า สามารถครอบครองประเทศได้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน การจะเข้าครอบครองที่ดินและศาสนสมบัติก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ก็เพื่อทั้งที่ต้องการครอบครองสินทรัพย์และการที่ต้องการเข้าครอบครองยุทธศาสตร์ที่สำคัญของชาติด้วย วันนี้ทำไม่ได้ เพราะมีการต่อต้าน วันพรุ่งนี้ทำใหม่ยังสามารถรอได้ไม่รีบร้อน การสร้างองค์กรใหม่ขึ้นมาที่เห็นชัดที่สุดที่ไม่เพียงแต่ใช้ในประเทศไทยเท่านั้น ยังใช้กับการปฏิบัติการทั่วโลกคือ องค์กรเอกชนหรือ NGOs เห็นได้ชัดที่สุดที่สังเกตได้ก็คือ ๑) NGOs กว่าร้อยละ ๙๐ รับเงินเพื่อการเคลื่อนไหวกิจกรรมของตนเองจากต่างชาติ ( สหรัฐฯ ) ซึ่งจะต้องตอบแทนผู้ที่ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างไม่ต้องสงสัย ( ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้) ๒) การเคลื่อนไหวกิจกรรมของ NGOs สอดคล้องกับคำประกาศการจัดระเบียบโลกใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งต้องสนับสนุนแนวทางและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างไม่ต้องสงสัย ๓) การเคลื่อนไหวกิจกรรมของ NGOs หน้าฉากคล้ายกับว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนแต่หลังฉากล้วนแล้วแต่สนับสนุนตามแผนงานของประเทศผู้ให้ทุนสนับสนุนทั้งสิ้น ๔) สิ่งที่จะนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติโดยการกระทำของต่างชาติ NGOs จะไม่ต่อต้านและขัดขวางหรือต่อต้านพอเป็นพิธีแล้วก็เงียบไป เช่น ไม่ได้ช่วยต่อต้านการที่ประเทศชาติ ต้องสูญเสียเงินจำนวนมหาศาลจากการขายสินทรัพย์ของ ปรส.จำนวนเกือบ ๗ แสนล้านบาทที่เอื้ออำนวย ให้ต่างชาติได้ประโยชน์ไป ซึ่งเงินจำนวนนี้เป็นเงินจำนวนมหาศาลแต่ ไม่มีองค์กร NGOs ใด ๆ ออกมาเคลื่อนไหว ในอันที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติในครั้งนั้นเลย การออกกฎหมายโดยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำให้ต่างชาติได้ประโยชน์มหาศาลแต่ประเทศไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์ไปจนกระทั่งประชาชน เรียกกฎหมาย ๑๑ ฉบับนั้นว่าเป็นกฎหมายขายชาติ NGOs ก็ไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอย่างจริงจัง ( ที่ไม่ออกมาคัดค้านเพราะผู้ให้ออกกฎหมายคือฝ่ายเดียวกันกับผู้ที่ให้เงินสนับสนุนแก่ NGOs ) ก็ไม่มีองค์กรใด ๆ ของ NGOs ออกมาคัดค้าน แต่มีออกมาคัดค้านพอเป็นพิธีดังที่กล่าวมาแล้วตามวิธีการคือ คัดค้านหรือกล่าวถึง เมื่อการดำเนินการด้านการออกกฎหมายเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้แล้วหรือถ้าจะแก้ไข ก็ใช้เวลาอีกยาวนานและเป็นไปไม่ได้เพราะประเทศที่ให้การสนับสนุนได้รับประโยชน์ในขั้นตอนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ๕) มีหลักฐานอย่างแน่ชัดว่า NGOs ทำงานร่วมกับ CIA ของสหรัฐอเมริกา และเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหว เพื่อประโยชน์ขององค์การศาสนา ( ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ( NGOs 2000 : , ชำระประวัติศาสตร์ กรณีตุลาและพฤษภาทมิฬ....