เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 23, 2025, 06:32:18 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3 4 5
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ  (อ่าน 40152 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 12:58:38 PM »

๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ
สำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์
โดย
พันเอกโสภณ ศิริงาม
๑๒ เมษายน ๒๕๔๗

พระราชดำรัส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
"...วิธีการป้องกันประเทศ อันเป็นหน้าที่สำคัญของทหารเปลี่ยนแปลงไป เพื่อที่จะให้ประเทศอยู่รอดได้
ตามหลักเดิมก็พูดถึงว่า ทหารจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อป้องกัน เป็นรั้วของชาติ แต่รั้วของชาติ
แม้แต่ในสมัยก่อนๆ นี้ ก็เป็นเช่นนั้น แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มาสมัยนี้ก็เห็นรั้วของชาติ ไม่ได้อยู่ที่ตามรั้ว
ตามชายแดนเท่านั้นเอง มันอยู่ทั่ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายกำลังทางพื้นดินเท่านั้นเอง
ต้องมีการยกขึ้นไปบนฟ้า ข้ามแดนทางฟ้าทางอากาศ แล้วก็ยังมีการขุดมุดใต้ดิน โผล่มาจากที่ไหน
ก็ไม่ทราบอย่างนี้ ก็มีทั้งผู้ที่เข้ามาผ่านประตูรั้ว ไม่ใช่ในภูเขาเท่านั้นเอง แต่มาตามทางที่เข้า สะดวก
ฉะนั้น การป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากอันตรายจึงเพิ่มขึ้น และนอกจากมาทางฟ้าก็ตาม ทางพื้นดินก็ตาม
ใต้ดินก็ตาม หรือทางทะเล ก็ยังมาทางอื่นคล้ายๆ ปาฏิหาริย์ โผล่ขึ้นมาเฉยๆ เหมือนว่าเข้ามาถูกต้อง
ตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถที่จะป้องกัน คือเข้ามาทางสมอง ทางความคิด
อาจไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลเท่าไร แต่ว่าในความคิดที่อาจเรียกว่าเป็นผีร้าย มันเข้ามาในสมอง
ของคนแต่ละคน ทั้งทหารทั้งคนอื่นๆ ได้ ยุคนี้ที่เป็นผี ผีที่เป็นพิษนี้เข้ามาโดยอาศัยจิตใจของทุกคน
จิตใจนี้อาจชอบฟังคำเยินยอก็ตาม จิตใจนี้อาจชอบยืนสบายก็ตาม ก็ อาจเป็นช่องดังกล่าวที่เห็นยาก
และอันตรายที่สุด..."

พระราชทานเป็นการเฉพาะแก่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์
และนายทหารนักเรียน โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ ๕๗
ในโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาบุหลัน ทักษิณราชนิเวศน์
วันอังคารที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒

กล่าวนำ
ตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ๓๖ กลยุทธ์ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ
ในทุกสมรภูมิ เป็นตำราพิชัยสงครามที่มีการใช้แพร่หลายในประเทศจีนโบราณหลายพันปีมาแล้ว ต้นฉบับ
ที่มีการรวบรวมเป็นครั้งแรกเท่าที่พบเป็นภาษาจีน แล้วได้มีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ อีกมากมายรวมทั้ง
เป็นภาษาไทยด้วย หนังสือเล่มแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับตำราเล่มนี้คือหนังสือที่แปลโดย
บุญศักดิ์ แสงระวี ที่รวมเล่มเป็นภาษาไทยเมื่อปี ๒๕๒๙ หลังจากนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปศึกษา
หลักสูตรป้องกันประเทศ ณ มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๖ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า ตำราพิชัยสงครามฉบับนี้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง
ในประเทศจีน ทั้งพลเรือนและทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ ( NDU ) ของจีน
ได้มีการศึกษาตำราพิชัยสงครามฉบับนี้กันอย่างกว้างขวาง เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปดูหนังสือในตลาดหนังสือ
ในกรุงปักกิ่งก็ได้พบว่ามีการเขียนหนังสือโดยการนำเอาตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์นี้มาใช้เขียน
ในแง่มุมต่าง ๆ กันอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นภาษาจีน และภาษาอังกฤษ แสดงให้เห็นว่า ทั้งชาวจีน
และชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจหลักการและเนื้อหาในตำราพิชัยสงครามเล่มนี้กันเป็นอันมาก
เมื่อข้าพเจ้าได้ไปสืบค้นดูชื่อหนังสือในอินเตอร์เน็ตก็พบหนังสือ ๓๖ กลยุทธ์นี้เป็นภาษาอังกฤษ
ที่มีผู้เขียนขึ้นมาอีกมากมายซึ่งได้นำหลักการในตำราพิชัยสงครามเล่มนี้ไปใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์
ด้านการต่อสู้กันอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกัน มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามฉบับนี้ที่ได้นำเอา
หลักการในตำราพิชัยสงครามไปใช้ในการอธิบายพฤติกรรมของสัตว์ที่ใช้ในการต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ของตน
ได้อย่างสอดคล้องและเมื่อมาศึกษาตำราพิชัยสงครามโบราณของไทยก็ได้มีหลายกลยุทธ์ที่บรรพบุรุษ
นักรบของไทย เมื่อครั้งอดีตได้นำกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีความสอดคล้องกับตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์
ของจีนอย่างพิสดาร และจากการพิสูจน์ถึงความมีมนตร์ขลังอย่างเป็นอมตะของหลักการในตำรา
พิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ที่คงทนต่อการพิสูจน์มาหลายพันปี เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นักยุทธศาสตร์
และนักการทหารของประเทศมหาอำนาจยิ่งได้ทุ่มเทเวลาในการศึกษาตำราพิชัยสงครามนี้อย่างแตกฉาน
ลึกซึ้งจนสามารถที่จะนำหลักการมาใช้ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโลกที่มีการเปลี่ยนไปอย่างมีความ
คล้องจองทำให้ประเทศมหาอำนาจยังคงเป็นมหาอำนาจอยู่ได้เพราะมีการดัดแปลงพลิกแพลงหลักการใน
ตำราพิชัยสงครามเก่า มาใช้ในสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างเหมาะสมแก่กาลและเทศะ ประเทศไทยเป็น
ประเทศเล็กและกำลังอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ของมหาอำนาจที่ช่วงชิงไหวพริบกันในการแย่งชิงผลประโยชน์
อย่างเข้มข้น การที่นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ของประเทศจะสามารถกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธี
ในการต่อสู้เพื่อนำพาประเทศชาติให้อยู่รอด ได้อย่างมั่งคั่งในสภาวการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องยาก แต่ผู้เขียนเอง
มีความเห็นว่าก็ไม่เป็นเรื่องที่พ้นวิสัยของผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาติดตามสถานการณ์ที่เป็นจริงของโลกอยู่ตลอดเวลา
เป็นที่น่าเสียดายว่า นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยบางคนที่ถือว่าตนเองเก่งกาจสามารถ แต่ไม่ได้ศึกษา
สถานการณ์ให้ถ่องแท้ กับทั้งนำตนเองไปเข้าข้างประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างมีใจอคติตั้งแต่ต้น ทำให้เกิด
การครอบงำความคิดและภูมิปัญญาจากประเทศที่ตนเองเลื่อมใสตั้งแต่ต้น เลยไม่สามารถที่จะมองเห็น
ความเป็นไปในแง่อื่น แล้วในที่สุดก็ได้นำประเทศชาติไปอยู่ ภายใต้การครอบงำของประเทศมหาอำนาจ
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การป้องกันประเทศที่จริงแล้วเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะพึงตระหนักและมีส่วนร่วม
ในการดำเนินการ ในอดีตที่ผ่านมาเราได้ผนึกกำลังกันร่วมกันต่อสู้กับภัยคุกคามของประเทศชาติมานับครั้งไม่ถ้วน
ซึ่งผู้ที่มีส่วนร่วมในการป้องกันประเทศชาติก็ได้พิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าไม่ใช้เพียงแค่องค์กรทหารแต่ฝ่ายเดียว
จะต้องรวมถึงประชาชนทุกหมู่เหล่าด้วย หนังสือเล่มนี้จึงเป็นหนังสือที่เหมาะสมกับคนไทยทุกคนที่จะอ่าน
อย่างพินิจพิเคราะห์แล้วจะได้แนวทางที่จะนำไปสู่การป้องกันประเทศชาติให้พ้นจากภัยคุกคามได้
ยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่มีความกว้างขวางและรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น
ความรวดเร็วและกว้างขวางของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกระทบกับเหตุการณ์และปรากฏการณ์บนพื้นโลกอีกมากมาย
การขนส่งที่มีความรวดเร็วมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ขนส่งสินค้าได้ครั้งละมาก ๆและมีความรวดเร็วมากกว่าเดิม
รวมทั้งการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีความรวดเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่การลงทุนด้านธุรกิจจากซีกโลกหนึ่ง
สู่อีกซีกโลกหนึ่ง อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งความมั่งคั่งจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในโลกแห่งโลกาภิวัฒน์จึงเป็นโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงถ้าจะพูดว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ก็ไม่น่าที่จะผิดดังนั้นเมื่อสภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไปสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงของโลกก็ย่อมเปลี่ยนไป
การกำหนดวิธีการในการป้องประเทศก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่างน้อยที่สุด ประชาชนชาวไทยทุกคน
ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการป้องกันประเทศชาติเป็นส่วนรวมนั้นต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า
เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมิติของความมั่นคงของชาติที่เกิดขึ้นย่อมมีความเกี่ยวข้องสืบเนื่อง
กันและกันทั่วโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นหนึ่ง ๆ ย่อมเกี่ยวพันธ์กับอีกซึกโลกหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
อีกประการหนึ่ง ผู้ที่ศึกษามิติของความมั่นคงต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเสมือน
หนึ่งสงครามที่มีการต่อสู้ แข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นการต่อสู้แข่งขันกันเมื่อเป็นไปในแนวทางเดียวกับสงคราม
ก็เป็นธรรมดาอยู่ดีที่ต้องใช้เล่เหลี่ยมแต้มคูของตำราพิชัยสงคราม ซุน วู เคยกล่าวไว้ว่า
“ ....การศึกสงครามทั้งสิ้นอยู่บนพื้นฐานของการลวง....” ผู้เขียนได้ศึกษาเก็บรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงเรื่องราว
เหตุการณ์ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่หลายคนมองข้ามมาอธิบายตามแนวทางหลักการของตำราพิชัยสงครามที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ ที่เป็นหลักของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีความมุ่งหมายประการหนึ่งว่า
ถ้าแม้นนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ของไทยผู้รักชาติและมั่นคงในผลประโยชน์แห่งชาติของไทยได้ศึกษา
ตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์เล่มนี้อย่างมีใจเป็นกลางให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ทั้งหลักการและตัวอย่างที่
ผู้เขียนได้ศึกษาและวิเคราะห์มาพร้อมมีหลักฐานประกอบทุกกรณีแล้ว ย่อมจะนำมาซึ่งปัญญาการรู้เท่าทันเล่ห์เลี่ยม
ของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย และจะนำไปสู่การกำหนดยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการนำประเทศชาติให้รอดพ้น
เงื้อมมือของมหาอำนาจผู้ที่มีความกระหายที่จะฮุบเอาผลประโยชน์ทั้งหลายจากประเทศไทยเพื่อความมั่งคั่งของตน
ในทุกวิถีทางถ้ามีข้อบกพร่องประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และจะขอบประคุณอย่างยิ่งที่จะได้รับข้อคิดเห็น
เพิ่มเติมโดยส่งข้อคิดเห็นของท่านไปที่ arttamat1@hotmail.com
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 01:01:22 PM »

ส่วนที่ ๑
กลยุทธชนะศึก

เมื่อเมื่อยามเราเป็นฝ่ายเหนือกว่า
ก่อนอื่นจะต้องสยบข้าศึกลงไป
ใช้การรุกรบอย่างเป็นฝ่ายกระทำ
ทำสงครามด้วยรูปการที่เป็นผลดีที่สุด

กลยุทธ์ที่ ๑ ปิดฟ้าข้ามทะเล
เมื่อเตรียมพร้อมก็ประมาท เมื่อเห็นบ่อยก็มิสงสัย
มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง สว่าง มืด
เมื่อเตรียมพร้อมก็ประมาท เมื่อเห็นบ่อยก็มิสงสัย
มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง สว่าง มืด

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมมูลแล้ว มักจะมึนชา
และประมาทศัตรูได้ง่าย สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอในยามปกติก็ไม่เกิดความสงสัยอีกต่อไป
ที่ว่า “ มืดอยู่ในสว่าง ไม่อยู่ตรงข้ามสว่าง” ก็คือในอุบายแจ้งมีอุบายลับอุบายลับ
จะปรากฏเป็นจริงขึ้นในอุบายแจ้งนั่นเอง “ สว่าง” คือเปิดเผย แจ้งชัด “มืด” คือแฝงเร้น ปกปิด
ความหมายของคำว่า “สว่าง มืด” ก็คือ ในรูปแบบที่เปิดเผยอย่างที่สุด แฝงเร้นไว้ ด้วยเนื้อหา
ที่ปิดลับที่สุด การใช้อุบายประสานกันทั้งมืดและสว่าง ย่อมเป็นกลยุทธ์อันเป็นปกติวิสัยของคู่ต่อสู้
ในการสัประยุทธ์ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน ที่กลยุทธ์นี้ใช้ชื่อ “ปิดฟ้าข้ามทะเล” ก็คือการสร้างภาพลวง
ฝ่ายข้ามทะเลไปโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เนื้อรู้ตัว เมื่อใช้ในด้านการทหาร มิได้หมายถึงการข้ามทะเล
ด้วยการปกปิดเป็นเฉพาะ แต่หมายความว่าเมื่อ ๒ ประเทศรบกัน ฝ่ายหนึ่งใช้กลยุทธ์สร้างภาพลวงขึ้น
ปกปิดความจริง มึนชาฝ่ายตรงข้าม นี่คือกลยุทธ์ใช้การพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ของตน
มิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุภารหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้อย่างหนึ่ง
ในบันทึกประวัติศาสตร์เรื่อง “ราชวงศ์สุย” ( ค.ศ.๕๘๙ – ๖๑๘ ) มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้

เมื่อหยางเจียนโค่นราชวงศ์โจวเหนือลงไปแล้ว ก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าสุยเหวินตี้ – ปฐมกษัตริย์
แห่งราชวงศ์สุย ครั้นแล้วก็มีพระราชดำรัสจะบุกข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงลงใต้เพื่อยึดครองรัฐเฉิน ก่อนกรีฑาทัพ
พระองค์ทรงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองเพื่อปรึกษาการศึกในครั้งนี้ ขุนพลเฮ่อย่อปี๋ จึงถวายความเห็นว่า
“เวลานี้รัฐเฉินมีกำลังกล้าแข็ง ซ้ำยังมีแม่น้ำแยงซีเกียงขวางกั้นอยู่เป็นชัยภูมิ ยากแก่การรุก สะดวกแก่การรับ
หากจะหักหาญเอาด้วยกำลังก็ยากที่จะชนะศึก มีแต่จะต้องใช้กลยุทธ์ “ปิดฟ้าข้ามทะเล” ปกปิดความประสงค์
ให้มิดเม้น ใช้ภาพลวงมึนชาพวกเขา แล้วค่อยจู่โจมในภายหลัง จึงจะสัมฤทธิผล” พระเจ้าสุยเหวินตี้ทรงเห็นด้วย
กับกลศึกของเฮ่อย่อปี๋ จึงแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพลงไปบุกรัฐเฉิน รัฐเฉินในสมัยนั้น ตั้งเมืองหลวง
อยู่ที่เมืองเจี้ยงคัง ( ส่วนใต้ของเมืองนานกิง มลฑลเจียงซูในปัจจุบัน) เพื่อเบี่ยงเบนสายตาของข้าศึก
กองทัพชาญศึกของเฮ่อย่อปี๋ตั้งค่ายลง ณ เมืองกว่างหลิง ( เมืองหยางโจว มณฑลเจียงซูในปัจจุบัน)
ซึ่งอยู่ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียงก่อน ด้านหนึ่งออกคำสั่งให้ปกปิดความประสงค์ที่จะบุกรัฐเฉิน
อย่างเข้มงวดกวดขัน อีกด้านหนึ่งก็ลักลอบส่งทหารปลอมแปลงเป็นพ่อค้า ปะปนกับชาวบ้านข้ามฟากไปยังฝั่งใต้
กว้านซื้อเรือแพกลับมา เรือดี ๆ ก็ให้ซ่อนเสีย เอาแต่เรื่อเก่า ๆ ผุ ๆ พัง ๆ จอดอยู่ริมฝั่งให้เห็น ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง
เฮ่อย่อปี๋ก็สั่งให้กองทัพของตนสับเปลี่ยนที่ตั้งกันเป็นพัลวัน จงใจจะก่อกวนให้ทหารของรัฐเฉินทางฝั่งตรงข้าม
ตื่นตระหนกเจ้าครองรัฐเฉินทราบข่าวเข้าก็ตกใจ รีบส่งทหารมาเสริมกำลังตามชายฝั่งอย่างรีบรุด ทว่า หลังจาก
กองทัพสุยสับเปลี่ยนที่ตั้งเป็นอลหม่านอยู่พักหนึ่งแล้วก็เงียบไป ไม่มีท่าทีว่าจะบุกโจมตีรัฐเฉินเลย

เมื่อวันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า รัฐเฉินรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยคลายใจ ถอนกำลังเสริมกลับไป
ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เฮ่อย่อปี๋ก็สั่งให้กองทหารม้าออกล่าสัตว์ตามริมฝั่งแม่น้ำเพื่อหยั่งท่าทีของฝ่ายเฉิน
แม่ทัพนายกองรัฐเฉินออกมาสังเกตการณ์เห็นทหารสุยเอาแต่ล่าสัตว์ ไม่มีวี่แววว่าจะบุกข้ามแม่น้ำมา
จึงคลายความคลางแคลงใจยิ่งขึ้น กองทัพของรัฐเฉินเห็นกองทัพสุยทำอึกทึกครึกโครมครั้งแล้วครั้งเล่า
ก็ยังมิได้โจมตีรัฐตน ก็เข้าใจเอาว่ากองทัพสุยไม่กล้าบุก เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า จิตใจเตรียมพร้อมที่จะรับศึก
ของกองทัพเฉินก็หย่อนยานไปเป็นลำดับ ในช่วงเวลานี้เอง เฮ่อย่อปี๋เห็นเป็นอากาส ในคืนข้างแรมที่มืดสนิท
มองไม่เห็นแม้แต่ปลายนิ้ว ก็แอบนำกองทหารชาญศึกของตนลงเรือที่ซ่อนไว้ข้ามฟากมาโดยที่ทหารของรัฐเฉิน
มิทันรู้ตัว แล้วเข้าโจมตีกองทหารของรัฐเฉินอย่างฉับพลัน บดขยี้กองทัพหลักของรัฐเฉินอย่างยับเยินที่
เขาเจี่ยงซาน( เขาจงซานในนานกิง) บุกเข้ายึดรัฐเฉินไว้ได้หมด ยุติภาวการณ์แบ่งแยกเป็นราชวงศ์เหนือใต้
และทำให้จีน เริ่มเป็นเอกภาพตั้งแต่นั้นมา

ตัวอย่าง กรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ เวลาประมาณ ๐๘๐๐ เศษ เมื่อมีเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินโดยสาร
พุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความตะลึงงัน
ให้กับประชาคมโลก โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์กรุงนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ หรือที่เรียกกันในชื่อของเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน นั้นเป็นเหตุการณ์
ที่ทำให้คนทั้งโลกตะลึงงัน มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งที่สุด ผู้ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นตัวการสำคัญในการปฏิบัติการ
อันสะเทือนขวัญของคนทั้งโลกนั้นเป็นเพียงกลุ่มกองโจรที่ปฏิบัติการสงครามกองโจรอยู่ในที่ราบสูงดินแดนประเทศ
อัฟกานิสถานผู้ซึ่งมีภาพพจน์ของกลุ่มกองโจรที่มีสัญลักษณ์ของรูปภาพของนักรบชาวมุสลิมมือข้างหนึ่งสะพายปืน
ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายที่บ่ามืออีกข้างหนึ่งจูงม้าคู่ใจ เคลื่อนไหวในเขตปฏิบัติการจากภูเขาลูกหนึ่งไปสู่ภูเขา
อีกลูกหนึ่ง ลูกแล้วลูกเล่า ภาพของนักรบที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ก่อการร้ายดังกล่าวนั้นได้ปรากฏต่อสายตา
ประชาชนทั้งโลกจากสื่อโทรทัศน์ ซีเอ็นเอ็น และ บีบีซี ซึ่งปรากฏภาพของการฝึกทางทหาร การฝึกอาวุธ
ของผู้ก่อการร้าย และในที่สุดแล้วมีภาพอันสะเทือนขวัญและความรู้สึกของคนทั้งโลกคือภาพของการที่
นักรบดังกล่าวข้างต้น ได้แสดงแสนยานุภาพอันสูงยิ่งของตนเองในการเข้าโจมตีสถานที่ที่มีการวางระบบ
การป้องกันที่มีเทคโนโลยีสูงอย่างแน่นหนา คือ ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์แห่งมหานครนิวยอร์ก และ
ตึกเพนตากอน สถานที่สำคัญสูงสุดที่ต้องมี การวางระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา
อันเป็นที่ทำการของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกามหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งระบบในการ
รักษาความปลอดภัยของทั้งสองสถานที่ดังกล่าว สามารถที่จะจับเป้าหมายการเคลื่อนที่เข้ามาของวัตถุต่าง ๆ
ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ช้าหรือเร็วและทำลายวัตถุที่เคลื่อนที่เข้ามาเหล่านั้นอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย

