เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 23, 2025, 06:32:16 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ  (อ่าน 40148 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 09:06:29 PM »

กลยุทธ์ที่ ๕ ตีชิงตามไฟ
เมื่อศัตรูมีภัยใหญ่หลวง ให้ฉกฉวยเอาประโยชน์ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อศัตรูอยู่ในภาวะวิกฤติ ควรฉวยโอกาสรุกรบโจมตีเพื่อให้ได้มา
ซึ่งชัยชนะ หรือให้ผู้เข้มแข็งออกโรงเข้าแทรกแซงให้ผู้อ่อนกว่ายอมสยบด้วยนี้ก็คือที่เรียกว่า
“ใช้ความแกร่งพิชิตความอ่อน” ความหมายเดิมของ “ ตีชิงตามไฟ” คือ ในขณะที่ผู้อื่นถูกเพลิง
เผาผลาญห่วงแต่ตัวเอง ไม่ว่างกับเรื่องอื่น ก็ฉวยโอกาสแย่งชิงเอาของของผู้นั้นมาหรือ
ในขณะที่ผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายหรือในความยากลำบาก ก็รุกล้ำเอาผลประโยชน์ของผู้นั้นมา
เมื่อนำมาใช้ในการทหาร ก็คือสิ่งที่ตำราพิชัยสงครามของ “ ซุน วู ว่าด้วยอุบาย” กล่าวไว้ว่า
“ ชิงเอาในยามปั่นป่วน” หรือที่ “ว่าด้วยอุบาย” ของตู้มู่ นักการทหารอีกคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
“ เมื่อข้าศึกวุ่นวายปั่นป่วน อาจฉวยโอกาสช่วงชิงมาได้” กลยุทธ์นี้ แต่เดิมมาจากตำราพิชัยสงคราม
ของ ซุน วู “ ว่าด้วยอุบาย” ที่กล่าวไว้ว่า “ ชิงเอาในยามปั่นป่วน” ฉะนั้น กลยุทธ์นี้จึงเป็นกโลบาย
ที่ฉวยโอกาสในยามที่ข้าศึกอยู่ในภาวะวิกฤต เข้ารุกรบโจมตีอย่างหนึ่ง ที่กล่าวว่า
“ เมื่อข้าศึกมีภัยมหันต์ ให้ฉกฉวยเอาประโยชน์” มิได้จำกัดอยู่แต่เพียงในด้านการทหารหากจะนำไปใช้ได้
ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและอื่น ๆ อย่างกว้างขวาง จะได้ผลหรือไม่อย่างใดก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ในบางครั้ง
ยังอาจจะใช้วิธีการต่าง ๆ ทำให้ข้าศึกเกิดวิกฤติ ให้เกิดความระแวงสงสัยในกันและกัน
ตอกย้ำความประหวั่นพรั่นพรึงทางจิตใจให้หนักหน่วงยิ่งขึ้นเพื่อบั่นทอนพลังสู้รบของข้าศึก เป็นต้น

หลังจากนั้นจึงฉวยโอกาสชิงเอาชัย นี่ก็นับอยู่ในการใช้กลยุทธ์นี้ด้วย ตัวอย่างเหตุการณ์ภาคใต้ของประเทศไทย
ดังที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๗
คือการปล้นค่ายทหาร สังหารทหารยามและนำปืนออกจากค่ายทหารทางภาคใต้ของไทยอย่างอุกอาจ
ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่แม้กระทั่งครั้งที่มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในยุคสงครามเย็น
ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญของทหารไทยและชาวไทยเช่นนี้มาก่อน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
อย่างไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้น ถ้านับจากสถานการณ์ที่มีการยุติการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์และการเข้าร่วม
พัฒนาชาติไทยของกลุ่มก่อการร้ายต่าง ๆ ทั่วประเทศรวมทั้งทางภาคใต้ด้วย เหตุการณ์ทางภาคใต้
สงบเรียบร้อยมาโดยตลอด จนกระทั่งมีเหตุให้มีการยุบ ศอบต.ในเวลาต่อมา จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ภาคใต้
ไม่ได้มีอะไรอีกเลย ประชาชนชาวใต้ก็ไม่ได้มีความต้องการที่จะแยกตัวออกเป็นอิสระหรือเป็นประเทศอิสระ
แต่ประการใด อีกทั้งเมื่อชาวมุสลิมทั่วโลกมีความเกรงกลัวจากการถูกประณามว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
การก่อการร้ายทั่วโลกด้วยแล้ว ชาวมุสลิมเองก็ต้องการที่จะทำให้เห็นว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ที่ชาวโลกเห็นเช่นนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการใส่ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามของชาวมุสลิมทั้งนั้น ถ้าชาวมุสลิม
จะสนับสนุนชาวมุสลิมด้วยกันให้ก่อการร้ายร้ายแรงขึ้นกว่าเดิมก็ยิ่งเป็นการฆ่าตนเองไปทุกวัน
ซึ่งไม่มีเหตุผลที่จะกระทำเช่นนั้นโดยแท้ อีกทั้ง อิรัก ก็ถูกสหรัฐฯ ยึดครองไปแล้วเรียบร้อย
ซีเรียก็ประกาศตนเองเรียบร้อย เช่นเดียวกันว่าสนับสนุนผู้ก่อการร้ายไม่ได้เพราะสหรัฐฯ
จะหาเหตุเข้าโจมตีซีเรียอีก ซีเรียจึงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้สหรัฐฯ หาเหตุเข้าโจมตีตนได้
ต้องถอยห่างจากการก่อการร้ายทั้งทางลับและเปิดเผย ส่วนประเทศตะวันออกกลางอื่น ๆ
ก็อยู่ในอาณัติของสหรัฐฯ จนสิ้น ถ้ามีข่าวคราวใด ที่ซีไอเอ อันเป็นองค์กรที่รู้เรื่องการก่อการร้ายดีที่สุดในโลก
อยู่ในขณะนี้ก็จะสามารถพิสูจน์ทราบได้ในทันที จึงเป็นไปไม่ได้อีกโดยแท้ที่ประเทศในตะวันออกกลาง
จะให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในประเทศไทย เพราะเหตุผลล้วนฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น ถ้าจะว่าชาวมุสลิมอินโดนีเซีย
สนับสนุน ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันเพราะไม่มีเหตุผลอื่นใดอีกที่จะทำ เพราะอินโดนีเซียก็มีปัญหาของตนเองไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพยายามแบ่งแยกดินแดนของชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
ที่ต้องการจะทำลายความเป็นเอกภาพของอินโดนีเซีย เพื่อผลทางด้านทรัพยากร ผลด้านศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิก เหตุผลด้านการช่วยเหลือชนเผ่าเดียวกันคือออสเตรเลียที่ถือว่าอินโดนีเซียเป็นภัยคุกคาม
ที่อันตรายที่สุดของตน การช่วยเหลือออสเตรเลียเช่นนี้ก็จะทำให้สหรัฐฯ มีอิทธิพลเข้าครอบงำออสเตรเลียได้
โดยปริยายเช่นเดียวกัน หรือไม่ก็เรื่องผลประโยชน์ร่วมอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งเมื่ออินโดนีเซียมีปัญหาเช่นนี้
จะด้วยเหตุผลอันใดที่อินโดนีเซียจะมาสนับสนุนชาวมุสลิมภาคใต้ของไทยให้ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจรัฐ
ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน แล้วถ้าอินโดนีเซียจะทำก็ควรเลือกทำในช่วงที่ตนมีเอกภาพมากที่สุดไม่ดีกว่าหรือ
คือในยุคที่ซูฮาร์โต้เรืองอำนาจ ซึ่งซูฮาร์โต้ถึงขั้นเข้ายึดติมอร์ตะวันออกได้ ถ้าอยากได้ภาคใต้ของไทยก็ทำในช่วงนั้น
จะมีเหตุผลมากกว่าว่าซูฮาร์โต้ต้องการขยายอำนาจของตนซึ่งก็ไม่มีเกิดขึ้น ถ้าเป็นมาเลเซียจะให้การสนับสนุน
ผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของไทยก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้อีกเพราะมาเลเซียก็เพิ่งเปลี่ยนผู้นำที่เข้มแข็งที่สุดไป
คนที่มาเป็นผู้นำมาเลเซียคนต่อมาก็ไม่ได้มีความหิวกระหายที่จะขยายอำนาจของตนเข้ามาในประเทศไทยแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์กันด้วยเหตุด้วยผลก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีเหตุผลอันควรที่ผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของไทยจะได้รับ
การสนับสนุนจากมิตรประเทศเพื่อทำลายความเป็นเอกภาพของประเทศไทยได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นใคร
ที่สร้างเรื่องราวขึ้นมาให้ประเทศไทยมีความวุ่นวายและสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร จะเห็นได้ว่าเรื่องราวทางภาคใต้
ของไทยประทุขึ้นหลังจากที่ทหารไทยเสียชีวิตในอิรัก ๒ นาย เหตุการณ์ห่างกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องราวของทั้งสองพื้นที่มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มีก็คือไม่มี

แต่ถ้าคิดแบบนักยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ ดังที่ซุน วู กล่าวไว้ว่า
“ ....การสงครามทั้งหลายอยู่บนพื้นฐานของการลวง....” ทุกอย่างถ้าเป็นการต่อสู้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การต่อสู้ในเวทีนานาชาติด้วยแล้วการลวงจะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางยากที่จะเข้าใจได้ด้วยการคิด
เพียงแค่ชั้นเดียว ดังที่ทราบกันแล้วว่า สถานการณ์ในอิรักขณะนั้น สหรัฐฯ เป็นฝ่ายเสียเปรียบ สหรัฐฯ
ต้องการพันธมิตรเข้าไปช่วยพยุงฐานะตนในอิรัก ฝ่ายที่ให้การสนับสนุนการต่อต้านสหรัฐฯ ในอิรักก็คง
เป็นฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์อันเนื่องมาจากการที่สหรัฐฯ ยึดครองอิรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายย่อมไม่ปล่อยให้สหรัฐฯ กลืนกินสหรัฐฯ อย่างคล่องคอเพราะนั่นหมายถึง
ผลประโยชน์มหาศาลของมหาอำนาจเหล่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่จะจัดให้มีกลุ่มต่อต้านขึ้นในอิรัก
จึงทำให้ทหารสหรัฐฯ ในช่วงนั้นถูกโจมตีและเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวันดังที่ปรากฏในข่าว การสูญเสียชีวิต
ของทหารไทยในอิรักจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลไทยตัดสินใจถอนทหารออกจากอิรักได้

การสร้างเหตุการณ์ในภาคใต้ให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายจากตะวันออกกลางเป็นต้นเหตุจะช่วยสร้างความโกรธแค้น
ให้กับคนไทย และทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นมีความชอบธรรมในการที่จะดำรงกำลังทหารไว้ในอิรักต่อไป
เกมทางภาคใต้ของไทยจึงมีความสัมพันธ์กับสถานการณ์ในอิรักอย่างแน่นแฟ้น และมีความสัมพันธ์กับ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ ๔ มกราคม ๒๕๔๗ ตามมาด้วย
เหตุการณ์ย่อย ๆ อีกมากมายทำให้คนไทยเห็นจริงว่าสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้นจริง
ทุกฝ่ายไม่ได้มีความสงสัยเป็นอย่างอื่นนอกจากพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าชาวมุสลิมต้องการจะแบ่งแยกดินแดน
หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์ย่อย ๆ ตามขึ้นมาเพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสถานการณ์ที่มีการทวีความรุนแรง
ขึ้นมาโดยตลอด มีการปล้นชิง มีการเข่นฆ่าเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีการท้าทายอำนาจรัฐนานัปการ

ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ ซึ่งมีผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากกว่าหนึ่งร้อยคน
สถานการณ์ยิ่งบานปลายหนักขึ้นอีกโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๗ มีการชุมนุมประท้วง
ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในเวลาต่อมาอีก ๘๔ ศพ ความรุนแรงเช่นนี้
เป็นที่น่าประหลาดมากที่ไม่สามารถที่จะหาผู้อยู่เบื้องหลังได้อย่างแท้จริง ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถ
ที่จะกำหนดวิธีการแก้ปัญหาได้อย่างได้ผล สายงานด้านการข่าวทุกสายงุนงง แต่เมื่อหาหลักฐานใด ๆ ไม่ได้
ก็มาลงที่ชาวมุสลิมที่ต้องการจะแบ่งแยกดินแดน ซึ่งได้กล่าวตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ชาวมุสลิม
จะทำเช่นนั้น

มีตัวอย่างอยู่ตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะนำมาเทียบเคียงเพื่อเป็นอุทาหรณ์เปรียบเทียบกับเรื่องดังกล่าวนี้คือ
ในยุคสงครามเย็นที่คนไทยต่างต่อสู้ประหัตประหารกันล้มตายมากมาย คนไทยในยุคนั้นเข้าใจกันอย่างเดียวว่า
ผู้ที่รุกรานคือภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์ใครที่มีความเลื่อมในศรัทธาในลัทธิคอมมิวนิสต์ต้องถูกสังหารให้สิ้น
ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในเวลาต่อมาหลังจากที่มีการเข่นฆ่ากันระหว่างคนไทยมากมายแล้วปรากฏว่า
การยุติสงครามได้เกิดขึ้นจากการเจรจาให้ฝ่ายจีนระงับการช่วยเหลือสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
ทำให้การต่อสู้จบสิ้นลงในเวลาต่อมา หลังจากนั้นได้มีหลักฐานหลายอย่างปรากฏขึ้นมาดังเช่น หนังเรื่อง แอร์อเมริกัน
ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงที่บริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ซีไอเอ ของสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย
คอมมิวนิสต์ให้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อโค่นล้มรัฐบาลไทย อย่างนี้ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง
การโค่นล้มรัฐบาลไทยโดยอาศัยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งคนไทยไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าสหรัฐฯ จะให้การสนับสนุน
ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ คนไทยทั้งประเทศรู้เพียงว่าผู้ช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์คือ
มหามิตรสหรัฐอเมริกานั่นเอง เป็นเรื่องแปลกที่สหรัฐฯ ทั้งให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และให้การสนับสนุน
การปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ด้วย เรื่องอย่างนี้มีความหมายว่าอย่างไร หมายความว่าสหรัฐฯ
สามารถทำได้ทุกอย่าง ดังเช่นกับกรณีภาคใต้ของไทยสหรัฐฯ ก็สามารถทำได้ใช่หรือไม่ คนไทยก็จะไม่มีวันรู้ว่า
ใครทำใครอยู่เบื้องหลัง จะรู้อีกครั้งหนึ่งก็เมื่อเราสูญเสียอะไรต่อมิอะไรไปมากมามายแล้วเท่านั้น
นี่คือตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ พ.ศ.๒๕๐๔ โดยนาย Lindon B. Johnson รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
(ต่อมาเป็นประธานาธิบดี) ทำแผนปฏิบัติการร่วมอย่างถาวรของสหรัฐ(ลับที่สุด) นำเสนอต่อ
ประธานาธิบดี John F. Kenede ในเอกสารลับนั้นมีข้อความระบุว่า “ เราจะต้องสร้างสถานการณ์
สร้างภาพตัวศัตรูขึ้นมา แล้วยกขึ้นมาเป็นจุดสำหรับโฆษณาภายใต้สื่อสารการควบคุมของเรา
และนำเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ และระบบเศรษฐกิจอันทันสมัย ที่เราออกแบบไว้แทรกเข้าไป
ใช้กับทางการตลาดและทางธุรกิจ (Enterprises) ของพวกเขาเพื่อผลประโยชน์ของเรา”

“......ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ของความต้องการอย่างแท้จริงของเรา ในพื้นที่บริเวณนี้
การปฏิบัติการอย่างตั้งใจจริง และประกอบด้วยความสามารถอย่างเปี่ยมล้น ที่จะเข้าควบคุมด้านเศรษฐกิจ
การเมือง การทหาร จะต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ “วอชินตัน” อย่างใกล้ชิด....การตัดสินใจ
การปฏิบัติการ และการดำเนินงานทุกด้านในภูมิภาคนี้ก็คืออย่างนี้ เราไม่สามารถจะอยู่รอดได้ด้วย
การปฏิบัติการสนธิสัญญาใด ๆ ไม่สามารถจะยืนอยู่ได้ด้วยประเทศที่เป็นมิตรของเรา แต่เราต้องพุ่งตรงไปข้างหน้า
และวิธีการหลัก(Key) ที่ต้องทำก็คือ ต้องเข้าควบคุม, วางโครงการ, บังคับ,และเอาผลประโยชน์ที่แน่นอน
จากโครงการช่วยเหลือทั้งหลายของเรา โดยใช้หน่วยคณะที่ปรึกษาทางทหาร (MAAG.)
เป็นส่วนเจาะนำหน้าเข้าไป....”