อ้างแล้ว ) ซึ่งแน่นอนว่า กิจกรรมทั้งสิ้นของ NGOs จะต้องสนับสนุนงานขององค์กรเหล่านี้ ที่เห็นเด่นชัดก็คือการเข้าไปฝังตัวอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อการรวบรวมข่าวสารต่าง ๆ ให้กับ CIA และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ศาสนาทั้งสิ้นที่ทำให้ศาสนาพุทธและศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาที่ตนได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนต้องเสียหาย พวกนี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไม่เข้าไปต่อต้าน ( เพราะกลุ่มที่สร้างสถานการณ์ขึ้นกับกลุ่มที่ให้การสนับสนุนตนเป็นกลุ่มเดียวกัน) ๖) กลุ่มที่เริ่มก่อตั้ง NGOs ในประเทศไทยล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนที่เคยมีอุดมการณ์ทำลายประเทศชาติมาก่อนทั้งสิ้น เช่น เป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต้องการจะล้มล้างการปกครองของไทยไปเป็นการปกครองในลัทธิคอมมิวนิสต์ หลังจากมีการประกาศนิรโทษกรรมให้เข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยแล้วกลุ่มคนดังกล่าวก็ได้เข้ารับการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการสนับสนุนขององค์กรในประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วเมื่อจบการศึกษาแล้วก็กลับเข้ามาเคลื่อนไหวต่อตามแนวทาง ที่สหรัฐฯ ต้องการ จะเห็นได้ว่า กลุ่มคนเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนให้เข้าดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ในทุกวงการ เช่น การเมือง การศึกษา ข้าราชการ ด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นนักการเคลื่อนไหวที่สำคัญคือ NGOs นั่นเอง กลุ่มคนเหล่านี้ ยังคงตกเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาอยู่เช่นเคย ที่เมื่อครั้งหนีเข้าป่าไปเคลื่อนไหวก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ กลับออกจากป่าก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อีก แต่ผลที่ดำเนินการทั้งหลายของกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สนับสนุนต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ทั้งสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ( การสร้างคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยให้มากขึ้นก็โดยการสร้างของสหรัฐอเมริกาตามที่ นายพลแมกนามารา รมว.กห.สหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ : อ้างแล้ว , กรณีการหนีเข้าป่าของนิสิตนักศึกษาก็เกิดจากการจงใจสร้างของสหรัฐฯ : ชำระประวัติศาสตร์กรณีตุลา และพฤษภาทมิฬ : อ้างแล้ว , การสนับสนุน NGOs ก็เป็นการสนับสนุนของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน : ชำระประวัติศาสตร์ฯ : อ้างแล้ว ) ๗) การผลักดันของ NGOs ให้มีการปฏิรูปทางการเมืองโดยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญโดย สสร.เมื่อปี ๒๕๔๐ เนื้อหาในรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อที่จะให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ให้กับต่างชาติทั้งสิ้น และผลที่ตามมา ก็เป็นดังที่คาดจริง ๆ รัฐบาลที่ตามมาล้วนแล้วแต่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามแนวทางที่สหรัฐฯ ได้บงการไว้ทั้งสิ้น มีการเข้าครอบงำทางการเมือง การเข้าครอบงำทางด้านการทหาร การเข้าครอบงำทางข้าราชการประจำ ทางด้านศาลและที่สำคัญ มีการเข้าครอบงำเศรษฐกิจของชาติอย่างแยบยล โดยที่ถ้าไม่ได้สังเกตให้ดีแล้วก็จะไม่รู้แต่ถ้ามองภาพรวมที่เป็นภาพใหญ่ จะเห็นได้ชัดเจนว่าสหรัฐฯ ได้เข้ามาครอบงำและครอบครองเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร ข้าราชการ และองคาพยพของประเทศไทย เกือบทั้งสิ้นแล้ว นี่คือผลงานอีกอันหนึ่งของ NGOs ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การใช้กลยุทธ์ในการสร้างและใช้ NGOs ขึ้นมา น่าที่จะเข้าลักษณะของการใช้กลยุทธ์อย่างน้อย ๒ กลยุทธ์ด้วยกันคือ กลยุทธ์ไส้ศึก และ กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ กลยุทธ์ไส้ศึกก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า NGOs ทำหน้าที่เป็นจารชนคือ หาข่าวและสนับสนุนข่าวให้กับสหรัฐฯ เพราะเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสหรัฐฯ และเมื่อ NGOs ทำงานร่วมกับ CIA และองค์การที่เอาการกุศลบังหน้าแต่แท้ที่จริงผลงานทั้งสิ้นต้องตกอยู่ที่เจ้าของเงินทุน นั่นคือเป็นการใช้กลยุทธ์ ไส้ศึก ส่วนกลยุทธ์ ถอนฟืนใต้กระทะ ดุจฟ้าอยู่เหนือน้ำ ตามคำอธิบายของ คัมภีร์ ๖๔ ทิศ ปฏิบัติ น้ำ หมายถึงความแกร่ง ฟ้า หมายถึงความอ่อน รวมแล้วหมายความว่า เอาอ่อนชนะแข็ง ซึ่งก็คือพึงใช้วิธีอ่อนพิชิตแข็ง ฉกฉวยโอกาสทำลายกำลังส่วนหนึ่งของข้าศึกไปเสีย ให้พ่ายไปสิ้นในภายหลัง ที่ว่า ดุจฟ้าอยู่เหนือน้ำ เปรียบเทียบเป็นการแก้ปัญหาให้สิ้นไปโดยพื้นฐาน กลยุทธ์นี้เป็นอุบาย ในการบั่นทอนพลังของข้าศึกทีละส่วน จนทำลายข้าศึกเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดได้อย่างหนึ่ง คำนี้ เดิมมาจากหนังสือเรื่อง ไหวหนานจื่อ ความว่า เทน้ำร้อนลงในน้ำเดือด มิอาจหยุดเดือด จักต้องรู้ลักษณะของมัน ทอนไฟจึงหยุด ใน ฎีกาประท้วงราชวงศ์เหลียง สมัยเว่ยเหนือก็ว่า ถอนฟืนจึงหยุดเดือด ตัดหญ้าพึงถอนราก การเข้ายึดครองประเทศเป้าหมายเช่นประเทศไทย ถ้าทำให้ประเทศเข้มแข็งก็ไม่สามารถที่จะเข้ายึดครองได้โดยง่าย ต้องทำให้มีความอ่อนแอลง จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบกับภาวะของการเมืองปั่นป่วนไม่มีเสถียรภาพ เพราะฝีมือของ NGOs ไม่ใช่น้อย ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวอยากที่จะทำให้การเมืองมีความเข้มแข็ง แต่กิจกรรมทุกกิจกรรม ล้วนแต่มุ่งเป้าหมายไปที่ทำอย่างไรที่จะทำให้เสถียรภาพทางการเมืองของไทยอ่อนแอ ถ้าสงบก็ต้องสร้างสถานการณ์ขึ้น ถ้าสหรัฐฯ สร้างเองไม่ได้ก็ให้คนของสหรัฐฯ ที่ได้รับการจัดตั้งไว้ในแต่ละประเทศเรียบร้อยแล้วเป็นคนสร้าง ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่เปิดเผยตัวว่าเป็นฝ่ายสหรัฐอเมริกาอย่างเปิดเผยก็มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ผู้ที่ติดต่อรับการสนับสนุน และรับคำสั่งจากสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลาก็มีอยู่ถมไปที่ไม่ต้องการจะเปิดเผยตัว แต่อย่าลืมว่าผู้ที่ดำเนินกิจกรรมในลักษณะเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญาของไทย เป็นลักษณะของการให้ความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติให้ต่างชาติ มีการกำหนดโทษไว้อย่างสูงด้วย เมื่อสามารถที่จะสร้างสถานการณ์อันทำให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพการเมืองของไทยขึ้น เมื่อบ้านเมืองปั่นป่วน ต่างชาติก็แทรกแซงทุกกิจกรรมได้โดยง่าย ในทางตรงกันข้าม ถ้า NGOs มีความหวังดีกับประเทศชาติจริง ต้องเป็นแกนนำในการรณรงค์ให้คนไทยมีชาตินิยม รักความเป็นไทย มีความรักในความเป็นชาติของตนเอง ส.