เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 02, 2025, 08:48:41 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 3 4 [5]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดใจมือปืน เปิดใจมือปืน ตอน 9(ไขปริศนาภรรยา JFK)  (อ่าน 25608 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
bigbuffalo
Hero Member
*****

คะแนน 60
ออฟไลน์

กระทู้: 1389



« ตอบ #60 เมื่อ: มกราคม 30, 2007, 09:48:50 PM »

น่าสนใจ ต้องยกครับพี่น้อง
บันทึกการเข้า
ing เด็ก ส.จ.
Hero Member
*****

คะแนน 13
ออฟไลน์

กระทู้: 1056


« ตอบ #61 เมื่อ: มกราคม 31, 2007, 06:18:40 PM »

"หมึกเพชร"  ตอนนี้ก็หายไปแล้ว ญาติพี่น้องต้องเผาชื่อแทนร่างไร้วิญญาณ

แต่อีกสายนึ่งแจ้งมาว่า เจอค้าอยู่ทางเหนือครับ Grin  เข้ามาอ่านพอดีรู้จักกัน
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #62 เมื่อ: มกราคม 31, 2007, 08:36:37 PM »

http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=20449.msg545151#msg545151

นานๆเข้ามาทีขออนุญาต จขกท นี้โพสท์แจมด้วยครับ
 หลงรัก

ปริศนาคดีลอบสังหาร "เคนเนดี้"

คดีลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

ยังคงเป็นความลับดำมืดอยู่แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 40 ปีแล้วก็ตาม หลักฐานที่ได้จากฟิล์มภาพยนตร์
และรูปถ่ายในวันเกิดเหตุแสดงให้เห็นถึงชายลึกลับ 2 คนที่อยู่ใกล้กับเคนเนดี้ มากที่สุดในวินาทีที่เขาถูกยิง
แต่กลับดูเหมือนว่าชายทั้ง 2 จะไม่มีตัวตน!

วันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ได้เดินทางไปยังเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส

ตามกำหนดการเดินสายหาเสียงในรัฐต่างๆ ทางใต้ เพื่อเตรียมการสำหรับการเลือกตั้งตำแหน่ง
ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 ของเขา

เวลา 11:40 น. ประชาชนชาวดัลลัสต่างต้อนรับการเดินทางมาของเคนเนดี้และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
อย่างอบอุ่น ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ และภรรยา

นั่งในรถลิมูซีน คันเดียวกับท่านประธานาธิบดีเพื่อเดินทางจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมือง

เมื่อขบวนรถได้เคลื่อนมาถึงเดลีย์พลาซา


ณ เวลา 12:30 น. ก็เลี้ยวขวาจากถนนเมน เข้าถนนฮิวส์ตัน เพื่อที่เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเอล์ม

ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส (Texas School Book Depository)


ทันทีที่รถคันที่เคนเนดี้นั่งแล่นผ่านป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนสเตมมอนส์ ที่อยู่ข้างหน้า

ภรรยาของผู้ว่าจอห์นก็ได้ยินเสียงปืน เธอจึงเหลี่ยวหลังไปมองเคนเนดี้ที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถ
เธอเห็นท่านประธานาธิบดีเอามือกุมที่คอ วินาทีถัดมาผู้ว่าฯ จอห์นก็รู้สึกปวดที่ด้านหลังเขารู้ทันทีว่าเขาถูกยิง
http://www.btinternet.com/~dr_paul_lee/JFK.htm



ไม่กี่วินาทีต่อมาผู้ว่าจอห์น ก็ได้ยินเสียงปืนนัดที่ 3 ภรรยาของท่านประธานาธิบดียังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เธอคิดว่าเป็นเสียงประทัดหรือดอกไม้ไฟที่ประชาชนจุดต้อนรับขบวน แต่เมื่อเธอหันหน้ามามองสามีเธอ
ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ต้องตกใจที่เห็นท่านประธานาธิบดีถูกยิงเข้าที่ศรีษะ มันเป็นกระสุนนัดสุดท้ายที่
สังหารเคนเนดี้


http://www.assassinationresearch.com/v2n2/zfilm/zframe313.html

เมื่อประชาชนที่คอยเฝ้าต้อนรับรถขบวนอยู่ 2 ข้างทางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็แตกตื่นพากันนอนราบ
ลงกับพื้นหรือไม่ก็วิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้น เพื่อหลบลูกกระสุนที่อาจเกิดการยิงขึ้นมาอีก


ยกเว้นคน 2 คน!


http://www.dallasnews.com/cgi-bin/bi/dallas/photography/photography.cgi?step=View%20Slideshow&show=420&thisImage=6583
http://www.dallasnews.com/s/dws/spe/2005/jfk

ปริศนาคนถือร่ม
จากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ขนาด 8 มม. ที่ถ่ายโดย อับราฮัม แชพรูเตอร์
http://youtube.com/watch?v=GU_cbEIPXw0&search=Abraham%20Zapruder

และภาพถ่ายจากกล้องของผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ ประกอบกับคำให้การของพยานขณะที่ จอห์น เอฟ เคนเนดี้
ถูกลอบสังหารนั้นแสดงให้เห็นสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้นมากมาย ภาพถ่ายจากพยานที่ยืนอยู่ริมถนน
ตรงกันข้ามกับป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนเสตมมอนส์ จับภาพชาย 2 คนนั่งอยู่ริมถนนบริเวณป้ายนั้น

ซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้กับประธานาธิบดีมากที่สุด ชายทั้ง 2 ดูเหมือนเป็นเพียงประชาชนธรรมดาๆ ที่มาต้อนรับ
ประธานาธิบดีในดวงใจของพวกเขาเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้น แต่เมื่อรถของประธานาธิบดีแล่นมาถึง
หนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นยืนกางร่ม

ที่มันน่าแปลกก็เพราะว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ไม่มีเค้าว่าจะมีฝนหรือแดดก็ไม่จัด ที่สำคัญคือ
ชายคนนั้นเป็นเพียงคนเดียวที่กางร่มในที่เกิดเหตุ เขากางร่มออกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็หุบมันลง
ในขณะที่ชายคนที่นั่งข้างๆ เขาลุกขึ้นยืนโบกมือ และวินาทีเดียวกันนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้น!

สิ้นเสียงปืนความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น ฝูงชนแตกตื่นไปคนละทิศละทาง ยกเว้นชาย 2 คนนี้ที่ทรุดตัวนั่ง
ลงที่เดิม หนึ่งในนั้นหยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศออกมา เขาจ่อมันที่ปากเหมือนกับว่าเขากำลังพูด
วิทยุรับ-ส่ง จากนั้นชายทั้ง 2 ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ชายที่ถือร่มเดินไปทางอาคารเก็บหนังสือโรงเรียน
ส่วนอีกคนเดินไปทางถนนลอดใต้ทางด่วน

"ชายผิวคล้ำ" (Dark complected Man) หยิบวัตถุบางอย่างที่มีเสาอากาศมาจ่อที่ปากหลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิง

หลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิง เขาก็ลุกขึ้นยืนเอาวิทยุเหน็บหลังแล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สัญญานมรณะ

เป็นไปได้ไหมว่า ชายทั้ง 2 คนกำลังส่งสัญญานให้กับมือปืนที่ซุ่มรออยู่ เพื่อบอกให้เริ่มปฏิบัติการได้
ที่ต้องให้สัญญานก็เพราะมือปืนไม่ได้มีแค่คนเดียวอย่างที่เอฟบีไอ ได้ทำสรุปสำนวนการสืบสวน
เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อเสียงปืนดังขึ้น ความโกลาหลย่อมเกิดขึ้น หน่วยรักษาความปลอดภัยและ "เหยื่อ" จะต้องรู้ตัว

ดังนั้นเพื่อให้ปฏิบัติการสัมฤทธิ์ผล ปืนอย่างน้อย 3 กระบอกจะต้องถูกยิงในเวลาเดียวกันจากมุมต่างๆ
หลังจากนั้นชายทั้ง 2 จะหยุดดูผลงาน แจ้งข่าวและหนีออกจากที่เกิดเหตุอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มีผู้ตั้งข้อสังเกตุว่า สัญญาน "ร่ม" อาจเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงปฏิบัติการส่งกองกำลังสนับสนุนทางอากาศ
ย้อนกลับไปเดือนเมษายน ค.ศ. 1961 เมื่อ ซีไอเอ ได้ส่งกำลังทหารเข้าไปยังคิวบาเพื่อเข้าต่อต้านกองทหาร
ฝ่ายปฏิวัติของ ฟิเดล คาสโตร เรียกว่า ปฏิบัติการบุกอ่าวสุกร (Bay of Pigs Invasion) ซีไอเอ ได้ให้สัญญากับ
กองทัพของเขาว่าจะมีการส่งกำลังสนับสนุนทางอากาศเข้าไปช่วยหลังจากที่พวกเขาถึงอ่าวสุกรแล้ว แต่เหตุการณ์
ไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดี้ ปฏิเสธคำขอของซีไอเอ ที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยกองทัพ
ของซีไอเอราว 1,300 คน ที่ล่วงหน้าไปยังที่นั่นแล้ว ปฏิบัติการครั้งนั้นจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า การกางร่มออกของ
ชายลึกลับอาจสื่อความหมายถึง กองกำลังสนับสนุนทางอากาศที่พวก ซีไอเอ รอคอย

ร่มเป็นอาวุธลับ

โรเบิร์ท คัทเลอร์ นักวิจัยที่มีชื่อเสียงได้ตั้งข้อสังเกตุว่า "ร่ม" อาจเป็นปืนยิงลูกดอก ซึ่งทฤษฏีนี้ได้รับการยืนยันว่า
มีความเป็นไปได้ เนื่องจากในปี ค.ศ. 1975 นักวิจัยทางด้านอาวุธของ ซีไอเอ ผู้หนึ่งได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่สืบสวน
สอบสวนว่าในปี ค.ศ. 1963 ซีไอเอ ได้สั่งผลิตอาวุธลับปืนยิงลูกดอกที่เป็นรูปร่มจำนวน 50 กระบอก
ลูกดอกจะถูกยิงอย่างเงียบๆ ออกมาจากก้านร่มขณะที่ผู้ถือกางร่มออก


โรเบิร์ท ยังได้ให้ความเห็นอีกว่า รอยบาดแผลที่คอของประธานาธิบดีเคนเนดี้ นั้นอาจเป็นบาดแผล
ที่เกิดจากกระสุนลูกดอก แต่มันถูก "ตกแต่ง" เสียใหม่ระหว่างที่มีการชันสูตรศพ

และเจ้าลูกดอกอาบยาพิษนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีไม่แสดงอาการตอบสนอง
และนั่งเป็น "เป้านิ่ง" ขณะที่เสียงปืนดัง

ข้อสังเกตุทั้งหลายที่กล่าวมานี้ยังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอที่จะยืนยันได้ว่าถูกต้อง ดูเหมือนทฤษฏีกางร่ม
เป็นสัญญานนั้นจะฟังดูเป็นไปได้มาก แต่คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ การนำเอาตัวชายลึกลับทั้ง 2 คน
มาสอบสวนปากคำ แต่ว่าจะหาตัวพวกเขาได้ที่ไหน?