แท้ที่จริงแล้วเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน เป็นการสร้างขึ้นของสหรัฐอเมริกาเพื่อ ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถ
แสวงประโยชน์เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาของตนซึ่งกำลังประดังเข้ามาทับถมตนเองในขณะนั้นอย่างมากมาย
ทั้งที่เป็นปัญหาอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ภายในประเทศเองและการที่จะดำรงตนให้อยู่ในสถานะของความเป็น
มหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกให้ได้ ในขณะเดียวกันจำนวนหลายประเทศที่เป็นเป้าหมายที่จะต้องสนับสนุน
การปราบปรามผู้ก่อการร้ายของสหรัฐอเมริกาหลังเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงของสหรัฐฯ
ก็จะต้องดำเนินการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายประเทศได้ให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาอย่างทุ่มเท แม้จะต้อง
สูญเสียทรัพยากรของตนไปมากมายเท่าใดก็ตามทั้งนี้เพราะสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการขอความร่วมมือกึ่งบังคับ

ผลกระทบจากกรณีการก่อการร้ายดังกล่าวข้างต้นนั้นได้แพร่กระจายไปเกือบทั่วทุกมุมโลกในที่สุด มีคำกล่าวอีกว่า
จำนวนหลายประเทศต้องสูญเสียทั้งบุคลากร ทรัพย์สิน ศักดิ์ศรี และ อธิปไตยของชาติไป อันเนื่องมาจากการที่
จะต้องช่วยเหลือสนับสนุนการปราบปรามผู้ก่อการร้ายนำโดยสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญคือ บางประเทศค่อย ๆ
สูญเสียระบบในการรักษาความมั่นคงของชาติไปอันเนื่องมาจากการแทรกแซงโดยกำลังทหารและบุคลากรของ
สหรัฐอเมริกา ผู้นำในการต่อต้านการก่อการร้าย และบางประเทศอาจจะต้องถูกแบ่งแยกแล้วย่อยสลาย
อันเนื่องมาจากสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์กรณี ๑๑ กันยายนนี้ด้วย
เมื่อมีการศึกษาวิจัยและนำหลักฐานมาวิเคราะห์ตามหลักการในการทำสงครามแล้วปรากฏว่า
เหตุการณ์กรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ นั้นเป็นเหตุการณ์ที่สร้างขึ้นมาโดยสหรัฐอเมริกาเองอย่างจงใจทั้งนี้
เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาที่กำลังประดังเข้ามาดังมีรายละเอียดอธิบายให้เข้าใจพอสังเขปดังต่อไปนี้

๑. ปัญหาภายในสหรัฐอเมริกาเอง

๑) สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ ถึงแม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ๒ ครั้งของสหรัฐอเมริกา
จะได้รับการแก้ไขไปได้ ด้วยการสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี ๒๕๓๔ ( ก่อน ๑๙๙๑ สหรัฐอเมริกา ได้สร้างสถานการณ์
และสนับสนุนอิรักให้รุกเข้ายึดครองคูเวตและอ้างต่อชาวโลกว่าอิรักเป็นผู้รุกรานคูเวตทำให้สหรัฐฯ มีความชอบธรรมในการ
ผลักดันองค์การสหประชาชาตินำกำลังเข้าโจมตีอิรักในเวลาต่อมา หลังเสร็จสิ้นสงครามอ่าวในปี ๑๙๙๑ สหรัฐฯ และอังกฤษ
สามารถขายอาวุธเทคโนโลยีสูงได้มากมายซึ่งได้จากการแสดงในสงครามอ่าวที่สำคัญคือการสามารถเข้าครอบครอง
ธุรกิจน้ำมันในตะวันออกกลางได้ถึง ๙ ใน ๑๐ ส่วน ซึ่งเป็นปริมาณมหาศาลและสามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ได้ระดับหนึ่ง : อ่านได้จากสงครามสมัยใหม่ที่สหรัฐฯ ใช้ยึดครองจีนและประชาคมโลก เอกสารวิจัยดีเด่น
มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศจีน ) และการสร้างสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี ๒๕๔๐ (๑๙๙๗)
ซึ่งสหรัฐฯ ได้สร้างสถานการณ์มาโดยตลอดจนกระทั่งเกิดวิกฤตการเงินและวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยแล้วแผ่ขยาย
ออกไปสู่ภูมิภาคกลายเป็นวิกฤตการเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจของเอเชีย ซึ่งเป็นผลให้สหรัฐฯ สามารถเข้ายึดครองเศรษฐกิจ
ของเอเชียได้และเงินไหลเข้าสหรัฐฯ ประมาณ ๒๘ ล้านล้านบาทในทันที ทำให้สามารถที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ได้อีกระดับหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะหมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิงก็หาไม่ ผลของวิกฤตทั้งสองครั้ง
ดังที่กล่าวแล้วข้างตนก็ยังคงมีหน่อเค้าอยู่และพร้อมที่จะก่อให้เกิดวิกฤตในรอบต่อไปได้

ในอดีตที่ผ่านมา สงครามอิรัก – อิหร่าน ได้ถูกสร้างขึ้นโดยประธานาธิบดีเรแกน แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยความมุ่งหมาย
ที่จะกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำมาอย่างยาวนานช่วงหลังที่สหรัฐฯ พ่ายแพ้ต่อสงครามเวียดนาม แต่เรแกนประสบ
ความล้มเหลวเพราะผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ในการขายอาวุธในสงครามดังกล่าวกลายเป็นสหภาพโซเวียตไม่ใช่บริษัท
ผลิตอาวุธของสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด ซึ่งยิ่งเพิ่มสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐอเมริกาให้มีความรุนแรงมากขึ้น
โดยลำดับ ครั้นเมื่อประธานาธิบดี จอร์จ บุช ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนจึงได้วางแผนอย่างดีที่จะใช้กิจกรรมทาง
การสงครามในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ บุช
ได้ใช้ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดสองประเทศในตะวันออกกลางคือประเทศคูเวตและอิรักเป็นตัวแสดงละครแล้วสร้างเกม
เพื่อที่จะเข้าครอบครองประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคในเวลาต่อมา สิ่งที่สังคมโลกยังไม่เคยพบเห็นและไม่ได้รู้จัก
อันเป็นผลประโยชน์ที่ประเทศสหรัฐฯ และอังกฤษได้รับหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี ๒๕๓๔ (๑๙๙๑) ที่ผ่านมานั้น คือ

การเข้าครอบครองหุ้นส่วนของบรรษัทพลังงานปิโตรเลียมทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางได้ถึง ๙ ใน ๑๐ ของหุ้นส่วนทั้งหมด
นั่นหมายถึงการบรรลุถึงผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจซึ่งใช้เกมการสร้างสงครามทางทหารเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย
ทางด้านเศรษฐกิจ ( เกมเช่นนี้ทางทหารนอกจากใช้หลักการในตำราพิชัยสงคราม ซุน วู แล้ว ที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง
มากที่สุดในโลกโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทั้งหลายคือหลักการของตำราพิชัยสงคราม ๓๖ กลยุทธ์ ) หลังจากที่สหรัฐฯ
บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจของตนแล้ว เป้าหมายอื่น ๆ ในระยะยาวที่สหรัฐฯ และพันธมิตรต้องการคือ การเข้าครอบครอง
ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาค จะเห็นได้ว่า กลยุทธ์ “ แบ่งแยกแล้วปกครอง” ได้ถูกนำมาใช้ทันทีแล้วความแตกแยก
ในตะวันออกกลางก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ความหวาดระแวงต่ออำนาจของอิรักก็เกิดขึ้นทั่วไปจึงทำให้ประเทศในภูมิภาค
ตะวันออกกลางแข่งขันกันสะสมอาวุธเพื่อที่จะใช้ในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของอิรักที่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยสหรัฐอเมริกา
ให้เป็นประเทศผู้รุกราน ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การที่สหรัฐฯ ได้ประสบความสำเร็จในการวางรากฐานอย่างแน่นหนา
ในการช่วยเหลืออิสราเอลให้ต่อสู้กับประเทศในตะวันออกกลางที่ล้อมรอบอยู่ได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ ในส่วนของวิกฤตการณ์
ทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเอเชียเมื่อปี ๒๕๔๐ (๑๙๙๗) นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นการสร้างสถานการณ์ที่มีการวางแผนมาแล้ว
อย่างละเอียดรอบคอบ สหรัฐฯ เตรียมการเป็นระยะเวลาอันยาวนานที่จะเข้าครอบครองเศรษฐกิจของเสือเศรษฐกิจในเอเชีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การส่งขุนพลการสงครามทางด้านการเงินของสหรัฐฯ เข้ามาเตรียมการไว้
ตั้งแต่เนิ่นอย่างเช่น “ จอร์จ โซรอส” ซึ่งได้เข้ามาทำธุรกิจในเอเชียเป็นเวลานานแล้วได้ปูพื้นฐานในการตั้งบรรษัทขนาดใหญ่
ไว้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งครอบคลุมธุรกิจทุกอย่างในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และในประเทศไทย ได้มีการทุ่มเงินซื้อหุ้นของบริษัทที่มีชื่อสำคัญในภูมิภาคเข้าไว้ในอาณัติของตน และในที่สุด
การสร้างวิกฤตก็เกิดขึ้นโดยเริ่มต้นที่ประเทศไทยแล้วขยายตัวออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและทั่วทั้งทวีปในที่สุด
มีนักวิเคราะห์ทั่วโลกจำนวนมากประมาณกันว่า ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเงินไหลเข้าสหรัฐฯ
มีจำนวนสูงถึง ๗๐๐ พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ ๒๘,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่เมื่อ
เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว วิกฤตการณ์นั้นได้แพร่ขยายผลไปทั่วโลกแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาเอง
ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในเวลาต่อมาเช่นกัน

๒) ประธานาธิบดีและรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาประสบกับวิกฤตความนิยมลดลงต่ำที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐอเมริกา ตามที่รัฐบาลของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เข้ารับตำแหน่ง
และได้ประกาศนโยบายหลายเรื่องซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของชาวอเมริกันได้ จึงทำให้
ประธานาธิบดีและรัฐบาลของเขาได้รับการประเมินจากชาวอเมริกันว่าเป็นประธานาธิบดีและรัฐบาลที่ได้รับ
ความนิยมจากประชาชนชาวอเมริกันต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐอเมริกาคือลดต่ำลงเหลือเพียง
๔๐ % เท่านั้น

๓) วิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่กำลังเข้ามาเยือนสหรัฐฯ ซึ่งจะร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากเอกสารการประเมิน
ด้านเศรษฐกิจของ IMF และ WTO ทราบว่า ในอีกประมาณ ๑๒ เดือนนับตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มวางแผนในการถล่ม
ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์โดยสหรัฐฯ เอง ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้จะเป็นรอบที่มีความร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งใด ๆ
ที่เคยมีมาก่อน กับอีกทั้งเมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตกต่ำเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์อย่าง
เช่น จีน กลับดีวันดีคืน ด้วยสาเหตุอันนี้ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นที่จะต้องหามาตรการใด ๆ ก็ตามที่จะสามารถหยุดยั้ง
วิกฤตเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นให้ได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถที่จะหยุดยั้งการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ
ของฝ่ายตรงข้ามด้วย

๔) ข้อมูลลับสุดยอดของสหรัฐฯ ถูกกลุ่มนักแฮกเกอร์เข้าถึงและขโมยข้อมูลนั้นไป หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ
รายงานต่อรัฐบาลกลางว่า เครือข่ายข้อมูลลับสุดยอดของสหรัฐฯ ถูกกลุ่มนักแฮกเกอร์เข้าถึงและข้อมูลบางส่วน
ถูกจารกรรมไป ซึ่งหน่วยงานสำคัญดังกล่าวนั้น รวมทั้งข้อมูลของ CIA , NSA , NORAD ระบบเรดาร์ของ
ระบบการรักษาความปลอดภัยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กรุงนิวยอร์ก เพนซิลเวเนีย ระบบข้อมูลทางด้านการเงินต่าง ๆ
รวมทั้งเครือข่ายข้อมูลในแคมป์เดวิดด้วย

๕) สหรัฐอเมริกากำลังถูกฟ้องร้องให้ตกเป็นจำเลยฐานการใช้ “ Depletion Uranium Weapon ( DU )”
ที่มีผลต่อการเจ็บป่วยจำนวนมากในสงครามโคโซโว จากยอดทหารของยูโกสลาเวียจำนวนถึง ๑๐,๐๐๐ นาย
ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยการเป็นโรคมะเร็งอันเนื่องจากการใช้อาวุธดังกล่าวข้างต้นของสหรัฐอเมริกาเข้าทำลายล้าง
ในช่วงสงครามโคโซโว ในจำนวนนี้ ๓,๐๐๐ นายต้องเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง ด้วยโศกนาถกรรมเช่นนี้ ทหารนาโต้
ที่เข้าร่วมปฏิบัติการในสงครามดังกล่าวด้วยก็มีอาการเช่นเดียวกัน จำนวนทหารของประเทศสมาชิกนาโต้ที่เสียชีวิต
ด้วยอาการที่คล้ายกันประกอบด้วย ทหารเบลเยี่ยม ๕๐ นาย สเปน ๒๐ นาย โปรตุเกส ๒๐ นาย และสาธารณรัฐเช็ก
จำนวน ๑๐ นาย และทหารที่เข้าร่วมในสงครามโคโซโวล้วนแต่ต้องทนทุกขเวทนาด้วยโรคดังกล่าวโดยทั่วหน้ากัน

๖) กลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ในสหรัฐฯ กำลังกดดันรัฐบาลอย่างหนักเพื่อที่จะให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่กลุ่มของตนกำลัง
ประสบอยู่ในขณะนั้น อันประกอบด้วยกลุ่มใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้
( ๑ ) Crusader Group ซึ่งประกอบด้วย
- ACA ( American Conservative Association )
- IG ( Independent Group ) ซึ่งเป็นกลุ่มชาวอเมริกันอนุรักษ์นิยมและกลุ่มนิยมฝ่ายซ้าย
- กลุ่มนักธุรกิจชาวอเมริกัน อันเป็นกลุ่มที่สนับสนุนทางด้านการเงินที่สำคัญให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดี
จอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช และได้ให้การสนับสนุนทางด้านการเงินกับพรรครีพับลิกันมาโดยตลอดด้วย
( ๒) กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ ( Anti-Globalization Groups ) กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลระดับนานาชาติ
มีเครือข่ายการเคลื่อนไหวไปทั่วโลก และได้รับการประเมินจาก CIA ของสหรัฐฯ ว่าเป็นกลุ่มที่อยู่นอกการควบคุม
ของรัฐบาลสหรัฐฯ และเป็นภัยต่อสหรัฐอเมริกาด้วยนอกจากนั้นแล้วกลุ่มดังกล่าวยังได้มีอิทธิพลต่อประชาคมโลก
ด้วยการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ อิทธิพลของกลุ่มดังกล่าวได้ครอบคลุมไปถึงการครอบครองนักแฮกเกอร์
ระดับสุดยอดของโลกจำนวนมากที่สามารถจะเจาะเข้าไปยังข้อมูลลับของประเทศใด ๆ ก็ได้ และนี่คือภัยต่อ
ระบบการรักษาความปลอดภัยทางข่าวสารของสหรัฐอเมริกาที่ใหญ่ที่สุด
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 01:02:13 PM »

๒. ปัญหาจากสหภาพยุโรป

๑) เงินยูโรดอลลาร์ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเมื่อปี ๒๕๓๓ (๑๙๙๐)
ตามตารางของการปล่อยเงินยูโรดอลลาร์ออกสู่ตลาดการเงินของโลกแล้ว เงินยูโรดอลลาร์จะมีการทดลองใช้
ครั้งแรกในยูโรโซนปี ๒๕๔๒ (๑๙๙๙) และในปี ๒๕๔๔-๒๕๔๕ (๒๐๐๑ – ๒๐๐๒) จะมีการทดลองปล่อยเงิน
ออกสู่ตลาดการเงินของโลก และห้วงสุดท้ายคือในปี ๒๕๔๖- ๒๕๔๙ ( ๒๐๐๓ – ๒๐๐๖) จะเป็นการปรับค่าเงิน
ยูโรครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยออกสู่ตลาดโลกอย่างเป็นทางการ
๒) เงินยูโรดอลลาร์เป็นเงินจริงที่มีค่าจริงและมีทองคำสำรองและมีระบบเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของกลุ่มสหภาพยุโรป
เป็นฐานรองรับค่าเงิน ในขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินปลอมที่มีการพิมพ์ด้วยกระดาษเปล่าโดยที่ไม่มี
ทองคำสำรองและไม่มีค่าทางเศรษฐกิจใด ๆ รองรับค่าเงินซึ่งสหรัฐฯ ผลิตเงินออกสู่ตลาดโลกได้ตามความพอใจ
ซึ่งผู้ผลิตเงินนี้มาโดยตลอดคือ Federal Reserve Bank ( FED) ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจใหญ่ประกอบด้วย ๘ ตระกูล
ที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่ครอบครองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อยู่ในขณะนี้
๓) สหรัฐอเมริกาจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่อันเกิดจากอิทธิพลของเงินยูโรดอลลาร์ การที่ความเป็นมา
ของเงินทั้งสองตระกูลคือเงินยูโรดอลลาร์และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าต้องต่อสู้กันในตลาดการเงินของโลกแล้ว
ผู้ที่เสียเปรียบคือเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเงินยูโรดอลลาร์ขยายตัวออกสู่ตลาดโลก
อย่างเสรีไม่มีขีดจำกัด นั่นแสดงถึงการเป็นตัวแทนในการแสดงแสนยานุภาพทางด้านเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ
สหภาพยุโรปซึ่งเข้มแข็งมากอย่างที่เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินที่แพร่กระจาย
ไปทั่วโลกอยู่แล้วซึ่งเป็นเงินที่ครอบครองตลาดการเงินของโลกอยู่เดิม แต่เป็นเงินทีไม่ได้มีค่าเงินจริงเป็นเพียงแค่
เงินปลอมที่ผลิตขึ้นมาด้วยกระดาษและตัวเลขโดยใช้อิทธิพลของการเป็นมหาอำนาจสหรัฐฯ เป็นฐานรองรับ
และเรื่องค่าของเงินเป็นเรื่องของความเชื่อถือเท่านั้น ถ้าเมื่อใดก็ตามประชาคมโลกได้รับรู้ข้อมูลความจริงเหล่านั้น
และมีทางเลือกอย่างเงินยูโรดอลลาร์ที่เป็นเงินที่มีค่าจริง ตลาดการเงินของโลกย่อมที่จะต้องยอมรับเงินยูโรดอลลาร์
มากกว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็จะไหลกลับถิ่นฐานเดิมของตนคือ
ประเทศสหรัฐฯ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าเศรษฐกิจฟองสบู่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกยุคนี้ตามหลักของวิชาเศรษฐศาสตร์
ก็จะเกิดขึ้น เมื่อฟองสบู่แตกนั่นคืออวสานของจักรวรรดิสหรัฐแห่งอเมริกาที่มีอายุยืนยาวมาแล้วมากกว่า ๒๐๐ ปี
นี่คือความกลัวของสหรัฐอเมริกา