(หลักฐาน....เอกสารลับสุดยอดMission to South East Asia, India, and PakKistan)
นั่นแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ อย่างไม่ต้องมีข้อสงสัยอีกต่อไป เรื่องราวที่เราคิดว่าสหรัฐฯ
จะไม่ทำสหรัฐฯ ย่อมทำได้หมด ดังที่ซุน วู กล่าวในเรื่อง การทำศึก บรรพที่ ๒ ในตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ว่า
“....หลักแห่งการบัญชาการทัพ อย่าหวังว่าข้าศึกไม่มา เราพึงเตรียมการให้พร้อม อย่าหวังข้าศึกไม่ตี
เราพึงทำให้มิอาจโจมตี ....” ถ้านับว่าทุกเรื่องคือการสงคราม ธรรมชาติของการสงครามเป็นเช่นนี้
ผู้ที่จะเข้าสู่สงครามก็เปรียบเสมือนแม่ทัพบัญชาการศึกต้องไม่คิดว่าข้าศึกจะไม่มาต้องมีการเตรียมการ
ให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าประชาชนคนไทยก็จะต้องคิดว่าสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะไม่เกิดผลร้ายต่อประเทศไทยนั้น
แท้ที่จริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเรื่องเหมือนกัน

จากเอกสารลับของแพนตากอนปี พ.ศ.๒๕๐๘ ของ RoBert S. Macnamara http://en.wikipedia.org/wiki/Robert_MacNamara
 รมว.กลาโหมของสหรัฐฯ ว่า
“.....ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่เหมือนกับประเทศเวียดนามที่มีความสำนึก
ในด้านชาตินิยมรุนแรง ประเทศไทยมีคอมมิวนิสต์ในประเทศ อยู่น้อยมาก (It has few domestic Communist)
ไม่สามารถสร้างความเสียหายใด ๆ ได้ เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตา พยายามทำให้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นของเรา
ที่มั่นคงเหมือนหินมิใช่กองทราย (A foundation of rock political a bed of sand) ซึ่งเราจะได้ใช้เป็นฐาน
ทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจ ในอันที่เราจะเข้าไปครอบคลุมเอเซีย....”

หลักฐานเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ.๒๕๑๗ ว่า “ องค์กรCIA ได้ปลอมจดหมายให้กับ ผกค. ถึงนายกรัฐมนตรี
นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อขอแบ่งแยกดินแดนภาคอิสาน เพื่อเป็นเขตปลดปล่อยปกครองตนเอง
โดยระบอบคอมมิวนิสต์” กรณีดังกล่าวนี้ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้เชิญ นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเนอร์
เอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย เข้าพบเพื่อชี้แจงกรณี CIAปลอมจดหมาย ผกค. ดังกล่าว
นายวิลเลี่ยม อาร์ ดินเน่อร์ ได้มีหนังสือขออภัยต่อนายกรัฐมนตรีไทยอย่างเป็นทางการ ต่อกรณีที่เกิดขึ้น
และได้สั่งปิดสำนักงาน CIA ในจังหวัดสกลนคร และเจ้าหน้าที่ CIA ผู้กระทำความผิดฐานออกจดหมาย
ผู้ก่อการร้ายถึงนายกรัฐมนตรีไทยนั้น ได้ส่งกลับอเมริกาไปแล้ว .. ?? ” ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะให้คนไทย
ที่เป็นเจ้าของประเทศ นักยุทธศาสตร์นักการทหาร ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศไปเคียดแค้นชิงชังใคร
หรือประเทศใด ๆ ทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติที่ประเทศมหาอำนาจทุกประเทศจะต้องทำ
ต่อประเทศที่เล็กกว่าและเป็นผลประโยชน์ของตน แต่ผู้เขียนเพียงมีความมุ่งหมายที่จะให้คนไทยทุกคน
ที่กำลังอยู่ในวังวนของความเชื่อบางอย่างที่ไม่สามารถที่จะหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ทางภาคใต้ของไทยเราว่า
จะไปในทิศทางใด ผู้เขียนเชื่อว่าถ้าปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยไปเช่นนี้กาลจะบานปลายเลยเถิดไป
จนถึงขั้นที่ประเทศที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์นำพาองค์กรสหประชาชาติอันเป็นองค์กรที่สหรัฐฯ
ควบคุมและชี้นำหรือแสวงประโยชน์ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อองค์การสหประชาชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง

เมื่อนั้นประเทศมหาอำนาจดังกล่าวก็จะหาเหตุนานัปการที่จะสร้างสถานการณ์ให้ทวีความรุนแรงขึ้น
ในที่สุดก็จะกลายสภาพเป็นเหมือนดังเช่น ติมอร์ตะวันออก คือสหประชาชาติเข้ามาแก้ไขปัญหา
นำไปสู่การแบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ เจ้าของประเทศทำอะไรไม่ได้เหมือนดังเช่นอินโดนีเซีย
ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลคือสหรัฐฯ ที่ได้ทั้งการขยายอิทธิพลเข้าสู่ภูมิภาคนี้อีกครั้งหนึ่ง
ขยายไปสู่การควบคุมช่องแคบมะละกาอย่างเบ็ดเสร็จ ควบคุมอินโดนีเซียได้ ควบคุมมาเลเซียได้
สิงคโปร์ไม่ต้องพูดถึงซึ่งควบคุมได้อยู่แล้ว จะนำไปสู่การต่อสู้กับพม่าอีกครั้งหนึ่งที่จะปิดล้อมจีน
ทางด้านพม่าอีก ที่สำคัญคือการควบคุมทรัพยากรของไทยที่เพิ่งสำรวจพบใหม่ในเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
( ต.ค.๒๕๔๗ ) การแก้ปัญหาด้านอิรักของสหรัฐฯ ก็ทำได้อย่างเบ็ดเสร็จ

ที่ผู้เขียนกล่าวมาอย่างยืดยาวในเรื่องนี้เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ว่าใครทำอะไรกับเรา
การใช้กลยุทธ์ “ ชิงตีตามไฟ” โดยประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ ที่ทำต่อเราและประเทศเพื่อนบ้าน
ให้มีความระแวงสงสัยซึ่งกันและกันโดยอาศัยเหตุการณ์ภาคใต้ที่สหรัฐฯ เป็นผู้มีส่วนในการสร้างขึ้นมาเอง
เมื่อต่างฝ่ายต่างระแวงสงสัยและฆ่าฟันกันเอง ต่างฝ่ายก็อ่อนเปลี้ย ผู้จะได้ประโยชน์คือผู้ที่สร้างสถานการณ์
ประโยชน์ที่จะได้รับก็คืออย่างน้อยที่สุดคือทรัพยากรในประเทศต่าง ๆ ทั้งในอินโดนีเซียที่ถูกคนไทย
ระแวงสงสัยว่าให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย มาเลเซีย ก็ถูกคนไทยระแวงสงสัยเช่นเดียวกัน
เมื่อทุกประเทศในภูมิภาคต่างระแวงสงสัยซึ่งกันและกันไฟแห่งความเคียดแค้นซึ่งกันและกันก็เกิดขึ้น
การเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยก็ตามมา ผู้ที่สร้างสถานการณ์ก็จะเข้าโจมตีเพื่อแย่งยึดเอาผลประโยชน์ไป
ดังกลยุทธ์ที่ว่า “ ชิงตีตามไฟ” ผู้เขียนอยากจะอ้อนวอนคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหาย
ให้กับประเทศชาติให้พึงระลึกถึงผลประโยชน์ของชาติอย่านึกถึงเพียงผลประโยชน์ของตนและกลุ่มตน
ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอย่านึกว่าไม่มีใครรู้พฤติกรรมของท่าน ถ้าท่านไม่หยุดการกระทำตั้งแต่บัดนี้
เมื่อคนไทยทั้งประเทศรู้โดยทั่วกันท่านจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่

ถ้าจะพูดว่า ซีไอเอ ให้การสนับสนุนกลุ่มโจรพูโลในพื้นที่ภาคใต้ของเราจะมีคนคิดกันอย่างไร สิ่งไม่น่าเชื่อเช่นนี้
สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ .....ถ้าจะพูดว่าทุกคืนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ภาคใต้จะมี ฮ.จากทางด้านตะวันออก
บินเลียบชายทะเลระยะความสูงที่ปลอดภัยจากการตรวจจับของเรดาร์ พอใกล้รุ่งสางก็บินกลับ ในวันรุ่งขึ้นเช้า
ก็มีเหตุการณ์ทางภาคใต้ของไทย ถ้าพูดเช่นนี้จะมีคนคิดกันว่าอย่างไร .....ถ้ามีคนพูดว่ามีเรือดำน้ำสหรัฐฯ
ดำน้ำลอยลำอยู่ในน่านน้ำใกล้กับที่เกิดเหตุในภาคใต้ของไทยอยู่คนไทยจะคิดกันอย่างไร.......ต้องคิดกันต่อไป

ในโลกแห่งความเป็นจริงเมื่อพูดถึงผลประโยชน์แห่งชาติของตน การต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติ
เหล่านั้นจะเป็นดังเช่นการทำสงคราม ฉะนั้นคู่สงครามจะกระทำต่อกันอย่างไม่มีความปราณี
ถึงคราวเข่นฆ่าก็ต้องเข่นฆ่า ถึงคราวหักหลังก็ต้องหักหลัง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรที่ปรากฏบนโลกนี้
ในเรื่องของผลประโยชน์แห่งชาติดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ดังเช่นคำกล่าวของซุน วู ในบทที่ ๘ ของ
ตำราพิชัยสงครามของเขาเรื่อง กลยุทธ์แปรรูปว่า

จงปราบบรรดาอริราชศัตรูโดย
ทำความพินาศให้กับมัน
สร้างความลำบากยากแค้นให้กับมัน
ให้มันต้องวุ่นอยู่เสมอ
หยิบยื่นเหยื่อแห่งอามิสประโยชน์
ทำให้มันต้องรีบรุดไปยังจุดใด ๆ ที่เราประสงค์

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เมื่อข้าศึกประสบกับความยากลำบากทั้งภายในและภายนอก จักต้องรุกโจมตีอย่างไม่ปรานี
ฉวยโอกาสอันดีนี้ กระหน่ำซ้ำเติมอย่าให้ตั้งตัวติดและพิชิตเอาชัยอย่าได้ช้า”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #16 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 09:53:38 PM »

กลยุทธ์ที่ ๖ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม

เมื่อศัตรูปั่นป่วน มิรู้เหนือใต้ ดุจจมในปลักพึงชิงเอาชัยด้วยศัตรูอับจน

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ตามคำอธิบายของ “ คัมภีร์อี้จิง ปั่นป่วน” คำว่า “ดุจจมปลัก”
ก็คือตกอยู่ในภาวะที่รวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน แต่ขยับตัวหรือกระจายแนวออกต่อตีมิได้มีอันตราย
ที่จะพังพินาศได้ทุกเวลา ประดุจฝูงสัตว์ที่ขาดหัวหน้า มิมีการบัญชาที่ถูกต้อง ก็จักต้องพ่ายแพ้
ไม่ช้าก็เร็ว หรืออีกนัยหนึ่ง ในระหว่างสงครามหรือการสัประยุทธ์ใด ๆ ก็ดี เมื่อการบัญชาการ
ของข้าศึกสับสนอลหม่าน มิอาจวินิจฉัยหรือป้องกันได้อย่างถูกต้องทันท่วงที จนเกิดเหตุ
อันไม่คาดฝันขึ้น พึงฉวยโอกาสที่ข้าศึกวุ่นวายไร้การควบคุม ทำลายเสีย ที่ว่า
“ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม” ยังหมายถึงกลอุบายที่เห็นอยู่ทางตะวันออกหยก ๆ
แต่กลับวกไปอยู่ทางตะวันตก ส่งเสียงทางนี้ แต่ตีทางโน้นทำทีถอยแต่กลับบุก
ทำทีรุกแต่กลับถอย ลวงล่อข้าศึกอย่างแนบเนียน ทำให้ข้าศึกเกิดความเข้าใจผิด
แล้วฉวยโอกาสเข้าพิชิตเอาชัยแก่ข้าศึกอย่างหนึ่ง กลยุทธ์นี้มีอยู่ในตำราพิชัยสงคราม
หลายเล่มด้วยกัน เช่น “ ซุน วู ว่าด้วยภูมิประเทศ” “ยุทธวิธีร้อยแปด ว่าด้วยสงครามเสียง”
“ไหวหนานจื่อ การฝึกยุทธวิธี” เป็นต้น ในเล่มหลังนี้กล่าวว่า “ ดังนั้น มรรควิธีแห่งการใช้ทหาร
แสดงให้เห็นว่าอ่อนแต่ปะทะด้วยแข็ง แสดงให้เห็นว่าเปราะแต่ปะทะด้วยแกร่ง เมื่อจะรวบ
พึงกระจาย เมื่อจักไปประจิม ควรทำทีไปบูรพา...” หรือ “คัมภีร์ทั่วไป ว่าด้วยการศึกหมายเลขหก”
ของตู้อิ้ว ก็กล่าวไว้ว่า “ส่งเสียงว่าตีทางบูรพา แต่ที่แท้ตีทางประจิม”