ไม่มีตัวตน

เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่ชายทั้ง 2 คนไม่มีตัวตนอย่างเป็นทางการทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เรน
(Warren Commission เป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนคดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้)
ไม่เคยพูดถึงชายลึกลับทั้ง 2 คนในการสืบสวนสอบสวน

แต่ต่อมาเมื่อได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภา เพื่อให้มาดูแลการสืบสวนสอบสวนคดีสำคัญนี้ พวกเขาได้สั่งให้
หาตัวชายลึกลับทั้ง 2 คนมาสอบสวน อีกทั้งยังได้ติดประกาศรูปชายทั้ง 2 ให้ประชาชนช่วยชี้เบาะแสหากว่า
เคยเห็นหรือรู้จักพวกเขา

หลังจากที่ติดประกาศตามหาตัวได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแจ้งมายัง เพนน์ โจนส์
หนึ่งในคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่าชายลึกลับที่ถือร่มนั้นเป็นพนักงานขายประกันในดัลลัสชื่อ หลุยส์ สตีเวน วิทท์
(Louie Steven Witt) เพนน์ จึงรีบประสานงานกับแหล่งข่าวของเขาในดัลลัสทันที


พยาน "เตี๊ยม"

ในที่สุด เพนน์ ก็พบชายถือร่ม หลุยส์ ยอมรับว่าวันที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร เขาอยู่ในที่เกิดเหตุ เพนน์
มีความรู้สึกว่า หลุยส์ ได้รับการ "เตี๊ยม" มาเป็นอย่างดีในการให้ปากคำ อันที่จริงเขายังไม่ได้ถูกตั้งข้อหา
ซึ่งเขามีสิทธิที่จะปฏิเสธการตอบคำถามแต่เขาก็ไม่ได้ทำ เขาตั้งข้อแม้แค่เพียงว่าเขาจะตอบคำถามจาก
การไต่สวนของคณะกรรมาธิการรัฐสภาเท่านั้น

คำถามทุกคำถามที่ เพนน์ ถาม หลุยส์ ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว ดูลงตัวสมบูรณ์แบบไปในด้านบวก (พยานบริสุทธิ์)
เขาบอกว่าที่เขากางร่มออกขณะที่รถขบวนของประธานาธิบดีเคนเนดี้ แล่นผ่านก็เพราะว่ามีคนบอกเขาว่าเคนเนดี้
จะโกรธมากถ้าเขาเห็นคนกางร่มโดยไม่มีเหตุผลต่อหน้าเขา

หลุยส์ บอกแต่เพียงว่าเขาต้องการยั่วให้ท่านประธานาธิบดีโกรธเท่านั้น แต่เขาไม่ยอมบอกว่าทำไมเขาถึง
ต้องทำอย่างนั้น เขายังให้การต่ออีกว่าตอนนั้นเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าริมถนน เมื่อรถขบวนของประธานาธิบดี
แล่นมาถึงเขาก็ลุกขึ้นยืนและกางร่มออก ขณะที่กางร่มนั้นเขาก็เดินมาที่ริมถนนซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่เคนเนดี้ถูกยิง

กรรมการสอบสวนท่านหนึ่งได้ตั้งข้อคิดว่าบิดาของประธานาธิบดีเคนเนดี้ เคยรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำอังกฤษ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่มเป็นสัญลักษณ์แทนนายกรัฐมนตรีเนวิลล์ เชมเบอร์เลน (ซึ่งมีนิสัยชอบถือร่มเป็นประจำ)

และนโยบายทางการเมืองของเขาที่โน้มเอียงไปทางลัทธินาซี โดยที่นโยบายของเขาได้รับการสนับสนุน
โดยบิดาของเคนเนดี้

คำให้การขัดแย้ง

เนื่องจาก หลุยส์ อยู่ใกล้กับท่านประธานาธิบดีมากที่สุดในขณะที่ท่านถูกลอบสังหาร ดังนั้นเขาอาจจะเห็นอะไรบางอย่าง
ที่พอจะเป็นเบาะแสให้คณะกรรมาธิการรัฐสภาใช้ในการสืบสวนคดีได้ แต่คำตอบที่ได้จากเขานั้นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด!