๓. ปัญหาอันเกิดจากจีน

๑) จีนประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งต่อการที่จะได้รับเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก ( WTO )
ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ (๒๐๐๑) เป็นต้นไป หลังจากที่ประเทศจีนได้มีนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศที่รู้จักกันในนาม
“ Reform and opening up policy” เศรษฐกิจของจีนก็เติบโตด้วยอัตราที่สูงที่สุดในโลกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่จีนได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลกด้วยแล้วยิ่งจะทำให้จีน
เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกในระยะเวลาอันสั้น ด้วยเหตุนี้ ความเป็นมหาอำนาจของจีน
ที่เริ่มเห็นแววมาตั้งแต่ต้นจะเข้ามาแทนที่ความเป็นมหาอำนาจของสหรัฐอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจีนจึง
ได้รับการประเมินว่าเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งในทุก ๆ ด้านของสหรัฐอเมริกา
๒) อิทธิพลของจีนจะเข้ามาแทนที่อิทธิพลของสหรัฐฯ ในทุกภูมิภาคของโลก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่จีนได้ใช้
นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศและตามมาด้วย “ นโยบาย ๕ ข้อแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ซึ่งโดยเนื้อหาแล้ว
เป็นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาคมโลกที่มีต่อจีน และเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวโลกแล้วว่า
หลังจากทั้งสองนโยบายดังกล่าวได้ออกมาสู่สายตาของชาวโลกทำให้ชาวโลกไม่ได้เห็นภัยที่เกิดขึ้นจากจีน
ตรงกันข้ามกับสหรัฐอเมริกาที่มีนโยบายทั้งทางลับและเปิดเผยที่ไม่ได้ตรงกับที่ตนประกาศไว้แต่มุ่งเน้น
ผลประโยชน์ของชาติตนเป็นหลักจนทั่วโลกกล่าวขานกันเป็นเสียงเดียวกันตามที่จีนกล่าวคือ สหรัฐฯ ยึดถือ
นโยบายการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ( Hegemony ) คือเที่ยวข่มเหงรังแกประเทศเล็กประเทศน้อยเพื่อแสวงหา
ประโยชน์แห่งตนตามอำเภอใจ หน้าฉากคือพันธมิตรหลังฉากคือศัตรูที่คอยหักหลังพันธมิตรอยู่ตลอดเวลา
การที่จีนได้รับความเชื่อถือมากขึ้นดังที่เห็นได้จากที่มีการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศทุกภูมิภาคในโลกของจีน
และสัมพันธภาพระหว่างประเทศเหล่านั้นก็ดำเนินไปด้วยดีอย่างเท่าเทียม ประเทศต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มคล้อยตาม
ในการที่จะเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับจีนประกอบด้วย ประเทศในกลุ่มอาเซียน ประเทศในกลุ่มเอเชีย- แปซิฟิก
ประเทศตะวันออกกลาง ประเทศในทวีปอัฟริกา ประเทศรัสเซีย ประเทศในกลุ่มสมาชิกสหภาพยุโรป แม้กระทั่ง
ประเทศญี่ปุ่นที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับจีนมานานก็ยังมีแนวโน้มที่จะมาญาติดีกับจีนมากขึ้นกว่าเดิม นี่คืออิทธิพล
ที่จีนค่อยขยายออกไปแทนที่สหรัฐฯ ในทุกภูมิภาคของโลกอย่างแท้จริง
๓) จีนจะเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวในอีก ๑๐ – ๒๐ ปีข้างหน้า จากการที่ IMF, WTO ,WB และนักวิเคราะห์
สถานการณ์โลกได้ลงมติเป็นไปในแนวทางเดียวกันคือจีนจะเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกในอีก ๑๐ - ๒๐ ปี
ข้างหน้าแทนที่สหรัฐอเมริกา จากหนังสือเรื่อง Power Transition ของ Kugler ได้คาดการณ์ถึงการที่จะมีการ
เคลื่อนย้ายทางอำนาจของมหาอำนาจจากสหรัฐฯ ในปัจจุบันไปเป็นจีนและประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน
จะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาในปี ๒๐๒๕ และในปี ๒๐๕๐ ขนาดเศรษฐกิจของจีนจะใหญ่เท่ากับ
สหรัฐอเมริการวมกันกับกลุ่มประเทศยูโร ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงมาก นอกจากนั้นแล้วหลังจากที่
ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุช ได้เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ได้มอบหมายให้เพนตากอนทำการวิจัยถึงประเทศที่
จะมีอำนาจท้ายสหรัฐฯ ใน ๑๐ – ๑๕ ปีข้างหน้า ผลออกมาชัดเจนว่าเป็นจีนซึ่งเป็นอันดับหนึ่ง อันดับที่ ๒ คือ อินเดีย
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นแล้ว สหรัฐฯ จึงได้กำหนดแผนงานขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อที่จะแก้ปัญหาทั้งปวง
ดังที่กล่าวมาแล้วอย่างเบ็ดเสร็จ และได้กำหนดกลุ่มงานขึ้นมา ๒ กลุ่มงานคือ
๑) การทำลายความแข็งแกร่งของค่าเงินยูโรดอลลาร์
๒) การปิดล้อม แบ่งแยกแล้วย่อยสลายจีน

ผลที่สหรัฐอเมริกาได้รับหลังจากสร้างสถานการณ์กรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ แล้วมีดังนี้
๑) สามารถที่จะนำประเทศของตนให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ทั้งหลายที่ประดังเข้ามาก่อนที่จะสร้าง
“ เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน” และหลังจากที่ เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างขึ้นแล้ว จากหลักฐานดังที่แสดงไว้แล้วในตอนต้น
วิกฤตการณ์ของสหรัฐอเมริกาประกอบไปด้วยวิกฤตทางเศรษฐกิจ วิกฤตทางการเมืองที่มีทั้งการเมืองภายในและการเมือง
ในระดับนานาชาติ วิกฤตทางด้านความมั่นคงปลอดภัยแต่วิกฤตที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาวิกฤตทั้งหลายคือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
๒) สามารถที่จะลดความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของสองเสือเศรษฐกิจของโลกที่เป็นคู่แข่งอันฉกาจฉกรรจ์ของสหรัฐฯ คือ
จีนกับสหภาพยุโรป จีนจะแสดงบทบาทที่โดดเด่นในสังคมของประชาคมโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าและความเป็นมหาอำนาจ
หนึ่งเดียวของสหรัฐฯ จะถูกแทนที่ด้วยอิทธิพลของจีนในทุก ๆ ปัจจัยตามที่นักวิเคราะห์สถานการณ์โลกได้รายงานไว้
เงินยูโรดอลลาร์ได้ถูกประเมินว่าเป็นภัยคุกคามหลักต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในตลาดการเงินโลก ตามที่ทราบกันดีว่า
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเงินที่ไม่ได้สร้างด้วยการรองรับของเศรษฐกิจจริงหรือทรัพย์สินจริงดังที่หลักสากลยอมรับกัน
ดังนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นเงินปลอมตามความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม เงินยูโรดอลลาร์จะมีค่าที่แข็งขึ้น
เนื่องจากมีทองคำสำรองและมีเศรษฐกิจจริงที่มีความแข็งแกร่งของกลุ่มสหภาพยุโรปรองรับค่าเงิน ฉะนั้นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
จึงจะค่อย ๆ ถูกผลักให้ไหลกลับไปยังแหล่งกำเนิดของตนโดยอิทธิพลของเงินยูโรดอลลาร์และฟองสบู่ขนาดมหึมาจะเกิดขึ้น
กับระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจุดจบของจักรวรรดิสหรัฐแห่งอเมริกาก็จะปรากฏขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
๓) ประสบความสำเร็จในการควบคุมระดับความสัมพันธ์ของสองประเทศมหาอำนาจชั้นรองคือความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซีย
๔) สามารถที่จะดำรงสภาพความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาไปได้อีกยาวนาน จากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ
ประสบความสำเร็จในการครอบครองเศรษฐกิจโลกโดยการใช้สงครามเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ หลังจากได้สร้าง ๒ เหตุการณ์
ขึ้นแล้วทำให้สหรัฐฯ สามารถเข้าครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้นจากประเทศมุสลิมได้อย่างมั่นคงรวมทั้ง
กลุ่มประเทศต่าง ๆ ในทวีปอัฟริกา ที่สำคัญคือการเข้าครอบครองแหล่งแรงงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างจีน
เพื่อที่จะนำไปกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
๕) สหรัฐฯ สามารถที่จะดำรงความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับกลุ่มครูเสดได้อีกครั้งหนึ่ง ( Crusader Groups) กลุ่มครูเสด
เป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย
กลุ่มครูเสดเป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ FED ซึ่ง FED เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นโดย ๘ ตระกูลคาทอลิกที่ร่ำรวยที่สุด
ในยุโรปและอเมริกาซึ่งครอบครองธุรกิจขนาดยักษ์ ๖ กลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นบรรษัทข้ามชาติทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
ที่เป็นสาขาของสหรัฐอเมริกา และ FED เป็นผู้สร้าง CIA เพื่อให้สามารถที่จะรักษาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของตน
ในทั่วทุกมุมโลก ( พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ ,เอกสารประกอบการบรรยายและฝึกแก้ปัญหาฝ่ายเสนาธิการ
โรงเรียนกิจการพลเรือนทหารบก กรมกิจการพลเรือนทหารบก )
๖) บรรลุเป้าหมายในการอ้างความชอบธรรมในการส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่มีความสำคัญรวมทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งปวง
ของสหรัฐฯ ในการรักษาผลประโยชน์ของตนในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ตามที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ผลประโยชน์ของ
สหรัฐอเมริกามีอยู่ทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางด้านยุทธศาสตร์
สหรัฐฯ ต้องการอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะให้สถานการณ์ต่าง ๆ อยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมได้โดยองค์กรต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ
ได้ส่งออกไปแล้วในช่วงของการทำ “ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”

ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการครองอำนาจที่มีอยู่เดิมของสหรัฐอเมริกา จากหนังสือเรื่อง Hegemony of a new type
ซึ่งเขียนโดย Bezezinski โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่องความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏ
มาก่อนที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯ จะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน ซึ่งครอบคลุม
ไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ทหาร ครึ่งหนึ่งของงบประมาณของทหารของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ
เป็นงบประมาณทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ ) เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง

สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ
ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก
สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ
ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ
เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔ ของตลาดหนัง
มาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ
อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย , การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต ,
สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก เช่น UN , IMF ,WB , WTO ….

จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้ครองความเป็นเจ้าครองความยิ่งใหญ่เหนือประเทศใด ๆ ในโลกมาโดยตลอด
ฉะนั้นการที่จะสูญเสียอำนาจด้านใด ๆ ไปจึงเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ทำใจไม่ได้และจะยอมไม่ได้อย่างแน่นอน
จึงจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องหาวิธีการในการป้องกันตำแหน่งอันดับหนึ่งของตนเองไว้ให้ยาวนานที่สุดให้ได้
ไม่ว่าจะด้วยกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม ในฐานะที่ผู้เขียนเองได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาและประเทศมหาอำนาจ
ที่มีนโยบายอันกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทยมายาวนาน ผู้เขียนจึงได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์
จำนวนมากในเรื่องนี้จาหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมก็ตาม โดยเฉพาะผู้เขียนเองมีญาติสนิทที่เคยทำงาน
เกี่ยวข้องกับข้อมูลต่าง ๆเหล่านี้ในสหรัฐอเมริกามาไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี ที่ได้สัมผัสทั้งสังคมอเมริกัน สัมผัสทั้งองค์กร
การเมืองในระดับสูงของสหรัฐอเมริกา การได้เป็นเจ้าหน้าที่ในระดับสูงขององค์กร ซีไอเอ การได้ดำรงตำแหน่ง
ในฐานะผู้ปรึกษาระดับสูงของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาแล้ว ประกอบกับการสอบทานข้อมูลกับหลาย ๆ ฝ่าย
ทำให้ข้อมูลทั้งหลายมีความถูกต้องตรงกันและสามารถที่จะคาดคะเนกิจกรรมอันจะเกิดขึ้นจากการกระทำของ
ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ ได้ถูกต้องแม่นยำได้ ทำให้ข้อมูลที่ผู้เขียนได้นำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้สามารถอธิบาย
ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกเหตุการณ์ และมีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวทั้งหมดที่ผู้เขียน
นำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้ด้วย
๗) ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำลายจีนโดยแผน “ ปิดล้อม ,แบ่งแยกและย่อยสลายจีน”โดยสหรัฐอเมริกา
( รายละเอียดทั้งสิ้นดูได้จากเอกสารวิจัย เรื่องการใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู
วิเคราะห์“เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” นักศึกษาหลักสูตรความมั่นคง
รุ่นที่ ๑๑ มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนระหว่าง ก.ย. ๒๕๔๕ – ก.ย.๒๕๔๖ :
http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com )

โดยสรุปเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ที่ผู้ก่อการร้ายถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ เป็นการสร้างเหตุการณ์ขึ้นของสหรัฐฯ
โดยการสร้างเหตุการณ์จูงใจให้ประชาคมโลกไปสนใจในสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการให้สนใจ เมื่อประชาคมโลกให้ความสนใจ
และคล้อยตามสหรัฐฯ ก็จะใช้มาตรการอื่น ๆ ให้ทุกประเทศในโลกถลำตัวมากยิ่งขึ้น บางครั้งก็ใช้ความเป็นมหาอำนาจบังคับ
ให้ประเทศต่าง ๆ ทำตามที่สหรัฐฯ ต้องการในกิจกรรมนั้น จะเห็นได้จากการที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกับสหรัฐฯ
ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในเวลาต่อมา ในขณะที่กิจกรรมการก่อการร้ายเป็นเพียงกิจกรรมที่ลวงชาวโลก
ให้เห็นใจและคล้อยตามสหรัฐฯ แต่เป้าหมายที่แท้จริงมีหลายประการแต่ในจำนวนนั้นคือเรื่องการแก้ปัญหาของสหรัฐฯ เอง
ทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านความมั่นคง เหตุการณ์นี้จึงสามารถที่จะอธิบายตามหลักการตามกลยุทธ์ “ ปิดฟ้าข้ามทะเล” ว่า
ทำกิจกรรมอย่างหนึ่งให้คนสนใจเพื่อหวังผลต่อการกระทำอีกอย่างหนึ่งของตนที่ซ่อนเร้นไว้ไม่มีใครรู้นั่นเอง
กลยุทธ์นี้จึงสรุปว่า

“สำหรับเรื่องที่มีความเคยชิน มนุษย์เรามักจะปล่อยปละละเลยต่อการระมัดระวัง มิได้ป้องกันให้เข้มงวดกวดขัน
แท้ที่จริงนั้น สิ่งซึ่งดูเป็นธรรมดาสามัญอย่างที่สุดนั้น ก็คือที่สถิตอยู่แห่งโอกาสอันยอดเยี่ยมนั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว
การใช้กลยุทธ์นี้ในการพรางตามาปกปิดจุดประสงค์ของตนมิให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็นได้ง่าย เพื่อบรรลุภาระหน้าที่
ที่ได้กำหนดไว้อย่างหนึ่ง ก็สามารถใช้ได้อย่างดีเลิศมาทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในสมัยปัจจุบันนี้ประเทศมหาอำนาจ
อย่างสหรัฐอเมริกาก็ได้นำกลยุทธ์นี้มาใช้อย่างแยบยลและได้ผลจนกระทั่งปัจจุบันนี้ประชาคมโลกก็ยังถูกสหรัฐฯ
ใช้กลยุทธ์นี้พรางตาและยังไม่รู้ว่าสหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเลเพื่อพรางตาประชาคมโลกเพื่อบรรลุ
ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เอง”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 04:01:05 PM »

กลยุทธ์ที่ ๒ ล้อมเว่ยช่วยเจ้า
“ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก ศัตรูแจ้งมิสู้ศัตรูมืด”

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกรวมศูนย์กำลังพลไว้ ควรจะใช้กลอุบายดึงแยกข้าศึกออกไป
ทำให้กำลังพลกระจัดกระจาย ห่วงหน้าพะวงหลังครั้นแล้วจึงเข้าโจมตี นี้ก็คือ “ ศัตรูรวมมิสู้ศัตรูแยก”
และตำราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ ขนานนามยุทธศาสตร์การส่งทหารเข้าบุกข้าศึกก่อนเป็น “ศัตรูแจ้ง”
ส่วนยุทธศาสตร์กำราบข้าศึกทีหลังเป็น “ศัตรูมืด” ภายใต้สภาพการณ์ที่แน่นอน การบุกข้าศึกทีหลัง
ได้เปรียบกว่าการส่งทหารเข้าบุกก่อน กลยุทธ์นี้หมายถึงการใช้ศิลปะการต่อสู้ทางการทหารที่เรียกว่า
“ ถ้ามาหลายก็ให้แยก” “ ถ้าบุกก็ให้ถอย" “ การส่งทหารเข้าบุกก่อนมิสู้ตีโต้ตอบทีหลัง” นี้เป็นกลยุทธ์ที่
” เลี่ยงแน่นตีกลวง เลี่ยงแข็งตีอ่อน เลี่ยงที่สงบตีที่ปั่นป่วน เลี่ยงที่ฮึกเหิมตีที่ย่อท้อ” เพื่อขับข้าศึก
และเข้าบดขยี้ข้าศึกในภายหลังอย่างหนึ่ง ในตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู บทว่าด้วย “จริงลวง” ได้เขียนไว้ว่า
“ เรารวมเป็นหนึ่ง ข้าศึกแยกเป็นสิบ.....เราก็มากข้าศึกก็น้อย” ใน “ บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติซุน วู อู๋ฉี”
และบันทึกประวัติศาสตร์เรื่อง “จือจื้อทงเจี้ยน ศักราชที่ ๒ แห่งราชวงศ์โจว” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้

หลังจากซู วู นักการทหารผู้มีอัจฉริยะแห่งยุคชุนชิว ( ก่อนคริสตกาล ๘๔๑-๓๗๖ ปี ) ถึงแก่กรรมไปร้อยกว่าปี
มาถึงยุคจ้านกว๋อ ( ก่อนคริสตกาล ๔๗๕ – ๒๒๑ ปี ) ก็มีนักการทหารผู้มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
มีชื่อว่า ซุนปิน เกิดอยู่ในพื้นที่ระหว่างเมืองอาเฉินกับเมืองจ่วนเฉินในมณฑลซานตงปัจจุบันว่ากันว่าความจริง
เขาสืบเชื้อสายมาจากซุน วู เมื่อเล็กเคยรับการศึกษาจากอาจารย์หวางสี่พร้อมกับพังจวน หวางสี่เก็บตัวไม่ข้องแวะ
กับโลกภายนอกอยู่ในหุบเขาปีศาจ ณ เมืองหยาง เรียกตัวเองว่าคนหุบเขาปีศาจ คนทั้งหลายเรียกเขาว่า
อาจารย์หุบเขาปีศาจ ต่อมาพงจวนก็เดินทางไปยังแคว้นเว่ย ซึ่งในในเวลานั้นฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเว่ยกำลังแสวงหา
ผู้รู้อย่างกว้างขวาง พังจวนจึงไปพบอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นเว่ยชื่อหวางช่อ หวางช่อจึงแนะนำพังจวน
ให้แก่ฮุ่ยอ๋อง ฮุ่ยอ๋องให้เข้าเฝ้าไต่ถามเรื่องพิชัยสงคราม พังจวนปกติก็เป็นคนชอบคุยอวดตัวเอง
จึงตอบได้เป็นคุ้งเป็นแคว ทำให้ฮุ่ยอ๋องเกิดความเลื่อมใส จึงตั้งให้เป็นขุนพล แต่ตัวพังจวนเองรู้ดีว่า
ความรู้ความสามารถของตนหาเทียบได้กับซุนปินไม่ เกรงว่าหากซุนปินไปเข้ากับแคว้นอื่นก็จักไม่เป็นผลดีแก่ตน
จึงยุให้ฮุ่ยอ๋องตกรางวัลก้อนใหญ่ ไปเชิญตัวซุนปินมายังแคว้นเว่ย เพื่อคุมตัวไว้มิให้เป็นภัยแกตน
เมื่อซุนปินมาถึงแคว้นเว่ย ฮุ่ยอ๋องก็เชิญให้แสดงความรู้ในพิชัยสงคราม ซุนปินโต้ตอบอย่างมิมีขัดข้อง
ทั้งการวิเคราะห์เหตุผลก็เกินหน้าพังจวนเป็นหลายเท่า ฮุ่ยอ๋องจึงตั้งให้เป็นขุนนางต่างแดน พังจวนเห็นฮุ่ยอ๋อง
ยกย่องซุนปินยิ่งกว่าตน ก็เกรงว่าซุนปินจะชิงเอาอำนาจการบัญชาทหารไปจากมือตน ก็ให้รู้สึกริษยาเป็นกำลัง
และคิดที่จะขจัดซุนปินให้พ้นหน้าพ้นตาไปทุกขณะจิต ซุนปินความจริงเป็นชาวแคว้นฉี แต่ก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่ใน
แคว้นฉีเลย ทว่าแคว้นฉีกับแคว้นเว่ยต่างชิงกันเป็นใหญ่ ต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกัน พังจวนจึงอาศัย
เหตุนี้ใส่ความซุนปินต่าง ๆ นานาต่อหน้าฮุ่ยอ๋องกล่าวหาว่าซุนปินจะตีจากแคว้นเว่ยไปอยู่กับแคว้นฉี หากซุนปิน
ไปอยู่แคว้นฉีแล้วก็จะไม่เป็นผลดีแก่แคว้นเว่ย เพราะซุนปินรู้ตื้นลึกหนาบางของแคว้นเว่ยทั้งหมด พร้อมกันนั้น
พังจวนก็สร้างหลักฐานเท็จ ปลอมจดหมายซุนปิน ส่งถึงแคว้นฉีขึ้นฉบับหนึ่ง นำไปยืนยันฮุ่ยอ๋องเชื่อว่า
เป็นความจริงก็จับตัวซุนปินเข้าคุก พังจวนก็ถืออำนาจให้ตัดลูกสะบ้าหัวเข่าออกทั้ง ๒ ข้างมิให้ซุนปินเดินได้
มิหนำซ้ำยังสักหน้าซุนปินด้วยอักษรว่า “คบคิดต่างชาติ” ๔ ตัวอยู่บนหน้าผาก เพื่อประจานมิให้ซุนปินพบเห็นใคร
ได้อีกต่อไป ทั้งจะเป็นขุนนางในแคว้นใดก็ไม่ได้อีกด้วย แม้จะคุมขังและทรมานซุนปินถึงขนาดนั้นแล้ว พังจวนก็
ยังกลัวว่าซุนปินจะหลบหนีไปได้ จึงส่งคนมาเฝ้าอย่างเข้มงวด ซุนปินในระหว่างที่ศึกษามาด้วยกันกับพังจวน
ที่อาจารย์หุบเขาปีศาจนั้น แม้จะรู้ว่าพังจวนเป็นคนใจคอคับแคบ ไม่มีน้ำใจแกคนอื่นก็ตาม แต่ไม่นึกว่าพังจวน
จะเป็นคนขี้อิจฉาริษยาถึงเพียงนี้และโหดเหี้ยมถึงเพียงนี จึงปฏิญาณว่าแค้นนี้จักต้องชำระให้ได้ในวันหนึ่งข้าหน้า
แต่ตนก็ถูกคุมขังอยู่จักหนีไปไหนได้ ซุนปินจึงจนปัญญาได้แต่แค้นอยู่ในใจ

