http://www.komchadluek.net/detail/20130104/148642/ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก.html
ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก
ปืนกับการลูบหน้าปะจมูก : บทบรรณาธิการประจำวันที่ 4 ม.ค.2556
สิบปีมาแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศจะจัดระเบียบสังคมไทยใหม่ ให้เป็นสังคมที่ปราศจากอาวุธปืน อันเป็นต้นตอของปัญหาอาชญากรรมที่นับวันมีแต่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความสงบสุข ปราศจากความรุนแรงใดๆ แต่จนถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า คำโอ้อวดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทยนั้น ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดอาวุธปืนให้หมดสิ้นไปได้เท่านั้น ตรงกันข้ามอาวุธปืนที่อยู่ในความครอบครองของประชาชนมีแต่มากขึ้นทวีคูณ ส่งผลให้สถิติอาชญากรรม รวมทั้งสถิติผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืน ขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
จากข้อมูลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืน ระบุว่า ขณะนี้มีผู้ถือครองใบอนุญาตปืนมากถึง 6.2 ล้านใบ สอดคล้องกับข้อมูลของสื่ออังกฤษที่ว่า ไทยเป็นประเทศที่ประชาชนเป็นเจ้าของปืนมากเป็นอันดับหนึ่งในย่านเอเชียอาคเนย์ ด้วยสัดส่วน 15 กระบอกต่อประชาชน 1,000 คน เพิ่มขึ้น 32% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เว็บไซต์ว่าด้วยนโยบายการควบคุมอาวุธปืนของออสเตรเลีย ได้เปิดเผยผลการสำรวจเมื่อปี 2554 พบว่า ประเทศไทยมีสถิติการก่ออาชญากรรมจากปืนมากที่สุดในเอเชีย หรือทุกๆ 1 แสนคนจะมีคนถูกฆ่าด้วยอาวุธปืนเฉลี่ยแล้ว 5.3 คน เทียบกับฟิลิปปินส์ ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นแดนคนดุที่มีเพียง 0.2 คน
จากสถิตินี้เอง ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นดินแดนอันตรายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจถูกลูกหลงเสียชีวิตโดยไม่รู้ตัว ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับนายสตีเฟน เดวิด แอชตัน นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษวัย 23 ปี ที่ถูกลูกหลงเสียชีวิตจากเหตุดวลปืนบริเวณบาร์ ริมชายหาดริ้น ที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี นับเป็นชาวอังกฤษคนที่ 7 ที่เสียชีวิตจากอาวุธปืนนับตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา เป็นเหตุให้กระทรวงต่างประเทศอังกฤษต้องเตือนนักท่องเที่ยวตะวันตกให้ระวังอันตรายว่า อาจจะตกเป็นเหยื่อเหตุร้ายโดยไม่รู้ตัวระหว่างร่วมงานฟูลมูนปาร์ตี้
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองรีบแก้ตัวพัลวันว่า กว่า 99% ของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น คนร้ายใช้ปืนเถื่อนก่อเหตุ ขณะนี้ตำรวจได้เพิ่มมาตรการระวังป้องกันเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามอาวุธปืนเถื่อนอยู่แล้ว ด้านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้สั่งการให้โรงพักในพื้นที่นครบาลใช้ทุกมาตรการในการยึดอาวุธปืน ไม่ว่าจะด้วยการตั้งด่านบนถนนสายหลัก และสายรอง หรือให้มีการตรวจค้นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะการตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่น เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลา
จากบทเรียนที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่า การควบคุมอาวุธปืนนั้นแค่ช่วยบรรเทาความรุนแรงได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นซากได้ เพราะความผิดไม่ได้อยู่ที่ปืน แต่อยู่ที่ผู้ครอบครองปืนและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ใช่แค่การลูบหน้าปะจมูกเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น