เมื่อคณะกรรมาธิการรัฐสภาถาม หลุยส์ ว่าเขาเห็นอะไรบ้างระหว่างที่เคนเนดี้ถูกยิง หลุยส์ กลับตอบว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย
เขาบอกว่าเขานั่งอยู่บนสนามหญ้าใกล้ถนน และเมื่อรถขบวนแล่นมาถึงเขาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกางร่มในเวลาเดียวกันนั้นเอง
เขาก็เดินตรงไปที่ถนน ซึ่งเป็นวินาทีที่เขาเข้าใจว่า "คนอื่นๆ" ได้เห็นท่านประธานาธิบดีถูกยิง แต่เขามองไม่เห็นอะไรเลย
เนื่องจากเจ้าสิ่งนี้(ร่ม)มันบังเขาอยู่ ช่วงวินาทีนั้นทัศนวิสัยถูกบังโดยร่มที่กำลังกางออก

แต่คำให้การของ หลุยส์ ขัดแย้งกับหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายและภาพยนตร์ เนื่องภาพที่เห็นจากในนั้น "คนถือร่ม" นั้นยืนอยู่
ในขณะเดียวกันก็ชูร่มขึ้นเหนือศรีษะในท่าเตรียมพร้อม เมื่อรถของท่านประธานาธิบดีแล่นผ่านจุดที่เขายืนอยู่ เขาก็กางร่ม
ออกทันที กรรมการสอบสวนหลายท่านลงความเห็นว่าคำให้การของหลุยส์เป็นเท็จและไม่เชื่อว่าเขาเป็นชายถือร่มตัวจริง
(Umbrella Man)

ชายลึกลับยังคงลึกลับ

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ถามถึงชายอีกคนที่ยืนโบกมืออยู่ข้างๆเขา หลุยส์ ก็ตอบว่าเขาไม่รู้จักชายคนนั้น
แต่เมื่อคณะกรรมการยืนยันว่ามีพยานหลายคนเห็น หลุยส์ พูดคุยกับชายคนนั้น เขาบอกว่าเขาจำได้แต่เพียงว่า
มี "ไอ้มืด" (Nigro Man) คนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้กับเขาเอาแต่บ่นพึมพำว่า "พวกนั้นยิงพวกเขาแล้วเพื่อนเอ๋ย"
ดูเหมือนจะไม่ได้อะไรคืบหน้าจากการสอบสวน หลุยส์ สตีเวน วิทท์ เขาอาจเป็นเพียงคนที่ถูก "เมค" ขึ้นมา
เพื่อให้คณะกรรมาธิการรัฐสภา ได้ไต่สวนตามที่ปรากฏในหลักฐานภาพถ่ายเท่านั้น ส่วนชายที่ยืนโบกมือข้างๆ
เขาซึ่งถูกเรียกว่า "ชายผิวคล้ำ" (Dark complected Man) ที่มีพยานบางคนระบุว่าเห็นเขาหยิบวัตถุบางอย่าง
ที่มีเสาอากาศมาจ่อที่ปากหลังจากที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้นตามตัวเขาไม่พบจนบัดนี้

ทั้งชายถือร่มและชายผิวคล้ำยังคงเป็นบุคคลลึกลับที่ชวนสงสัยว่าพวกเขาเป็นใครและทำไมพวกเขาจึงมี
อากัปกิริยาแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ?

ปริศนาคดีลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ ไม่ได้มีเพียงแค่ชายถือร่มและชายผิวคล้ำ สรุปสำนวนสอบสวน
ของเอฟบีไอ ยังมีเรื่องอื่นที่ขัดแย้งกับความจริง แม้ว่าภายหลังจะมีการจับกุม ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ ผู้ที่ถูกระบุว่า
เป็นคนลั่นกระสุนประวัติศาสตร์ แต่เขาเป็นฆาตกรตัวจริงแน่หรือ?

http://www.ratical.org/ratville/JFK/GoD.html
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #63 เมื่อ: มกราคม 31, 2007, 08:38:38 PM »

http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=20449.msg548777#msg548777

แพะรับบาป คดีลอบสังหารเคนเนดี้

http://en.wikipedia.org/wiki/Kennedy_assassination_theories

คนทั่วโลกต่างก็รู้ว่าผู้ที่เป็นมือปืนลอบสังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นั้นก็คือ
ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald)

http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/LHO.htm
ผู้มีใจฝักใฝ่ในรัสเซียและคิวบา แต่หลักฐานที่เอฟบีไอ นำมาแสดงต่อสาธารณชนนั้นดูเหมือนว่า
จะมีอะไรเเคลือบแคลงแอบแฝงอยู่

เวลา 11:40 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
และภรรยา แจคเกอร์ลีน (Jacqueline Kennedy Onassis)

ได้เดินทางมาถึง สนามบินเลิฟฟิลด์ ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส
ตามกำหนดการหาเสียงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

รถขบวนได้เคลื่อนออกจากสนามบิน เข้าสู่ตัวเมืองตาม ถนนเมน เพื่อตรงไปยังทางด่วนสเตมมอนส์
แต่เมื่อรถขบวนของท่านประธานาธิบดีแล่นมาถึงจุดตัดระหว่าง ถนนเมน กับ ถนนฮิวสตัน พวกเขาก็ต้อง
เปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน เนื่องจาก ถนนเมน ในช่วงนี้ได้ปิดซ่อมแซม

ดังนั้นรถขบวนจึงเลี้ยวขวาขึ้น ถนนฮิวสตัน โดยมีจุดประสงค์ที่จะไปเลี้ยวซ้ายที่แยกหน้าเพื่ออ้อมไปทางถนนเอล์ม
ผ่านดีเลย์พลาซา และตรงไปยังทางที่ปลายถนนซึ่งบรรจบกับถนนเมน ซึ่งเป็นเส้นทางที่กำหนดไว้แต่แรก