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน
ที่ผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ของสหรัฐอเมริกา ดังที่ได้มีการศึกษา
กันอย่างกว้างขวางกันในมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศของจีนในสมัยที่ผู้เขียนได้เข้าศึกษา
หลักสูตรป้องกันประเทศของจีน จนกระทั่งผู้เขียนได้ทำการวิจัยพร้อมกับแสดงหลักฐานอย่างแน่ชัด
ถึงการสร้างสถานการณ์ของสหรัฐฯ เองมาโดยตลอดพร้อมกันนั้นผู้เขียนได้ใช้หลักการตาม
ตำราพิชัยสงคราม ซุน วู อธิบายขั้นตอนในการวางแผนของสหรัฐฯ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
จนสามารถสรุปออกมาได้ว่าเหตุการณ์ ๑๑ กันยายนฯ เป็นเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้น
อันเป็นที่แน่นอนแล้ว จนกระทั่งได้มีการถกแถลงกันอย่างกว้างขวางและในที่สุดเอกสารวิจัย
ดังกล่าวของผู้เขียนได้รับคัดเลือกให้เป็นเอกสารวิจัยดีเด่นของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศของจีน
ในปี ๒๕๔๕- ๒๕๔๖ ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทั้งในอินเตอร์เนตและในหนังสือตามท้องตลาด
ซึ่งจะมีการวางขายในเร็ววันนี้ ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
( ซึ่งหาอ่านได้ในเวบ http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com )

โดยได้กล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินกลยุทธ์ตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ไว้ต้อนหนึ่งดังนี้
“....การดำเนินกลยุทธ ซุน วู กล่าวว่า “ .......การทำสงครามทั้งปวงย่อมอยู่บนพื้นฐานของการลวง...”
ในทันทีที่ “ เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน” ได้ถูกสร้างขึ้นประชาคมโลกต่างตกตลึงต่อเหตุการณ์
ในช่วงที่ประชาคมโลกต่างตกตลึงอยู่นั้นสหรัฐอเมริกาได้ฉวยโอกาสปล่อยแผนลวงซึ่งได้มี
การวางแผนไว้อย่างดีล่วงหน้าแล้วออกมาคือ “ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย” และ
“ สงครามถล่มอัฟกานิสถาน” หลังจากนั้นทุกประเทศในโลกก็ต้องปฏิบัติตามบงการของสหรัฐฯ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทันทีทันใด ต่อไปนี้จะเป็นการแสดงหลักฐานที่จะชี้ชัดว่าสหรัฐอเมริกา
ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการเป็นขั้น ๆ โดยการใช้แผนลวงนี้อย่างไร และหลักฐานจะเป็น
เครื่องสร้างความเข้าใจให้กับชาวโลกว่า เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน เป็นเหตุการณ์ที่สหรัฐฯ
ได้สร้างขึ้นเป็นแผนที่ลวงคนทั้งโลก ตามหลักการในตำราพิชัยสงครามของ ซุน วู ที่ได้กล่าวไว้แล้ว
ซึ่งหลักฐานที่จะนำมาแสดงเป็นตัวอย่างดังนี้

๑) เวลา ๐๘.๔๕ ปรากฏภาพข่าวเครื่องบินของบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ ๑๑ ลำแรก
พุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ทางด้านเหนือ
ข้อพิจารณา ผู้ถ่ายภาพข่าวดังกล่าวทราบได้อย่างไรว่าจะมีเครื่องบินมาชนตึก โดยรอคอย
ถ่ายภาพข่าวไว้ล่วงหน้า ตำแหน่งดังกล่าวเป็นสี่แยกซึ่งไม่มีภาพทิวทัศน์ที่สวยงามให้บันทึก
แต่เป็นทางแยกที่สามารถมองเห็นตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ในระยะไกลได้ทางด้านขวา
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นช่องทางแยกที่สามารถเห็นเครื่องบินบินผ่านเข้ามาพุ่งชน ลักษณะภาพดังกล่าว
ผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวงการสืบราชการลับจะทราบว่า นี่คือการถ่ายภาพ VDO ประกอบรายงาน
เพื่อนำเสนอผลงานการปฏิบัติหน้าที่ของตน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการถ่ายภาพเครื่องบินลำแรกที่พุ่งชนนั้น
เริ่มตั้งแต่ยังไม่บินไปชนตึกจนกระทั่งชนตึก และซูมภาพระยะใกล้ให้เห็นการระเบิด
เมื่อเครื่องบินกระทบเป้าหมาย ซึ่งมุมกล้องตำแหน่งถ่ายทำ และภาพที่ออกมาไม่ใช่ลักษณะ
การถ่ายทำของนักท่องเที่ยว หรือนักข่าวสถานีโทรทัศน์โดยสิ้นเชิง

๒) เครื่องบิน F-16 ขึ้นถ่ายภาพความเสียหายตึกทิศเหนือ ก่อนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์
ตึกทิศใต้จะถูกชน ( รายงานภาพข่าว สถานีโทรทัศน์ ฝรั่งเศส)
๐๘.๕๒ ได้ปรากฏภาพข่าวของสถานีโทรทัศน์ ฝรั่งเศส ซึ่งได้เสนอเหตุการณ์สดที่เกิดขึ้น
ณ ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศเหนือ ขณะที่ภาพกำลังจับอยู่ที่แสงเพลิงและความเสียหาย
จากการพุ่งชนของเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตอยู่นั้น ได้ปรากฏว่ามีเครื่องบินรบ F-16 ของสหรัฐฯ
บินขึ้นเหนือตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศเหนือ โดยบินรอบตึกในระยะต่ำจนสามารถเห็นนักบิน
เป็นลักษณะของการตรวจสถานการณ์และถ่ายภาพ หลังจากนั้นเครื่องบิน F-16 ได้บินหายไปก่อน
ที่เครื่องบินจัมโบ้เจ็ตลำที่สองจะพุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรดด้านใต้ในเวลา ๐๙.๓๐ ตอนเช้า

๓) เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ บินเข้าไปยังบริเวณตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์
ก่อนที่ตึกทางด้านใต้จะถูกถล่ม ( รายงานข่าวจากสถานีโทรทัศน์ฝรั่งเศส)
๐๘.๕๔ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพสหรัฐฯ เครื่องหนึ่งได้บินเข้าไปวนอยู่
บริเวณตึกทางเหนือที่ถูกถล่มโดยเครื่องบินจัมโบ้เจ็ตของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์
ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๓ แล้ว ที่จริงแล้วถ้าเครื่องบินใด ๆ ก็ตามของสหรัฐฯ ที่สามารถบินขึ้นได้
ก็สามารถที่จะเข้าไปช่วยผู้ที่ติดอยู่ในตึกได้ แต่ไม่มีเครื่องบินใด ๆ เข้าไปช่วยทั้ง ๆ ที่สามารถ
จะช่วยได้ แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเป็นความจงใจของสหรัฐฯ เองที่ต้องการจะให้ชาวอเมริกัน
และชาวโลกได้เห็นภาพที่อเนจอนาถก่อนที่ตึกจะถล่มลงมาเพื่อหวังผลทางจิตวิทยา
ให้คนอเมริกันโกรธแค้น ให้ชาวโลกเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสงสารสมจริงสมจัง และผลก็เป็นไป
อย่างที่ผู้สร้างเหตุการณ์วางแผนเอาไว้คือได้รับความเห็นใจจากประชาคมโลกอย่างท่วมท้น
และสร้างความโกรธแค้นให้กับชาวอเมริกันเป็นอย่างยิ่ง

๔) โครงสร้างของตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์สร้างขึ้นเพื่อป้องกันเครื่องบินพุ่งชนโดยเฉพาะ
นายจอห์น แมกนัสสัน วิศวกรด้านการก่อสร้างจากบริษัทสตีลลิ่ง วอร์คแมคสัสสัน บาไซร์
แถลงว่าตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันอุบัติเหตุเครื่องบินพุ่งชน
ซึ่งได้เคยเกิดขึ้นกับตึกเอมไพร์เสตทที่เคยถูกเครื่องบิน B-25 พุ่งเข้าชนในปี พ.ศ. ๒๔๘๘
http://en.wikipedia.org/wiki/Empire_State_Building#History
มาแล้วทำให้วิศวกรได้ออกแบบเพื่อป้องกันหากมีกรณีการพุ่งชนของเครื่องบินไว้เรียบร้อยแล้ว
กรณีนี้ตึกจะไม่ยุบตัวลงมาได้เลยหากผู้ก่อวินาศกรรมไม่มีข้อมูล จุดอ่อนที่สุดของตึก
ซึ่งเก็บไว้เป็นความลับ การได้มาของความลับโครงสร้างจุดทำลายของตึก
“ คณะผู้ปลดปล่อย ( Crusader ) ซื้อจากบุคคลคณะทำงาน พิจารณาวิเคราะห์โครงสร้าง
แบบของตึกทั้งสองตึก เพื่อค้นหาจุดอ่อนและบกพร่องเพื่อวางแผนป้องกันโครงสร้างดังกล่าว
ถูกนำออกมาจากแหล่งเก็บข้อมูลได้เนื่องจากกรณีตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกวางระเบิด
เมื่อปี ๒๕๓๖

๕) ความขัดแย้งของภาพการชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านทิศใต้
๐๙.๐๓ ภายหลังเครื่องบิน F-16 ได้ละจากพื้นที่ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์แล้ว
เครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ ๑๗๕ ได้พุ่งชนตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ด้านใต้
ผลที่เกิดขึ้น เหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกด้านใต้นี้ การนำเสนอในครั้งแรกนั้นเป็นภาพ
ที่เกิดขึ้นขณะนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ขัดแย้งกับข้อความในรายงานของ NSA และ FBI
รวมทั้ง CIA ซึ่งรายงานต่อประธานาธิบดีในจุดของการชนว่าเป็นชั้นที่เท่าใด ตำแหน่งใด
กี่องศาจึงมีการแก้ไขภาพข่าวใหม่โดยสร้างเป็น Visual แสดงให้เห็นการชนของเครื่องบิน
ที่บินเอียงเล็กน้อยก่อนเข้าชนตึก มิใช่บินชนในแนวระนาบ ดังนั้นบ่ายของวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔
สถานีโทรทัศน์ทั่วโลกทุกช่องจึงได้รับสัญญาณภาพข่าวจาก CNN ซึ่งเป็นภาพที่สร้างขึ้นด้วย
Visual Program พร้อมนั้นได้มีการสร้างเสริมต่อเติมภาพ VDO ข่าวตามต้องการให้น่าตื่นเต้น
อีกหลายสถานี เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบินได้แถลงว่า ตามภาพที่เห็นว่าเครื่องบิน
มีลักษณะเอียงเช่นนั้น เมื่อพุ่งเข้าชนจะทะลุไปเป็นมุม ๔๕ องศา แต่ตามความเป็นจริงภาพที่เห็น
ก่อนหน้านั้นเครื่องบินได้ทะลุตึกไปเป็นมุม ๑๘๐ องศา แสดงว่าเครื่องบินชนตึกในแนวระนาบ
ไม่ได้หักเลี้ยวทำมุมตามภาพ จึงเชื่อได้ว่าภาพที่แสดงการเลี้ยวของเครื่องบินก่อนพุ่งเข้าชนนั้น
สร้างภาพขึ้นภายหลัง โดยผู้ไม่มีความเข้าใจเรื่องวิศวกรรมการบินพอ

๑) เหตุผลการบินอ้อมของเครื่องบินลำที่ ๒ ก่อนพุ่งชนตึกด้านทิศใต้
นายโทนี่ เจย์ อาร์มสตรอง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง ที่ปรึกษาของ FBI
ได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะที่ปรึกษาฯ ว่า “ สาเหตุที่เครื่องบินโบอิ้งของบริษัทยูไนเต็ดแอร์ไลน์
ซึ่งขึ้นจากสนามบินโลแกนเมืองบอสตัน บินอ้อมไปหลายรัฐก่อนพุ่งเข้าชนตึกด้านใต้นั้น
ตามความเห็นของเขาเห็นว่ามีความเป็นไปได้สถานเดียวคือ “ การถ่วงเวลาให้เกิดค่าสมดุล”
เพื่อรอเวลาให้ตึกด้านเหนือซึ่งถูกเผาไหม้ด้วยเพลิงที่ลุกจากน้ำมันเครื่องบิน จะมีความร้อนสูงกว่า
๑๐๐๐ องศา C โครงสร้างเหล็กภายในจะหลอมละลายเหมือนพลาสติกถูกไฟลนและอ่อนตัว
ซึ่งจะใช้เวลาระยะหนึ่งที่ต้องไม่น้อยกว่า ๑๕ นาที ความเชี่ยวชาญและข้อมูลของผู้ก่อวินาศกรรม
นับว่ากว้างขวางมาก จะเห็นได้จากการชนตึกด้านใต้นั้น เครื่องบินจะชนตรงรอยต่อ
ซึ่งเป็นจุดเปราะบางที่สุด และเป็นความลับที่สุดบุคคลภายนอกจะไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย
การชนตึกด้านใต้ตรงจุดเปราะบางและอ่อนไหวที่สุดของตึกเช่นนั้น ก็เพื่อให้ตึกขาดความสมดุล
จะเห็นว่าเป็นการชนด้านข้างเพื่อให้โครงสร้างของตึกตรงนั้นขาดออกจากกัน และเกิดการเอียง
เพราะขาดสมดุลไม่ใช่ชนลักษณะปกติ การชนระยะมุมกระทบ ตำแหน่ง ถูกต้องตรงจุด ได้องศา
แม่นยำเหมือนกับการลากด้วยปากกาแสง ( Light Pen ) บนจอเรดาร์ เมื่อเกิดการหักที่มุมตึก
ด้านทิศใต้จากการชนเช่นนั้น จึงเป็นการทำลายจุดสมดุลที่สำคัญของตึกที่จะทรงตัวอยู่ได้
ซึ่งทำให้ตึกใต้ยุบตัวลงมาอย่างรวดเร็วเพราะขาดจุดสมดุลของโครงสร้างและยุบตัวลงมา
อย่างรวดเร็วก่อนตึกด้านทิศเหนือ ซึ่งขณะนั้นเหล็กได้หลอมละลายได้ที่แล้ว และไม่สามารถ
รับน้ำหนักของตึกชั้นบนประมาณ ๒๐ ชั้น ซึ่งมีน้ำหนักโดยรวมเฉลี่ย ๕๐,๐๐๐ ตันไว้ได้