อยู่มาวันหนึ่ง ซุนปินคิดถึงในตำราพิชัยสงครามมีอยู่คำหนึ่งว่า “การศึกมิหน่ายเล่ห์” ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นบ้า
เพื่อมึนชาพังจวน ปล่อยผมเผ้าให้รุงรังน้ำลายฟูมปาก บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ ๒ ตาเหม่อลอยไร้แวว
และมักจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางส่งเสียงเห่าหนอเหมือนสุนัข พังจวนได้รับรายงานว่าซุนปินเป็นบ้าก็ไม่เชื่อ
จึงมาดู ณ ที่คุมขังด้วยตนเอง เมื่อห็นหน้าพังจวน ซุนปินยิ่งทำบ้าหนักขึ้น แต่พังจวนก็ยังไม่คลายความสงสัย
สั่งให้คนส่งสุราอาหารไปให้ ซุนปินก็เอาข้าวสาดขึ้นไปบนท้องฟ้า บ้างก็เทลงบนพื้น พังจวนก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ
ก็สั่งคนเอาอาจมส่งให้ซุนปิน ซุนปินก็ควักใส่ปากหน้าตาเฉย พังจวนจึงเชื่อแน่ว่า ซุนปินบ้าจริงให้รู้สึกโล่งอก
การเฝ้าดูก็คลายความเข้มงวดลง บางครั้งยังยอมให้ออกมาเดินเล่นนอกคุก เรื่องที่ซุนปินถูกตัดสะบ้าและสักหน้า
แพร่ไปยังแคว้นต่าง ๆ ผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจซุนปินเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิรู้จะช่วยซุนปินได้อย่างไร ปีรุ่งขึ้น
แคว้นฉีส่งทูตไปยังแคว้นเว่ย ซุนปินทราบข่าวเข้าก็ฉวยโอกาสในคืนที่ฝนตกหนัก การควบคุมหย่อนยานคลานไปหา
ทูตแคว้นฉียังที่พักพรรณนาให้ทราบถึงความทุกข์ทรมานที่ได้รับ ขอร้องให้ทูตแคว้นฉีช่วยตนให้ออกจากแคว้นเว่ยไป
ทูตแคว้นฉีรู้เรื่องความไม่เป็นธรรมที่ซุนปินได้รับมาแล้ว ทั้งนับถือในความสามารถของซุนปิน จึงตอบรับที่จะช่วย
ครั้นปรึกษาหารือกันหลายตลบก็ตกลงว่า จะซ่อนตัวซุนปินไว้ในรถนั่งของทูตแคว้นฉีลอบพาซุนปินให้พ้นแคว้นเว่ยไป
เมื่อไปถึงเมืองหลวงของแคว้นฉี ทูตฉีจึงนำซุนปินไปพบกับเถียนจี้ขุนพลใหญ่แห่งแคว้นฉี เถียนจี้จึงไต่ถาม
เรื่องพิชัยสงคราม ซุนปินก็อธิบายให้ฟังอยู่ ๓ วัน ๓ คืน เถียนจี้เลื่อมใสยิ่งนัก ต้อนรับซุนปินในฐานะแขกพิเศษ
ในเวลานั้น เถียนจี้มักจะแข่งม้าเอาพนันกับพวกลูกท่านหลานเธอของแคว้นฉีอยู่เสมอ ๆ เถียนจี้จึงเชิญซุนปินนั่งรถ
ไปชมการแข่งม้าด้วย แต่ม้าของเถียนจี้พ่ายแล้วพ่ายอีก ซุนปินดูอยู่ไม่กี่ครั้งก็รู้ว่าม้านั้นมี ๓ อันดับ คือ ดี กลาง และเลว
จึงกล่าวแก่เถียนจี้ว่า “ ท่านจงไปแข่งม้าอีก ท้าพนันกับท่านเหล่านั้นให้มากว่าวเดิม คราวนี้
ข้าพเจ้ารับรองว่าท่านจักต้องชนะ” เถียนจี้รู้ดีว่าซุนปินเฉลียวฉลาดสติปัญญาลึกล้ำ จึงทำตามซุนปินบอก
พวกลูกท่านหลานเธอรู้ฝีเท้าม้าของเถียนจี้ดี ก็รับพนันด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อไปถึงสนามม้า ซุนปินจึงกล่าวแก่เถียนจี้ว่า “ ท่านจงเอาม้าชั้นเลวของท่านเข้าแข่งกับม้าชั้นดีของพวกเขา
แล้วเอาม้าชั้นดีของท่านแข่งกับม้าชั้นกลาง สุดท้ายก็เอาม้าชั้นกลางแข่งกับม้าชั้นเลวของพวกเขา ดังนี้
ท่านก็จะแพ้หนึ่งเที่ยว ชนะ ๒ เที่ยว เงินรางวัลก้อนใหญ่ก็จะตกเป็นของท่านขุนพลมิเป็นอื่น”
เถียนจี้ทำตามคำบอกกล่าวของซุนปิน เที่ยวที่ ๑ ม้าของเถียนจี้แพ้พวกลูกท่านหลายเธอพากันดีใจ
กระโดดโลดเต้น คิดว่าเงินพนันคงจะไม่ไปไหนเสีย แต่หารู้ไม่ว่าเที่ยว ๒ กลับแพ้ และเที่ยวที่ ๓ ก็ยังแพ้อีก
จึงเสียเงินพนันให้กับเถียนจี้ถึงพันตำลึงทอง นับแต่นั้นมา เถียนจี้ก็ยิ่งนิยมชมชอบในตัวซุนปินเป็นทวีคูณ
เรื่องการแข่งม้ารู้ไปถึงเว่ยอ๋องแห่งแคว้นฉี จึงถามเอาความแก่เถียนจี้ เถียนจี้จึงนำตัวซุนปินเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง
เว่ยอ๋องสนทนาเรื่องพิชัยสงครามกับซุนปิน ซุนปินตอบโต้มิติดขัด เว่ยอ๋องให้รู้สึกพอพระทัยเป็นยิ่งนัก
เสียดายที่พบซุนปินช้าไป จึงตั้งให้ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษาฝ่ายการทหารตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปีที่ ๑๒ แห่งศักราชโจวเซี่ยนอ๋อง ( ๓๕๒ ปีก่อนคริสตกาล) ฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นเว่ยคิดจะตีแคว้นจงซาน
คืนจากแคว้นจ้าว แคว้นจงซานนี้เดิมทีเป็นแคว้นเล็ก ๆ อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเว่ย
ต่อมาแคว้นเว่ยก็กลืนแคว้นนี้เสีย แล้วส่งบุตรชายไปครองเมือง ต่อมาบุตรชายมางานศพบิดายังเมืองหลวง
แคว้นจ้าวก็ฉวยโอกาสยึดแคว้นจงซานไปเป็นของตน เมื่อภายในบ้านเมืองสงบลง ฮุ่ยอ๋องซึ่งก็คือ
ผู้ครองบัลลังก์แทนบิดา จึงสั่งให้พังจวนนำทัพไปตีเอาแคว้นนี้กลับคืนมา แต่พังจวนเห็นว่า แคว้นจงซาน
มีเนื้อที่เท่าแมวดิ้นตาย เป็นแดนกันดารใกล้แคว้นจ้าว ห่างแคว้นเว่ย มิหนำซ้ำยังต้องเดินทางระยะไกลจึงจะถึง
และถึงแม้ว่าจะตีคืนได้ ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อแคว้นตาง ๆ แต่ประการใด พังจวนจึงแนะอุบายแก่ฮุ่ยอ๋องว่า
“ ที่ท่านอ๋องมีความประสงค์จักตีแคว้นจงซานคืนก็เพียงเพื่อแก้แค้นที่ทำให้เสียหน้าแต่กาลก่อน
จงซานเป็นแคว้นเล็ก ๆ ไม่มีความหมาย หากจะตีก็ควรตีเอาเมืองหลวงของแคว้นจ้าวคืนคนหานตานเสียเลย
แก้ได้ทั้งความแค้น และก็ทำให้แคว้นต่าง ๆ ต้องกระเทือนไป มิให้คิดดูหมิ่นแคว้นเว่ยอีกต่อไป หากท่านอ๋อง
ต้องการจะแผ่อำนาจให้กว้างไพศาลออกไป ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ควรจะลงมือจากนี้ก่อน”

ฮุ่ยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตบโต๊ะหัวเราะชอบใจว่า “ท่านนี้ช่วงรู้ใจเรา กระสุนนัดเดียวได้นก ๒ ตัว วิเศษจริง ๆ”
จึงแต่งตั้งให้พังจวนเป็นแม่ทัพใหญ่นำทหาร ๕๐๐ รถศึกมุ่งไปยังแคว้นจ้าว เข้าล้อมนครหานตานไว้ในทันที
ผู้ครองแคว้นจ้าวเมื่อทราบว่าทหารของแคว้นเว่ยล้อมนครหานตานไว้เพื่อทวงแคว้นจงซานคืน จึงส่งคนไปขอ
ความช่วยเหลือยังแคว้นฉี โดยเงื่อนไขว่าหากตีการล้อมเมืองของแคว้นเว่ยได้แล้ว ก็จะมอบแคว้นจงซานให้
เป็นค่าตอบแทน เว่ยอ๋องแห่งแคว้นฉีตกลง คิดจะตั้งให้ซุนปินเป็นแม่ทัพยกทหารไปช่วยแคว้นจ้าว
แต่ซุนปินไม่ยอมรับ แจ้งว่าตนเป็นคนมีโทษติดตัว มิสมควรจะเป็นแม่ทัพ ดังนั้น เว่ยอ๋องจึงตั้งเถียนจี้เป็นแม่ทัพ
และให้ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษาเดินทางไปด้วยกัน เถียนจี้นำทัพของแคว้นฉีมุ่งไปทางตะวันตก
ครั้นถึงเขตแดนต่อแดนระหว่างแคว้นเว่ยกับแคว้นจ้าว เถียนจี้ก็ออกคำสั่งให้บุกเข้าไปทางนครหานตาน
ซุนปินรีบห้ามไว้ กล่าวว่า “ การแก้กรณีพิพาทที่สลับซับซ้อน มิควรจะผลีผลามโดยใช้แต่กำลังเรามิควร
จะเข้าพัวพันด้วยการปะทะของทั้งสองฝ่าย หากแต่ควรหลีกกำลังที่แข็งแกร่ง ตีจุดที่อ่อนแอ เปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
ยุติกรณีพิพาท การโอบล้อมก็จะผ่านคลายไป เวลานี้เว่ยล้อมเมืองหลวงของจ้าวทหารชาญศึกย่อมจะทุ่มเท
มาอยู่ทางนี้จนหมดสิ้น ภายในแคว้นย่อมจะว่างเปล่า กองทัพเรามิสู้มุ่งเข้าหาแคว้นเว่ย ยึดเส้นทางคมนาคม
สร้างแผนลวงว่า จะตีเมืองเซียงหลิงของแคว้นเว่ย แล้วตีนครต้าเหลียง ( สองเมืองนี้อยู่ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน)
จริง ๆ เมื่อพังจวนได้ข่าวก็จะรีบนำทัพกลับมาช่วย เราก็ซุ่มตีเสียที่กลางทาง กองทัพของพังจวนจักต้องพ่ายเป็นแน่แท้
การโอบล้อมนครหานตานไม่ต้องตีก็หลุดไปเอง” เถียนจี้ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี จึงเปลี่ยนคำสั่งให้บุกเข้าไป
ทางแคว้นเว่ย แคว้นเว่ยได้ข่าวว่ากองทัพฉีจะบุกเข้าตีเซียงหลิง ก็ส่งม้าเร็วไปแจ้งแก่พังจวน พังจวนตกใจ
ถ้าเซียงหลิงแตก นครต้าเหลียงก็รักษาไว้ไม่ได้ สถานการณ์คับขันยิ่งนัก จึงสั่งให้ถอนทัพ ยักกลับมาช่วยเซียงหลิง
การโอบล้อมนครหานตานก็ปลดเปลื้องไปได้ ซุนปินทราบว่าพังจวนถอนทัพกลับ ก็ซุ่มทหารไว้ที่กุ้ยหลิงอันเป็น
เส้นทางคมนาคมสำคัญ รอกองทัพของพังจวน และส่งกองหน้าไปลวงทัพของพังจวนให้ถลำเข้ามา พังจวนพบกับ
กองหน้าของแคว้นฉี ด้วยความแค้นเคืองจึงตามตีอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ก็หลงกลของทัพฉี ทหารเว่ยเดินทาง
มาเหน็ดเหนื่อย กำลังก็อ่อนเปลี้ย เมื่อตกอยู่ในวงซุ่มตี ก็แตกตื่นมิเป็นอันสู้รบ หลบหนีกระจัดกระจายมิเป็นกระบวน
พังจวนก็ไม่อาจบัญชาการรบได้ ทัพฉีก็ฉวยโอกาสไล่ฆ่าฟันทหารเว่ยอย่างมันมือ ทัพเว่ยพ่ายแพ้ยับเยิน
พังจวนจึงได้แต่รวบรวมไพร่พลที่หลงเหลืออยู่กลับแคว้นเว่ยอย่างเจ็บช้ำ ต่อมาจึงส่งคนสืบทราบว่า
เป็นแผนของซุนปิน ก็ให้แค้นเคืองยิ่งนัก ส่วนทัพฉีก็ได้รับชัยชนะกลับไป เมื่อได้แก้แค้นดังนี้แล้ว
ซุนปินจึงค่อยสบายใจขึ้น และนี่ก็คือกลยุทธ์ “ล้อมเว่ยช่วยเจ้า” อันลือชื่อของซุนปิน

ต่อมาอีก ๑๐ ปี แคว้นหานกลืนแคว้นเจิ้น นับวันเข้มแข็งขึ้น แคว้นจ้าวซึ่งยังเคืองแค้นแคว้นเว่ยอยู่ไม่หาย
เมื่อคราวส่งทัพมาล้อมนครหานตานจึงส่งทูตมาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นหาน ในระหว่างงานกินเลี้ยง
ทูตแคว้นจ้าวก็เสนอให้แคว้นหานกับแคว้นจ้าวร่วมมือกันบุกแคว้นเว่ย เว่ยแตกเมื่อใดก็ให้เอาดินแดนมา
แบ่งกันคนละครึ่ง แต่แคว้นหานในปีนั้นผลก็เก็บเกี่ยวเสียหายมาก จึงขอผัดไปเป็นปีหนี้
ความนี้รู้ไปถึงแคว้นเว่ย พังจวนจึงแนะฮุ่ยอ๋องว่า “ ถ้าปล่อยให้ ๒ แคว้นนี้รวมกำลังกันมาตีเว่ยแล้ว
เราก็จะเพลี่ยงพล้ำ เว่ยมิสู้ชิงลงมือก่อน เปิดการเจรจากับแคว้นจ้าว ให้ร่มกันตีแคว้นหาน ถ้าไม่เห็นด้วย
เราก็ตีกลืนเอาแคว้นหานมาเสีย แล้วจึงจัดการกับแคว้นจ้าวทีหลัง” ฮุ่ยอ๋องเห็นด้วย ตั้งเว่ยเซินบุตรชาย
เป็นแม่ทัพหลวง พังจวนเป็นแม่ทัพใหญ่ นำกองทัพมุ่งเข้าแคว้นหาน จนถึงเมืองหลวงนครซินตูของหาน
จึงเข้าล้อมไว้ แคว้นหานถูกล้อมเมืองหลวงก็ให้ตกใจนัก ความจริงหานกับจ้าวมีสัญญาบุกเว่ยร่วมกัน
แคว้นหานควรที่จะไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นจ้าว แต่เมื่อคิดอีกที ก็เห็นว่าพังจวนเป็นขุนพลที่พ่ายศึก
แก่ทัพฉีมาก่อน ขอความช่วยเหลือจากจ้าวมิสู้ขอจากฉี ผู้ครองแคว้นจึงรีบส่งหนังสือขอความช่วยเหลือ
ไปยังแคว้นฉี ผู้ครองแคว้นฉีในตอนนี้คือฉีซวนอ๋อง เมื่อรับหนังสือของแคว้นหานแล้วก็เรียกขุนนาง
ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊เข้าปรึกษาความ แต่ความเห็นก็แตกออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายบุ๋นที่มิให้ความช่วยเหลือ
มีความเห็นว่า “หานรบกับเว่ย คงจะอ่อนเปลี้ยไปทั้ง ๒ ฝ่าย จะเป็นคุณแก่เพื่อนบ้าน” แต่ฝ่ายบู๊ซึ่งเถียนจี้
เป็นตัวตั้งตัวตี มีความเห็นว่าควรช่วยเพราะ “ หากเว่ยชนะหานก็ได้หานไป ครั้นแล้วก็จะตีฉีต่อ
ฉีจะหาความสงบมิได้ จึงควรช่วยหาน ฉีจึงจะอยู่เป็นสุข” ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันมิอาจลงรอยกันได้

ซุนปินเห็นทั้ง ๒ ฝ่ายโต้กันหน้าดำหน้าแดง ก็ยิ้มอยู่ใบหน้ามิปริปากว่ากระไร ฉีซวนอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่า
ซุนปินคงมีอุบายดีอยู่ในใจ จึงถามว่า “ที่ท่านกุนซือยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั้นเพราะเห็นว่าทั้ง ๒ ฝ่าย
ล้วนมิควรทั้งสิ้นใช่หรือไม่ ซุนปินจึงตอบว่า “ที่แล้วมาเว่ยถือว่าตนแข็งแกร่ง กรีฑาทัพบุกจ้าว
บัดนี้ก็บุกหานอีก ใจของเว่ยคิดแต่จะกลืนหานกลืนจ้าว เท่านั้นหรือ หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลืนหานกลืนจ้าว
แล้วปลายหอกก็จะพุ่งมาหาฉีแน่นอนไม่ช่วยหาน เว่ยได้หานไปก็เข้มแข็งขึ้น ไม่เป็นคุณแก่ฉี ไม่ช่วยหาน
จึงไม่ถูกแต่เมื่อเว่ยบุกหาน หานยังมิทันรบ ฉีก็ไปรบแทน ทำให้ฉีเสียกำลัง หานกลับนั่งสบายใจเฉิบ
ฉะนั้นที่เร่งไปช่วยหานในทันทีจึงไม่ถูกเช่นกัน” ฉีซวนอ๋องกับเหล่าขุนนางก็เห็นพ้องกับซุนปิน แต่แคว้นฉี
ควรจะทำประการใด ก็ยังคงถกเถียงกันมิมีข้อยุติ ฉีซวนอ๋องให้รู้สึกกลัดกลุ้ม จึงหันมาถามซุนปินว่า
“ช่วยก็ไม่ได้ ไม่ช่วยก็ไม่ดี ท่านกุนซือมีความเห็นเป็นประการใดหรือ” ซุนปินจึงตอบว่า
“เราควรจะตอบรับช่วยหาน ให้พวกเขาสบายใจ ว่ามีแคว้นฉีหนุนหลังพวกเขาอยู่จักได้ต่อต้านกับเว่ย
อย่างสุดฤทธิ์ เว่ยก็จะตีหานอย่างสุดกำลัง รอจนเมื่อกำลังหานอ่อนเปลี้ย เว่ยก็เสียหายไปพอสมควร
เราจึงยกทัพไปตีเว่ยช่วยหาน กำลังก็จะไม่เสียหายมากนัก แต่ผลได้จักเป็นทวีคูณ”
ฉีซวนอ๋องจึงรับปากกับทูตหานว่าจะส่งกองทัพไปช่วยโดยเร็ว ผู้ครองแคว้นหานดีใจ ระดมกำลังต้านทาน
ทัพเว่ยอย่างเต็มที่ แต่ก็พ่ายแพ้เป็นหลายครั้ง จึงส่งคนไปเร่งขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉีอีก
ฉีซวนอ๋องจึงตั้งให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ ซุนปินเป็นกุนซือที่ปรึกษา ยกทัพไปช่วยแคว้นหาน
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 04:01:58 PM »