ก็อย่างที่เล่าให้ฟังไปเมื่อตอนที่แล้วละครับว่าพอรถขบวนแล่นตัดเข้าถนนเอล์ม ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเก็บหนังสือ
โรงเรียนเท็กซัส (Texas School Book Depository Building) ไปถึงบริเวณป้ายบอกชื่อถนนทางด่วนสเตมมอนส์
เมื่อเวลา 12:30 น. เสียงปืนก็ดังขึ้น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารที่บริเวณนี้

ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นและเห็นว่าท่านประธานาธิบดีและผู้ว่าการรัฐเท็กซัส จอห์น คอนเนลลีย์ ถูกยิง
คนขับรถก็เหยียบคันเร่งเพื่อรีบนำตัวเคนเนดี้ ไปส่งยังโรงพยาบาลปาร์คแลนด์ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
แต่เขาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตลงเมื่อเวลา 13:00 น.

ย้อนกลับไปยังที่เกิดเหตุ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบต่างก็เข้าสอบปากคำพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุทันที
เผื่อว่าจะมีใครเห็นอะไรที่พอจะเป็นเบาะแสนำไปสู่การจับกุมคนร้ายที่ลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ได้
พยานกว่าร้อยคนถูกบันทึกปากคำและแน่นอนว่าทุกตารางนิ้วบนสองข้างทางของถนนเอล์ม ต้องถูกค้นอย่างหนัก
และนั่นก็รวมถึงอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส

หลักฐานชิ้นแรก

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นทั่วทั้งบริเวณทางรถไฟที่อยู่ด้านหลังของดีเลย์พลาซ่า ด้านหลังของรั้วไม้
ที่อยู่ทางตอนเหนือของถนนเอล์ม ที่ภายหลังถูกเรียกว่าเนินหญ้า (Grassy Noll)

แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรจนกระทั่งเวลา 13:12 น. เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นในอาคารเก็บหนังสือ
โรงเรียนเท็กซัส

พวกเขาก็พบปลอกกระสุนปืนไรเฟิลที่ยิงแล้วจำนวน 3 ปลอกที่ชั้น 6 ของอาคารหลังนี้

อีก 10 นาทีต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบปืนไรเฟิล ซุกอยู่ในซอกที่มีกล่องบังอยู่ที่บริเวณชั้น 6 ของอาคารเช่นกัน
จากการตรวจลายนิ้วมือในภายหลังพบว่าลายนิ้วมือที่อยู่บนกล่องนั้นตรงกับลายนิ้วมือของ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์
(Lee Harvey Oswald)


จับตัวฆาตกร

ไล่เลี่ยกันนั้นเอง เวลาประมาณ 13:15 น. จอห์นนี่ เคลวิน บรูเวอร์ (Johny Calvin Brewer)

พนักงานขายรองเท้าร้านฮาร์ดี้ แจ้งตำรวจว่าเขาเห็นคนยิงตำรวจเสียชีวิตที่บริเวณหัวมุมถนน 10 กับแพตตัน
ขณะนี้ฆาตกรได้หลบหนีเข้าไปในโรงหนังเท็กซัส


เมื่อได้รับแจ้งความ ตำรวจก็รุดมายังโรงหนังเท็กซัสทันที พวกเขามาถึงเมื่อเวลาประมาณ 13:50 น.
และตรงเข้าไปจับคนร้ายได้โดยละม่อม

ฆาตกรคนนี้ทราบชื่อภายหลังว่า ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่ดีเลย์พลาซ่า
จากการค้นตัวเจ้าหน้าที่ก็พบบัตรประจำตัวปลอมของ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Selective Service System)
ที่ใช้ชื่อว่า อเล็ก เจมส์ ไฮเดลล์ (Alek James Hidell)

ตำรวจสันนิษฐานว่าออสวอลด์สังหาร พลตำรวจ เจดี ทิพพิท (J. D. Tippit) เพราะว่าเขาคิดว่า
เขาถูกพลตำรวจทิพพิท สะกดรอยตามมาหลังจากที่เขาได้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้

หลักฐานมัดตัว

จากการสอบสวนของเอฟบีไอ พบหลักฐานมัดตัว ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ แน่นหนาชนิดดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
ประวัติเขาพัวพันกับเคจีบี รัสเซีย และคิวบา

วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1963 ออสวอลด์ เคยถูกจับที่นิวออร์ลีนส์ในข้อหาทะเลาะวิวาทหลังจากมีปากมีเสียง
กับชาวคิวบา 3 คนที่พยายามจะให้เขาหยุดแจกใบปลิวต่อต้านรัฐบาลสหรัฐในการแทรกแซงการเมืองคิวบา

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1959 ออสวอลด์ ได้เดินทางไปที่มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย
และได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1960 ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมินส์ก

(สมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) และที่นี่เองเขาก็มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่เคจีบี และที่นี่
ออสวอลด์ ก็รู้จักกับหญิงสาวชาวรัสเซียที่ชื่อ มารีน่า นิโคลาเยฟนา พรูซาโคว่า (Marina Nikolaevna Prusakova)