ตึกด้านทิศเหนือได้รับแรงสะท้อนจากการยุบตัวของตึกด้านใต้ จึงทำให้ตึกเหนือยุบตัวตามลงมา
และชั้นต่าง ๆ ที่เหลือด้านล่างก็ไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวอาคารจึงยุบลงทั้งหมดในลักษณะ
แนวดิ่งดังที่ปรากฏ ผู้ที่วางแผนวินาศกรรมนี้จะต้องเป็นนักวิศวกรรมชั้นเยี่ยม และต้องมี
คณะนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักฟิสิกส์จึงสามารถคำนวณระยะเวลา ความร้อน น้ำหนัก โครงสร้าง
จุดเปราะของตึก และองศาที่เครื่องจะเข้าชนได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการพุ่งเข้าชนด้วย
ความแม่นยำเช่นนั้นทั้งสองตึก ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยนักบิน น่าจะเป็นการบังคับด้วยเครื่องมือ
หรือเทคโนโลยีพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า “ ขบวนการก่อการร้ายจะมีความสามารถทำได้
หากไม่มีข้อมูลลับ และคณะทำงานที่มีความรอบรู้อย่างเชี่ยวชาญ” ตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ตึกดังกล่าวนี้ เป็นที่ตั้งบริษัท องค์กรธุรกิจการเงินระดับประเทศ รวมทั้งสิ้น ๘๐ ประเทศ
ผลของการก่อวินาศกรรมดังกล่าวนั้น ทำให้ขบวนการก่อวินาศกรรมมีศัตรูเพิ่มขึ้นทันที ๘๐ ชาติทั่วโลก

๖). Huh
๗). Huh

๘) มันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิงที่ผู้ก่อการร้ายจะมีความจงใจสร้างศัตรูให้เกิดขึ้นจาก
“ เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน” เพราะว่าประชาชนที่เสียชีวิตอันเนื่องจากการถล่มตึกในครั้งนี้เป็น
นักธุรกิจจากทั้งหมดกว่า ๘๐ ประเทศทั่วโลก มันหมายความว่า บิน ลาเดน สร้างศัตรูขึ้น
ในคราวเดียวกันถึง กว่า ๘๐ ประเทศ

๙) การชนตึกเพนตากอนกับงบประมาณทางทหาร
โครงการระบบป้องกันขีปนาวุธ ( MMD ) เป็นโครงการตั้งขีปนาวุธเพื่อป้องกันสหรัฐฯ
ในทุกภูมิภาคของโลกและถือเป็นนโยบายหลักของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุช
ได้ทำการรณรงค์เพื่อให้สหภาพยุโรปเห็นพ้องด้วย โดยพลเอก คอลิน เพาเวล เดินทาง
ไปยังกลุ่มประเทศในเครือยุโรปแต่ได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงและมีแนวโน้มว่า
จะไม่ได้รับผลสำเร็จตามที่ต้องการประกอบกับสภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลกระทบ
ต่อเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ สภาคองเกรสมีแนวโน้มว่าจะตัดงบประมาณทางทหาร
ในระยะเวลาอันใกล้ ย่อมหมายถึงการลดกำลังทหารและฐานทัพทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ
เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งฝ่ายที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของสภาฯ เห็นควรว่าจะต้องนำงบประมาณ
ส่วนใหญ่มามุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก่อน ลักษณะท่าทีดังกล่าวทำให้บริษัทผู้ผลิต
ส่วนประกอบชิ้นส่วน และเทคโนโลยีการทหารได้รับผลกระทบอย่างยิ่งไปด้วย

แนวโน้มการตัดงบประมาณทางทหารและด้านการรักษาความปลอดภัยของประเทศ
ได้กระจายไปยังนายทหารระดับสูงของเพนตากอนและผู้บัญชาการกองทัพรวมถึง
ผู้อำนวยการสภาความมั่นแห่งชาติ NSA ซึ่งจะเข้าข่ายในการตัดลดงบประมาณทางทหาร
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการตัดลดงบประมาณด้านการข่าวกรอง CIA ซึ่งจะตัดก่อนงบประมาณอื่น ๆ
การนำเสนอตัดลดงบประมาณการทหารคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาในเดือน พ.ย. ๒๕๔๔
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #17 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 09:55:13 PM »

ในวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๔ เวลา ๐๙.๔๐ เครื่องบินจัมโบ้เจ็ตของบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์
สามารถฝ่าด่านแนวป้องกันภัยทางอากาศ NORAD ของกองทัพสหรัฐฯ พุ่งชนตึกเพนตากอน
ได้รับความเสียหายยับเยิน

๑๐) ยอดผู้เสียชีวิตจะต้องมีมากกว่าที่ปรากฏออกมาคืออย่างน้อยจะต้องมียอดผู้เสียชีวิต
เป็นหลายแสนคนในสถานการณ์ปกติตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์จะมีผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่พร้อมกัน
หรือในเวลาเดียวกันเป็นจำนวนหลายแสนคน ซึ่งนักท่องเที่ยวจะไปเข้าคิวรอกันเพื่อเข้าเยี่ยมชม
ตั้งแต่ ๐๖.๐๐ ในตอนเช้า แต่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจำนวนยอดผู้เสียชีวิตสุดท้ายจริง ๆ
ของเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน มีเพียงแค่ ๒,๐๐๐ คนเศษเท่านั้นและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่
ก็เป็นนักธุรกิจชาวมุสลิมที่มีสำนักงานอยู่บนตึกแห่งนั้น จึงสามารถที่จะประมาณเอา
ได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

๑๑) จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ( พ.ย. ๒๕๔๔ ) ยังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดอย่างสมเหตุสมผลเลยว่า
บิน ลาเดนและเครือข่ายผู้ก่อการร้ายของเขาเป็นผู้บงการและดำเนินการในการถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์
แต่อย่างใดหลายเรื่องล้วนแล้วแต่คาดว่าโดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ เป็นผู้ออกมาแถลงข่าวเท่านั้น

๑๒) ไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการใด ๆ ในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบเตือนภัยทางอากาศ
ของ NORAD ว่ามีข้อบกพร่องตรงไหนและทำไมจึงไม่ทำงานในระหว่างที่ผู้ก่อการร้ายโจมตี
และด้วยความคลุมเครือของสถานการณ์สหรัฐ ฯ ก็ได้ดำเนินการตามแผนในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย
ซึ่งเป็นช่วงที่คนทั้งโลกกำลังงงงันอยู่

๑๓) ไม่มีรายงานใด ๆ จาก NSA , CIA ,FBI , NORAD ว่าทำไมจึงปล่อยให้เครื่องบินทั้งสี่ลำ
ถูกผู้ก่อการร้ายจี้ได้และให้สามารถผ่านทะลุระบบป้องกันที่ว่าดีที่สุดในโลกเข้ามาได้ซึ่งเป็นเรื่อง
ที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาของนักการทหารและนักวิเคราะห์สถานการณ์โลก นอกจากการจงใจ
ปล่อยให้เข้ามาของผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงกรณีเดียวเท่านั้น

๑๔) ไม่มีการตั้งคณะกรรมการสืบหาข้อเท็จจริงใด ๆ ที่จะสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบันทุก
ที่ราดาร์ตรวจจับอยู่ตลอดเวลาจากทุกหอบังคับการบิน

๑๕) ไม่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการใด ๆ ในการที่จะสืบหาข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่
ที่รับผิดชอบในการควบคุมระบบดาวเทียมทหาร และระบบ GPS ว่าทำไมระบบที่อยู่ในการควบคุม
จึงไม่มีข้อมูลในการแจ้งเตือนล่วงหน้าได้

๑๖) หน่วยงานจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
( FEMA Federal Emergency Management Agency ) ได้ถูกเรียกให้เข้าไปเตรียมพร้อม
ณ กรุงนิวยอร์ก ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ ๑๑ กันยายน คือได้ถูกเรียกไปเตรียมพร้อม ณ กรุงนิวยอร์ก
ตั้งแต่เย็นวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๔๔ (๒๐๐๑) ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลกลางของ
สหรัฐอเมริการู้เห็นเหตุการณ์นี้เป็นอย่างดี และเป็นหลักฐานยืนยันถึงการที่รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ
เป็นผู้สร้างสถานการณ์ ๑๑ กันยายน ขึ้นมาเอง (www.whatreallyhappened.com)

๑๗) เหตุผลที่เลือกใช้เครื่องบินของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์และยูไนเตทแอร์ไลน์
( สายงานข่าวจากดัลลัส เท็กซัส)
วันที่ ๒ มิ.ย.๒๕๔๓ ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ได้ถูกนักแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลทั้งหมด
วันที่ ๖ ก.ค. ๒๕๔๓ บริษัทสายการบินลีเจนด์แอร์ยื่นฟ้องต่อศาลเมืองดัลลัสว่า บริษัทอเมริกันแอร์ไลน์
ได้เจาะ ( Hacker) เข้าไปในระบบข้อมูลของตนโดยในคำฟ้องของลีเจนด์แอร์ระบุว่า “ ไม่เชื่อว่าเกิดจาก
ความบังเอิญแต่มั่นใจว่าอาจเป็นแผนทำลายทางธุรกิจเนื่องจากข้อมูลด้านเส้นทางการให้บริการแผนงาน
ตั้งแต่ออกจากสนามบินเลิฟ ฟิลด์ ใกล้เมืองดัลลัสอันเป็นพื้นที่ของอเมริกันแอร์ไลน์”
พร้อมเรียกค่าเสียหายนับพันล้านเหรียญสหรัฐฯ บริษัทสายการบินลีเจนด์ แอร์ เป็นบริษัทใหม่
ที่เพิ่งจะเข้าสู่ตลาดได้ยังไม่ถึง ๓ เดือนเท่านั้น ส่วนบริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่
อันดับ ๒ ของสหรัฐอเมริกาแต่ในระยะ ๑๐ เดือนที่ผ่านมานี้บริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ได้ประสบปัญหา
การขาดทุนมหาศาลจากการสไตรค์ของนักบินและพนักงาน ทั้งนี้ฝ่ายบริหารงานบริษัทมีแผน
ที่จะปลดพนักงานไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คนภายในปีนี้ แต่ติดปัญหาการจ่ายเงินทดแทน
จำนวนมหาศาลให้กับพนักงาน และเงินชดเชยเหตุผลในการปลดออกซึ่งยังไม่สามารถตกลงกันได้
การที่บริษัทอเมริกันแอร์ไลน์ถูกฟ้องนี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในหุ้นของบริษัทต้องลดลง
ทำให้ฝ่ายบริหารของอเมริกันแอร์ไลน์ตัดสินใจฟ้องกลับ บริษัทสายการบินลีเจนด์ แอร์ เป็นจำเลย
ต่อศาลของเมืองดัลลัสเพื่อรักษาภาพพจน์ของบริษัทอย่างน้อยก็เพื่อรักษาราคาหุ้นไม่ให้ตกดิ่งไปกว่าเดิม
โดยในคำฟ้องอเมริกันแอร์ไลน์ ได้อ้างถึงข้อสัญญาที่ลงนามร่วมกันระหว่างลีเจนด์แอร์ไลน์
ทั้งสองบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทนักสืบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาเป็นผู้ติดตามและหาหลักฐาน
จากระบบข้อมูลของแต่ละบริษัท เพื่อนำไปแสดงต่อศาลดัลลัส รัฐเท็กซัส

ถ้าวิเคราะห์อย่างนักการทหารแล้วจะเห็นได้ว่า เป็นการลวงทางการสงครามที่ได้ผลที่สุดเนื่องจาก
ไม่มีผู้ใดที่จะคิดสงสัยไปเป็นเรื่องอื่นนอกจากเป็นการกระทำของผู้ก่อการร้ายเพียงสถานเดียวเท่านั้น
และผลที่ออกมาจากการปฏิบัติตามแผนลวงก็บรรลุเป้าหมายอย่างสูงยิ่งทุกเป้าหมาย จึงวิเคราะห์
ตามหลักการในตำราพิชัยสงคราม ซุน วู ที่กล่าวว่า “....ทุกกลยุทธเพื่อนำมาซึ่งชัยชนะในสงคราม
อยู่บนพื้นฐานของการลวงทั้งสิ้น...) ( การใช้หลักการตามตำราพิชัยสงคราม ซุน วู อธิบาย
“เหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”โดย พันโท โสภณ ศิริงาม )

เมื่อสหรัฐฯ สร้างกรณี ๑๑ กันยายน เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่โลกกำลังตะลึง สหรัฐฯ รีบเร่งเข้าโจมตี
เป้าหมายการยึดครองต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยการโจมตีอัฟกานิสถาน เพื่อที่จะมุ่งเข้าสร้างความปั่นป่วน
ในมลฑลซินเกียงของจีน โดยอาศัยชื่อของบิน ลาเดน ดังมีข้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ดังนี้

“............กรณี ๑๑ กันยายน , สงครามถล่มอัฟกานิสถานและสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ในปี ๒๕๔๔ เป้าหมายหลักเป็นการมุ่งไปสู่การให้ได้มาซึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และเตรียมการ
ที่จะทำสงครามอ่าวครั้งที่ ๒ โอซามา บิน ลาเดน เป็นสมาชิกคนสำคัญขององค์กร ซีไอเอ
ที่ปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์ต่อ ซีไอเอ มาโดยตลอดและเป็นเวลานาน ในช่วงที่มีสงคราม
อ่าวเปอร์เซียครั้งแรก บิน ลาเดน ทำงานเป็นนายหน้าขายอาวุธของบริษัทผลิตอาวุธสหรัฐฯ
และอังกฤษให้กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางจนกระทั่งมีฐานะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี เป็นธรรมดา
ที่เมื่อทำงานให้ ซีไอเอ แล้วจะต้องถูกใช้งานเมื่อใช้งานไม่ได้ ซีไอเอ จะต้องกำจัดทิ้ง
อย่างไม่มีความปราณี ( คนไทยที่ทำงานเพื่อซีไอเอ ในประเทศไทยในขณะนี้พึงสังวรณ์
เมื่อท่านหมดค่าแล้วท่านจะถูกฆ่าดังเช่น บิน ลาเดนและ ซัดดัม ) บิน ลาเดน ก็เช่นเดียวกัน
เพื่อเป็นการสั่นคลอนราชบัลลังก์ของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ซีไอเอ จึงสั่งการให้ บิน ลาเดน
ลอบปลงพระชนม์กษัตริย์ซาอุฯ เมื่อรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ล่วงรู้แผนการก่อน
( ซีไอเอ เป็นผู้ส่งข่าวให้ ) จึงจับกุม บิน ลาเดน แล้วจะลงโทษตามกฎหมายมุสลิมคือ
การตัดอวัยวะของร่างกาย ซีไอเอ จึงร้องขอต่อรัฐบาลซาอุฯ ให้เป็นการลงโทษเพียงการเนรเทศ
ออกนอกประเทศไปด้วยความเกรงใจ ซีไอเอ รัฐบาลซาอุดิอาระเบียก็ได้ปฏิบัติตามที่มีการร้องขอ
หลังจากที่ได้ถูกให้เดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ทางอัฟริกาบางประเทศแล้วในที่สุด ซีไอเอ
ก็ได้สั่งการให้ บิน ลาเดน เข้าไปร่วมงานกับกลุ่มมูจาฮีดีนปฏิบัติการต่อต้านสหภาพโซเวียต
ในอัฟกานิสถาน ซึ่ง บิน ลาเดน ไม่ได้เป็นผู้ที่มีวีรกรรมในการทำการรบอย่างอย่างห้าวหาญโชกโชน
ดังที่มีการนำเสนอข่าวของฝ่ายสหรัฐฯ ที่ต้องการสร้างให้ บิน ลาเดน มีความร้ายกาจ
ในสายตาของชาวโลก แต่ บิน ลาเดน เป็นเพียงผู้รับเงินจากสหรัฐฯ แล้วส่งต่อเงินสนับสนุน
ให้กับกลุ่มกองโจรเท่านั้น หลังจากที่ได้ชัยชนะในการขับไล่กองทัพโซเวียตออกจากอัฟกานิสถานแล้ว
บิน ลาเดน ก็ถูกสร้างภาพให้เป็นนักรบผู้เก่งกาจและเป็นขวัญใจชาวมุสลิมตามที่สหรัฐฯ สร้างให้
หลังจากนั้น บิน ลาเดน ก็ถูกสร้างให้เป็นผู้ร้ายที่ร้ายกาจอีกต่อไป กิจกรรมในการสร้างความร้ายกาจ
ให้กับ บิน ลาเดน มีดังต่อไปนี้