ศิวรักษ์ NGOs ตัวกลั่นของเมืองไทยเคยบรรยายให้นักศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งฟังมีข้อความเกี่ยวกับการ ปลุกระดมไม่ให้มีความเป็นชาตินิยมของไทย ( มีหลักฐานเป็น CD พร้อมที่จะแสดงให้สาธารณชนชมได้ทุกเมื่อ) และนอกจากนั้น ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวจาบจ้วงสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยทั้งประเทศ เช่น การแสดงวาจาจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันพระพุทธศาสนา พร้อมกันนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวกับเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันทั่วโลกในการสร้างกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับ แนวนโยบายของสหรัฐฯ และศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ การเคลื่อนไหวต่อต้านการวางท่อแก๊สจากพม่าอย่างเอาเป็นเอาตาย การเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างแข็งขัน แต่เรื่องที่เป็นสาระเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริงไม่เคยทำ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปตำหนิ ส.ศิวรักษ์ และกลุ่ม NGOs แต่ประการใดไม่ ที่เขาเหล่านั้นทำก็ล้วนแล้วแต่มีความจำเป็น เพราะบุคคลเหล่านี้ได้รับคำสั่งโดยตรงจากสหรัฐฯ และกลุ่มศาสนาอื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันนี้ให้เรียบร้อย ไม่ปฏิบัติไม่ได้ ถ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนได้ อาจจะสูญเสียชีวิตก็เป็นได้เช่นเดียวกัน การปฏิบัติเช่นนี้เป็นเสมือนการประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงชีพตนเอง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าจะเกิดผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน อย่างมหาศาลอย่างไรในอนาคต พร้อมกันนั้นผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของ NGOs ในประเทศไทยคือ นายอานันท์ ปันยารชุน ถ้าไม่เชื่อ ก็จงสืบประวัติความเป็นมาของบุคคลเหล่านี้ดูให้ดีก็จะรู้ว่ามีความเกี่ยวพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอย่างไร รับอะไรจากสหรัฐอเมริกามาบ้าง ดำเนินการอะไรไปบ้างแล้วที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ และในอนาคตก็จะดำเนินการต่อไปอีกอย่างไม่หยุดหย่อน บุคคลเหล่านี้ พยายามสร้างกิจกรรมบั่นทอนความมั่นคงของประเทศชาติอยู่ตลอดเวลา ถ้าประเทศไทยเข้มแข็งประชาชนมีชาตินิยมสหรัฐฯ ต้องเสียประโยชน์ เมื่อประเทศไทยหรือประเทศใด ๆ ก็ตามอ่อนแอไม่สามารถที่จะดำรงความมีอธิปไตยของตนได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์ การกระทำต่าง ๆ ที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทำจึงมุ่งไปที่การสร้างความอ่อนแอให้เกิดขึ้นในประเทศ กลยุทธ์นี้จึงเรียกว่า ถอนฟืนใต้กระทะ C ( Cash Devalue ) ที่ผ่านมาการทำสงครามการเงินเป็นมิติใหม่ที่ประชาคมโลกยังไม่เคยได้ยินมาก่อน จนกระทั่ง จอร์จ โซรอส นักค้าเงินชาวสหรัฐฯ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายสงครามการเงินของสหรัฐฯ โซรอส เคยได้รับคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษซึ่งสร้างผลกระทบด้านการเงินให้กับอังกฤษไม่น้อย ก่อนที่จะเกิดวิกฤตด้านการเงินขึ้นที่ประเทศไทย ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ ต้องการที่จะควบคุมอังกฤษไม่ให้เอาใจไปฝักใฝ่ ทางด้านกลุ่มประเทศอียูจนเกินไปจนกระทั่งอียูเป็นภัยคุกคามทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อังกฤษต้องยอมทำตามเพราะสหรัฐฯ ใช้ทั้งสงครามการตีค่าเงินและสงครามเชื้อโรคในการบีบบังคับ หลังจากนั้น โซรอส ก็ได้รับคำสั่งให้เข้ามาโจมตีค่าเงินบาท ในประเทศไทย แล้วตีเรื่อยไปทั่วทั้งอาเซียน ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นและขยายวงกว้างออกไป เป้าหมายต่อไปหลังจาก กลุ่มประเทศอาเซียนคือประเทศจีน นอกจากฮ่องกงจะถูกโจมตีด้วยอาวุธเชื้อโรคคือไข้หวัดนกเมื่อปี ๒๕๔๐ เป้าหมายของการโจมตี