ทั้งคู่แต่งงานกัน เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1961

ออสวอลด์และภรรยาเดินทางกลับมาสหรัฐเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1962 เขาอาศัยอยู่ที่เมืองฟอร์ทเวิร์ท
ในรัฐเท็กซัส จากนั้นเขาก็เริ่มหางานทำ เขาย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ และเปลี่ยนงานบ่อย จนครั้งสุดท้าย
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1963 เขาก็ได้งานที่อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส ซึ่งเป็นสถานที่
ที่ถูกระบุว่าเขาใช้เป็นที่ซุ่มยิง (Snipers Nest) ประธานาธิบดีเคนเนดี้


ปิดปากฆาตกร
วันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 สองวันหลังจากที่ออสวอลด์ ถูกตำรวจจับตัวได้เขาก็ถูกกำลังตำรวจ
หลายสิบนายคุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อส่งตัวจากสถานที่คุมขังในสถานีตำรวจดัลลัสเพื่อส่งต่อไปยัง
เรือนจำของรัฐเท็กซัส

ตามกำหนดแล้วออสวอลด์ จะต้องออกเดินทางตั้งแต่เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน
แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้กำหนดการต้องเลื่อนออกไปชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้การ
ในภายหลังว่า สาเหตุที่ต้องเลื่อนก็เพราะตัวออสวอลด์เองต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า

เหมือนเป็นสูตรสำเร็จเลยครับว่า ทุกครั้งที่มีเรื่องราวที่เป็นปริศนาต้องมีเหตุบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้อง
และครั้งนี้ก็เช่นกันด้วยเหตุบังเอิญที่ต้องเลื่อนการส่งตัวผู้ต้องหาออกไปจึงทำให้ แจค รูบี้ (Jack Ruby)

เดินทางมาถึงสถานีตำรวจดัลลัสได้ทันเวลาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังพาตัวออสวอลด์ มาขึ้นรถพอดี

ท่ามกลางการคุ้มกันของตำรวจหลายสิบนาย ต่อหน้าประชาชนที่ชมการถ่ายทอดสดหลายล้านคน
แจค รูบี้ เดินตรงไปยังออสวอลด์ ลั่นกระสุนสังหารออสวอลด์ เสียชีวิตบนทางเดินไปยังที่จอดรถ
ใต้ถุนตึกที่ทำการสถานีตำรวจดัลลัสนั่นเอง


แจค รูบี้ เจ้าของคลับระบำโป๊เล็กๆ ในเท็กซัส แต่มีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับองค์การมาเฟียใหญ่
ในรัฐชิคาโก อัล คาโปน (Al Capone)

ให้การว่าเขาเจ็บแค้นออสวอลด์ เป็นอย่างมากที่บังอาจมาสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้
อันเป็นที่รักของเขา ทำให้เขายับยั้งอารมณ์ไม่อยู่ต้องฆ่าเสียให้ตาย

ปิดแฟ้มคดีลอบสังหาร

ทั้งเอฟบีไอและคณะกรรมาธิการวอร์เร็น (Warren Commission) ต่างก็สรุปคดีนี้ตรงกันว่า
ลี ฮาร์วี่ ออสวอลด์ เป็นผู้สังหารประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ แต่เพียงผู้เดียว
โดยเขาใช้ปืนไรเฟิลที่ทำในอิตาลี แบบแมนนิเชอร์ คาร์ซาโน (Mannlicher-Carcano)

ลอบยิงทั้งหมด 3 นัดจากชั้น 6 ของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส

แอฟบีไอได้นำหลักฐานภาพถ่าย แฟ้มประวัติของออสวอลด์ และปืนพร้อมปลอกกระสุน 3 ปลอก
ที่พบบนชั้น 6 ของอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส มาแสดงเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นมือสังหาร

แต่จากการสืบสวนของ คณะกรรมาธิการรัฐสภา (United States House Select Committee on Assassinations)
และนักวิเคราะห์บางคนพบสิ่งผิดปรกติมากมายในสำนวนและหลักฐานที่เอฟบีไอ
และคณะกรรมาธิการวอร์เร็นทำสรุป

หลักฐานขัดแย้ง

เริ่มแรกเรามาดูกันที่ลายนิ้วมือของออสวอลด์ ที่พบบนกล่องในอาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัสแล้วถูกโยงไปว่า
เขาเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลที่พบในที่เกิดเหตุนั้นดูจะทะแม่งๆ ด่วนสรุป เพราะออสวอลด์ ทำงานอยู่ที่นั่น
การที่มีลายนิ้วมือของเขาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มีลายนิ้วมือของคนอื่นอีกมากมายที่บริเวณนั้น
แต่ทำไมจึงไม่มีการสืบหาตัว?

การที่ออสวอลด์ เคยอาศัยอยู่ในรัสเซียและแต่งงานกับสาวชาวรัสเซียก็ไม่ได้หมายความว่า
เขาต้องการเป็นสายลับเคจีบี

และการที่เขามีความคิดทางการเมืองไม่เห็นด้วยกับการรุกรานคิวบาก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะต้องทำการรุนแรง
ถึงขั้นลอบสังหารประธานาธิบดี ถึงแม้ว่ามันจะใช้นำมาผูกเรื่องราวได้เป็นอย่างดีก็ตาม