( ๑ ) การวางระเบิดตึก เวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ในปี ๒๕๓๖ ( ๑๙๙๓)
( ๒ ) การวางระเบิดฐานทัพเรือสหรัฐฯ ในปี ๒๕๓๙ ( ๑๙๙๖ )
( ๓ ) การวางระเบิดสถานทูตสหรัฐฯ ในเคนยา และสถานทูตแทนซาเนียในปี ๒๕๔๑ ( ๑๙๙๘ )
( ๔ ) การก่อวินาศกรรมเรือรบสหรัฐฯ USS Coles ในปี ๒๕๔๓
( ๕ ) การวางระเบิดตึก เวิร์ลด์เทรดเซนเตอร์ในปี ๒๕๔๓
( ๖ ) การถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ซึ่งดูเหมือนว่า บิน ลาเดน
จะถูกสร้างให้เป็นผู้ก่อการร้ายที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกอันเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ
ได้แล้วในที่สุดก็นำไปสู่การสร้างสงครามที่ใช้เทคโนโลยีสูงในเวลาต่อมา

ต่อกรณีการสร้างสถานการณ์ถล่มตึกเวิร์ลด์เทรดเซ็นเตอร์ของกลุ่มก่อการร้ายที่สหรัฐฯ
สร้างขึ้นในนามของ บิน ลาเดน และเครือข่ายทำให้สหรัฐฯ มีความชอบธรรมในการส่งทหาร
เข้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้ทุกภูมิภาคของโลกโดยการสร้างสถานการณ์การก่อการร้ายเพิ่มเติม
ตามเป้าหมายที่ต้องการจะส่งเจ้าหน้าที่หรือกำลังทหารเข้าไปตามที่ตนเองต้องการ
ซึ่งสงครามต่อต้านการก่อการร้ายก็ถูกขยายไปทั่วทุกมุมโลกในที่สุด นั่นคือการบรรลุเป้าหมาย
ในการส่งกำลังเข้าไปยึดครองพื้นที่อันมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทั่วโลกได้แล้วนั่นเอง ....”
หลังจากนั้นสหรัฐฯ ก็สร้างเหตุการณ์ระเบิดที่บาหลีเพื่อส่งกำลังและอิทธิพลส่วนหนึ่งของตนเข้าไป
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดึงเอาออสเตรเลียเข้าร่วมในการเล่นเกมการสร้างการก่อการร้าย
อย่างมีความชอบธรรม และในที่สุดก็อ้างเหตุเพื่อการทำสงครามอิรักเมื่อต้นปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมา
จนสามารถยึดครองแหล่งน้ำมันของโลกจนเป็นผลสำเร็จและสามารถควบคุมเศรษฐกิจของโลก
ในระดับหนึ่งโดยการทำให้น้ำมันขึ้นราคาดังที่ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยต้องประสบอยู่ในขณะนี้
นอกจากนั้นกิจกรรมด้านการทำสงครามด้วยอาวุธสลับกับการทำสงครามชีวะ ด้วยการปล่อยให้เชื้อโรคต่าง ๆ
ระบาดไปทั่วภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น โรคซาร์ซ โรคไข้หวัดนก สงครามชีวะเหล่านี้
ใช้เป็นเกมในการควบคุมประเทศต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังที่ ซุน วู ได้กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า
“ ...พึงให้เจ้าครองแคว้นอื่นสยบด้วยภยันตราย ให้เจ้าครองแคว้นอื่นรับใช้ด้วยอิทธิพล
ให้เจ้าครองแคว้นอื่นขึ้นต่อด้วยผลประโยชน์...” ซึ่งสหรัฐฯ ก็ใช้อย่างได้ผลมาโดยต่อเนื่อง
ทำให้ประเทศต่าง ๆ ตามสถานการณ์ไม่ทันต้องยอมทำตามสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฝ่ายริเริ่มในการกระทำอยู่เสมอ
นั่นคือการใช้กลยุทธ์ “ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม” คือการที่สหรัฐฯ เริ่มสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน
ชาวโลกก็ตกตะลึงอยู่แล้วยังคิดอะไรไม่ออก สหรัฐฯ ฉวยโอกาสเข้ายึดครองอัฟกานิสถาน โดยที่ฝ่ายใด ๆ
ไม่ได้มีโอกาสคิดหรือตั้งตัวได้แต่ต้องทำตามที่สหรัฐฯ ขอร้องแกมบังคับ หลังจากนั้นก็เข้าตีอิรัก
สร้างการก่อการร้ายขึ้นทั่วทุกมุมโลก เป็นลักษณะของการโผล่ที่โน่นที่นี่ตามกลยุทธ์
“ ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม” อย่างชัดเจน ซึ่งทุกครั้งจะไร้การต่อต้าน ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีการต่อต้าน
แต่ก็ไม่อาจที่จะยับยั้งการปฏิบัติการของสหรัฐฯ ได้ทั้งนี้เพราะสหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์นี้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ ที่ว่าส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม ก็คือโดยภายนอก โดยผิวเผิน ทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่า
จะบุกทางนี้อย่างจริงจัง แต่ที่แท้แล้วกลับบุกอีกด้านหนึ่ง ทำให้ข้าศึกหลงผิด
แล้วพิชิตเอาชัยในความหลงผิดนั้น”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 10:05:03 PM »

ส่วนที่ ๒ กลยุทธ์เผชิญศึก
ยามเมื่อเผชิญศึก
เท็จลวงกับจริงแท้
พึงใช้สอดแทรกซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อน
ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ

กลยุทธ์ที่ ๗ มีในไม่มี
ลวง ใช่ลวง จริงอยู่ในลวง มืดน้อย มืดมาก ก็สว่าง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ให้ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก แต่มิใช้จะล่อลวงจนถึงที่สุด
หากแต่เพื่อแปรเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง ทำให้ข้าศึกเกิดความหลงผิด ที่ว่า “ ลวง” ก็คือ
“ หลอกลวง" ที่ว่า “มืด” ก็คือ “เท็จ” จากมืดน้อยไปจนถึงมืดมาก จากมืดมาก
แปรเปลี่ยนเป็นสว่างแจ้ง ก็คือ ใช้ภาพลวงปกปิดภาพจริง ผันจากเท็จลวงให้กลายเป็นจริงแท้
นี่เป็นเรื่องในการศึก เท็จลวงและจริงแท้สลับกันเป็นฟันปลา ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง
“มีในไม่มี” หมายถึงกลอุบายซึ่ง “จริงในเท็จ” ที่ใช้ภาพลวงล่อหลอกข้าศึก
ให้ข้าศึกเกิดความหลงผิดอย่างหนึ่ง

กลยุทธ์นี้มีอยู่ในตำราพิชัยสงครามชื่อ “อุ้ยเหลียวจื่อ อำนาจศึก” ซึ่งกล่าวว่า
“อำนาจศึกอยู่ที่วิถีอันทำได้ ผู้มีจักไม่มี ผู้ไม่มีจักมี ” ในบทที่ ๓๔ ของ “คัมภีร์เหลาจื่อเล่มหลัง”
ก็กล่าวไว้ว่า “สรรพสิ่งใต้หล้าเกิดจากมี บ้างก็เกิดจากไม่มี”
ใน “ จดหมายเหตุราชวงศ์ถังใหม่ ประวัติจางสุน” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
ในศักราชเทียนเป่าที่ ๑๔ ในรัชสมัยพระเจ้าถึงเสียนจงฮ่องเต้ ( พ.ศ.๑๒๙๘ ) อันลู่ซานกับสือซือหมิง
ขุนทัพผู้คุม.........

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ เรื่องการสร้างสงคราม อิรัก – อิหร่าน โดยสหรัฐอเมริกา
เมื่อประธานาธิบดี โรนัล รีแกน แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ารับตำแหน่ง เป็นห้วงระยะเวลาที่
ประเทศสหรัฐอเมริกายังคงประสบกับภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากที่สหรัฐฯ
ต้องทำสงครามอันยาวนานกับเวียดนามในช่วงสงครามเย็น การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปทางทหาร
และการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ นำมาซึ่งความอัปยศให้แก่เกียรติภูมิด้านการทหาร
และด้านการเมืองของสหรัฐฯ และนำมาซึ่งความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจของประชาคมโลกต่อสหรัฐฯ
ในเวลาต่อมา สิ่งที่ผลของสงครามเวียดนามได้ทิ้งไว้เป็นการเตือนความทรงจำที่สหรัฐฯ
ไม่อาจลืมเลือนไปได้โดยง่ายก็คือผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลของ สหรัฐฯ ยอมรับ
กับประชาคมโลก และอเมริกันชน ว่า ผลกระทบของสงครามเวียดนามทำให้สหรัฐฯ
ได้รับความบอบช้ำทางด้านเศรษฐกิจที่มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
และก็เป็นเรื่องจริง ผลอันนั้นทำให้สหรัฐฯ ต้องใช้ความพยายามในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ต้องใช้เวลานานถึง ๑๐ ปีเศษ ยิ่งในช่วงการบริหารประเทศของรัฐบาลรีแกนด้วยแล้ว
จากการบีบคั้นของทุกฝ่ายทำให้ประธานาธิบดีรีแกนต้องรีบเร่งในการแก้ปัญหานี้
แนวทางของประธานาธิบดีของประธานาธิบดีรีแกนในการแก้ปัญหาของประเทศ
มักจะมีความโน้มเอียงไปทางด้านการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา กิจกรรมในการสร้างสงคราม
ทั้งสงครามตามแบบและสงครามไม่ตามแบบจึงเกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดี รีแกน เป็นจำนวนมาก
ประกอบกับในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของ รีแกน นั้นได้รับการสนับสนุน
จากกลุ่มอุตสาหกรรมด้านอาวุธเป็นจำนวนมากด้วย กลุ่มอุสาหกรรมดังกล่าวจึงต้องพยายาม
ผลักดันให้ รีแกน สร้างสงครามเพื่อที่จะให้มีกิจกรรมในการสนับสนุนธุรกิจด้านการค้าอาวุธของกลุ่มตน
จากแรงผลักดันหลายประการดังกล่าวแล้ว คือ สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐฯ เอง
และการผลักดันของกลุ่มผู้สนับสนุน เงินทุนให้กับ รีแกนเอง ทำให้ รีแกนจำเป็นต้องตัดสินใจ
ในการสร้างสงครามขึ้น โดยกลุ่มนักวางแผนได้ใช้กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ “ กลยุทธ์มีในไม่มี”
ใน ๓๖ กลยุทธ์ดังนี้คือการสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มีตัวตนขึ้นมาให้ได้เพื่อเป็นสาเหตุของการสร้างสงคราม
ในการบรรลุเป้าหมายของตน รีแกน ได้สั่งให้กลุ่มผู้สร้างสถานการณ์ยิงเครื่องบินพาณิชย์ของเกาหลีใต้

โดยในเวลาต่อมาได้ผลักความรับผิดชอบให้กับผู้ก่อการร้ายชาวอิหร่านเป็นแพะรับบาปไป
เพื่อที่จะอ้างความชอบธรรมในการผลักดันให้อิรัก ซึ่งเป็นพันธมิตรอันใกล้ชิดแน่นแฟ้นของสหรัฐฯ
ทำสงครามกับอิหร่านในสมัยหลังการปฏิวัติของโคไมนี ( หลักฐานการยิงเครื่องบินพาณิชย์ของเกาหลีใต้
และมีผู้โดยสารเสียชีวิตจำนวนมากดังกล่าวเป็น วีดีโอ การยิงจรวดจากเรือรบของสหรัฐฯ
ที่มองเห็นจากภาพได้ชัดเจนแล้วผู้ยิงยังได้นำภาพถ่ายเป็นวีดีโอดังกล่าวมาเป็นหลักฐานผลการปฏิบัติงาน
เพื่อรับเงินค่าตอบแทนเรียบร้อยแล้ว หลักฐานอันนั้นยังสามารถที่จะแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบกัน
ได้ทุกเมื่อ ) หลังจากที่สร้างสถานการณ์เสร็จแล้วสหรัฐฯ ก็สนับสนุนให้อิรักประกาศสงครามกับอิหร่าน
เมื่อปี ๒๕๒๓ ซึ่งสงครามดำเนินไปถึงปี ๒๕๓๑ ซึ่งการสร้างสงครามดังกล่าว ได้อ้างเอาเหตุผลจากหลักฐาน
ที่เดิมไม่ได้มีความเป็นจริงแต่ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายสหรัฐอเมริกาเอง คือไม่มีก็ต้องสร้างให้มีขึ้นมาได้
แล้วการสร้างสงครามก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกลยุทธ์ที่ดังกล่าวแล้ว “ มีในไม่มี” หรือ “ ไม่มีในมี”

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ เมื่อจักสั่นคลอนจิตใจของข้าศึก มิควรวู่วาม ควรใช้ยุทธวิธีจริงเท็จเท็จจริงสลับลวงกันไป
ทำให้ข้าศึกเกิดความสับสนวุ่นวาย พึงจับจุดอ่อนของข้าศึก ยืนหยัดจนถึงวาระที่สำคัญที่สุด
ครั้นแล้วก็รุกโจมตีอย่างถึงแก่ชีวิต”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 13, 2006, 10:19:27 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #19 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 10:17:23 PM »