คือต้องการผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจีนเป็นภาพรวม โซรอส เข้าโจมตีค่าเงินหยวนของจีนในห้วงระยะเวลาใกล้เคียงกันกับ การโจมตีค่าเงินของกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศในเอเชียอื่น ๆ ด้วยระบบการเงินที่ไม่เหมือนใคร ด้วยเศรษฐกิจ ที่มีความเข้มแข็งจริงอยู่ในตัว จีนสามารถตอบโต้การโจมตีค่าเงินของ โซรอส ได้อย่างทันควัน จนกระทั่ง โซรอส ต้องพ่ายแพ้การสงครามด้านการเงินในครั้งนี้กับจีน ยุทธวิธีที่จีนได้นำมาใช้ในการต่อสู้กับโซรอสก็คือ การใช้จุดแข็งของระบบเงินหยวนนอกและหยวนในที่ใช้เป็นด่านในการป้องกันด่านแรก ยุทธวิธีขั้นต่อไปคือการใช้เทคโนโลยี ช่วยเหลือการทำสงครามการเงิน กล่าวคือ การตีค่าเงินนั้นการติดตามผลแพ้ชนะจะติดตามกันที่จอภาพของตลาดหุ้น ทุกครั้งที่ โซรอส ทุ่มเงินเข้าไปโจมตี ฝ่ายจีนจะใช้การป้อนข้อมูลให้ฝ่ายโซรอสเห็นว่าจีนเพลี่ยงพล้ำเสมอ แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น คือจีนไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากการตีค่าเงินหยวนเลยเพราะมีระบบหยวนนอกและหยวนใน ดังที่กล่าวแล้ว เมื่อจีนป้อนข้อมูลให้ โซรอส เห็นว่าจีนกำลังเพลี่ยงพล้ำ โซรอส ก็ยิ่งได้ใจทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปยังตลาดนหุ้นของจีน เมื่อทุ่มเงินเข้าไปจำนวนมากแต่ผลของภาพรวมไม่ได้ปรากฏว่าค่าเงินหยวนอ่อนลง กับทั้งเศรษฐกิจของจีนไม่ได้รับผลกระทบ อย่างใด ๆ เลย เมื่อเงินจำนวนมากของโซรอส เข้าไปในจีนจำนวนมหาศาลแล้วแต่ไม่ได้ผลกลับออกมา โซรอส จึงรู้ตัวว่า การโจมตีครั้งนี้ไร้ผล เป็นการพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวของโซรอส ในสงครามการเงิน คือพ่ายแพ้ต่อจีน ทำให้จีนยังสามารถผงาดอยู่ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินรอบบ้านตัวเอง เรื่องเกี่ยวกับสงครามการเงินและการสร้างภาพเรื่องตลาดหุ้น ต้องมาทำความเข้าใจกันสักเล็กน้อยว่าตลาดหุ้นเป็นสงครามทางการเงิน ตัวเงินไม่มีจริงแต่ตัวเลขในจอคอมพิวเตอร์ในตลาดหุ้น ขึ้นลงกันอย่างมหาศาล ผู้ควบคุมตลาดหุ้นของโลกคือสหรัฐฯ ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว จะสร้างให้หุ้นขึ้นก็ไม่ยากเพียงแค่ป้อนตัวเลขเข้าไป จะให้ลงก็ป้อนตัวเลขให้ลดลง จะสนับสนุนการเมืองประเทศใดว่าเสถียรภาพทางการเมืองและการเงินดีขึ้นก็ป้อนตัวเลขให้สูงขึ้น เช่น ในสมัยรัฐบาลชวน ของไทยที่มีบางช่วงที่หุ้นขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้รัฐบาลอยู่ได้เพื่อออกกฎหมายให้กับสหรัฐฯ ในช่วงกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ คนไทยยังคงจำได้ มีการจับตัวประกันชาวญี่ปุ่นในอิรัก หุ้นในญี่ปุ่นกลับขึ้นอย่างพรวดพราด ซึ่งผิดหลักธรรมชาติ ซึ่งถ้ามีวิกฤตเกิดขึ้นผลกระทบย่อมเกิดขึ้นต่อการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ สิ่งที่อ่อนไหวง่ายที่สุดคือ ตลาดหุ้น ถ้ามีการจับตัวประกันหุ้นต้องตกลงไม่ใช่หุ้นขึ้น แต่ที่ผ่านมาเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ ต้องการที่จะให้ญี่ปุ่น คงกำลังทหารไว้ในอิรักจึงป้อนตัวเลขให้เห็นว่าหุ้นของญี่ปุ่นขึ้น การทำสงครามการเงินเช่นนี้ฝ่ายที่พ่ายแพ้สงคราม ย่อมนำไปสู่การเกิดวิกฤตทางการเงิน เศรษฐกิจ และการเมือง รวมทั้งการนำไปสู่วิกฤตการณ์ด้านอื่น ๆ อีกต่อไปเป็นลูกโซ่ เมื่อเกิดผลกระทบในทางลบต่อประเทศเป้าหมาย สหรัฐฯ จึงสามารถเข้ายึดครองได้โดยง่าย เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อให้ประเทศเป้าหมายที่มีพลังอำนาจของชาติที่เข้มแข็งเปลี่ยนไปเป็นอ่อนแอ กลยุทธ์นี้จึงน่าที่จะได้ชื่อว่าเป็นกลยุทธ์ ถอนฟืนใต้กระทะ ด้วยเช่นเดียวกัน กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า การใช้กลยุทธ์ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการเอาชนะศัตรู ซุนจื่อเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ใช้กลอุบาย มิควรใช้เพียงหนึ่งเดียว หากควรประกอบด้วยอุบายนานาถือหลายอุบายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ หรือร้อยพันอุบายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ นี้คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด และดังนั้น จึงเป็นดุจดังคำที่ว่า แม่ทัพผู้ปรีชา จักได้ฟ้าอนุเคราะห์ นั้นเอง หัวข้อ: กลยุทธ์ที่ ๓๖ หนีคือยอดกลยุทธ์ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 03:33:37 PM กลยุทธ์ที่ ๓๖ หนีคือยอดกลยุทธ์
หลบศึกทั้งทัพ ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยซึ่งสงคราม กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อรบกับข้าศึก หากข้าศึกแข็งเราอ่อน อาจจะถอยร่นอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบเลี่ยงการปะทะเสียก่อน ดังที่มีคำกล่าวไว้ใน คัมภีร์อี้จิง แม่ทัพ ว่า ถอยหนีมิผิด เป็นวิสัยซึ่งสงคราม ซึ่งชี้ชัดว่าการถอยหนีในการทำสงครามนั้น มิใช้ความผิดพลาด หากแต่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในการรบที่มักจะพลเห็นเสมอ การถอยเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย ในยามที่เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเพื่อชิงโอกาสตอบโต้ในภายหลังมิใช่ถอยหนีอย่างพ่ายแพ้หมดรูป ตีโต้กลับมิได้อีก นี้เป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายซึ่งอยู่ในฐานะเลวกว่า ใช้รูปแบบถอยหนี เพื่อโอกาสพิชิตข้าศึกอย่างหนึ่ง ในตำราพิชัยสงครามชื่อ ไหวหนานจื่อ ฝึกการยุทธทหาร เคยกล่าวไว้ว่า แข็งจึงสู้ อ่อนก็หนี ในตำราพิชัยสงครามอีกเล่มหนึ่งชื่อ ปิงฝ่าหยวนจีได้ ก็กล่าวไว้ว่า แม้นหลบแล้วรักษาไว้ได้ ก็พึงหลบ ใน ซุน วู บทกลยุทธ์ ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า แข็งพึงเลี่ยงเสีย ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ ในหนังสือ จ่อจ้วน ปีที่ ๑๖ แห่งศักราชเหวินกง มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้ ในยุคชุนชิว แคว้นฉู่ตั้งอยู่ในระหว่างแม่น้ำเจียงสุ่ยและแม่น้ำฮั่นสุ่ยล้อมรอบไปด้วยแคว้นเล็ก และเผ่าฮวนชนชาติต่างๆ ซึ่งในบางครั้งก็ยอมสวามิภักดิ์อยู่ใต้อำนาจฉู่ แต่บางครั้งก็ตั้งเป็นอิสระ บางครั้งก็รบกันเองชุลมุน บางครั้งก็ร่วมมือกันตีแคว้นฉู่ หลังจากสมัยฉู่อู่ฉ๋อง (๗๔๐ ๖๘๐ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉู่ย้ายเมืองหลวงจากเมืองตันหยาง มาอยู่ที่เมืองอิ่ง (ทั้งสองเมืองนี้อยู่ในมณฑลหูเป๋ยในปัจจุบัน) และฉู่อู่อ๋องสนใจแต่เรื่องนำกำลังที่กล้าแข็งที่สุด รวมศูนย์ขยายอิทธิพลของตนไปสู่จงหยวน หมายมุ่งจะเป็นใหญ่เหนือแคว้นอื่นๆ ทั้งหลาย ต่อแคว้นเล็กๆ ทางใต้ จึงมิค่อยไยดีด้วย แต่เนื่องจากแคว้นฉู่เป็นแคว้นที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุด และกำลังเข้มแข็งที่สุด ในแคว้นต่างๆ ทางใต้ ดังนั้น แคว้นเล็กแคว้นน้อยเหล่านี้จึงมักจะส่งบรรณาการขอขึ้นต่อแคว้นฉู่ ส่วนแคว้นฉู่เอง บางครั้งก็ฉวยโอกาสเล็มกินดินแดนของแคว้นเหล่านั้นเสมอมา ครั้นถึงสมัยของฉู่จวงอ๋อง (๖๑๓ ๕๑๙ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉู่เกิดทุพภิกขภัย