เมื่อกองทัพฉีพ้นจากดินแดนของตน เถียนจี้ก็สั่งให้มุ่งหน้าไปยังนครซินตูที่กำลังรบพุ่งกันอยู่
แต่ซุนปินห้ามไว้ กล่าวว่า “คราวก่อนเราช่วยจ้าวก็มิได้เข้าจ้าว คราวนี้ช่วยหานก็มิจำต้องเข้าแดนหานเช่นกัน”
เถียนจี้จึงถามว่า “หรือท่านจักให้ทำตามแบบเดิมคราวนี้ถ้าพังจวนมองออก เรามิแย่หรือ” ซุนปินจึงตอบว่า
“มีแต่บุกเข้าจุดที่เว่ยต้องถอนทัพกลับมาช่วย จึงจะช่วยหานไว้ได้ แม้จะรู้เขาก็จนปัญญา” เถียนจี้จึงสั่งทหาร
พุ่งเข้านครต้าเหลียงเฉกเช่นเมื่อ ๑๐ ปีก่อน พังจวนกำลังได้ใจที่ชนะทัพหานครั้งแล้วครั้งเล่า เสร็จจากจ้าว
เราก็สามารถระดมรี้พลจากหานและจ้าวไปบุกฉี เมื่อหาน จ้าว ฉี ล่มแล้ว แผ่นดินนี้จักพ้นมือเว่ยได้ไฉน
เราพังจวนก็จะเป็นขุนพลที่มีแต่ความดีความชอบหาผู้เสมอเหมือนมิได้” ในขณะที่พังจวนเคลิบเคลิ้มอยู่กับ
ความฝันอันบรรเจิดอยู่นั้น ก็มีม้าเร็วมาส่งข่าวว่า “กองทัพฉีบุกเข้าแคว้นเว่ย กำลังเข้าตีนครต้าเหลียง
ให้พังจวนรีบถอนทัพกลับไปช่วยโดยเร็ว” พังจวนตกตะลึง “เมื่อคราวที่แล้วกำลังตีหานตานอยู่ ทัพฉีก็บุกเข้าเว่ย
จนเราต้องถอนทัพกลับ คราวนี้ซินตูก็กำลังจะเข้าปาก ทัพฉีก็ตีเว่ยอีกเห็นที่จะต้องถอยทัพอีกแล้วคราวนี้”
พังจวนให้รู้สึกเดือดดาลยิ่งนัก “คงจะเป็นฝีมือของเจ้าซุนปินอีกเยี่ยงก่อน ในชีวิตนี้ถ้าฆ่าเจ้าไม่ได้กับมือ
ข้าก็จักไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป” แต่ก็จนปัญญา จำต้องถอยทัพกลับไปด้วยความเสียดายและเจ็บแค้นระคนกัน
ส่วนเมืองหลวงซินตูของแคว้นหานก็รอดพ้นจากความพินาศไปอย่างหวุดหวิด และปลอดจากการถูกล้อมนครในบัดนั้น
ซุนปินได้ข่าวการถอยทัพกลับมาช่วยต้าเหลียงของพังจวนแล้ว ก็พูดกับเถียนจี้ว่า “การบุกตีจ้าวและหานทั้ง ๒ ครั้ง
ของพังจวน แต่ถูกเราโจมตีนครต้าเหลียงจนต้องล้มเหลวลง พังจวนคงจะต้องแค้นเคืองเป็นที่ยิ่ง
ข้าพเจ้าจักฉวยโอกาสนี้สั่งสอนเขาให้สำนึก ทหารแคว้นหาน จ้าวและเว่ยนั้น ลือชื่อในทางห้าวหาญ
ส่วนทหารฉีของเรานั้นเล่า มักจะถูกดูหมิ่นว่าขี้ขลาดตาขาว ทหารของเว่ยก็ยิ่งมิเห็นทหารเราอยู่ในสายตา
เราควรจะใช้การดูหมิ่นเช่นนี้ตกกระไดพลอยโจน แปลงส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เป็นประโยชน์เสีย
ตำราพิชัยสงครามว่าไว้ว่า การเร่งเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นระยะทาง ๑๐๐ ลี้
เพื่อแสวงหาชัยชนะนั้น แม้แต่แม่ทัพทั้งสาม ( ทัพกลางปีกซ้าย ปีกขวา) ก็อาจตกเป็นเชลยได้
เพราะจะมีทหารเพียง ๑ ใน ๑๐ เท่านั้นที่ไปถึงที่หมาย ถ้าหากเร่งเดินทัพในระยะทาง ๕๐ ลี้ ทัพหน้าก็อาจ
ประสบความล้มเหลว เพราะจะมีทหารถึงที่หมายเพียงครึ่งเดียว ฉะนั้น เมื่อกองทัพของเราเข้าเขตเว่ย
ก็จงทำให้ดูเสมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียกเพื่อลวงข้าศึกให้ตกหลุมพราง” เถียนจี้จึงถามว่า
“ท่านกุนซือจักทำประการใดจึงลวงข้าศึกได้” ซุนปินจึงตอบว่า “พังจวนไล่ตามทัพเรามา
เราควรจะรีบถอนตัวออกจากแคว้นเว่ยขณะถอยให้แสร้างทำเป็นตาลีตาลาน วันนี้ก่อเตาหุงต้ม
สำหรับไพร่พล ๑๐ หมื่น พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ให้ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ รอเมื่อพังจวนไล่มาถึงเห็นเตาหุงต้ม
เราลดน้อยลงไปเป็นลำดับ ก็คงเข้าใจว่าทหารเรารักตัวกลัวตาย หนีทัพเป็นครึ่งค่อน ก็เกิดความย่ามใจ
ไล่ตามมิหยุด รอจนเมื่อเข้าเขตฉี ทหารเขาก็เหนื่อยเพลียหมดเรี่ยวหมดแรง ในตอนนั้น จึงค่อยหาอุบายจัดการ
ศีรษะของพังจวนคงจะถูกกุดด้วยดาบของฝ่ายเราเป็นแม่นมั่น” เถียนจี้รับคำแล้วจัดการตามคำของซุนปินทุกประการ

พังจวนนำทัพเว่ยรุดกลับมายังนครต้าเหลียง ก็ทราบว่าทหารฉีถอยไปทางพรมแดนของตน ด้วยความโทสะ
คิดจะรบแตกหักบดขยี้ซุนปินให้ราบเป็นหน้ากลองจึงเร่งทัพเว่ยให้ไล่ตามทัพฉีไปมิรอช้า ตลอดทางพังจวน
ก็สั่งให้คนสังเกตดูร่องรอยของทหารฉีเพื่อทราบสภาพกำลังทัพ วันแรกก็พบว่ามีเตาหุงต้มสำหรับทหารถึง ๑๐ หมื่นคน
ก็ให้ตกใจ อุทานขึ้นว่า “ทัพฉีมีไพร่พลถึง ๑๐หมื่น จักดูเบามิได้” ในวันหลัง ๆ ต่อมาก็พบว่าลดเหลือ ๕ หมื่น ๓ หมื่น
และลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ พังจวนดีใจนัก กว่าว่า “ทหารฉีร่อยหรอลงทุกวันคงจะหนีทัพกันไปกว่าครึ่งค่อน
หาได้เป็นกองทัพอีกต่อไปไม่ เป็นโอกาสดีแก่เราพังจวนที่จะสร้างความชอบและแก้แค้นซุนปินเสียให้สาสม”
ว่าแล้วก็เอามือตบหน้าผาก หัวเราะร่าด้วยความชอบใจ เว่ยเซินสงสัย พังจวนถึงแจ้งความคิดของตนให้ทราบ
เว่ยเซินเตือนว่า “คนเมืองฉีมากด้วยเล่ห์ ทั้งมีกุนซือซุนปินอยู่ด้วย ท่านขุนพลมิควรประมาท” พังจวนกลับย้อนเถียงว่า
“ เถียนจี้วันนี้ถึงคราวตายของมันแล้ว ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจักล้างแค้นเอาตัวเถียนจี้กับซุนปินมาให้ท่านดูเล่นเป็นขวัญตา”
ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารชาญศึก ๒ หมื่นคนไล่ตามทัพฉีไปอย่างเร่งรุด มีตนเองกับเว่ยเซินเป็นผู้นำทัพ นอกนั้นก็มอบให้
พังชงผู้เป็นหลานชายนำทัพตามหลังไป ซุนปินเมื่อวางอุบายไว้แล้ว ก็คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของข้าศึกอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทราบว่าพังจวนกับเว่ยเซินนำกำลัง ๒ หมื่นไล่ตามมาทั้งกลางวันกลางคืน ก็คาดคะเนว่าพอพลบค่ำ ทัพของพังจวน
ก็จะมาถึงหม่าหลิงซึ่งเป็นหุบอยู่ระหว่างเขา ๒ ลูก ทางเดินก็อยู่ในหุบเขานั้น มีลำธารคดเคี้ยวไปตามซอกเขา
ริมทางเดินมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง นับเป็นชัยภูมิซุ่มตีชั้นยอด ซุนปินจึงสั่งให้ทหารขูดเปลือกไม้ออกส่วนหนึ่ง
ให้เห็นเนื้อไม้สีขาว แล้วใช้ถ่านเขียนอักษรไว้บนเนื้อไม้นั้นว่า “ พังจวนตายอยู่ใต้ต้นไม้นี้” ครั้นแล้วก็ให้ทหารตัดต้นไม้
มาสุมไว้เป็นภูเขาเลากาเพื่อขวางทางออกของทหารเว่ย แล้วให้กองทัพเกาทัณฑ์ ๑ หมื่นขึ้นไปซุ่มอยู่บนภูเขา สั่งว่า
“ หากเห็นแสงไฟวาบสว่างขึ้นที่ใต้ต้นไม้นั้นในตอนฟ้ามือ ก็ให้ระดมยิงไปยังที่นั้น” พร้อมกับสั่งให้เถียนอิงบุตรชายของเถียนจี้
นำกำลังอีก ๑ หมื่น ซุ่มตัวห่างจาหม่าหลิงไป ๓ ลี้ รอเมื่อทัพเว่ยผ่านไปแล้วให้ปิดทางถอยเสียและรุกไล่โจมตีทางเบื้องหลัง
ส่วนซุนปินกับเถียนจี้ก็ซุ่มอยู่อีกทางหนึ่ง คอยต้อนรับทัพเว่ยเข้ามาในกับดัก

พังจวนเร่งเดินทัพมาทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อขับไล่ให้ทันทัพฉีโดยมิได้คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของเหล่าทหาร
พอฟ้ามืดก็เข้ามาถึงหุบเขาหม่าหลิง เวลานั้นเป็นคืนข้างแรมของเดือนสิบ ไม่มีแสงจันทร์มีแต่แสงดาวรุบหรู่
ทันใดนั้นทหารส่วนหน้าก็มาแจ้งว่า “ ทางข้าหน้ามีต้นไม้ถูกตัดสุมขวางทางอยู่ เดินทัพต่อไปมิได้” พังจวนกลับคิดว่า
ชะรอยเถียนจี้กับซุนปินเห็นจวนตัวจึงตัดต้นไม้ขวางทางเราไว้มิให้ไล่ทัน จึงสั่งให้รีบรื้อถอนเอาต้นไม้ออกเสีย
ทัพเว่ยจึงจุกกันอยู่เต็มในหุบเขาที่มีพื้นที่เท่ากระแบะมือ ครู่ใหญ่ทหารส่วนหน้าก็มาแจ้งอีกว่า “ข้างทางมีต้นไม้ใหญ่
เขียนตัวอักษรอยู่หลายตัว ขอให้แม่ทัพไปตรวจดูด้วยตนเอง” พังจวนจึงไปยังต้นไม้นั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นตัวอักษร
เพราะความมืด จึงตะโกนสั่งทหารว่า “จุดไฟมาดู” พอทหารนำไฟเข้าไปส่องดู พังจวนก็หน้าถอดสีร้องขึ้นว่า “ เราหลงกลของ
เจ้าคนสักหน้าขาหักเสียแล้ว” รีบสั่งให้ทหารเร่งถอยหลังกลับ แต่ก็ช้าเกินการณ์เกาทัณฑ์เป็นหมื่นระดมยิงดังสายฝนลงมา
จากภูเขาเกือบจะพร้อมกันเมื่อเห็นแสงไฟ ทางข้างหน้าก็มีต้นไม้ขวางเป็นภูเขาอยู่ ข้างหลังเล่าก็มีทหารเป็นหมื่นปิดทางถอย
ทัพเว่ยทำอะไรไม่ได้แม้จะขยับตัว พังจวนก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าไปหลายดอก เจ็บกายมิเท่าเจ็บใจ พังจวนถอนหายใจยาว
เฮือกสุดท้ายด้วยความปวดร้าว แหงนหน้าขึ้นฟ้าร้องตะโกนว่า “เราเสียใจนักที่ไม่ฆ่าเจ้าคนสักหน้าขาหักเสียแต่ในครั้งกระโน้น
วันนี้จึงกลับต้องมาช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของมันให้โด่งดังไปเสียอีก” ว่าแล้วก็ชักดาบออกมาแทงตัวตาย พังอิงบุตรชายพังจวน
ซึ่งติดตามบิดามาติด ๆ ก็ถูกเกาทัณฑ์เข้าที่สำคัญตายอยู่ข้างกายบิดานั้นเอง

เว่ยเซินซึ่งคุมทัพอยู่เบื้องหลัง เห็นไม่เป็นการ จึงสั่งทหารให้รีบถอยออกจากหุบหม่าหลิง แต่ก็ถูกเถียนอิงตีกระหนาบเข้ามา
ทหารเว่ยจึงแตกกระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน เว่ยเซินถูกจับเป็น ขังไว้ในรถศึก ทหารชาญศึกของแคว้นเว่ย ๒ หมื่น
แตกพ่ายยับเยิน ที่ตายก็ตาย ที่เจ็บก็เจ็บ อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายแหล่ก็ถูกฝ่ายฉียึดไปหมดสิ้น
กองทัพฉีกลับเมืองด้วยความมีชัย แค้นของซุนปินได้รับการชำระไปสิ้นแล้ว ด้วยกลยุทธ์ที่ “ล้อมเว่ยช่วยจ้าว”
และ “ล้อมเว่ยช่วยหาน” ที่โด่งดังมาแต่โบราณกาลตราบเท่าทุกวันนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือเรื่องกรณีเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา ดังที่ทราบกันเป็นอย่างดีถึงข่าวเปิดว่า
เป็นกรณีที่ชาวกัมพูชาไม่พึงพอใจดาราไทยที่กล่าวดูหมิ่นศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชา จึงทำให้กัมพูชาต้องออกมาต่อต้าน
และเผาสถานทูตไทยในที่สุด แต่ถ้าวิเคราะห์ประกอบกับหลักฐานด้านความมั่นคงอย่างชัดเจนแล้วจะเห็นว่า
เรื่องราวไม่ได้เป็นดังที่ทราบกันแต่อย่างใด แต่เป็นการต่อสู้ของประเทศมหาอำนาจที่แย่งชิงความเป็นใหญ่กันในภูมิภาคนี้
กล่าวคือ สหรัฐฯ ซึ่งพยายามที่จะปิดล้อมจีนทุกวิถีทาง ในส่วนที่อยู่ทางด้านพม่าสหรัฐฯ พยายามที่จะสนับสนุนให้ไทย
ก่อสงครามกับพม่าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของพม่า และเป็นเส้นทางแห่งผลประโยชน์
อย่างมหาศาลของจีน จีนจึงต้องรักษาไว้อย่างสุดชีวิต ( ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในกลยุทธ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพม่า )
ด้วยความพยายามอย่างยาวนานที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะให้ไทยเป็นเครื่องมือในการตัดเส้นทางดังกล่าวของจีนแต่ก็ยังไม่เป็นผล
อีกด้านหนึ่งเมื่อฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขึ้นครองอำนาจอย่างสมบูรณ์เหนือกัมพูชาาฝ่ายอื่น ๆ ทำให้กัมพูชาเป็นเอกภาพ
มากยิ่งขึ้น ฮุน เซน ต้องการที่จะสร้างชาติให้มีความเจริญขึ้นรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ จึงรับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากทุกฝ่าย
ทั้งฝ่ายของสหรัฐอเมริกา ฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายจีน ฝ่ายใต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ รวมทั้งกลุ่มประเทศจากสหภาพยุโรป

เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ทำให้สหรัฐฯ ไม่ลังเลที่จะทำการรุกเพื่อกำจัดอิทธิพลของจีนที่กำลังใช้อิทธิพลทางด้านการค้าของตน
เข้าครอบงำกัมพูชา สหรัฐฯ ได้แสวงประโยชน์ส่วนหนึ่งจากการที่นักธุรกิจของคนไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา
เป็นฐานในการติดตั้งเครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวของจีนกับรัสเซีย ซึ่งเครื่องตรวจจับดังกล่าวนี้ติดตั้งอยู่ที่ทำการ
บริษัทของคนไทยที่จีนเชื่อว่าเป็นฝ่ายเดียวกับสหรัฐฯ เครื่องมือดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงมากสามารถที่จะเชื่อมโยง
การทำงานด้านการตรวจจับการเคลื่อนไหวของทุก ๆ ประเทศในแถบทวีปเอเชีย ถึงออสเตรเลีย ถึงปักกิ่ง และถึงมอสโคว
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความคาดคิดของคนทั่วไปว่าเครื่องมือชนิดนี้จะทำได้ โดยมีดาวเทียมจำนวนมากเชื่อมต่อกับเครื่องมือเหล่านี้
ที่โคจรเหนือน่านฟ้าบริเวณทวีปเอเชีย จีนรู้ดีถึงเรื่องนี้เพราะเครื่องมือพิสูจน์ทราบเรื่องนี้จีนได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย
ทำให้รู้การเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมดได้เช่นกัน เครื่องมือตรวจจับการเคลื่อนไหวที่อยู่ในกัมพูชา
นับเป็นภัยคุกคามต่อจีนและรัสเซียเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการปิดล้อมของสหรัฐฯ ต่อจีนมีหลายด้านทั้งด้านพม่าที่สหรัฐฯ
กำลังรุกจีนอย่างหนัก ด้านเกาหลี ด้านไต้หวัน แต่ด้านที่มาแรงที่สุดในขณะนั้นคือประมาณ ต้นปี ๒๕๔๖( ม.ค. ๒๕๔๖ )
คือด้านกัมพูชา จึงจำเป็นที่จีนจะต้องกำจัดหอกข้างแคร่ส่วนนี้ให้ได้ จีนจึงร่วมมือกับรัสเซีย และกลุ่มอียู พร้อมกับติดสินบน
ฮุน เซน จำนวนหนึ่งให้ช่วยสร้างเรื่องราวที่ดูแล้วสมเหตุสมผลหน่อยแล้วลงมือเผาที่ทำการบริษัทการค้าของไทยที่เป็น
สถานที่ตั้งของเครื่องมือดังกล่าวจนเรียบแล้วสร้างเรื่องว่าเป็นเรื่องความมีชาตินิยมของชาวกัมพูชาต่อการดูหมิ่นเหยียดหยาม
ศักดิ์ศรีชาวกัมพูชาแล้วชาวกัมพูชาบุกเข้าเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา พร้อมกันนั้น จีนยังขู่อีกว่าถ้าสหรัฐฯยังไม่ยุติ
การรุกด้านพม่าอีกจีนจะเผาเครื่องมือของสหรัฐฯ อีกหลายที่ จนทำให้สหรัฐฯ ยุติการรุกด้านพม่าไปโดยสิ้นเชิงจะเห็นว่าสหรัฐฯ
ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ ต่อการรุกด้านพม่าอีกเลย ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ถูกบีบคั้นให้สร้างความขัดแย้งกับพม่าอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนี้
แต่สหรัฐฯ หันกลับไปสร้างเรื่องที่อินโดนีเซีย และภาคใต้ของไทยที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ในขณะนี้แทน ( ๒๕๔๗ ) กลยุทธ์นี้ก็สามารถ
ที่จะอธิบายได้ว่าจีนเข้าเผาทำลายเครื่องมือสำคัญของสหรัฐฯ เพื่อบีบบังคับให้สหรัฐฯต้องถอนกำลังและความพยายามทั้งหลาย
จากด้านพม่าที่นับว่าเป็นจุดศูนย์ดุลที่สำคัญของจีน ก็นับว่าได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ท่านผู้อ่านสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง
กรณีตัวอย่างที่สองนี้ อย่าเพิ่งเชื่อข่าวที่นำเสนอทั้งหมดที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ข่าวที่ดีควรจะฉุกคิดในด้านตรงข้าม
กับข่าวที่ได้รับไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกครอบงำด้วยข่าวจากสื่อทั้งหลายที่มีผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลังและมีจุดประสงค์แอบแฝง
อยู่ตลอดเวลา ดังที่ซุน วู กล่าวว่า “ การสงครามทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของการลวง...” การใช้สื่อเสนอข่าวก็เป็นสงคราม
ชนิดหนึ่งในยุคโลกาภิวัฒน์

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“อย่าปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า ควรใช้ยุทธวิธีวกวนที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนแบ่งแยกกำลังของข้าศึก
ให้กระจายเป็นหลายส่วน แล้วจึงพิชิต”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2006, 04:03:51 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #5 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 04:19:59 PM »

กลยุทธที่ ๓ ยืมดาบฆ่าคน
ศัตรูชัด มิตรลังเล ชักจูงมิตรสังหารศัตรู
มิใช้กำลังตน เลี่ยงความสูญเสีย

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อศัตรูปรากฏแน่ชัด แต่มิตรยังลังเล สิ่งที่พึงกระทำก็คือล่อให้พันธมิตร
ออกไปปะทะศัตรู นี่เป็นกลวิธีอย่างหนึ่งที่ใช้ความขัดแย้ง ยืมกำลังของตนอื่นไปทำลายศัตรู
เพื่อรักษากำลังของตนเองไว้ แต่การยืมเช่นนี้จะต้องให้แนบเนียน มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจทำลายศัตรูได้
กลับอาจจะถูกศัตรูย้อนรอย กลยุทธ์นี้ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ บันทึกประวัติศาสตร์”
“ จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น” และ “ สามก๊ก” เป็นต้น ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้ในการต่อสู้ที่เห็นอยู่
ในปัจจุบันนี้คือเรื่องการที่ชาวยิวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยของโลกและในสหรัฐอเมริกาได้ยืมมือสหรัฐอเมริกา
ในการต่อสู้กับศัตรูของชาวยิวทั่วโลกในขณะนี้คือ ชาวมุสลิมทั่วโลก ดังมีรายละเอียดที่จะกล่าวถึง
การใช้กลยุทธ์ดังต่อไปนี้

ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อสังคมของชาวอเมริกันและรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพราะ
เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่แล้วมีอิทธิพลในการครอบครองธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมที่มีเครือข่ายทั่วโลกและ
โครงการอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธเทคโนโลยีสูงทั้งหลาย เป้าหมายทางศาสนาก็ยังเป็นเป้าหมาย
ในการดำเนินงานของกลุ่มนักธุรกิจชาวยิวในอันที่จะรวบรวมชาวยิวทั่วโลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว
ถึงแม้ว่าชาวยิวทั่วโลกจะมีจำนวนประชากรน้อยก็ตาม ( ประมาณ ๑๒ ล้านคนเศษ ) แต่อิทธิพลของชาวยิว
ก็ได้ครอบคลุมแผ่ไพศาลไปทั่วโลกด้วยธุรกิจทั้งหลายที่ชาวยิวถือครองอยู่อันมีธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม
เป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีคุณค่าเพิ่มทางด้านอิทธิพลของธุรกิจดังกล่าวในยุคข้อมูลข่าวสารด้วยแล้ว
ยิ่งสร้างความมีอิทธิพลของกลุ่มชาวยิวขึ้นโดยลำดับ ตัวอย่างสำหรับธุรกิจขนาดยักษ์เกี่ยวกับสื่อสารโทรคมนาคม
ทั้งภายในสหรัฐอเมริกาเองและที่มีเครือข่ายและมีอิทธิพลครอบงำไปทั่วโลกนั้นประกอบไปด้วย
Touchstone Television, Buena Television, ABC Television ,Walt Disney Groups, ESPN Groups
, Touchstone Pictures, Holly-wood Pictures , Caravan Pictures, Miramax Films, Warners Braders
, Time Magazine, AOL Time Warner inc., CNN ( Jew and Catholic ) and CBS Groups. ยิ่งไปกว่านั้น
กลุ่มธุรกิจชาวยิวยังมีอิทธิพลส่วนหนึ่งครอบคลุมไปถึงธุรกิจด้านการเงินการธนาคาร และแม้กระทั่งในธุรกิจการเมือง
ชาวยิวก็ยังมีอิทธิพลไม่น้อยในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งประเทศอิสราเอลเป็นต้นมากลุ่มชาวยิวได้ใช้
อิทธิพลของตนในธุรกิจด้านต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วผลักดันรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ทำสงครามกับชาวมุสลิม
ซึ่งเป็นคู่อาฆาตตลอดกาลของชาวยิวโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวมุสลิมที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งมีผลกระทบโดยตรง
ต่อการดำรงอยู่ของรัฐอิสราเอล เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของชาวยิวจึงได้สร้างสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้น
กับชาวคาทอลิกเพื่อที่จะร่วมมือกันสร้างสงครามกับชาวมุสลิม การทำสงครามได้ดำเนินไปในหลายรูปแบบ
ทั้งสงครามทางด้านเศรษฐกิจ สงครามที่ต้องใช้กำลังทางทหารรวมทั้งสงครามจิตวิทยา ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมที่มีชื่อกระฉ่อนโลกอยู่หลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ มาแล้วนั้นเป็นผลงาน
การสร้างของสองกลุ่มทางศาสนาใหญ่ ๆ คือ กลุ่มชาวยิวและกลุ่มชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นผู้บงการ
ให้เกิดภาพลักษณ์เช่นนั้นขึ้นต่อสายตามชาวโลก ( การใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ในการอธิบาย
“เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” โดย พันโท โสภณ ศิริงาม
นักศึกษา วปอ.สปจ.รุ่น ๑๑ , http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com http://www.thai.net/specialforce/allcon.htm )

โดยสรุปแล้วที่เห็นได้ชัดที่สุดที่กลุ่มชาวยิวได้ยืมมือของสหรัฐอเมริกามาใช้ในการฆ่าศัตรูตัวฉกาจของตนคือ

๑) การให้สหรัฐฯ สร้างชาวมุสลิมให้เป็นผู้ก่อการร้ายทั่วโลก ซึ่งลักษณะเช่นนี้ก็เท่ากับการฆ่าชาวมุสลิมทั้งหมด
ท่ามกลางสายตาประชาคมโลกที่เห็นแต่ชาวมุสลิมเท่านั้นที่เป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ว่าเกิดการก่อการร้าย ณ พื้นที่ใด
ผู้ที่ออกมารับผิดชอบล้วนแล้วแต่เป็นชาวมุสลิมทั้งสิ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ชาวมุสลิมที่ถูกกล่าวอ้างชื่อที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับผู้ก่อการร้ายทั่วโลกล้วนแล้วแต่เป็นมุสลิมนอกแถวที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กร ซีไอเอ ของสหรัฐฯ เช่น บิน ลาเดน
ก็เป็นฝีมือการสร้างของสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯ ก็ยังให้การสนับสนุนบิน ลาเดน อยู่ตลอดเวลาเท่าทักวันนี้ แต่ข่าวที่ออกมา
( ซึ่งข่าวก็คือการทำสงครามอย่างหนึ่งที่สหรัฐฯ และชาวยิวใช้เป็นเครื่องมือดังที่กล่าวมาแล้ว จะพูดอย่างไรก็ได้ตามที่
ผู้ที่ควบคุมจะต้องการให้ทำ ซึ่งกล่าวอย่างสม่ำเสมอว่าเป็นฝีมือของบิน ลาเดน และจะได้กล่าวถึงความเป็นมา
ของ บิน ลาเดน ภาคพิสดารต่อไป ) นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มมุสลิมเสรีที่คอยหักหลังมุสลิมด้วยกัน กลุ่มนี้ก็ได้รับการสนับสนุน
ด้านการเงินจากสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน กลุ่มก่อการร้ายที่มีชื่อติดอยู่ในหูของชาวโลกในปัจจุบันนี้ที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอยู่
ประกอบไปด้วย กลุ่มอัลกอร์ อิดะห์ ของ โอซามา บิน ลาเดน กลุ่มเจไอ กลุ่มอามูซายาฟ และอื่น ๆ อีก รายละเอียดดูได้จาก
CIA the foundation of Global Terrorist Operation: http://www.thai.net/specialforce/allcon.htm
( The Terrorism Information Center would like to thank Dr.Ben B. Hunter for providing
the special terrorist profiles that are listed on this page.)

๒) การใช้การก่อการร้ายที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นแล้วเข้าควบคุมประเทศมุสลิมในภูมิภาคต่าง ๆ นี่ก็เท่ากับว่า
เป็นการใช้มือของสหรัฐฯ ในการฆ่าศัตรูของตนโดยปริยาย โดยที่กลุ่มนักธุรกิจชาวยิวผู้ทรงอิทธิพล
คอยให้การสนับสนุนรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง

๓) การที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนการป้องกันตนเองของชาวยิวในดินแดนอิสราเอล จะเห็นได้ว่า
ชาวยิวในอิสราเอลเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มากมายอะไรเลยอยู่ท่ามกลางประเทศมุสลิมจำนวนมาก
มีหลายครั้งที่ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางได้รวมกำลังทหารกันเข้าโจมตีอิสราเอลแต่ก็ต้องพ่ายแพ้
เพราะสหรัฐฯ คอยปกป้องคุ้มครองอยู่เสมอ แม้แต่กรณีสงครามยมคิปปูหรือสงคราม ๖ วัน
อันลือลั่นของอิสราเอลกับอาหรับ ถ้าสหรัฐฯ ไม่ได้ให้การสนับสนุนโดยการใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้ามาขู่
ชาวอาหรับแล้วไม่มีทางที่อิสราเอลจะได้ชัยชนะในสงครามนี้ ( แต่การใช้อาวุธนิวเคลียร์เข้ามาขู่
ไม่ได้กล่าวไว้ในกรณีศึกษาใด ๆ )

๔) รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนชาวยิวและอิสราเอลบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศทุกรณี
โดยผู้ผลักดันคือกลุ่มนักธุรกิจชาวยิวที่มีอิทธิพลครอบงำการเมืองสหรัฐอเมริกานั่นเอง

กลยุทธ์นี้จึมีผู้สรุปว่า
“ เมื่อศัตรูมีทีท่าแจ่มชัด แต่กำลังของฝ่ายเรายังมิกล้าแข็ง ควรจะหาทางอาศัยกำลังของพันธมิตร
ไปโจมตีศัตรู หลีกเลี่ยงการสูญเสียของฝ่ายเรา ด้วยวิธีการทั้งปวง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2006, 04:23:51 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
CT_Pro4
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4869



« ตอบ #6 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 04:29:33 PM »

...ขอบคุณท่าน Narongt ที่หาเรื่องน่าอ่านมาให้พวกเราอ่านประดับความรู้กันเสมอๆ ครับ... Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

Every problem contains the seeds of its own solution.- Stanley Arnold
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8574


« ตอบ #7 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 04:36:30 PM »

ขอบคุณครับ   แนะนำที่ขายหนังสือดีกว่าครับ  Smiley  อ่านซ้ำๆได้ไม่ปวดตา   เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ค่อยๆคิดหนะครับ   Wink
บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #8 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 05:01:46 PM »

ขอบคุณครับ แนะนำที่ขายหนังสือดีกว่าครับ Smiley อ่านซ้ำๆได้ไม่ปวดตา เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ค่อยๆคิดหนะครับ Wink

ไม่ทราบเหมือนกันครับ ต้องไปถามตามร้านหนังสือ บอกชื่อหนังสือและผู้แต่งตามที่ให้ไว้ข้างบนครับ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #9 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 05:03:39 PM »

กลยุทธ์ที่ ๔ รอซ้ำยามเปลี้ย
จักให้ศัตรูลำบาก มิรบด้วย แกร่งเสียอ่อนได้

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสงค์จักทำให้ข้าศึกตกอยู่ในภาวะลำบากไม่แน่ว่าจะต้องใช้วิธีรบแต่ฝ่ายเดียว
อาจจะใช้วิธี “ แกร่งเสียอ่อนได้” ตามที่กล่าวไว้ใน “ คัมภีร์อี้จิง สูญเสีย เพื่อให้ได้รับชัยชนะก็ได้”
ความหมายของ “ แกร่งเสีย” ก็คือ เมื่อการรุกของข้าศึกดุเดือดยิ่งนักดูภายนอกแล้วเสมือนหนึ่งเข้มแข็งใหญ่โต
เหลือประมาณแต่ไม่อาจรบต่อเนื่องได้ยาวนาน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้ง่าย “ อ่อนได้” ก็คือ ฝ่ายรับที่ทำการป้องกัน
ถูกตีกระหน่ำดูแล้วเสมือนหนึ่งอ่อนปวกเปียก แต่สามารถจะใช้ความสงบรอความเปลี้ย บั่นทอนกำลังข้าศึกไม่ขาดระยะ
ทำให้ตนแปรเปลี่ยนจากฝ่ายเสียเปรียบเป็นฝ่ายได้เปรียบ นี้คือกลอุบายในการยึดกุมเป็นฝ่ายริเริ่มในสงคราม
รอโอกาสทำลายข้าศึก แปลงการรับให้เป็นการรุกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีปรากฏอยู่ในตำราพิชัยสงครามหลายเล่ม เช่น
“ ซุน วู ว่าด้วยการศึก” “ ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงคราม” “ ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” “ บันทึกจ่อจ้วน”
“ บันทึกประวัติศาสตร์” “ จดหมายเหตุราชวงศ์ฮั่น” ซึ่งใน “ ว่าด้วยการระดมพลเหนือใต้” กล่าวไว้ว่า
“ผู้บุกกำลังไม่พอ แต่ผู้รับมีกำลังเหลือเฟือ บัดนี้รักษาเมืองไว้ก่อน ใช้ความสงบรอความเปลี้ย มิจำต้องไปรบด้วยเลย”
กลยุทธ์นี้จาก “ ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่าด้วยการศึก” ความเดิมมีว่า “ ใช้ใกล้รอไกล ใช้สบายรอเหนื่อย ใช้อิ่มรอหิว
นี้คือการสยบผู้แกร่งกว่านั้นแล”

ตัวอย่างเรื่องราวประกอบกลยุทธ์มีดังนี้
จากเอกสารประกอบการฝึกแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕
ระหว่าง ๘ พ.ค.๔๓ - ๑๔ ก.ค.๔๓ มีข้อความเกี่ยวกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของไทยอันเป็นผลสืบเนื่องจาก
การล่าอาณานิคมยุคใหม่โดยประเทศมหาอำนาจ ซึ่งนำมาสู่การเข้ายึดครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จในทุกมิติ
ของพลังอำนาจแห่งชาติ ดังมีข้อความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวดังต่อไปนี้

เอกสารประกอบการฝึก
การแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน
หลักสูตร นายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕
๘ พ.ค.๔๓ ถึง ๑๔ ก.ค.๔๓
แผนปฏิบัติการล่าอาณานิคมแบบใหม่ที่คนไทยต้องรู้
พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ

“……วันสิ้นชาติ ไม่มีโอกาสแก้ตัว …… ”

“จากหัวใจถึงชาวไทย”

ข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ได้เสนอให้กับหน่วยงานรักษาความมั่นคงระดับสูง อันจัดเป็นมันสมองของประเทศไทย
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ วางแผน และป้องกันประเทศให้รอดพ้นภยันตราย จากประเทศมหาอำนาจ
โดยรวบรวมจากข้อมูล พยานหลักฐานทางราชการ ทั้งโดยทางลับ และสาธารณะ จากสื่อสารมวลชน
ทั้งภายในและต่างประเทศที่พิสูจน์ได้และเป็นจริง แต่คงจะเป็นเวรกรรมของประเทศ เนื่องจากว่าประเทศไทยขณะนี้
ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยนักวิชาการ ผู้มีความรู้ และผู้อวดสู่รู้มากมาย ซึ่งไร้ประสบการณ์ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เคย
หรือทำหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลทางด้านการเงินของประเทศมหาอำนาจมาก่อน ดังนั้น เมื่อบทความดังกล่าวนี้ข้อมูล
ได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณา ผลปรากฏว่าได้รับการต่อต้านจากนักวิชาการ และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลปัจจุบัน
ผลจึงปรากฏอย่างที่คุณเห็นอยู่เช่นในปัจจุบันนี้

ข้อมูลของผมดังกล่าวนี้ จะทำให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจลึกซึ้งถึงพื้นฐานและความเป็นมา ต้นเหตุของปัญหาที่ต้องเป็น
และจะเป็นไปในอนาคต โปรดทำใจให้ว่าง พิจารณาบนหลักฐานและความเป็นจริงจะเข้าใจ อย่างถ่องแท้ถึงรากเหง้า
แห่งปัญหา อันเป็นที่มาของคำตอบว่า เหตุใดสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของความเป็นชาติ
และเป็นฐานแห่งสังคมไทยเป็น ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามบอกถึงความมีเอกลักษณ์ของชนชาติไทย
จึงต้องถูกทำลาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง กฎหมายรัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศ รวมไปถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ
ระบบ ระเบียบ กฎหมาย ไม่เว้นแม้กระทั่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนี้คือสถาบันแห่งความมั่นคงของชาติ
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ท่านจะได้รับคำตอบที่เคยสงสัย และคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่อาจพบหนทางช่วยประเทศไทย
อันเป็นที่รักของเราให้พ้นจากมหันตภัยที่เกิดขึ้น ได้ในอนาคตอันใกล้นี้

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ (Force 21)

นับตั้งแต่กลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ จวบจนปัจจุบัน สภาพเศรษฐกิจของไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤตตกต่ำสุดขีดเสียยิ่งกว่า
สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเราท่านไม่อาจจะคาดคำนวณกันได้ว่าผลสรุปและจุดจบของสภาวะเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองไปถึงต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ว่า มาจากสภาพเศรษฐกิจของโลกบ้าง
การตัดสินใจผิดพลาดของธนาคารแห่งประเทศไทยบ้าง แล้วแต่ว่าใครจะกล่าวอ้างกันขึ้นมา แต่ที่แน่ ๆ คือ
ไม่มีนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ใด ที่จะบอกกล่าวเล่าเตือนถึงมหันตภัยทางเศรษฐกิจอันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย
ล่วงหน้าถูกต้องได้เลยแม้แต่คนเดียว วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นแทบจะเรียกว่าข้ามคืนเลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะใช้หลักวิชาการ
มาเป็นตัววิเคราะห์วิจัยก็ไม่สามารถแก้ไขได้แม้แต่น้อย ยิ่งแก้ไขยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์อันดับหนึ่งของโลกผู้ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเดินทางมาบรรยายในประเทศไทย
ก็ยังคาดคำนวณสถานภาพเศรษฐกิจไทยล่วงหน้าผิดพลาดอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ฉะนั้นอย่าพูดถึงนักการเมือง นักบริหาร
หรือนักวิชาการในประเทศไทยเลย ที่จะสามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ล่วงหน้า มันเป็นไปได้อย่างไร ที่ภาวะวิกฤตนี้
เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศไทยซึ่งถูกเรียกว่าเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเซีย/กำลังอยู่ในภาวะเจริญเกือบสุดขีด
จนประเทศเพื่อนบ้านของเรายึดถือเอาประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เงินกู้เงินลงทุน
จากต่างประเทศจำนวนมหาศาลที่กำลังไหลเข้าสู่ประเทศไทยมิได้ไหลเข้ามาเพราะคนต่างชาติโง่
หรือคนไทยหลอกลวงเก่ง เพราะการกู้ยืมโดยสถาบันการเงินก็ดี หรือโดยนักธุรกิจอิสระก็ดี เจ้าหนี้ผู้ให้ยืมเงิน
หรือร่วมลงทุนเหล่านั้นล้วนเป็นชาวต่างประเทศ ที่มาจากสารพัดชนชาติที่ทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ล้วนแล้วแต่ มีผู้ชำนาญทางการเงิน ซึ่งเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ถึงอนาคตการลงทุน และแนวทางเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยว่าจะรุ่งเรืองที่สุด ในย่านภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้จึงปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชน
ลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุปัจจัยใด ที่พอน่าเชื่อได้ว่านักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์ นักลงทุน
ที่ปล่อยเงินกู้เหล่านั้นนัดกันไอคิวตกทั้งโลก หากเช่นนั้นสาเหตุหรือมูลฐานปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไรกันแน่
ที่เป็นสาเหตุให้ประเทศไทยตกเหววิกฤตแห่งเศรษฐกิจเพียงชั่วข้ามคืน นี่แหละคือคำถาม และบทวิเคราะห์ต่อไปนี้
อาจจะเป็นแนวทางที่ ชี้ถึงสาเหตุแห่งธนภัยและวิกฤต ซึ่งจะช่วยในการหาวิธีแก้ไขได้ถูกทางยิ่งขึ้น