กลยุทธ์ที่ ๘ ลอบตีเฉินชัง
แสดงเคลื่อนให้เห็น ศัตรูสงบจึงกระทำ เข้าจู่โจมดุจพายุ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ในการศึก ใช้โอกาสที่ฝ่ายข้าศึกตัดสินใจจะรักษาพื้นที่
แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ข้าศึกไม่สนใจอย่างมิได้คาดคิด
ใน “คัมภีร์อี้จิง ประโยชน์” เรียกว่า “เข้าจู่โจมดุจพายุ” ซึ่งก็คือกลวิธีวกวนลอบเข้าจู่โจม
อย่างเป็นฝ่ายกระทำ เข้าตีข้าศึกโดยมิได้ระวังตัว เอาชนะอย่างมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ การวางแผนในการเข้าโจมตีอัฟกานิสถานของสหรัฐฯ
หลังจากที่เกิดกรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ จากเอกสารวิจัยดีเด่นเรื่อง“ THE 9.11 EVENT ”
AND THE CURRENT “ WAR ON TERRORISM ” BY SUN ZI ART OF WAR
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน รุ่นที่ ๑๑
ปีพ.ศ. ๒๕๔๕- พ.ศ.๒๕๔๖ ( http://ARTAMART.FreeWeb-Hosting.com )
ระบุไว้อย่างแน่ชัดว่า กรณีการถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ของสหรัฐอเมริกา โดยผู้ก่อการร้าย
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ที่ผ่านมานั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาเอง
เพื่อการบรรลุเป้าหมายหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ในทันทีที่การถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ สิ้นสุดลง
สหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศทันทีว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ถล่มตึกเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ นั้นเป็น
กลุ่มผู้ก่อการร้าย อัลกอร์ อิดะห์ โดยมีนาย โอซามา บิน ลาเดน เป็นหัวหน้ากระบวนการ
และจากการสืบทราบของสหรัฐอเมริกาเองทราบว่า บิน ลาเดน ได้กบดานอยู่ที่อัฟกานิสถาน
สหรัฐฯ จึงประกาศสงครามกับผู้ก่อการร้ายและเริ่มโจมตีอัฟกานิสถานทันที เป็นที่น่าสังเกตว่า
สหรัฐฯ รีบประกาศสงครามถล่มอัฟกานิสถานเพื่อโจมตีฐานที่มั่นรัฐบาลตาลีบันของอัฟกานิสถาน
เพื่อตามจับตัวนายบิน ลาเดน ผู้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่แน่ชัดทั้งสิ้น
ว่าบิน ลาเดน ทำเช่นนั้นจริง สหรัฐฯ รีบรวบรวมพลพรรคแล้วโจมตีอัฟกานิสถานทันที พร้อมทั้งประกาศ
ขู่ทุกประเทศทั่วโลกว่า ประเทศใดที่ไม่ให้การสนับสนุนการสงครามปราบปรามผู้ก่อการร้ายของสหรัฐฯ
จะถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับผู้ก่อการร้ายและเป็นศัตรูของสหรัฐฯ ทำให้ทุกประเทศกลัวกันลนลาน
ต้องประกาศตามสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ เต็มที่ ประชาคมโลก
ต่างยังไม่หายจากอาการตกตลึงกับเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ จึงยังไม่รู้ทิศทางว่าตนเอง
จะทำอะไรต่อไปดีและสหรัฐฯ จะทำอะไรต่อไปดีเช่นเดียวกัน เมื่อสหรัฐฯ ประกาศสิ่งใดออกมาวิธีที่ดีที่สุด
คือต้องคล้อยตามสหรัฐฯ เพียงประการเดียวเท่านั้น ทำให้การปฏิบัติการใด ๆ ของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น
ดำเนินไปอย่างราบรื่นตามเป้าหมายทุกประการ ที่เรียกว่าเป็นการลอบตีเฉินซัง ก็เพราะว่า
ขณะนั้นไม่มีใครคาดคิดว่า สหรัฐฯ จะประกาศเข้าโจมตีอัฟกานิสถานเพราะไม่เห็นว่าอัฟกานิสถาน
จะเกี่ยวข้องอะไรกับกรณี ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ แต่ในที่สุดก็ถึงบางอ้อเมื่อสหรัฐฯ เชื่อมโยงว่า
เป็นที่ซ่อนตัวของ บิน ลาเดน ที่ไม่คาดคิดยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อโจมตีจนกระทั่งสามารถยึดอัฟกานิสถานได้แล้ว
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศต่อไปอีกว่า บิน ลาเดน ได้หลบหนีเข้าไปยังพื้นที่ในมณฑลซินเกียงของจีน
ดังคำกล่าวของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุชว่า

“… Xinjiang’ Province of China’s mainland is the best
and the most safety place for Osama Bin Laden to hide
because there are the Muslim minority’s homeland ….”.

“ …. We must not stop the war on terrorism ,
we don’t know when the war would be stopped ,
we’ll go to anywhere to every countries which we believe that
there are hidden places for the terror or the terror networks
according to our own evidences. This is the 21st Crusade War
and this is the true Liberal War ……”

แต่จีนรู้ทันกลยุทธ์สหรัฐฯ ดีที่จะให้พื้นที่ของตนในการเคลื่อนไหวแล้วจะสร้างสถานการณ์
ในการก่อการร้ายให้รุนแรงขึ้นแล้วจะสร้างสถานการณ์เพื่อสนับสนุนให้มีการแยกมณฑลซินเกียง
เป็นอิสระจากจีนแผ่นดินใหญ่ จีนจึงตัดบทว่าจะให้การสนับสนุนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ
แต่จะไม่ให้ผู้ก่อการร้ายใด ๆ เข้าไปเคลื่อนไหวในจีนได้โดยเด็ดขาด ทำให้สหรัฐฯ ไม่สามารถที่จะเข้าไป
ยังพื้นที่ของจีนได้ จึงเบี่ยงเบนเป้าหมายไปยังอาเซียน การสร้างการก่อการร้ายในบาหลีของอินโดนีเซีย
การสร้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายอามูซายาฟในฟิลิปปินส์เป็นเป้าหมายต่อไป แล้วหลังจากนั้นก็นำกำลังทหารส่วนหนึ่ง
เข้าไปตั้งไว้ในเอเชียกลางเพื่อสกัดกั้นการติดต่อระหว่างจีนกับรัสเซียต่อไป ที่สำคัญคือการนำชื่อของ
ซัดดัม ฮุสเซ็น มาอ้างเพื่อการทำสงครามอ่าวเปอร์เซียอีกครั้งหนึ่ง ผลของการลอบตีอัฟกานิสถานในครั้งนี้
ประกอบไปด้วย

๑) การสามารถยึดครองพื้นที่อันเป็นแหล่งแร่ยูเรเนียมที่สำคัญของโลกได้ คือที่อัฟกานิสถาน
ทั้งนี้เพราะอัฟกานิสถานเป็นแหล่งยูเรเนียมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่อดีตสหภาพโซเวียต
ได้นำไปใช้ในการผลิตอาวุธนิเคลียร์ที่เมืองเคียฟ

๒) สามารถยึดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่ประเทศมหาอำนาจทุกยุคทุกสมัยต้องการยึดครองตั้งแต่
เจงกิสข่าน มาที่สหภาพโซเวียต รวมทั้งจีนก็ยังมีความต้องการพื้นที่ทางยุทธศาสตร์อันนี้เช่นเดียวกัน

๓) การสามารถเข้าควบคุมเอเชียกลางและสอดส่องดูการเคลื่อนไหวของจีนและรัสเซียได้

๔) การใช้เป็นพื้นที่เริ่มต้นในการขยายสงครามไปสู่พื้นที่อื่นและไปสู่การสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซีย
ครั้งที่ ๒ คือสงครามอิรักครั้งที่ ๒ นั่นเอง ( ๒๕๔๖ )

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ เมื่อคู่ศึกทั้ง ๒ ฝ่ายตั้งประจันหน้ากัน จงใจสร้างเป้าหมายให้ฝ่ายตรงข้ามเพ่งเล็ง
รอจนเมื่อฝ่ายตรงข้ามวางกำลังใหญ่ป้องกันไว้ ณ ที่นั้นแล้ว จึงรุกรบโจมตีเอาเป้าหมายอื่น
ซึ่งก็คือการใช้จุดอ่อนแห่งภาวะจิตของมนุษย์ โจมตีในจุดที่ฝ่ายตรงข้ามมิได้คาดคิดมาก่อน
และมิได้ระมัดระวังตัว จึงได้มาซึ่งชัยชนะในการรุกรบ”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #20 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 10:40:35 PM »

กลยุทธ์ที่ ๙ ดูไฟชายฝั่ง

แจ้งแตกมิเป็นส่ำ มืดรอให้อับจน ความดุร้ายใจโหด จักคร่าชีวิตเอง
คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อน

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อประสบกับภาวะที่ข้าศึกแตกแยกวุ่นวายปั่นป่วนอย่างหนัก
พึงรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ หากข้าศึกใช้ความป่าเถื่อนแก่กัน ต่างพิพาทเข่นฆ่ากัน
แนวโน้มก็จักพาไปสู่ความวินาศเอง ในเวลาเยี่ยงนี้จักต้องปฏิบัติให้คล้อยตามการเปลี่ยนแปลง
ของสภาพข้าศึก ตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ชิงมาซึ่งชัยชนะ
โดยใช้การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของทางฝ่ายข้าศึกให้เป็นประโยชน์

นี้ก็คือความหมายของคำว่า “คล้อยเพื่อเคลื่อนตาม คล้อยตามจึงเคลื่อน” ใน “ คัมภีร์อี้จิงว่าด้วยสงบ”
ซึ่งก็คือกลอุบายที่ยึดถือการแปรผันของข้าศึก เปลี่ยนแปลงตามสภาพ เพื่อเอาประโยชน์อย่างหนึ่ง
กลยุทธ์นี้เดิมมาจากตำราพิชัยสงคราม “ ซุน วู ว่าด้วยการศึก” ที่ว่า “ ใช้ความสงบรอความปั่นป่วน
ใช้ความเงียบรอความวุ่นวาย” ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติจางอี๋” ก็ได้บันทึกเรื่องราวของ
เปี้ยนจวงจื่อว่า “นั่งบนภูดูเสือกัดกัน” “ ได้เสือ ๒ ตัวเพียงดำเนินการครั้งเดียว” ซึ่งก็คล้ายคลึงกับกลยุทธ์นี้

ตัวอย่างในการใช้กลยุทธ์นี้คือ..............
ปลายสมัยราชวงฮั่นตะวันออก (ปลายศตวรรษที่ ๒ แห่งคริสต์ศักราช) เมื่อการปราบปรามการลุกขึ้นสู้
ของชาวนาโพกผ้าเหลืองอย่างเหี้ยมโหดเสร็จสิ้นไปอย่างนองเลือดแล้ว ก็ก่อให้เกิดการแย่งชิงการยึดครอง
เขตอิทธิพลระหว่างพวกขุนศึกอย่างขนาดใหญ่และเกิดการรบพุ่งกันชลมุน ผู้ที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุด
ในครั้งกระนั้น คืออ้วนเสี้ยวกับโจโฉ

ในปีที่ ๕ แห่งศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๐) ในรัชสมัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้อ้วนเสี้ยวจะยึดครองภาคกลาง
โจโฉจะกำราบภาคเหนือ ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงรบกันอย่างดุเดือดที่เมืองกัวต๋อ (อำเภอจงโหมวในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน)
โจโฉเป็นฝ่ายชนะอ้วนเสี้ยว ในปีรุ่งขึ้นก็รบชนะอ้วนเสี้ยวที่เมืองซองเต๋งอีก ทำให้อิทธิพลของอ้วนเสี้ยว
ถดถอยลงไปเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวเมื่อพ่ายต่อกันหลายครั้งก็ให้กลัดกลุ้มและท้อแท้ยิ่งนักหลังจากกลับไป
ถึงแคว้นกิจิ๋ว (ในมณฑลเหอเป่ยปัจจุบัน) ไม่นาน ก็ตรอมใจอาเจียนเป็นโลหิตถึงแก่ชีวิตลง

อ้วนเสี้ยวมีบุตรชายอยู่ ๓ คนคือ อ้วนถำ อ้วนฮี และอ้วนซง อ้วนซงเป็นบุตรคนสุดท้อง
เกิดแต่นางเล่าซือภรรยาคนหลัง เป็นคนองอาจกล้าหาญ อ้วนเสี้ยวและนางเล่าซื่อรักมาก
เคยคิดจะมอบอำนาจให้กับอ้วนซง หลังจากอ้วนเสี้ยวตายแล้ว นางเล่าซือก็ปรึกษากับสิมโพย
และฮองกี่กุนซือของอ้วนเสี้ยว ให้อ้วนซงครองอำนาจในแคว้นเซียงจิ๋ว อิวจิ๋ว เป๊งจิ๋ว และกิจิ๋ว ๔ แคว้น
ตามเจตนารมณ์ของอ้วนเสี้ยว ใจขณะนั้น อ้วนถำบุตรชายคนโตของอ้วนเสี้ยวตั้งทัพรักษาแคว้นเซียงจิ๋ว
(ในมณฑลซานตง) อยู่ มีไพร่พลในมือถึง ๑๐ หมื่นคน เมื่อได้ข่าวว่าอ้วนซงได้กุมอำนาจทั้ง ๔ แคว้น
ก็ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ค่าที่ตนเป็นบุตรชายคนโต น่าที่จะได้รับตำแหน่งนี้ จึงตั้งตนขึ้นเป็น ขุนพลตงฉี
ปรึกษากับกุนซือกัวเต๋าและซินเม้ง จะนำทัพไปตีกิจิ๋ว ทว่าในระหว่างนั้น กองทัพใหญ่ของโจโฉ
ก็มาประชิดชายแดนอยู่ พี่น้องทั้งสองจึงจำต้องร่วมมือกันต่อต้านข้าศึก ความขัดแย้งในเรื่องการชิงอำนาจ
จึงได้ผ่อนคลายลง

ส่วนโจโฉนั้น มีความประสงค์จะกำราบภาคเหนือให้เป็นเอกภาพอยู่ภายใต้อำนาจของตน
จึงบุกขึ้นเหนือ รุกเข้ามาในพื้นที่ของอ้วนถำและอ้วนซง อ้วนถำตั้งทัพอยู่ ณ เมืองลิมหยง
(ในอำเภอซุ่นเสี้ยนมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) เพื่อยันทัพโจโฉ อ้วนซงก็นำทัพจากแคว้นกิจิ๋ว
(ชานเมืองปักกิ่งปัจจุบัน) รวมทั้งโกกันบุตรชายซึ่งรักษาแคว้นเป๊งจิ๋ว ต่างก็นำทัพมายังเมืองลิมหยง
เพื่อร่วมต้านทานการบุกรุกของโจโฉ แต่การรบที่เมื่องลิมหยง อ้วนถำกับอ้วนซงออกรบหลายครั้งก็แพ้ทุกครั้ง
จึงได้แต่ตั้งมั่นอยู่ในเมือง ขยาดที่จะออกรบด้วย ทั้ง ๒ ฝ่ายจึงยันกันอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายเดือน
ในเดือน ๓ แห่งปีที่ ๘ ของศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๓) โจโฉทุ่มกำลังเข้าตีเมืองลิมหยงอย่างหนัก พี่น้องอ้วน
ถูกบังคับให้ต้องออกรบด้วย แต่ก็ถูกโจโฉตีพ่ายไป หนี้กลับยังกิจิ๋วตลอดทั้งคืน กองทัพของโจโฉ
ก็ไล่ตีไปจนถึงชายแดนแคว้นกิจิ๋ว พวกแม่ทัพนายกองของโจโฉมีความเห็นให้ฉวยโอกาสเผด็จศึกเสีย
มิให้ทันได้ตั้งตัว