ภาพถ่ายของออสวอลด์ที่อ้างว่าถูกพบในบ้านออสวอลด์ ที่เอฟบีไอบอกว่าถ่ายโดยภรรยาของเขาเอง
เป็นภาพออสวอลด์ ยืนอยู่หลังบ้านของเขาเอง มือข้างหนึ่งถือปืนไรเฟิลกระบอกที่ใช้สังหารเคนเนดี้
ในขณะที่อีกมือหนึ่งนั้นถือใบปลิวต่อต้านการรุกรานคิวบานั้น ออสวอลด์ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่เคยถ่ายภาพนี้
ใบหน้าของบุคคลในภาพนั้นเป็นเขาแต่ร่างน่ะไม่ใช่อย่างแน่นอน

(ความเห็นส่วนตัวว่า จากภาพที่เห็นจะเหมือนกับสมัยนี้ที่ใช้โปรแกรมตกแต่งภาพตัดรูปหน้าเข้าไปแปะ
บนภาพถ่ายของคนอื่น แต่ในสมัยก่อนอาจจะไม่สะดวกเท่าสมัยนี้และไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่!
และวิธีสร้างหลักฐานเท็จแบบนี้ทำให้นึกถึงหน่วยงานรัฐของไทยหน่วยงานหนึ่ง
(ขอเหน็บหน่อยอย่าโกรธนะ คุณ...ทั้งหลาย))


ออสวอลด์ ยังให้ความเห็นอีกด้วยว่า เมื่อเขาถูกตำรวจจับที่โรงหนังเท็กซัส ก็มีนักข่าวจำนวนมาก
ได้ถ่ายภาพของเขา ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถมีภาพถ่ายใบหน้าของเขาและนำไปตัดต่อได้

และถ้าหากมองดูภาพถ่ายนี้ให้ดี เราก็จะพบสิ่งปรกติที่เงาบนใบหน้าซึ่งมีลักษณะเงาเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหนือริมฝีปากของเขา ซึ่งเกิดจากการที่แสงส่องมาเหนือศรีษะเยื้องมาตรงหน้า ซึ่งขัดกับเงาที่ตัวของเขา
พาดลงบนพื้นเยื้องไปทางด้านขวาของร่างกาย

เอฟบีไอ ก็รีบออกมาแก้เกี้ยวโดยการทำการถ่ายภาพเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขาที่จุดเดียวกันกับในภาพถ่าย
ของออสวอลด์ พร้อมกับบอกนักวิเคราะห์ทั้งหลายว่าเห็นไหมล่ะ เงานั้นตกเยื้องไปทางขวาเหมือนในรูปเป๊ะเลย
แต่ใบหน้าของเจ้าหน้าที่นายนั้นกลับไปถูกป้ายด้วยหมึกดำ ทำให้มองไม่เห็นว่าเงาบนใบหน้านั้นเป็นรูปสามเหลี่ยม
เหนือริมฝีปากบนหรือไม่ (ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นอยู่แล้ว) เอฟบีไออ้างว่า ที่ต้องทำเช่นนั้นก็เพราะเจ้าหน้าที่ ที่เป็นแบบให้นั้น
เป็นสายลับของเอฟบีไอจึงต้องปิดบังโฉมหน้าไว้ (แล้วทำไมดันทะลึ่งเอาคนที่เปิดเผยตัวไม่ได้มาเป็นแบบล่ะ!)
แค่เรื่องเงาในภาพ เอฟบีไอก็หน้าแตกแหลกยับเยินแล้วล่ะครับ นี่ยังไม่ได้พูดถึงความไม่สมดุลของขนาดศรีษะ
และร่างกายของคนในภาพ และความไม่สมดุลของความยาวของปืนกับส่วนสูงของร่างกายของบุคคลในภาพ
ที่ถูกอ้างว่าเป็นออสวอลด์นะครับ

เรื่องจุดที่เอฟบีไอ บอกว่าเป็นที่ซุ่มยิงก็เช่นกันพอนักวิเคราะห์ขึ้นไปลองเอาปืนไรเฟิลส่องกล้องดูก็พบว่า
ที่จุดนี้เมื่อส่องไปยังจุดที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น เขามองไม่เห็นอะไรเลยเพราะ มันถูกต้นไม้บังพอดี

และจากการวิเคราะห์ฟิล์มภาพยนตร์ที่จับภาพตอนที่เคนเนดี้ถูกยิงนั้น กระสุน 3 นัดได้เจาะร่างเขา
ในเวลาน้อยกว่า 6 วินาที แต่จากการยิงปืนไรเฟิลและขึ้นลำใหม่เพื่อยิงครั้งต่อไปนั้น
ต้องใช้เวลาราว 2.3 วินาทีต่อครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ลี ฮาร์วี ออสวอลด์ จะยิงกระสุนทั้ง 3 นัด

เมื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายของนักข่าวที่ตามตำรวจขึ้นไปบนชั้น 6 อาคารเก็บหนังสือโรงเรียนเท็กซัส
ตอนที่พวกเขาพบปืนไรเฟิลนั้น ก็ปรากฏว่าในภาพนั้นไม่ใช่ปืนไรเฟิลชนิด แมนนิเชอร์ คาร์ซาโน
แต่เป็นชนิดเมาเซอร์ (Mauser)


แต่ออสวอลด์ ไม่มีโอกาสที่จะได้เปิดเผยความจริง ดังนั้นความลับในคดีลอบสังหารประธานาธิบดี
จอห์น เอฟ เคนเนดี้ จึงยังคงเป็นหนึ่งในคดีปริศนาที่ลึกลับที่สุดของสหรัฐ 3 ปีหลังจากเกิดเรื่อง
พยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายสิบคนต้องเสียชีวิตลงอย่างผิดธรรมชาติ เช่น ถูกสังหารระหว่างโดนปล้น
จมน้ำ เกิดอุบัติเหตุ หัวใจวาย ฯลฯ คดีนี้ยังมีปริศนาชวนให้ขบคิดอีกมากมาย
บันทึกการเข้า
กะเเด่ว
Full Member
***