แคว้นเล็กและเผ่าฮวนต่าง ๆ ดังกล่าวก็ฉวยโอกาสรวมกำลังกันโจมตีแคว้นฉู่ ก่อนอื่นคือเผ่าฮวนซีหรง ก็บุกเข้ามายึดดินแดนของแคว้นฉู่ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และขยายอิทธิพลเข้ามาจนถึงอาณาบริเวณภูเขาต๋าฟู่ซาน (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) กำลังส่วนใหญ่ของพวกซีหรงชุมนุมกันอยู่ที่ต้า หลิน ต่อมาก็รุกมาทางตะวันออก จนถึงฝั่งแม่น้ำฮั่นสุ่ย และยึดเมืองจื่อจือไว้ได้ พวกฮวนเผ่ายง (สาขาหนึ่งของเผ่าซีหรง) ก็ยกกำลังเข้าตีแคว้นฉู่คุกคามต่อแคว้นฉู่อย่างร้ายแรง พวกฮวนเผ่าจุนก็เดินทัพย่ำมาถึงต้นแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำหยวนสุ่ยร่วมมือกับเผ่าขนไป่ผู ชุมนุมทัพอยู่ที่เมืองส่วนตี้ (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) เตรียมเข้าตีแคว้นฉู่ เพื่อยึดอาณาเขตระหว่าง แม่น้ำเจียงสุ่ยกับฮั่นสุ่ยเสีย ภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคใต้ของแคว้นฉู่ ล้วนแต่ได้ถูกบุกรุกโดยเผ่าชนแคว้นเล็ก ๆ แต่แคว้นฉู่ก็ไม่กล้าถอนกำลังหลักที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือกลับมา เพราะจะต้องคอยป้องกัน มิให้แคว้นฉีกับแคว้นหลู่ในจงหยวนฉวยโอกาสเล่นงาน ดังนั้น จึงเตรียมที่จะถอนกำลังที่ประจันหน้าอยู่ กับเผ่าชนเหล่านั้น ถอยมารักษาจุดยุทธศาสตร์ไว้ เพื่อที่จะได้สามารถใช้กำลังส่วนน้อยไปต่อต้านกับ การบุกรุกของแคว้นเล็กแคว้นน้อยเหล่านั้น แต่เหว่ยเจี้ยขุนนางผู้ใหญ่แย้งว่า จะกระทำเช่นนั้นมิได้ เพราะที่ใดที่เราไปถึง พวกเขาก็ไปถึงได้เช่นกัน สองทัพเผชิญหน้ากันอยู่ จะรุกหรือจุถอย พึ่งพิจารณาตามสภาพ เมื่อไม่นานมานี้เอง พวกฮวนเผ่าหรง ทางเหนือโจมตีเรา เราถอยร่นมา พวกเขาก็ยึดอาณาเขตของเราไปส่วนหนึ่งบัดนี้ เผ่ายง เผ่าจุน และเผ่าไป่ผู รวมกันมาบุกเราอีก เราจักยอมมิได้ หากควรตีโต้กลับ อีกประการหนึ่ง เหล่าไพร่พลของพวกจุนและไป่ผู ก็มิได้มีวินัยเข้มงวด การจัดกำลังก็เหละหลวม ที่พวกเขาบุกเราในครั้งนี้ ก็เพราะถือโอกาสที่เราลำบากในเรื่อง ข้าวยากหมากแพง เพื่อชิงทรัพย์สมบัติและผู้คนไปเท่านั้น ถ้าแม้นเราแสดงความเข้มแข็งให้ประจักษ์ พวกฮวนเหล่านี้ก็จักเกรงขามถอยทัพไปเอง ไหนเลยจะกล้ามาปล้นชิงแคว้นเราเล่า คำของเหว่ยเจี้ย ขุนนางทั้งหลายต่างก็เห็นฟ้องต้อนกัน ฉู่จวงอ๋องจึงมีคำสั่งให้กรีฑาทัพในบัดนั้น ก่อนอื่น ขุนพลโต่วเจียวน้ำทหาร ๑๐๐ คันรถบุกตีไปทางเมืองส่วนตี้ซึ่งเผ่าจุนและไป่ผูยึดครองอยู่ การรบด้วยรถศึกของแคว้นฉู่ เผ่าทั้งสองมิได้เคยพบมาก่อน เห็นอานุภาพร้ายแรงนัก ไพร่พลของเผ่าจุน และไป่ผูก็แตกตื่นหนีกระเจิงไป ภัยทางภาคใต้ของแคว้นฉู่จึงถูกขจัดหมดสิ้น อีกทางหนึ่ง ฉู่จวงอ๋องก็สั่งให้จี้หลีนำทัพฉู่เข้าตีแคว้นหยง จี้หลีชำนาญภูมิประเทศทางภาคตะวันตกของแคว้นฉู่ดี จึงบุกตีได้แคว้นฟางเฉิน (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) ของเผ่ายงได้รวดเดียว แต่เผ่ายงก็รวบรวมกำลังต้านทาน อย่างแข็งแรง ทัพฉู่จึงไม่อาจรุกหน้าไปได้อีก จื่อหยวนขวงขุนพลที่ได้รับมอบหมายให้รักษาเมืองฟางเฉิน ก็ปรามาสข้าศึก จึงถูกเผ่ายงจับเป็นเชลย แต่ฝ่ายยงควบคุมจื่อหยางซางไม่เข้มงวด ในวันที่สามจื่อหยางซวงก็หนีรอดกลับค่ายตนไปได้ จึงแจ้งแก่จี้หลีว่า แคว้นยงมีคนมากมาย ชุมนุมกันอยู่คับคั่ง มือมีอาวุธครบถ้วนหน้า ถ้าหากกำลังทหารของฝ่ายเราน้อย ก็เห็นทีจะยากแก่ชัยชนะ ฝ่ายเรามิสู้โยกย้ายกำลังหลักและกำลังหนุนเท่าที่มีอยู่ทางเหนือ โหมโจมตีแคว้นยง โดยพร้อมเพียงกัน