แต่กุนซื่อของโจโฉชื่อกุยแกพูดกับโจโฉว่า “เมื่ออ้วนเสี้ยวตายแล้ว นางเล่าซือภรรยาของเขาตั้งลูกชาย
ขึ้นครองอำนาจแทนลูกเมียหลวง ฉะนั้นในระหว่างอ้วนถำกับอ้วนซงจึงมีความขัดแย้งกันมากมาย
และต่างมีสมัครพรรคพวกของตนเป็นอันมาก ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะต้องเกิดการแก่งแย่งกันอย่างแน่นอน
บัดนี้กองทัพเราประชิดเมืองอยู่ พวกเขาย่อมจะสามัคคีกันมาต่อต้านเราเมื่อใดที่เราถอยทัพ
พวกเขาก็จะต้องหันหน้าเข้าห่ำหั่นซึ่งกันและกันเพื่อชิงผลประโยชน์ของตนเองเป็นแน่แท้
ทัพเรามิสู้ปล่อยกิจิ๋วไปพลางก่อน ลงใต้ไปปราบเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลง
แม้นว่าอ้วนถำกับอ้วนซงเกิดปะทะกัน ไม่ฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บก็อีกฝ่ายหนึ่งล้มตาย หรือมิฉะนั้นไม่ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอ
ก็อีกฝ่ายหนึ่งต้องหนีเอาตัวรอด เมื่อนั้นเราค่อยกรีฑาทัพกลับมา กิจิ๋วก็จะตกอยู่ในเงื่อมมือเราได้โดยง่าย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่ เห็นว่าที่กุยแกว่ามานั้นก็ดี จึงถอยทัพลงใต้บุกตีเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋วต่อไป

เมื่อโจโฉถอยทัพไปแล้ว อ้วนฮีกับโกกันต่างก็ยกกำลังกลับถิ่นเดิมของตนอ้วนถำกับอ้วนซงก็ปะทะกันจริง ๆ
เพื่อแย่งกันเข้าครองกิจิ๋ว อ้วนถำสู้อ้วนซงมิได้ จึงถอยไปตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองเพงงวนก๋วน (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน)
อ้วนซงคิดจะกำจัดอ้วนถำด้วยตนเองจึงนำทัพไปล้อมเมืองเพงงวนก๋วนไว้อย่างแน่นหนา
กัวเต๋ากุนซือของอ้วนถำจึงแนะนำว่า “ในเมืองเรานี้เสบียงอาหารน้อยยากที่จะรักษาไว้ได้นาน
มิสู้ส่งคนไปเจรจาขอความช่วยเหลือจากโจโฉ หากทัพโจโฉตีกิจิ๋ว อ้วนซงก็คงจะถอยทัพไปช่วย
ถึงตอนนั้นกองทัพโจโฉบุกด้านหน้า เราไล่กระหนาบอยู่ด้านหลังอ้วนซงหรือจะหนีไปไหนรอด?
เมื่ออ้วนซงถูกจับ ไพร่พลของอ้วนซงก็เป็นคนของบิดาท่านมาก่อน ท่านจงรวบรวมไพร่พลของกิจิ๋ว
และเซียงจิ๋ว ๒ แคว้น แล้วจึงค่อยต่อต่านโจโฉต่อไป โจโฉมาจากทางไกลเสบียงอาหารคงจะไม่พอเพียง
เมื่อนานไปก็คงจะต้องถอยไปเอง เขตเหอเป๋ยนี้ก็คงจะรักษาไว้ได้”

อ้วนถำเห็นชอบด้วยกับความเห็นของกัวะเต๋า จึงปฏิบัติตามอุบายนั้น ส่งซินผีน้องชายซินเม้งเป็นทูตพิเศษ
ไปขอความช่วยเหลือจากโจโฉ แต่เมื่อซินผีไปถึงเมืองฮูโต๋ โจโฉก็ได้นำทัพลงใต้ไปแล้ว ซินผีจึงติดตามไป
จนถึงที่แจ้งความประสงค์ให้โจโฉทราบ พร้อมทั้งยื่นหนังสือของอ้วนถำให้ด้วย
ขณะนั้น พวกแม่ทัพนายกองทั้งหลายของโจโฉต่างก็คิดตรงกันว่า การมาขอสวามิภักดิ์ ของอ้วนถำมีเลสนัย
แต่กุยแกกับซุนฮิวกลับมีความคิดเห็นว่าให้โจโฉรับไว้ พูดกับโจโฉว่า “เมื่อเหอเป่ยยังไม่สงบ ก็ยังคงเป็นภัยแก่เราอยู่
ควรฉวยโอกาสความปั่นป่วยภายในของตระกูลอ้วนกำราบเซียงจิ๋วและกิจิ๋วให้ราบคาบ ส่วนเล่าเปียวเมืองเกงจิ๋วนั้น
เก่งอยู่ก็แต่ปาก หามีความหมายอันใดไม่ รอไว้จัดการทีหลังก็มิเสียการ” ดังนั้นโจโฉจึงย้อนยกทัพกลับขึ้นเหนือ
มุ่งไปยังกิจิ๋ว ฝ่ายอ้วนถำฟังว่าโจโฉนำทัพไปตีกิจิ๋ว ก็เข้าใจว่าโจโฉหลงในอุบายตนก็ให้ดีใจนัก
ส่วนอ้วนซงเมื่อได้ข่าวโจโฉยกทัพมาถึงชายแดนกิจิ๋ว ก็รีบถอนตัวจากเมืองเพงงวนก๋วน กลับไปกิจิ๋ว
แต่ขุนพล ๒ คนของอ้วนซง คือลิกองกับลิเซียง หนีไปเข้าด้วยโจโฉ เมื่ออ้วนถำทราบข่าวก็ลอบส่งตราขุนพล
ไปให้กับคนทั้งสอง เพื่อให้เป็นไส้ศึกคอยซ้ำเติมเมื่อตนโจมตีโจโฉ โดยมิรู้ว่าโจโฉรู้ในกลอุบายตนอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
แต่เพื่อให้อ้วนถำตายใจ รวมกำลังกันตีกิจิ๋วโจโฉจึงแสร้งทำทีว่า จะยกบุตรสาวตนให้เป็นภรรยาของอ้วนถำ

เมื่อโจโฉลงมือบุกเมืองเย่เสี้ยนของอ้วนซง อ้วนถำก็มิได้ยกกำลังมาช่วยโจโฉ แต่กลับบุกตีเอาเมืองกันหลิง อันผิง
ป้องไห่และเหอเจียนไป อ้วนซงถูกรบกระหนาบด้วยทัพทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็แตกพ่ายยับเยิน จึงต้องหนีไปอยู่
เมืองจงซาน ต่อมาก็หนีไปสมทบอยู่ก้วยอ้วนฮี พี่ชายยังแคว้นอิวจิ๋วอ้วนถำจึงรวบรวมไพร่พลของอ้วนซงที่แตกกระจาย
มาเป็นของตน ย้อนกลับมาต่อต้านโจโฉอีก

โจโฉก็ให้บันดาลโทสะ ยกทัพย้อนกลับมาเมืองเพงงวนก๋วน ซึ่งเป็นแหล่งส้องสุมไพร่พลของอ้วนถำ อ้วนถำต้านไม่อยู่
ก็ทิ้งเพงงวนก๋วนไปรักษาเมืองหนานผีไว้ แต่ในที่สุดก็ตายด้วยนำมือของไพร่พลโจโฉในที่รบนั้นเอง ดังนั้น
โจโฉจึงยึดครองแคว้นเซียงจิ๋วไว้ได้ ต่อมาในปีที่ ๑๑ แห่งศักราชเจี้ยนอัน (ค.ศ.๒๐๖) ก็กวาดเป๊งจิ๋วจนราบ
โกกันหนีรอดไปได้ อ้วนซง อ้วนฮี ทราบว่าโจโฉฆ่าอ้วนถำตายแล้ว ยึดแคว้นสำคัญไว้ได้ ๓ แคว้น
และกำลังยกทัพมุ่งมาทางอิวจิ๋ว ก็รู้ว่าเห็นทีจะต้านทานไม่ได้ จึงกลับไปสวามิภักดิ์กับโฮห้วน
โจโฉมีความประสงค์จะกวาดภาคเหนือมิให้มีเสี้ยนหนามอีกต่อไป เพื่อมิให้เป็นที่ห่วงหน้าพวงหลังแก่การกรีฑาทัพลงใต้
จึงยกทัพมุ่งเข้าตีโฮห้วนอย่างไม่รั้งรอ

โฮห้วนเป็นเผ่าชนฮวนเผ่าหนึ่ง มีถิ่นฐานอยู่ในทุ่งหญ้าทางแคว้นเสียวไสที่แล้วมาอ้วนเสี้ยวเคยมีบุญคุณต่อต้าน
หัวหน้าเผ่านี้ ชื่อท่าตุ้น ท่าตุ้นมีความสนิทสนมกับอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก ดังนั้น เมื่อกองทัพใหญ่ของโจโฉยกมาถึง
เขตเขาไป่หลางซาน (ในมณฑลเหลียวหนิงปัจจุบัน) ก็เผชิญหน้ากับอ้วนซง อ้วนฮีและท่าตุ้นซึ่งนำกำลังของโฮห้วน
หลายหมื่นคนยกมาจะแก้แค้นให้กับอ้วนเสี้ยวผลของการรบอย่างนองเลือดที่ไป่หลางซาน ปรากฎว่าท่าตุ้นตายในที่รบ
ไพร่พลโฮห้วนแตกกระจัดกระจายไม่เป็นกระบวน เหลืออ้วนซงกับอ้วนฮีนำกำลังที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
หลบรอดไปสวามิภักดิ์ด้วยกองซุนของยังแคว้นเสียวตั๋ว

เมื่อปราบโฮห้วนได้แล้ว แม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างก็เร่งเร้าให้ใจโฉฉวยโอกาสในชัยชนะ บุกเข้าเลียวตั๋ว
จับอ้วนซงอ้วนฮีมาฆ่าเสียให้สิ้น แต่โจโฉกลับสั่งให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋ คำสั่งของโจโฉทำให้ขุนนาง
ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเวลานั้น ดินฟ้าอากาศ และภูมิประเทสของเลียวตั๋ง
เหมาะแก่การเดินทัพทำสงครามเป็นอันมาก ทั้งกองซุนของก็มิได้ยอมอ่อนน้อมด้วยโจโฉเพราะเห็นว่าตนอยู่ไกล
เมืองฮูโต๋นัก เมื่ออ้วนซงอ้วนฮีหลบมาอยู่ด้วยก็เป็นข้ออ้างและโอกาสอันดีที่จะกวาดเลียวตั๋งไปเสียเลยในคราวเดียวกัน
ซึ่งเมื่อสำเร็จ ก็สามารถที่จะขจัดอ้วนซงและอ้วนฮี ๒ คนพี่น้องและได้แคว้นเลียวตั๋งด้วย แต่เหตุไฉนโจโฉจึงมินำทัพ
รุดหน้าไปกลับสั่งให้ถอนทัพกลับเมืองฮูโต๋เสียอีก

โจโฉลูบหนวดเคราของตนเองอย่างสบายใจพลางหัวเราะกล่าวว่า “พวกท่านไม่จำเป็นต้องเหนื่อยกายไปรบดอก
เราจักได้ศีรษะของ ๒ คนพี่น้องนั้นในไม่ช้า”
ทุกคนต่างก็ยังคลางแคลงใจอยู่ แต่เมื่อโจโฉกล่าวเช่นนั้น จึงจำต้องรื้อค่ายเดินทัพกลับฮูโต๋ตามคำสั่ง
แต่ทัพของโจโฉเพิ่งจะออกเดินทางได้เพียงไม่กี่วันก็ได้รับแจ้งว่า กองซุนของแห่งแคว้นเลียวตั๋งส่งทูต
นำศีรษะของ ๒ คนพี่น้องมามอบให้เป็นบรรณาการ โจโฉจึงสั่งให้ทูตของกองซุนของเข้าพบ
ทูตนำหีบมาด้วย ๒ ใบ เมื่อเปิดออกดูก็เป็นศีรษะของอ้วนซงกับอ้วนฮี ๒ คนพี่น้องจริง ทูตยังส่งสารของกองซุนของ
ให้แก่โจโฉอีกฉบับหนึ่งด้วย

ถึงตอนนี้ โจโฉจึงอธิบายแก่ขุนนางทั้งหลายว่า “เราได้ทราบข่าวมานานแล้วว่า กองซุนของก็เกรงพวกตระกูลอ้วน
จะกลืนกินตนอยู่ เมื่อคนทั้งสองไปสวามิภักดิ์ด้วยก็ยิ่งระแวงสงสัยหนักขึ้นว่าจะมิซื่อ หากในตอนนั้นเราบุกเข้าตี
คนทั้งสามก็จำต้องร่วมมือกันต่อต้านเราเป็นแม่นมั่น ที่ควรได้ก็จักมิได้ แต่เมื่อเราถอยทัพกองซุนของกับพี่น้อง
ก็จะต้องกินแหนงแคลงใจกัน ซึ่งถึงตอนนั้น เรามิจำเป็นต้องใช้กำลัง เลียวตั๋งก็จักสยบด้วยเรา บัดนี้ กองซุนของ
ก็ได้นำศีรษะของคนทั้งสองมามอบให้ ก็เป็นไปตามที่เราคาดติดทุกประการ”

แท้ที่จริง กองซุนของแห่งแคว้นเลียวตั๋ง ระมัดระวังเรื่องที่ฝ่ายตระกูลอ้วนยึดครองแคว้นใหญ่ทั้ง ๔ มาก่อนแล้ว
ด้วยเกรงว่าตนจักถูกผนวกเอาเข้าไปด้วย ต่อเรื่องที่โจโฉรั้งเอาตัวพระเจ้าเหี้ยนแต้ไว้ เพื่อใช้อำนาจกำราบผู้อื่นนั้น
กองซุนของก็มิสู้จะพอใจนัก นับแต่อ้วนเสี้ยวพ่ายแก่โจโฉที่เมืองกัวต่อเป็นต้นมา กองซุนกองก็เอาใจใส่ในเหตุการณ์
ของเหอเป๋ยเป็นอันมาก ครั้นทราบต่อมาอีกว่าอ้วนเสี้ยวตาย อ้วนซง อ้วนฮีรบแพ้ ต้องเสียแคว้นทั้ง ๔ ไปหลบหนีไป
โฮห้วนก็ถูกโจโฉกระหน่ำเอาจนยับเยินไปอีกที่เขตเขาไป่หลางซานและพี่น้อง ๒ คนกำลังหนีมุ่งมาทางเลียวตั๋ว
ก็ให้รู้สึกร้อนใจ เกรงว่าโจโฉจะยกทัพตามติดมา จนก็จะอยู่มิเป็นสุข จึงเรียกขุนนางทั้งหลายมาปรึกษาหารือว่า
ควรจะทำประการใดดี

