ยามาดะ นางามาสะ (Yamada Nagamasa) (1590 - 1630) เป็นนายทหารที่โดดเด่น ของกรมอาสาญี่ปุ่น บรรดาศักดิ์ (title) สูงสุดที่ท่านได้รับพระราชทาน คือ ออกญาเสนาภิมุข (ออกญา เป็นบรรดาศักดิ์ หรือ ยศของขุนนางชั้นสูง เทียบเท่าเสนาบดี (Lordship) หรือเจ้าครองนคร (Prince) ถือศักดินา 10,000 ไร่ ออกญาเป็นคำที่ใช้สมัยอยุธยาตอนต้น ภายหลังกร่อนมาเป็นพระยา) (เสนาภิมุข เป็นราชทินนามทางทหาร แปลว่า หัวหน้าทหารสูงสุด เสนา-ทหาร อภิ-สูงสุด มุข-หัวหน้า) หลักฐานบางแห่งระบุว่าท่าน เป็นราชวัลลภ (นายทหารรักษาพระองค์) ซึ่งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งราชวัลลภได้นั้น ต้องเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยสูงสุด
ท่านเกิดในครอบครัวพ่อค้า ชาวเมืองชิซูโอกะ (Shizuoka) ชื่อเดิมคือเมืองซูรุกะ (Suruga) เมื่อวัยเยาว์ท่านถูกส่ง ไปเรียนหนังสือที่วัดแห่งหนึ่ง แต่ท่านกลับหนีไปฝึกวิถีซามูไร และเป็นพนักงานหามเกี้ยวของปราสาท นูมาสุ (Numazu Castle) ไม่ปรากฎว่าเข้ามาประเทศไทย ตั้งแต่สมัยใด ทราบแต่ว่าในปี 1610-1612 ท่านได้ลงเรือสินค้าญี่ปุ่น จากเกาะใต้หวัน มาอาศัยอยู่ที่บ้านญี่ปุ่น โดยมีอาชีพเป็นพ่อค้าหนังกวาง ต่อมาได้รับราชการ เป็นขุนนางในราชสำนักไทย เป็นนายบ้านญี่ปุ่น ราวปี 1617 ได้รับบรรดาศักดิ์ที่ออกขุน (Ok Khun) และรับราชการทหารเป็นราชวัลลภ ที่ออกญาเสนาภิมุข (Ok Ya Senaphimuk) ผู้บัญชาการกรมอาสาญี่ปุ่น รักษาพระองค์ มีนักรบซามูไรเป็นทหารในสังกัด 300 - 700 นาย
ระหว่างรับราชการในราชสำนักไทย ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) แต่งสำเภาของตนเอง ร่วมกับกองเรือพาณิชย์ฮอลันดา ไปค้าขายที่นางาซากิ เมื่อปี 1624 และได้พักอยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นเวลา 3 ปี ระหว่างปี 1624 - 1627
ระหว่างพำนักที่ญี่ปุ่น ในปี 1626 ท่านได้มอบภาพเขียนเรือรบลำหนึ่งของท่าน ให้กับวัดเซนเจน (Sengen) ใน ชิซูโอกะ บ้านเกิดของท่าน ต่อมาภาพเขียนนี้ถูกไฟไหม้ทำลายไปสิ้น เหลือเพียงภาพสำเนา ตัวเรือรบเป็นเรือแบบตะวันตก มีปืนใหญ่ 18 กระบอก ลูกเรือสวมเกราะซามูไร
จากหลักฐานภาพเขียน ที่เหลืออยู่ในภายหลัง แสดงว่าออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) มีความชำนาญทั้งการรบทางบก และการรบทางทะเล เหตุที่นักรบซามูไร ในกรมอาสาญี่ปุ่น มีความชำนาญการรบเป็นอย่างสูง และเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยนั้น เซอร์ ยอร์จ แซนซัม (Sir George Sansom) (1883-1965) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ให้เหตุผลว่า พวกเขาเป็นผู้ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ เด็ดเดี่ยว ที่จะออกสู่โพ้นทะเล โดยไม่หันหลังกลับบ้านอย่างเด็ดขาด ทำให้พวกเขาไม่กลัวตาย และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น กุนจิ คิอิจิ (Gunji Kiichi)(b. 1891)บรรยายถึงชาวญี่ปุ่นในอยุธยาว่า
?ด้วยโล่เหล็ก ความกล้าหาญ และดาบคม พวกเขาไม่สามารถอยู่เฉยได้แม้ขณะจิต และเมื่อต่อสู่ด้วยคมดาบ ความหาญกล้าของเขาใครเลยจะเข้าใจ นอกจากชาวญี่ปุ่นด้วยกันเอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ในสายตาของชาวสยามและชาวตะวันตก พฤติกรรมของชาวญี่ปุ่น เต็มไปด้วยความฮึกเหิมและห้าวหาญ"