ในปลายปี ๒๕๑๗ ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ได้มีการทบทวนบทบาทของการพ่ายแพ้ในการรบ
ในสงครามเวียตนาม พบว่าชัยชนะไม่อาจได้มาด้วยการใช้กำลังอาวุธหรือกำลังพลที่เหนือกว่าตามที่เชื่อกันมาในอดีต
ดังนั้นจึงได้จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้น เพื่อวิเคราะห์ถึงยุทธวิธีสำหรับการรบในศตวรรษที่ ๒๑ (Force 21)
ว่าควรเป็นไปในรูปใด จึงจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จถาวร มีการสูญเสียน้อยที่สุด เอื้อผลประโยชน์ให้มากที่สุด
และใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติการสั้นที่สุด การวิเคราะห์ทดสอบของหน่วยงานนี้ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในปี ๒๕๓๓ ได้ผลสรุปว่าการยึดอำนาจทางเศรษฐกิจเท่านั้นจะให้ชัยชนะและผลประโยชน์อย่างถาวร
อันเป็นแผนปฏิบัติการที่ถูกนำมาใช้เรียกว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ โดยมีสมการของยุทธวิธีคือ E = MOC 2

E (Economic) เศรษฐกิจ
M (Mental) สร้างความเชื่อใหม่, สลายศรัทธาเดิม
O ( Organization) สร้างกระแส, ทำลายระบบการเมือง
C (Cash Value) ทำลายค่าของเงิน
C (Cash Control) ควบคุมระบบการเงินแบบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่หน่วยงานดังกล่าวต้องใช้สมการนี้เป็นหัวใจของยุทธวิธี ก็เนื่องจากได้วิจัยพบว่า เหล่านักวิชาการ
หรือนักเศรษฐศาสตร์ อันอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกนั้น ล้วนร่ำเรียนตามหลักวิชาที่มีรากฐานทางเดียวกันทั้งสิ้น
ทั้งการสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ฉะนั้นหากมีปัญหาใดที่เกิดขึ้นจากเศรษฐกิจปกติสามัญแล้ว ก็จะไม่พ้นปัญญา
ของผู้รู้เหล่านั้นที่จะแก้ไขได้ไม่ยาก ดังนั้นสมการนี้ จึงถูกพัฒนาให้มีความผกผันในตัวของมันเองไม่เพียงแต่
ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยพื้นฐานทางวิชาการเท่านั้น สมการนี้ยังมีศักยภาพที่สามารถทำให้การแก้ปัญหาในทุก ๆ ครั้ง
ผิดแนวทางไร้ประโยชน์ และการแก้ไขนั้นจะกลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสมการนี้บรรลุเป้าหมายเร็วยิ่งขึ้นไปอีก
โดยอัตโนมัติ เท่ากับเป็นการช่วยเหลือสมการนี้เสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้เรามาดูกันว่าปัจจัยใดทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเหยื่อยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นความบังเอิญ หรือเป็นเพราะ
ได้มีการวางแผนงานไว้แล้วอย่างเป็นขั้นตอน ผู้เขียนขอมอบให้เป็นเอกสิทธิ์ ของท่านผู้อ่านที่จะวินิจฉัยด้วยภูมิปัญญา
ตามหลักวิชาการของแต่ละท่านโดยอิสระ หน่วยงานนี้ได้ค้นพบว่า สมการนี้จะให้ประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อสามารถหาพื้นที่
อันเป็นฐานที่มั่นถาวรในการปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่เรียกว่า ยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ อันประกอบไปด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์
และเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์ครบ ๕ ประการ (Give Me 5) คือ

๑. ทางบก มีพื้นที่เป็นผืนเดียวกับแผ่นดินใหญ่ สามารถขยายเส้นทางคมนาคมทั้งทางยุทธศาสตร์และเชิงพาณิชย์
หรือเชื่อมต่อกับประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต และมีอำนาจการซื้อได้โดยง่าย

๒. ทางน้ำ มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่สามารถขยายศักยภาพทางทะเล ทั้งทางทหารและ
ทางพาณิชย์(พาณิชย์นาวี) ได้ครอบคลุมภูมิภาค

๓. ทางอากาศ มีความพร้อมในการขยายศักยภาพทางอากาศทั้งทางทหาร และเชิงพาณิชย์ ในพิสัยโดยรอบภูมิภาค

๔. มีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะด้านการเกษตร สามารถขยายฐานผลิตด้านเกษตรได้โดยง่าย และมีพื้นที่ติดกับ
ประเทศที่มีฐานทางการเกษตร (เนื่องจากสภาวะเรือน กระจกทำให้ผลผลิตสินค้า ด้านบริโภคจะมีความต้องการสูงขึ้น
อย่างไร้ขีดจำกัดในอนาคตของตลาดโลก)

๕. ผูกค่าสกุลเงินตราของประเทศไว้กับเงินสกุลดอลล่าห์ ด้วยปัจจัยหลักดังกล่าวนี้ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศ
ที่มีครบทุกประการ ฉะนั้นประเทศไทยอาจถูกเลือกให้เป็นยุทธภูมิเศรษฐศาสตร์ในการดำเนินยุทธวิธี
แต่ทั้งนี้การดำเนินยุทธวิธีของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจจะต้องขึ้นอยู่กับดัชนีแห่งเวลา(Time Table) เป็นตัวชี้นำว่า
เมื่อใดจึงจะเหมาะสมที่จะปฏิบัติการใช้ยุทธวิธีนี้ หากดัชนีแห่งเวลาไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้ยุทธศาสตร์
เศรษฐกิจ ไม่สามารถบรรลุผลได้ ดังนั้นยุทธวิธีจึงถูกแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอน โดยมีดัชนีเวลาเป็นตัวกำหนดอัตราเร่ง
และปฏิบัติการที่ตายตัว

ขั้นตอนที่ ๑ เริ่มในปี ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๓๙ ใช้ยุทธวิธีตัว M(Mental)สร้างค่านิยมใหม่ สลายศรัทธาเดิม
ประสานกับ O (Organization) สร้างกระแส ประสานเสริมศักยภาพให้กับ M

ขั้นตอนที่ ๒ เริ่มในปี ๒๕๔๐ ใช้ยุทธวิธีของ C(Cash Value)อันเป็นC ตัวที่หนึ่ง เป็นตัวนำโดยการทำลายค่าของเงิน
ให้ต่ำลงเพื่อบีบให้เข้าสู่ ขั้นตอนที่ ๓ โดยใช้อัตราเร่งรวมจากผลคูณของ M และ O

ขั้นตอนที่ ๓ เริ่มในปี ๒๕๔๑ เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ใช้ยุทธวิธีของ C ตัวที่สองซึ่งจะมีอัตราเร่งสูงสุด
จากผลคูณของมวลรวมของ ๑ และ ๒ โดยมีเป้าประสงค์อยู่ที่การเข้าควบคุมระบบการเงินทั้งหมด
ให้ได้แบบเบ็ดเสร็จถาวรโดยอาศัยอำนาจทางกฎหมาย หรือวิธีการอื่นใด

เมื่อภาระกิจสามขั้นตอนดังกล่าวนี้เสร็จสิ้นลงตามดัชนีเวลา (Time Table) นั่นก็หมายความว่ายุทธวิธี
ทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ บรรลุเป้าประสงค์ สามารถยึดฐานที่มั่นอันถาวรเพื่อปฏิบัติการต่อเนื่องต่อไป
ประเทศไทยเป็นประเทศอันอยู่ในภาวะที่มีความพร้อมถึงขั้นเกือบ ๑๐๐% ที่ได้เตรียมการไว้อย่างเป็นรูปธรรม
ในการต้อนรับ นักธุรกิจและนักลงทุนชาวฮ่องกง ที่มีความตั้งใจจะย้ายฐานการดำเนินการดำเนินธุรกิจ
จากเกาะฮ่องกงเข้าสู่ประเทศไทย ภายหลังฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน มีการก่อสร้างที่พักอาศัย และอาคารพาณิชย์
ไว้รองรับอย่างพรักพร้อมจึงมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์กันมาก
เป็นประวัติการณ์ สถาบันการเงินทุกแห่งต่างปล่อยสินเชื่อ ในด้านอสังหาริมทรัพย์ก็ด้วยปัจจัยนี้เป็นหลัก
ซึ่งหากปล่อยให้นักธุรกิจฮ่องกงย้ายฐานมาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาเซี่ยน ได้เมื่อใดก็ตาม
นั่นหมายถึง ความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจของเอเซียอันเต็มไปด้วย ทรัพยากรทางเกษตร ซึ่งเปรียบเหมือน
กระเพาะของโลก จะเป็นตัวได้เปรียบทางด้านการค้าและการเงินของโลกในอนาคต อย่างมหาศาล
เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของตลาดการค้าอื่น ๆ ซึ่งไม่มีพื้นที่จะสร้างผลผลิตทางเกษตร
อันปัจจัยหลักในการดำรงชีพ เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้และประกอบกับประเทศมหาอำนาจ
ได้สูญเสียศักยภาพทางทะเล ในด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังไม่สามารถหามาทดแทนได้

ฉะนั้นอาศัยดัชนีเวลาที่เหมาะสมเป็นไปได้ว่า ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจได้เริ่มขึ้นโดยมีประเทศไทย
เป็นเหยื่อแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามยุทธวิธีแห่งสมการดังกล่าวตลอดมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๓
ผู้เขียนจะไม่อธิบายในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นได้เองอย่างเป็นรูปธรรม
ฉะนั้นจะขอลำดับเหตุการณ์ เฉพาะเหตุการณ์สะท้านโลกที่พาประเทศ และประชาชนชาวไทย
ก้าวเข้าสู่ห้วงวิกฤต ดังนี้

ในช่วงปลายปี ๒๕๓๙ ได้มีการข่าวที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งจริงและไม่จริง ทำลายความเชื่อมั่น
ในสถาบันการเงินอย่างเป็นระลอก นี่เป็นการเริ่มต้นของ M(Mental) อันเป็นอักษรตัวแรกของสมการ
เพื่อก่อให้ความเชื่อว่าน่าจะเป็นจริงตามข่าวลือนั้น คือเกิดกระแส O(Organization) อักษรตัวที่สองคือ
ความไม่เชื่อมั่นในสถาบันการเงินเกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศไทย จากนั้นเป็นหน้าที่ของ C(Cash Value)
อักษรตัวที่สามอันสร้างจากสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ส์ และ เอสแอนพีประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง
โดยลดความน่าเชื่อถือของไทยลงไป ตามติดด้วยนายจอร์จ โซรอส ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ค่าเงินบาทตกต่ำลงในทันที
และการกระทำดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแต่เป็นการกระทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย
ก็ต่อสู้ตามหลักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งได้เคยกระทำมาในอดีตโดยการป้องกันค่าเงินบาท
แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ดังได้กล่าวไปแล้วว่าสมการนี้มีความผกผันมากมาย ฉะนั้นยิ่งแก้ไขยิ่งยุ่งเหยิง
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ประกาศจะสู้กับนักค้าเงินให้ถึงที่สุด ไทยเป็นเลือดนักรบ
มาแต่บรรพกาล แม้รู้ว่าจะต้องตายก็ขอสู้จนเลือดหยดสุดท้าย แต่ถึงท่านจะเก่งอย่างไร
มีที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการเงินที่เชี่ยวชาญขนาดไหน ก็ไม่มีวันพ้นศักยภาพแห่งสมการของ
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ได้ตั้งดัชนีเวลาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นการปล่อยข่าวทำลายศรัทธา(M) ทั้งสถาบันการเงิน
และตัวท่านจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดท่านก็พลาดเข้าสู่สมการอุบาทว์แห่งยุทธวิธีนี้จนได้
ในการสั่งปิดสถาบันการเงินต่าง ๆ (O) และในที่สุดในวันที่ ๒ ก.ค.๒๕๔๐ ประเทศไทยต้องประกาศให้เงินบาทลอยตัว(C)
ทำให้เงินบาทมีค่าน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่ฮ่องกงกลับไปอยู่กับจีน
ดูเวลาช่างประจวบเหมาะกันเหลือเกิน ย่อมมิใช่เป็นการบังเอิญเป็นแน่ และเป็นอุบัติการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งโลกช็อค
หาคำตอบและสาเหตุไม่ได้ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ และไม่มีปัจจัยบอกเหตุทางเศรษฐศาสตร์ ให้รู้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ

สมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมิได้หยุดเพียงเท่านี้ นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงครึ่งทางของเป้าประสงค์
เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากตัวสมการทุกตัวของยุทธวิธีมีค่าเป็นคูณเสมอ โดยเฉพาะตัวอักษร C นั้นนอกจากจะคูณแล้ว
ยังยกกำลังสองอีกด้วย การปฏิบัติการจึงดำเนินต่อไปด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ สมการนี้ก็เริ่มดำเนินการอีก
โดยการสร้างความความเชื่อในสังคมว่า ประเทศไทยต้องพึ่ง สถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF แห่งเดียวเท่านั้น
จึงจะรอดพ้นจากความหายนะทางเศรษฐกิจ ในขณะที่สถาบันและองค์กรการเงินในโลกนี้มีหลายร้อยหลายพันสถาบัน
การสร้างความเชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่านโยบายการทำงานของ IMF จะช่วยให้สมการนี้ บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น
โดยเฉพาะในการสลายองค์กร(C) ซึ่งแน่นอนที่สุดสมการนี้ก็ประสบผลสำเร็จเช่นเคย ประเทศไทยตกลงกู้เงินจาก IMF
(ซึ่งเป็นตัวเบิกทางให้กับ C ตัวที่สอง) ให้เข้าควบคุมองค์กรและระบบการเงินของประเทศได้ โดยใช้เงื่อนไขเป็นหลัก
ในการดำเนินการในอนาคต เส้นทางของเป้าประสงค์แห่งสมการอุบาทว์นี้ยังอยู่อีกไกล ทั้งนี้เป็นด้วยองค์ประกอบในขณะนั้น
พรรคฝ่ายค้านล้วนแล้วแต่เป็นนักกฎหมาย ย่อมคัดค้านต่อรัฐบาลในการที่จะออกกฎหมายให้คนต่างชาติมีสิทธิทางกฎหมาย
เท่าเทียมกับคนไทยในประเทศได้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะสัมฤทธิ์ผลในการเข้ายึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจ
โดยสมบูรณ์ตามกฎหมายและดุษณีภาพ สมการของ C ตัวที่สอง ดังนั้นยุทธวิธีทำลายความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ
จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม (M) การสร้างแนวร่วมขึ้นต่อต้านโจมตีนโยบายรัฐบาล(O)
พร้อมไปกับการลดความเชื่อถือทางการเงินทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างน่าใจหาย (C) ในที่สุดรัฐบาลภายใต้การนำของ
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ก็จบลง อันเป็นไปตามขั้นตอนของยุทธวิธีแห่งสมการ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2006, 05:38:44 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #10 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 05:08:03 PM »


รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายชวน หลีกภัย เข้ารับหน้าที่แทน มีคณะทีมเศรษฐกิจซึ่งบอกเล่ากล่าวขานกันว่า
มีฝีมือในการบริหารการเงิน เพื่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็มิได้รอดพ้นที่จะเป็นเครื่องมือของสมการอุบาทว์นี้เช่นกัน
โดยแทบจะทันทีทันใดหลังรับตำแหน่ง ก็ได้สั่งปิดองค์กรและสถาบันการเงิน ๕๖ แห่งอย่างถาวร
ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วการสั่งปิดหรือยึดทรัพย์ สินนั้นเป็นอำนาจของศาล ภายใต้ข้อเท็จจริงอันได้พิสูจน์โดยชัดแจ้ง
ซึ่งก็นับว่าขัดต่อกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังไม่มีหลักเกณฑ์ใดที่จะใช้พิสูจน์ว่า หนี้ใดดีหนี้ใดเสียได้อีกด้วย
แต่ด้วยพลังแห่งสมการทำให้ ทีมเศรษฐกิจใช้เพียงข้อสมมุติฐานว่าหากปิดสถาบันการเงินเหล่านี้แล้ว
จะทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นกลับมาลงทุน และค่าเงินบาทจะสูงขึ้นกว่าเดิม ผลปรากฏว่าต่างชาติกลับลงทุน
ในตลาดหุ้นของไทยน้อยลง รวมทั้งค่าเงินบาททำสถิติตกดิ่งต่ำยิ่งกว่าเดิม ผู้เขียนคงไม่ต้องอธิบายกันซ้ำอีกละว่า
ยิ่งแก้เหมือนยิ่งช่วยเร่ง ผลที่เกิดตามมาคือ อุตสาหกรรมการส่งออกขาดสภาพคล่องไม่มีเงินในการซื้อวัตถุดิบในการผลิต
พนักงานตกงานในทันทีนับเป็นหมื่นคน วงล้อสมการอุบาทว์ยังคงหมุนต่อไป การทำลายความเชื่อถือในเงินบาทยังเกิดขึ้น
อย่างสม่ำเสมอโดยสถาบันความเชื่อถือมูดดี้ ประกาศลดเครดิตต่ำลงไปอีก ทำให้ต้องใช้เงินกู้ที่เป็นเงินสำรองออกแทรกแซง
ค่าเงินบาทซ้ำแล้วซ้ำอีก แนวความคิดเริ่มจะเชื่อว่า หากมีชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในบริษัทของคนไทย หรือซื้อบริษัท
ไปบริหารเลยได้มากเท่าไรจะช่วยเศรษฐกิจไทย ได้มากขึ้นเท่านั้น แรงขึ้นทุกขณะ และเกิดการเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติ
อนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นนิติบุคคลได้เกินกว่าร้อยละ 50 และต่อไปคือ

อนุญาตให้ต่างชาติถือครองที่ดินและประกอบอาชีพได้เช่นประชาชนไทย ภายใต้ความเชื่อว่าเป็นการนำเงินตราเข้าประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่ชาวต่างชาติเข้าซื้อหรือถือหุ้นในขณะนี้กลับเป็นสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อไม่กี่เดือนมานี้รัฐบาล
มีความเชื่อว่า เป็นตัวก่อปัญหาให้เกิดหนี้สิน (สิ่งนี้จะเห็นได้อย่างชัดในเรื่องตลาดเงินเสรี อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใช้สมการนี้)
จะเห็นว่า ความผกผันของสมการนี้มีศักยภาพสูงมากเพราะว่ายิ่งแก้ไขมากเท่าไรยิ่งจมลงสู่ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ลึกลงไปทุกที
สัจธรรมที่ว่า อย่าเชื่อสิ่งที่เห็น จงเชื่อสิ่งที่เป็น ยังคงความอมตะเสมอ