ดังนั้นแล้วจึงจักทำลายกำลังของแคว้นยงได้หมดสิ้น จี้หลีไม่เห็นด้วยจึงว่า การโจมตีด้วยกำลังมิใช่เป็นการดี คนแคว้นยงมาก พึงชนะด้วยปัญญา มิควรหักด้ามพร้าด้วยเข่า เราพึงแสร้งทำถอยร่นจงใจรบพ่ายสักหลายครั้ง ให้เผ่ายงเข้าใจว่าเราสู้เขามิได้ ก็จะเกิดความเย่อหยิ่งเผ่ายงยิ่งทระนงฮึกเหิมเท่าใด ก็จักสร้างความเครียดแค้นแก่ทหารเราเราเท่านั้น เราพึงรอโอกาสอันควรแล้วจึงเข้าโจมตีให้แตกหักไป ดังนั้น จี้หลีจึงนำทัพออกรบกับเผ่ายงด้วยตนเอง สู้รบกันอยู่ถึง ๗ ครั้งจี้หลีก็ทำพ่านแพ้ถอยร่นมาทุกครั้งไป เผ่ายงจึงเกิดความประมาทบอกกล่าวแก่กันว่า คนทั้งหลายว่ากันว่าทหารฉู่เข้มแข็งนัก ที่แท้ก็หาใช่คู่ต่อสู้ของเผ่ายงเราไม่ จึงหย่อนยานในการระมัดระวังตัว ฉู่จวงอ๋องนำทัพหนุนเดินทางมาจนถึงเมืองหลินปิ่น (ในมณฑลหูเป๋ยปัจจุบัน) ซึ่งเป็นปากทางจากแคว้นฉู่สู่แคว้นยง อีกทางหนึ่งก็ให้ขุนพลจื่อเป้ย รุกกระหนาบไปทางเหริ่นตี้ (ในมณฑลหู่เป่ยปัจจุบัน) ซึ่งก็เป็นปากทางเข้า แคว้นยงเช่นกัน ชาวเผ่ายงรบชนะ ๗ ครั้งติด ๆ กัน ก็ประมาทดูหมิ่นข้าศึก มิได้คาดคิดว่าทัพฉู่จะสามารถโจมตีตนได้อีก จึงมิได้ป้องกันอย่างเข็มงวด เมื่อถูกโต่วเจียวและจื่อเป้ยขุนพลฉู่นำทัพบีบเข้ามา ๒ ทาง แม้ผู้ครองแคว้นยง จะระดมกำลังทั้งหมดต้านทานด้วย แต่ก็ยันทัพฉู่ไว้ไม่อยู่ ต้องถอยไม่เป็นกระบวน ทัพฉู่รุกประชิดติดตามอย่างไม่ลดละ จึงเข้ายึดเมืองหลวงของแคว้นยงไว้ได้ แคว้นยงก็เป็นอันสูญสิ้น ทัพฉู่กวาดเผ่ายงราบคาบแล้ว ก็ถือโอกาสบุกตีแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่าง ๆ ที่กระด้างกระเดื่องต่อตน ฝ่ายเผ่าอื่นๆ กำลังระย่อต่อชัยชนะของแคว้นฉู่ต่อแคว้นยง ก็ต่างพากันยอมสวามิภักดิ์ส่งบรรณาการแก่แคว้นฉู่และปฏิญาณว่า จะไม่คิดล่วงเกินดินแดนแคว้นฉู่สืบไป จี้หลีใช้อุบายถือการถอยเป็นการรุก ยอมรบแพ้ถึง ๗ ครั้ง ๗ ครา แต่ในที่สุดก็หวนกลับมา เป็นฝ่ายชนะด้วยกลยุทธ์ หนี นี้เอง หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 03:36:32 PM ล้ำลึกครับ ;D ;D ;D จบแล้วครับ ให้หาข้อมูลเพิ่มเติม อย่าเชื่อทั้งหมด ที่มา http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=336&VIEW=744 ให้ลองทำนายว่า ผู้นำเราจะมีโอกาสได้ใช้กลยุทธ์สุดท้ายหรือไม่? ตอบกันเล่นๆละกันอย่าจริงจัง หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: go ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 04:25:17 PM สุดยอดครับ :VOV:
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: PU45™ ที่ กรกฎาคม 15, 2006, 07:07:26 PM เฮ้อออ...เหนื่อยเลย อ่านหลังลืมหน้า อ่านหน้าลืมหมด ....... ทำไงดีเนี่ย อยากชนะมั่ง
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: BADBOY ที่ กรกฎาคม 17, 2006, 08:58:49 AM โห........เยอะจริง ๆ ครับ..อยากได้เป็นหนังสือ ไว้อ่านยามว่างครับ...ไม่ทราบว่าพอมีขายบ้างไหมครับ...ขอบคุณครับ... :)
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: narongt ที่ กรกฎาคม 17, 2006, 10:50:52 AM โห........เยอะจริง ๆ ครับ..อยากได้เป็นหนังสือ ไว้อ่านยามว่างครับ...ไม่ทราบว่าพอมีขายบ้างไหมครับ...ขอบคุณครับ... :) ต้องลองหาตามร้านดูครับ หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: suradate ที่ กรกฎาคม 20, 2006, 02:41:20 PM ขอบคุณมากครับที่อุตสาหะเอามาให้อ่านครับ
หัวข้อ: Re: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ เริ่มหัวข้อโดย: tip1976 - รักในหลวง ที่ ธันวาคม 03, 2007, 07:40:50 AM ::014::
|