ผมเข้าใจสิ่งที่ลุงปูพูดถึง....
....การช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรม บางทีกลับมาด้วยคำว่า....ฝ่ายเราผิด ถ้าไม่ผิดจะมาจ่ายให้เขาทำไม...เป็นงั้นไป

ถ้ามั่นใจว่าฝ่ายเราไม่ผิด การจะช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรมต้องมีเทคนิคในการพูด การจ่ายเงิน และการทำ
หลักฐานไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนิดหน่อยครับ ไม่งั้นจะกลับกลายเป็นว่าถ้าไม่ผิดจะจ่ายเงินให้ทางฝ่ายผู้ตายทำไม
ซึ่งจะกลายมาเป็นบ่วงคล้องคอในภายหลังตามที่น้าปู กับพี่ธำรง ว่าไว้ครับ
คดีอุบัติเหตุเกือบร้อยทั้งร้อยถ้าตกลงกันเรื่องค่าเสียหายได้คดีก็จบ แต่ที่ไม่ค่อยจบเพราะบริษัทประกันและ
ทะแนะ ( ไม่ใช่ทนายและชอบทำหน้าที่ของทนาย ) ชอบยุให้สู้คดี เพราะถ้าหากฟลุคชนะคดีก็ไม่ต้องจ่ายค่าสิน
ไหมทดแทน แต่ถ้าแพ้คดีอย่างมาก็จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามปกติแถมได้ประวิงเวลาการจ่ายเงินเพื่อนำมาเป็นข้อ
ต่อรองกับฝ่ายผู้ตายเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเต็มวงเงินตามสัญญาประกันได้อีกด้วย ( นี่แหละหนาบริษัทตอนเอาเงินเรา
ไปเอาไปได้แต่พอจำเป็นต้องใช้ประกันกลับเหนียวหนืดควักจ่ายยากซะอย่างงั้น

) แถมเวลาติดคุกตัวทนาย
บริษัทหรือผู้บริหารบริษัทประกันไม่ได้ติดคุกด้วย แต่เป็นจำเลยที่ติดคุกคนเดียว ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยจำเลยที่บริษัท
ประกันยุให้สู้มักจะจบไม่ค่อยสวย สุดท้ายก็ต้องวิ่งกันหน้าเลิ่กหาเงินมาใช้ฝ่ายผู้ตายในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา เพราะขา
ตัวเองแหย่เข้าไปในคุกข้างนึงแล้ว เข้าทำนองเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย
ดังนั้นถ้าเราเป็นจำเลยในคดีอุบัติเหตุแล้วบริษัทประกันของเรายุให้สู้คดี อย่าไปหลงลมบริษัทประกันมากนักนะ
ครับ