ทีนี้เรามาดูถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไป ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อเกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้เกิดขึ้น
ทางแก้ปัญหาโดยสามัญคือ การส่งสินค้าออกให้มากที่สุดเพื่อให้ได้เงินตราต่างประเทศเข้ามามากที่สุด
แต่สำหรับสมการแห่งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้การแก้ไขคือการฆ่าตัวตาย พิสูจน์กันได้ชัดดังนี้คือ สินค้าออกของเราคือข้าว
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นกันไปทั่วว่าเราขายข้าวเป็นสินค้าออกมากกว่าปีที่แล้ว และยังได้ราคาดีกว่าด้วยตามปกติแล้ว
ย่อมหมายถึงกำไร แต่เปล่าเลยด้วยสมการนี้ ยิ่งส่งออกยิ่งขาดทุน ลองมาดูตัวเลขกันแบบตันต่อตันก็ได้ ในปี ๒๕๓๙
เราขายข้าวตันละ ๔,๐๐๐ บาท เท่ากับ $๑๔๒.๘๖ (๒๘บาท/ดอลลาร์ ) แต่ในปี ๒๕๔๐ เราขายข้าวตันละ ๖,๐๐๐บาท
เท่ากับ ๑๒๗.๖๖(๔๗บาท/ดอลล์) เมื่อนำเอาตัวเลขตามอัตราแลกเปลี่ยนมาลบกันจะเห็นว่าเราขาดทุนไป
ตันละ ๑๕.๒๐ ดอลล่าห์หรือประมาณ ๗๑๔บาท ในการขายข้าวทุก ๆ หนึ่งตัน ดังนั้นยิ่งส่งออกข้าวมากขึ้นเท่าไร
นั่นหมายถึงเรายิ่งได้เงินน้อยลง และซ้ำร้ายไปกว่านั้นโรงสี ผู้รับซื้อข้าวขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก
ไม่มีเงินสดมาซื้อข้าวจากเกษตรกร เนื่องจากสถาบันทางการเงินถูกปิด หรือเปลี่ยนระบบการทำงาน
ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การแนะนำเงื่อนไขของ IMF ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วการสร้างสภาพคล่องทางการเงินคือ

สร้างให้เกิดกระแสการเงินหมุนเวียนภายในประเทศให้มากที่สุด ส่งเสริมให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยให้มาก
หรือตามปกติ แต่ไม่ควรใช้ของนอก จำกัดการนำของนอกเข้า หรือจำกัดการนำเงินออกนอกประเทศ
รีบกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นให้มากที่สุด โดยผ่านทางงบประมาณของรัฐ สร้างความเชื่อถือในความมั่นคง
ของสถาบันการเงินให้มากที่สุด

แต่เนื่องจากว่าการแก้ไขปัญหาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ได้สัญญาไว้กับ IMF
เอาเฉพาะเรื่องที่เกิดความผลผิดพลาดอันจากคำแนะนำของ IMF ที่เกิดขึ้นกับประเทศ
เมื่อวันที่ ๘ ธ.ค.๒๕๔๐ ปิดสถาบันการเงิน ๕๖ แห่ง ทำให้ประเทศต้องเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
เฉพาะ ๔๘ ชั่วโมงแรกหลังคำสั่งนั้นกว่า ๕ หมื่นล้านบาท เฉพาะชั่วโมงเดียว ทำให้ประเทศไทย
ที่แทบจะไม่มีเงินสำรองอยู่แล้วต้องนำเงินออกมาปกป้องค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองของประเทศ
สูญไปอีก ซึ่งยังไม่นับรวมถึงปัจจุบันว่าหนี้ได้เพิ่มขึ้นอีกมากเท่าใดใครจะรับผิดชอบ เงื่อนไขและคำแนะนำ
ดังกล่าวมีผลกระทบไปถึงประชาชนชาวไทย มีผลต่อวิถีชีวิตครอบครัว สภาพธุรกิจทั่วไปซึ่งไม่อาจดำเนินกิจกรรม
ได้โดยปกติสุข ปัญญาผู้มีความรู้ทั้งทางการเงินและสาชาต่าง ๆ อันเป็นทรัพยากรบุคคลนับเป็นล้านคน
ซึ่งรัฐได้เสียงบประมาณการศึกษาหลายแสนล้านสร้างขึ้นมา กลายเป็นบุคคลไร้อาชีพ
เนื่องจากธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวเองเนื่องจากขาดสภาพคล่องในการดำเนินการ ก่อให้เกิดภาวะอาชญากรรม
และเพิ่มจำนวนทุจริตชนมากขึ้น อันหมายถึงความไม่สงบเรียบร้อยภายในย่อมเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้ยังไม่รวมถึง
สภาพสังคมของเยาวชนไทยที่ต้องออกจากการศึกษา เนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจ จะเป็นปัญหาต่อเนื่องยาวนาน
ที่ฝังรากลึกกับอนาคตของชาติในด้านศีลธรรมจรรยา ที่พวกเขาพลาดเวลาในการเข้าศึกษาอบรมในวัยอันควร
ซึ่งจัดเป็นปัญหาในแนวดิ่ง การตัดงบประมาณต่าง ๆ ทำให้เสียสภาพคล่องในประเทศจัดเป็นการสูญเสียในแนวราบ
ล้วนแล้วแต่เกิดจากการแนะนำของ IMF ทั้งสิ้น ต้องกล่าวชม นายกมหาเธร์ โมฮัมมัด ที่ไม่ยอมหลงกลเป็นเหยื่อ
ให้กับสมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจนี้ ซึ่งปรากฏผลว่าปัจจุบันค่าเงินริงกิตของมาเลเซียไม่ได้ตกต่ำตามที่ใครๆ คิด
เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทในเวลาเดียวกัน สภาพเศรษฐกิจในมาเลเซียปัจจุบัน ก็มิได้เลวร้ายเช่นดังเกิดขึ้นในประเทศไทย
ในอนาคตระบบธนาคารของไทยโดยเฉพาะสินเชื่อ จะเป็นอัมพาต หนี้ด้อยคุณภาพจะพุ่งขึ้นสูงสุด
สั่งเข้าส่งออกจะตายสนิท และต่างชาติ มหาอำนาจจะใช้รัฐบาลเป็นเครื่องมือออกกฎหมาย
เพื่อเข้ายึดครองเบ็ดเสร็จ

ณ จุดนี้ ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า ประเทศของเราเป็นเหยื่อของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไปแล้วหรือไม่
หากไม่เหตุไรเราจึงไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นได้ด้วยคนไทยเอง เหตุใดเราจึงต้องได้ยิน
คำกล่าวอ้างทุกครั้งว่าเป็นคำสั่ง หรือเป็นเงื่อนไขของ IMF เป็นผู้ให้กระทำทั้งสิ้น สิ่งที่น่าแปลกที่สุด
ในขณะนี้ก็คือการกระทำตามเงื่อนไขกลับเพิ่มปัญหาและส่งผลในทางลบกับประเทศ การกระทำหลายอย่างขัดต่อ
ตัวบทกฎหมายความสงบเรียบร้อยและศิลธรรมอันดี อันส่งผลร้ายในระยะยาวอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าชาวไทยในแผ่นดิน มิได้เลือกเว้นว่าเป็นลูกเล็กเด็กแดง อันไม่มีส่วนรับรู้
ตกอยู่ในสภาพของเสมือนดังลูกหนี้ถ้วนหน้ากัน ต้องมีหน้าที่ใช้หนี้ที่ไม่เคยรู้เห็น ฉะนั้นหากเราเป็นหนี้ IMF จริง
โดยสภาพกฎหมายประชาชนไทยในฐานะลูกหนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เห็นสัญญาเงินกู้ที่ได้ทำไว้กับเจ้าหนี้คือ IMF
เพราะนับแต่วันที่อ้างว่ากู้เงิน IMF มาจนบัดนี้ยังไม่เคยมีการแสดง สัญญาเงินกู้ดังกล่าวต่อสาธารณชน
และหากว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวนั้นรัฐบาลถือว่าเป็นความลับของชาติ ภาครัฐก็สามารถส่งให้
คณะกรรมการกฤษฏีกา หรืออัยการสูงสุด ซึ่งล้วนแล้วได้ผ่านการวินิจฉัยสัญญาอันเป็นความลับสุดยอด
ของประเทศมาแล้วทั้งสิ้นและเป็นอำนาจโดยตรงตามกฎหมายที่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบเงื่อนไขสัญญาใด ๆ
อันรัฐได้กระทำกับต่างประเทศ ถึงความได้เปรียบเสียเปรียบและผลประโยชน์ของประเทศอยู่แล้ว
(เพราะไม่มีปรากฏในประมวลกฎหมายใดของประเทศไทยที่อนุญาตหรือยกเว้นให้ชาวต่างชาติมีอำนาจออกคำสั่ง
ในการบริหาร สั่งการ หรือสร้างเงื่อนไขให้รัฐปฏิบัติตามได้ ผู้เขียน)

แต่ก็ไม่เคยมีการส่งให้หน่วยงานดังกล่าวตีความ เพราะข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงก็คือ ประเทศไทยไม่เคย
ทำสัญญาเงินกู้ใด ๆเป็นลายลักษณ์อักษรกับ IMF แม้แต่ฉบับเดียว สิ่งที่นำมากล่าวอ้างเป็นเพียงข้อเสนอ
ฝ่ายเดียวซึ่งรัฐบาลไทยเสนอกับ IMF ว่าจะทำอะไรตอบแทนบ้างเท่านั้น ดังที่เรียกกันว่าหนังสือแสดงเจตจำนงค์
หรือ LETTER OF INTENTนั้น ลงนามโดยรัฐบาลไทยฝ่ายเดียว ซึ่งสามารถแก้ไข ยกเลิกได้ตลอดเวลา
แต่ทำไมจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เช่นต้องปิดสถาบันการเงิน หรือขายรัฐวิสาหกิจ
และไม่เคยปรากฏว่ามีสัญญาเงินกู้ LOAN AGREEMENT กับ IMF เลยแม้แต่ฉบับเดียว แล้วเราเป็นหนี้เขาแต่เมื่อไร ?
นี่คือสิ่งที่ประชาชนไทยต้องการความกระจ่างชัด

ตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ท่านผู้อ่านคงจะวินิจฉัยได้โดยเหตุผลและข้อเท็จจริง จึงขอฝากความเป็นความตายของชาติไว้
ในมือของท่านผู้ทรงปัญญา นักวิชาการและประชาชน ที่จะหาแนวทาง วิธีการแก้ไข ถอดสมการอุบาทว์ให้หมดศักยภาพไป
" ก่อนที่คนไทย จะไม่เหลือแผ่นดิน "


ผนวก
วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๑ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็น
กรรมการถาวรกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF โดยได้รับเงินเดือนประจำ และทำงานให้กับ IMF สิ่งที่น่าแปลกก็คือ
ตัว นายชวนฯ ยังเป็นนายกฯ ของประเทศไทย แต่เหตุใดจึงรับตำแหน่งเป็นกรรมการของIMF ??

วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธนาคารโลก และ IMF แต่งตั้งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ (IMF)
อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสังเกตที่สุดก็คือตำแหน่งที่ได้รับนั้นเป็นตำแหน่งควบของธนาคารโลก กับ IMF จึงไม่เป็นที่กังขา
หรือปฏิเสธกันต่อไปอีกแล้วว่า ธนาคารโลกคือเครื่องมือเปิดทางให้กับ IMF และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นายธารินทร์ฯ คือ
บุคคลที่ IMF วางไว้ในตำแหน่งการเงินของประเทศ เพื่อรองรับปฏิบัติการตามแผนธารินทร์ ๓๕-๔๓ ให้แล้วเสร็จ
ตามคำสั่งของ IMF

นับตั้งแต่การออก พ.ร.บ.วิเทศธนกิจ หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า BIBF นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำเอา นายราเกซ สักเสนา
ซึ่งทำงานให้กับองค์กร CIA เข้ามาบริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC) แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ นายธารินทร์
ได้มีคำสั่งให้ปิด BBC อย่างถาวรเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการรับ-ส่งหน้าที่
และประสานงานกันอย่างมีระบบ ไม่ใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามธรรมชาติของนักการเมืองแต่อย่างใด
แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นสมการที่มีชื่อเฉพาะว่า “สมการกลืนชาติ” หรือ E=MOC2

ดังนั้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา มีการเข้าควบคุมข่าวสาร
สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพ
และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขายสินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้เพื่อการ “ล่าอาณานิคม” ชนิดใหม่ เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจที่กลมกลืน
ระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย .......
( ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติจะได้กล่าวในโอกาสต่อไป )

สหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการเพื่อการยึดครองประเทศต่าง ๆ ด้วยการใช้สัมการกลืนชาติและพุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ
เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เป้าหมายเป็นระยะเวลานานโดยอาศัยความร่วมมือของนักการเมืองและนักธุรกิจชาวไทย
ที่ปราศจากสำนึกในเรื่องความมั่นคงของชาติ นักการเมืองบางคนโดยอุดมการณ์แล้วเป็นได้เพียงแค่นักเลือกตั้ง
สามัญสำนึกในด้านการสร้างชาติ การป้องกันประเทศชาติจากภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ยังไม่มี
หรือไม่ก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ตนได้รับตำแหน่งสูงทางการเมือง เท่าที่ตนต้องการแต่เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งนั้น
แล้วนอกจากจะทำหน้าที่นักการเมืองที่ดีไม่ได้แล้วยังตกเป็นเหยื่อของต่างชาติที่ใช้เป็นเครื่องมือ
ในการบ่อนทำลายชาติของตนเอง นักการเมืองเช่นนี้มีอยู่มากมายในวงการเมืองไทย เช่นเดียวกับนักธุรกิจ
ที่เห็นแก่ได้เพียงอย่างเดียว จิตใจไร้สำนึกของความเป็นไทย ขายทุกอย่างได้เพื่อให้ตนได้ประโยชน์ที่ต้องการ
แม้แต่ขายจิตวิญญาณของความเป็นไทยไป นักธุรกิจเช่นนี้มีมากมายแม้แต่กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อย
ในสังคมไทย จึงทำให้วัฎฐจักรการเมืองและธุรกิจของไทยต้องล้มแล้วล้มเล่าแล้วในที่สุดก็กลายเป็นทาสของต่างชาติ
ดังที่เห็นอยู่เท่าทุกวันนี้ คนเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เขาเป็นได้เพียงแค่เครื่องมือของต่างชาติ
ที่ถูกบงการให้เข้ามาทำลายบ้านเมืองของตนเอง ภาพของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักธุรกิจที่ดูในบางยุคบางสมัย
อาจจะดูสวยหรูแต่เมื่อตนลงจากอำนาจทางการเมืองแล้ว ในที่สุดเรื่องราวที่ตนทำไว้ก็จะต้องถูกเปิดโปง
ให้สาธารณะชนทราบไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน และในชั่วชีวิตของผู้เขียนเอง เชื่ออย่างเหลือเกินว่า
นักการเมืองและนักธุรกิจทั้งหลายที่มีพฤติกรรมเช่นนี้จะต้องถูกนำมาขึ้นศาลสถิตยุติธรรมเพื่อพิจารณาลงโทษ
แม้จะแก่เฒ่าปานใดแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างของชนรุ่นหลังต่อไป สหรัฐอเมริกาได้ใช้บุคคลเหล่านี้
ของคนไทยเป็นเครื่องมือ จึงทำให้งานต่าง ๆ ที่มีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนสำเร็จได้โดยตลอดจนกระทั่ง
ในผลสุดท้ายสามารถที่จะทำให้เกิดเป็น วิกฤตเศรษฐกิจของไทยจนไม่อาจจะเยียวยาได้ตลอดไป
( ขอย้ำว่าเยียวยาไม่ได้ตลอดไปไม่มีข้อยกเว้น ) ที่เห็นชัดที่สุดคือ

การออกกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับที่ปรากฏต่อชาวไทยว่าเป็นกฎหมายทาสที่สร้างความเสียหายให้กับ
ประเทศชาติอย่างยาวนานทั้งที่คนไทยจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม แม้แต่ในขณะนี้ผลอันนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป
อย่างไม่หยุดยั้ง การสร้างสถานการณ์อย่างแนบเนียนที่ทำให้เกื้อกูลต่อความสำเร็จจนถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
ที่ต้องเป็นจนกระทั่งเหมือนว่าไม่มีการสร้างสถานการณ์โดยมือมนุษย์แล้วนำไปสู่ชัยชนะตามเป้าหมายเช่นนี้
เมื่อกว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้วซุน วู ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

“....ที่โบราณเรียกว่าผู้สันทัดการรบนั้นคือ ชนะผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันทัดการรบ
จึงมิได้ชื่อว่ามีสติปัญญา มิมีความชอบในเชิงกล้าหาญ ฉะนั้นชัยชนะของเขาจึงมิพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขา
ก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะผู้ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบจึงอยู่ในฐานไม่แพ้
และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกแพ้...”

ความหมายก็คือผู้ที่เยี่ยมยุทธ์ที่สุดเขาจะเตรียมการมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องให้การเตรียมการนั้นเสมือน
การเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้ใช้นักวางแผนของตนทำเช่นนั้น เสมือนว่าเหตุการณ์เกิดขึ้น
โดยธรรมชาติ คนไทยก็เชื่อกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติมิได้คิดว่า
เป็นการกระทำของคนที่เตรียมการและดำเนินการตามแผนมาแล้วอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกวันนี้ก็ยังคงเชื่อกันเช่นนั้น
แต่ถ้าในเชิงของการวางแผนรวมทั้งตำราพิชัยสงครามแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็น การวางแผนและดำเนินการตามแผน
อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและแนบเนียนที่สุดจนคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจการวางแผนว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ
นี่คือสุดยอดของการวางแผนตามตำราพิชัยสงครามซุน วู ที่กล่าวแล้วข้างต้น ฉะนั้นชัยชนะที่เราเห็นกัน
ก็จะมองเห็นว่าเหมือนโชคช่วย แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ กว่าที่จะทำให้เหมือนโชคช่วยได้ต้องผ่านขั้นตอน
ของการเตรียมการมาอย่างมากมาย ที่สหรัฐฯ ทำเช่นนี้ได้ทำให้สามารถครอบครองประเทศต่าง ๆ
ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่สุด การทำเช่นนี้ได้ ซุน วู กล่าวอีกว่า “....ฉะนั้น

การบัญชาทัพชั้นเอกคือชนะด้วยอุบาย
รองมาคือชนะด้วยการทูต
รองมาคือชนะด้วยการรบ
เลวสุดคือการตีเมือง

กลวิธีแห่งการรุก ...ผู้สันทัดการบัญชาทัพ จักสยบข้าศึกได้โดยมิต้องตี จักทำลายประเทศข้าศึกโดยมิต้องนาน
จักครองปฐพีได้ด้วยชัยชนะอันสมบูรณ์ ดังนี้ กองทัพมิต้องเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ ก็ได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์
นี่คือกลวิธีแห่งการรุก....
ชัยชนะครั้งนี้ของสหรัฐฯ นับเป็นชัยชนะที่สมบูรณ์แบบที่สุดเป็นสุดยอดแห่งชัยชนะตามตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู
คือชนะโดยที่ไม่ต้องรบ โดยสิ่งที่สหรัฐฯ ได้รับอย่างเป็นรูปธรรมคือ

๑) เงินไหลเข้าสหรัฐฯ ทันที ๒๘ ล้านล้านบาท สร้างความมั่งคั่งให้สหรัฐฯ ขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่ง
๒) สหรัฐฯ ครอบครองประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยใช้สงครามเศรษฐกิจ
ซึ่งสงครามชนิดนี้สามารถครอบครองพลังอำนาจของชาติได้ทุกมิติยิ่งกว่าสงครามที่ใช้กำลังทหาร
คือสามารถยึดครองเป้าหมายไปถึงรากเหง้าแห่งจิตวิญญาณ ยึดครองได้ยาวนาน บางประเทศไม่รู้ตัวว่า
ถูกยึดครองและยึดครองอย่างไร้การต่อต้าน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการสงคราม แต่ก็อยู่ในกรอบของ
ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู
๓) ปิดล้อมจีนได้ตามเป้าหมาย
เมื่อสหรัฐฯ ได้สร้างสถานการณ์จนสุกงอมแล้ว สถานการณ์นั้นได้สร้างความบอบช้ำอยู่ในตัวตามสัมการ
เมื่อเป้าหมายบอบช้ำ สหรัฐฯ จึงกระหน่ำซ้ำเติมเอาตามใจชอบ นี่คือการใช้กลยุทธ์ “รอซ้ำยามเปลี้ย”

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เมื่อประสงค์จักบั่นทอนกำลังของข้าศึก ก็มีแต่จะต้องทำลายความแกร่งกล้าของข้าศึกลงไป
ทำให้ทั้งนายและพลอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แล้วจึงเข้ารุกรบโจมตีเอาในภายหลัง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2006, 05:40:21 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #11 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 07:30:07 PM »

  ... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ   
      คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....?
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 07:41:38 PM »

อ่านไม่หมดครับ ตาลาย ขอsave เก็บเอาไว้ครับ
ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« ตอบ #13 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 08:10:09 PM »

ขอบคุณคุณ narongt มากครับ
บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #14 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 09:04:53 PM »

... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ
 คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....?

เดี๋ยวจะลองทำให้ครับ ต้องเอาไปเรียบเรียงใน WORD ใหม่แล้วแปลงเป็น PDF
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.267 วินาที กับ 21 คำสั่ง