จำได้คร่าวๆว่า รูปทรงเพรียวลม BC จะสูง ยิ่งด้านท้ายของหัวกระสุนทรงท้ายเรือ ลดการปั่นป่วนของอากาศซึ่งจะช่วยลดแรงฉุดที่ท้ายหัวกระสุน BC จะยิ่งสูงขึ้น
ส่วนถ้ารูปทรงแบบเดียวกันแต่น้ำหนักหัวกระสุนมากกว่า(หัวกระสุนยาวขึ้นด้วย)BC ก็จะสูงขึ้นครับ

ขอบคุณท่าน Iron ครับ
สงสัยต่อ ... ถ้า
รูปร่างเหมือนกันเป๊ะ แต่ นน. ต่างกันเพราะวัสดุที่หล่อกระสุนต่างกัน (แต่วัสดุเปลือกเหมือนกัน)
ค่า BC จะต่างกันไหมครับ
ถพ.และรูปทรงเกี่ยวกับ bc ครับ เพราะ แรงต้านอากาศ ถ้ากระสุนรูปทรงเดียวกันหน้าตัวเท่ากัน ก็จะมีแรงต้านที่กระทำต่อกระสุนในอัตราคงที่เท่ากัน แต่กระสุนที่มี ถพ. สูงจะมีพลังงานจลน์สะสมไว้มากกว่า และแรงต้านเป็นvector ในทิศตรงข้ามกับการโคจรของหัวกระสุนมีค่าคงที่ มวลที่มีพลังงานจลน์มากกว่าจะสูญเสียพลังงานจลน์จากแรงต้านในอัตราที่เท่ากับมวล ที่พลังงานจลน์น้อยกว่า แต่คิดเป็น % แล้ว มวลที่มีถพ.มากกว่าจะ สูญเสียพลังงานในอัตราที่น้อยกว่า ทำให้สูญเสียอัตราเร็วและอัตราตกแนวดิ่งของหัวกระสุนน้อยกว่าครับ
ท่าน narcissus หมายความว่ากระสุนที่หนักกว่า รักษาความเร็วได้ดีกว่าใช่ไหมครับ

ผมเห็นว่า (หลับตาจินตนาการตามที่ถนัด) สมมติกระสุนลูกดอก ๒ ลูกมี BC เท่ากัน (เพราะรูปร่างเหมือนกันทุกประการ) แต่
นน. ต่างกัน เพราะลูกหนึ่งมีแร่หลักคือ W ส่วนอีกลูกหนึ่งมีแร่หลักคือ U (แร่ U หนักกว่าแร่ W หลาย ๆ) เปลือกหุ้มลูกดอกเป็นวัสดุเดียวกัน สมมติเป็น Cu (ของจริงคงไม่ต้องหุ้ม) ... ยิงออกไปด้วยความเร็วเท่า ๆ กัน สัก ๖.๕ เท่าเสียง

แรงจากการเผาไหม้ของดินปืน และดันกระสุนให้ออกจากปากลำกล้อง ไม่ได้เป็นแรงเกาะติด (ไปกับกระสุน) ทำให้กระสุนทั้งสองเหมือนออกวิ่งจากปากลำกล้องด้วยความเร็วเท่า ๆ กัน ก็จะต้องวิ่งออกไปด้วยความหน่วงเหมือน ๆ กัน .... ความหน่วงที่ว่ามาจากแรงเสียดทานซึ่งหลัก ๆ คงมาจากแรงต้านอากาศ
สมัยเด็กจำได้ว่า แรงเสียดทานเป็นแรงที่มีค่าแปรตามสัมประสิทธิ์ของแรงเสียดทานระหว่างพื้นผิวที่สัมผัสกัน และขึ้นกับแรงที่กระทำต่อวัตถุ
แต่กระสุนมันวิ่งโดยไม่มีแรงเกาะติด ดังนั้นแรงเสียดทานที่คำนวณก็น่าจะมาจากแรงที่วัตถุวิ่งไปด้วยความหน่วงนั่นเอง ...

งงหรือยังครับ ... คือผมหมายถึงมันก็วิ่งไปข้างหน้าโดยมีแรงต้านอากาศนั่นเอง
แต่เนื่องจากแรงเสียดทานไม่ได้ขึ้นกับน้ำหนัก ผมจึงเห็นว่าความเร็วที่ลดลงน่าจะใกล้เคียงกัน

แปลว่าเมื่อเข้ากระทบเป้า ลูกดอกทั้งสองก็น่าจะมีความเร็วใกล้เคียงกัน ...
เนื่องจากพลังงานจลน์เป็นค่าที่แปรตามมวล และความเร็ว

ดังนั้น ลูกดอกที่มีมวลมากกว่าจึงมีพลังงานจลน์มากกว่า และเมื่อกระทบเป้า (ตามกฏการอนุรักษ์พลังงาน) พลังงานจลน์ก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานกล/ความร้อน/แสง/เสียง ทำลายเป้าหมายได้ดีกว่า

เรื่องแรงที่กระทำตามแนวดิ่ง ดึงกระสุนให้ตกลงบนพื้นโลก ผมเห็นว่าไม่น่าสนใจเท่าไร เพราะถ้าปืนกินต่ำ ก็หมุนศูนย์หลังชดเชยได้ครับ
สรุปก็คือเห็นเหมือนกันอยู่ดี