ตำนานความห้าวหาญ ของนักรบอาสาชาวญี่ปุ่น มีมาก่อนแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม ตามหลักฐานเสนอโดย ศ.ดร.เขียน ธีรวิทย์ เมื่อปี 1605 แผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อสมเด็จพระเอกาทศรถ ในการยุทธ์ทางทะเล ที่ปัตตานี ทหารเรือญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเรือรบอังกฤษ และสังหารกัปตันเรือรบลำนั้นอย่างกล้าหาญ
ด้านความซื่อสัตย์ และยึดมั่นในความกตัญญู ออกญาภิมุขนั้นเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นเจ้ามหาชีวิต และต่อพระราชวงศ์ จนปรากฏในเอกสารประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 20 ของไทยว่า
?ถ้าในพระนครศรีอยุธยา ยังมีขัตติยวงศ์ผู้มีสิทธิ์ ที่จะได้สืบราชสมบัติอยู่ตราบใด ออกญาเสนาภิมุขจะคอยขัดขวาง ไม่ยอมให้ผู้อื่นได้ราชสมบัติเป็นอันขาด?
ขัตติยวงศ์ผู้มีสิทธิ์ ที่จะสืบราชสมบัตินั้นมี 2 พระองค์คือ พระเชษฐาธิราชกุมาร กับพระอาทิตยวงศ์ เมื่อพระเจ้าทรงธรรมพระราชบิดาสิ้นพระชนม์นั้น ทรงมีพระชนมายุ 15 พรรษา
เมื่อสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระศรีศิลป์พระอนุชา ในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม คิดชิงราชสมบัติ ออกญาศรีวรวงศ์ พระมหาอำมาตย์ พระญาติในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งดูแลพระเชษฐาธิราชกุมารและพระอาทิตยวงศ์ จึงขอให้ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) เป็นกำลังสำคัญ เข้าจู่โจมจับพระศรีศิลป์ ซึ่งเป็นพระมหาอุปราชสำเร็จโทษ แล้วกราบบังคมทูลเชิญพระเชษฐาธิราชกุมาร พระราชนัดดาในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระราชโอรสพระองค์โต ในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเชษฐาธิราช หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 15 พรรษา โดยมีออกญาศรีวรวงศ์ ซึ่งได้เลื่อนฐานะเป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการ
ราวปี 1629-1630 เมืองละคร (Ligor) หรือนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน อันเป็นเมืองท่าสำคัญ ทางภาคใต้ของประเทศไทยเกิดเหตุจลาจล ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) ได้รับบัญชาจากออกญาศรีวรวงศ์ สมุหพระกลาโหม ให้คุมกรมอาสาญี่ปุ่น กำลังพล 300 นาย สนธิกับกำลังทหารไทย 3,000 - 4,000 นาย ออกเดินทัพไปยังเมืองละครเมื่อ มกราคม 1630
ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) ปราบปรามหัวหน้าคนสำคัญๆ ในเมืองละครได้หลายคน จนการจลาจลสงบลง จึงได้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนพระยานครศรีธรรมราชเดิมนั้น ตามกฎอัยการศึกจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ด้วยกุศโลบายทางการเมือง เพื่อมิให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อกรุงศรีอยุธยา และต่อออกญาเสนาภิมุข ซึ่งเป็นคนต่างชาติ ท่านจึงรับไว้เป็นที่ปรึกษา และให้ความเคารพตามสมควรต่อฐานานุรูป (เพราะพระยานครศรีธรรมราชเป็นเชื้อพระวงศ์พื้นเมือง ของนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นประเทศราชขึ้นต่อรัฐบาลสยาม) ออกญาเสนาภิมุข (ยามาดะ นางามาสะ) มิได้กลับมากรุงศรีอยุธยาอีกเลย ท่านได้เสียชีวิต(ด้วยการถูกวางยาพิษ) ในปีนั้นเอง [/size]
ที่มา http://www.ex3.in.th/reserveforumluna/index.php?topic=1921.0