คะแนน 1
ออฟไลน์

กระทู้: 315



« ตอบ #64 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2007, 11:05:48 AM »

ขอบคุณครับที่มาช่วยกันสานต่อ  Grin
บันทึกการเข้า

บางครั้งมิตรภาพในอินเตอร์เนท มันก็ยั่งยืนมากกว่าในมิตรภาพในโลกความจริง
carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #65 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2007, 11:14:33 AM »

รู้อย่างเดียวทีมสังหาร วางแผนมาสำเร็จสุดยอดมาก  จะลอบยิงขนาดนี้สุดยอด
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
วัฒน์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4114
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17223


เนรเทศยกโคตรดีกว่านิรโทษยกเข่ง


เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2007, 02:18:43 PM »

 Wink เยี่ยมจริงๆ ขอบคุณ คุณ.narongt
บันทึกการเข้า

ฟ้าและดินไม่เห็นไม่เป็นไร ไม่ได้หวังให้ใครจดจำ
แม้ยากเย็นแค่ไหน ไม่เคยบ่นสักคำ ไม่มีใครจดจำ แต่เราก็ยังภูมิใจ

จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา จะยอมรับโชคชะตาไม่ว่าดีร้าย
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ถึงเวลาก็ต้องไป เหลือไว้แต่คุณงามความดี
ing เด็ก ส.จ.
Hero Member
*****

คะแนน 13
ออฟไลน์

กระทู้: 1056


« ตอบ #67 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2007, 01:12:56 PM »

เยี่ยมครับ คุณ narongt  Wink
บันทึกการเข้า
โทน73 -รักในหลวง-
มือปืนกาวช้าง
Hero Member
*****

คะแนน 586
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8574


« ตอบ #68 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2007, 03:05:52 PM »

หลักฐานใหม่ มีคนค้นพบ  เอกสาร ผลการฝึกซุ่มยิง ของ ออส วอล  สมัยฝึกที่โรงเรียนทหาร  ผลการฝึกทำแต้มได้ดีมาก  และ  ปืนขนาด 6.5 มม. มีแรงรีคอลย์น้อยกว่า .308 ทำให้สามารถยิงซ้ำได้ง่ายกว่า  ระบบการทำงานของปืน เป็นแบบลูกเลื่อนตรง ทำให้บริหารกลไก ได้เร็วกว่า

ก็เลยมีคนคิดกันว่า ฝีมือการยิง อาจจะเป็นผลงานของ ออส วอล ล้วนๆ
บันทึกการเข้า

....ตามล่า...อีตอแหล
USP40
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #69 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2007, 03:07:40 AM »

...คนพวกนี้ไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไรเลย  แค่ยิงคนทีเผลอ  คนไม่มีทางสู้  พวกนี้ไม่ใช่คนใจถึง  ไม่มีอะไรดีเด่นเลย  แท้จริงแล้ว  มีความเอี้ยอย่างเดียวครับ  (หมาลอบกัดยังมีความภูมิใจกว่าพวกเหล่านี้  เพราะกัดแล้วอีกฝ่ายยังพอมีโอกาสสู้)

...ขอตั้งข้อสังเกตุว่า  บทความแบบนี้จะว่าไปแล้ว  เหมือนดาบสองคม  ด้านหนึ่งอ่านกันสนุกๆ พอได้ความรู้นิดหน่อย  ผิดบ้างถูกบ้างก็ว่ากันไป  แต่อีกด้านหนึ่ง  อาจมีผลร้ายเพราะกระตุ้นเด็กและเยาวชนบางคนไปในทางที่ไม่ดี 

...นี่ยังไม่รวมการใช้ภาษาไทยที่ผิดมากมายจนขี้เกียจแก้ครับ  Smiley
Wink Wink Wink Wink Wink Grin
บันทึกการเข้า
SARTSUK
Newbie
*

คะแนน 1
ออฟไลน์

กระทู้: 14


« ตอบ #70 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2010, 02:52:05 PM »

สนุกดีคับ.......
บันทึกการเข้า
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #71 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2010, 07:10:51 PM »

เรื่องมือปืนอ่านเอาสนุกพอได้ครับ

แต่นิยายกับเรื่องจริงคนละเรื่องนะผมว่า  Grin Grin
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
your-ประชาธิปไตย
Sr. Member
****

คะแนน 925
ออฟไลน์

กระทู้: 509


« ตอบ #72 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2010, 09:22:17 PM »

เรื่องมือปืนอ่านเอาเพลิน แต่เคเนดี้นี่ข้อมูลเยอะดี มีรูปอ้างอิงด้วย แถมคลิป/รูปแบบนี้ยังหายากอีกต่างหาก ขออนุญาตเซฟนะครับ
บันทึกการเข้า

"ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อคุณธรรมที่อยู่ในใจของข้าพเจ้า ใครที่ขัดขวางคุณธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เราจะถือว่าเป็นศัตรู"
ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ...
หน้า: 1 2 3 4 [5]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.187 วินาที กับ 21 คำสั่ง