กองซุนก๋งผู้เป็นน้องชายจึงมีความเห็นกล่าวว่า “แคว้นเลียวตั๋งเรานี้ อ้วนเสี้ยวเคยจ้องมองด้วยความกระหายมาช้านาน
แต่เนื่องจากโจโฉประชิดมาทางตะวันตก อ้วนเสี้ยวต้องทำศึกอยู่มิได้หยุดหย่อน จึงไม่มีเวลาจะมาจัดการกับเรา
บัดนี้ตระกูลอ้วนก็สิ้นแผ่นดินจะอาศัยไร้ที่พึ่งพิง จึงได้มุ่งมาหาเรา ความจริงก็ประสงค์จักยื้อแย้งแผ่นดินของเราไปครอง
พวกพี่น้องอ้วนเองยังเคยปะทะซึ่งกันและกัน ไฉนเลยจะละเว้นเลียวตั๋งของเราได้? ถ้าหากเรารับพวกเขาไว้
ก็จะเป็นภัยพิบัติอย่างมหันต์ ตอนนี้โจโฉก็กำลังฮึกเหิมอยู่ รบชนะเป็นหลายครั้ง หากเรารับพี่น้องอ้วนไว้
ก็มิผิดกับนำไฟมาครอกตนเอง หากโจโฉบุกเลียวตั๋งมา กำลังเรามิอาจจะเทียบได้ ก็จักแตกในไม่ช้า
เรามิสู้ปล่อยให้พี่น้องทั้งสองเข้ามาหาเรา แล้วจับฆ่าเสีย ส่งศีรษะไปมอบให้แก่โจโฉ โจโฉเห็นดังนั้นก็จะพอใจ
ส่วนตัวโจโฉเองนั้นก็เกรงว่าเล่าเปียวกับเล่าปี่จักบุกตีเมืองฮูโต๋อยู่ คงจะมิคิดบุกเมืองเลียวตั๋งเราต่อไป
แต่จักรีบนำทัพกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋ของตนไว้ให้มั่นคงขึ้นเป็นแน่ มิทราบว่าพวกท่านทั้งหลายจักเห็นเป็นประการใด?”
จึงมีผู้แย้งขึ้นว่า “ถ้าหากโจโฉไล่ติดตามมา แม้เราฆ่าพี่น้องอ้วนทั้งสองแล้ว โจโฉก็ยังประชิดแดนเรา ฉวยโอกาสบุกเข้าตี
เราจักต้านทานกองทัพของโจโฉได้สักเท่าไร? มิสู้ให้พี่น้องอ้วนช่วยเรารบกับโจโฉมิดีกว่าหรือ?”
ทั้ง ๒ ฝ่ายต่างโต้เถียงกันอึงคะนึง มิอาจลงรอยกันได้ กองซุนของเห็นดังนั้นจึงตัดบทขึ้นว่า
“แคว้นเลียวตั๋งนี้เมื่อบิดายังมีชีวิตอยู่ก็อยากได้ไว้ในมือ แต่เพราะมีการรบพุ่งติดพันอยู่มิขาด จึงมิอาจทำให้
ตามความประสงค์บัดนี้เราสูญสิ้นพื้นแผ่นดินจะพักพิง แคว้นเลียวตั๋งมีไพร่พลและแม่ทัพนายกองหลายหมื่นคน
อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ หากยึดไว้เป็นของเราเสียก็จักขยายอำนาจไปสู่ภาคกลางได้โดยง่าย การหนีเข้าเลียวตั๋งในครั้งนี้
หากมีโอกาสก็จงจับกองซุนของสังหารเสีย เพื่อหาทางใช้ไพร่พลของเขา แก้แค้นเอากับโจโฉต่อไป
จักทำใจอ่อนมืออ่อนมิได้เป็นอันขาด อีกไม่กี่วันต่อมา พี่น้องทั้งสองก็มาถึงเซียงผิงเมืองเอกของเลียวตั๋ง
ขอเข้าคำนับกองซุนของ แต่เนื่องจากทหารสอดแนมของกองซุนของยังไม่กลับยังมิรู้ที่จะจัดการกับ ๒ คนพี่น้องสถานใด
กองซุนของจึงหารือหาเหตุปฏิเสธไม่พบคนทั้งสอง

หลายวันต่อมา ทหารสอดแนมก็กลับมาแจ้งว่า กองทัพโจโฉรื้อค่ายถอยทัพกลับฮูโต๋แล้ว กองซุนของก็ให้ ๒ พี่น้องเข้าพบ
ในวันนั้น กองซุนของก็เตรียมการไว้พร้อมสรรพ เมื่อพี่น้องทั้งสองเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยโดยมิได้เฉลียวใจแต่ประการใด
ก็ถูกไพร่พลของกองซุนของจับมัดไว้อย่างแน่นหนาแล้วนำไปตัดศีรษะในทันที หลังจากนั้นจึงบรรจุศีรษะของคนทั้งสอง
ลงในหีบไม้ จัดทูตนำหีบศีรษะของคนทั้งสองไปมอบให้แก่โจโฉ

กลยุทธ์นี้มีผู้สรุปว่า
“เมื้อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนภายใน ให้รอดูการเปลี่ยนแปลงโดยสงบ ให้ข้าศึกเกิดความปั่นป่วน ก้าวไปสู่ความพินาศเอง
ที่ว่า “ไฟ” ในกลยุทธ์นี้ ก็หมายถึงการบาดหมางภายในฝ่ายข้าศึก เช่นเกิดมีคนทรยศหรือไส้ศึก หรือเกิดความปั่นป่วน
ในช่วงเวลานี้เอง การคอยสังเกตการณ์อยู่ด้วยความสงบ แล้วค่อยตักตวงเอาในภายหลังจึงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 10:59:11 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๐ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม

เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการ พร้อมแล้วจึงเคลื่อน อย่าให้แปรเปลี่ยน แข็งในอ่อนนอก

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องทำให้ข้าศึกเชื่อว่าเรามิได้เคลื่อนไหวอะไรเลย จึงสงบไม่เคลื่อนเช่นกัน
ทั้งเกิดความคิดมึนชาขึ้น แต่เรากลับดำเนินการตระเตรียมเป็นการลับ รอคอยโอกาส
เพื่อที่จะออกปฏิบัติการโดยฉับพลันทันที แต่ต้องระวังมิให้ข้าศึกล่วงรู้ก่อน อันจะทำให้สภาพการณ์
เกิดการเปลี่ยนแปลงไป “ แข็งในอ่อนนอก” คือภายนอกนั้นดูละมุนละไม แต่ภายในนั้น
เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง “ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ความเดิมหมายถึงโดยผิวเผินก็อ่อนโยน
แต่ภายในนั้นมากด้วยเล่ห์ เมื่อนำมาใช้ก็คือกลยุทธ์ที่นอกอย่างในอย่าง แจ้งอย่างลับอย่าง
ภายนอกแสดงความอ่อนละมุน แต่ภายในแผงไว้ด้วยการเอาเป็นเอาตายอยางหนึ่ง

กลยุทธ์นี้อยู่ใน “ จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติหลี่อี้ฝู่” ซึ่งกล่าวว่า
“ภายนอกของอี้ฝู่นอบน้อมถ่อมตน พบใครใบหน้าก็ยิ้มย่องผ่องใน แต่เป็นคนเห็นแก่ตัว
เชือดคอคนได้ในทางลับ ต้องการได้อำนาจ จักให้ผู้อื่นศิโรราบด้วยตน หากไม่พึงพอใจใคร
ก็จักทำลายเสียโดยพลัน ดังนั้นผู้คนจึงโจษจันกันว่า “ ซ่อนดาบในรอยยิ้ม”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ..........
ในยุคก้านกว๋อ ฉินเสี้ยวกงออกประกาศแสวงหาผู้รู้ เพื่อเสริมสร้างแคว้นฉินให้มั่งคั่งเข้าแข็ง
ในขณะนั้นมีชาวเมืองเว่ย แซ่กงซุน ซื่อเอียงได้ข่าวว่าแคว้นฉินต้องการผู้รู้ไปอยู่ด้วย
จึงเดินทางจากแคว้นเว่ยเข้าแคว้นฉินไป กงซุนเอียงคนนี้เป็นนักศึกษาผู้คงแก่เรียน
ในเรื่องความเป็นไปต่าง ๆ ของแผ่นดิน จึงมีความรอบรู้เป็นอันมาก เมื่อแรก สมัครเป็นที่ปรึกษา
อยู่ในจวนของอัครมหาเสนาบดีกงซู่จ้อ แห่งแคว้นเว่ย กงซู่จ้อเคยคิดจะแนะนำให้เข้ารับราชการ
กับเว่ยฮุ่ยอ๋อง ผู้ครองแคว้นเว่ย แต่เคราะห์ร้ายที่กงซู่จ้อเกิดล้มป่วยลงเสียก่อน พอล้มหมอนนอนเสื่อ
ก็โงหัวไม่ขึ้นแต่บัดนั้น

มีอยู่วันหนึ่ง เว่ยฮุ่ยอ๋องมาเยี่ยมถึงจวนของกงซู่จ้อ ถามว่า “หากท่านป่วยลุกไม่ไหวออกราชการมิได้
กิจการบ้านเมืองของเราท่านคิดว่าควรจักมอบให้ผู้ใด” กงซู่จ้อจึงทูลว่า “มอบให้กงซุนเอียง
ที่ปรึกษาของจวนข้าพเจ้า กงซุนเอียงแม้จะมีอายุน้อย แต่มีอัจฉริยะเหนือนคนอื่น สามารถรับตำแหน่งนี้ได้”
เว่ยฮุ่ยอ๋องได้ฟังดังนั้น ก็เข้าใจสงซู่จ้อป่วยอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะสติฟั่นเฟือน จึงมิได้เชื่อถือ
ในขณะที่เว่ยฮุ่ยอ๋องจะกลับ กงซู่จ้อก็ไล่ผู้คนออกไปจนสิ้น แล้วกล่าวแก่เว่ยฮุ่ยอ๋องว่า
“หากท่านมิใช้กงซุนเอียงก็จะฆ่าเขาเสีย อย่าให้เขาออกจากแคว้นเราไปเป็นอันขาด
เพื่อมิให้เขาไปเป็นขุนนางในแคว้นอื่น มิฉะนั้นแล้ว จะเป็นภัยอย่างร้ายแรงแก่แคว้นเว่ย”
เว่ยฮุ่ยอ๋องก็ยังคงเข้าใจว่า กงซู่จ้อพูดด้วยความเพ้อเจ้อ ก็รับปากไปแกนๆ เพื่อมิให้
เมื่อเว่ยฮุ่ยอ๋องกลับไปแล้ว กงซู่จ้อก็เรียกตัวกงซุนเอียงมาพบ กล่าวว่า “เมื่อสักครู่เว่ยฮุ่ยอ๋องมาเยี่ยมเรา
ถามเราว่าใครจะเข้ามาแทนหน้าที่เราได้เราแนะนำท่านไป แต่ดูแล้ว เว่ยฮุ่ยอ๋องคงจะไม่เห็นด้วย
เราจึงกล่าวแก่ฮุ่ยอ๋องว่า หากท่านอ๋องไม่ใช้ท่านก็จงฆ่าท่านเสีย เว่ยฮุ่ยอ๋องก็พยักหน้ารับแล้ว
เราเป็นขุนนางของแคว้นเว่ยก็จำต้องกล่าวแก่ท่านอ๋องเช่นนั้น บัดนี้ เราสงสารท่าน จึงแจ้งแก่ท่าน
ให้ทราบความท่านจงรีบหนีเอาตัวรอดไปโดยเร็วเถิด”

กงซุนเอียงจึงกล่าวว่า “ขอให้ท่านจงวางใจ เมื่อวุ่ยอ๋องมิฟังคำพูดของท่าน แต่งตั้งให้ข้าพเจ้า
รับหน้าที่แทนท่าน แล้วจักเชื่อคำท่านมาฆ่าข้าพเข้าได้อย่างไร? ท่านมิต้องวิตกไปดอก”
กองซุนเอียงจึงมิได้หนีไปไหน เมื่อเว่ยฮุ่ยอ๋องกลับถึงที่พัก ก็กล่าวแก่ขุนนางน้อยใหญ่ว่า
“อาการป่วยของกงซู่จ้อเห็นทีจะไม่ไหวแล้ว พูดจาเลอะเทอะ จักให้เรามอบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี
แก่ที่ปรึกษาของเขาชื่อกงซุนเอียงคนนั้น เรามิรู้หัวนอนปลายตีนของคนผู้นั้นเลย เป็นใครมาแต่ไหนก็มิรู้
ไฉนจักมอบกิจการบ้านเมืองให้แก่คนผู้นี้ได้ ชะรอยกงซู่จ้อสติคงจะฟั่นเฟือนไปเป็นแน่แท้แล้ว”

เมื่อกงซู่จ้อตายแล้วไม่นาน กงซุนเอียงทราบว่าแคว้นฉินแสวงหาผู้รู้จึงเข้าแคว้นฉินไปสมัครด้วย
ได้พบฉินเสี้ยวกงถึง ๔ ครั้งด้วยกัน ใน ๒ ครั้งแรกกงซุนเอียงบรรยายเรื่องมรรควิธีแห่งการปกครองบ้านเมือง
ของอดีตกษัตริย์ เช่นหยาว ซุ่นแลหยี่ให้ฟัง แต่ฉินเสี้ยวกงมิได้ให้ความสนใจในมรรควิธีเหล่านี้แต่ประการใดเลย
จึงมิได้ยกย่องกงซุนเอียงเท่าที่ควร ดังนั้น กงซุนเอียงจึงขอเข้าพบอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในครั้งนี้กงซุนเอียง
บรรยายถึงวิธีทางแห่งการตั้งตัวเป็นใหญ่ของฉีหวงกง ซ่งเซียงกง สิ้นเหวินกง และฉู่จวงอ๋องในยุคซุนซิว
ก่อนหน้านี้ ฉินเสี้ยวกงรู้สึกพึงพอใจเป็นที่ยิ่ง นิ่งฟังอยู่ด้วยความสนใจ ในครั้งที่ ๔ กงซุนเอียงพูดถึงแนวทาง
แห่งการสร้างบ้านเมืองให้มั่งคั่งเข้มแข็ง ฉินเสี้ยวกงก็ฟังอย่างเอาใจใส่เหมือนต้องมนต์สะกดเป็นเวลาถึง ๓ วัน ๓ คืน
โดยมิได้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ครั้นแล้วก็แต่งตั้งให้กงซุนเอียงเป็นจ่อซู่จ่าง อันเป็นตำแหน่งควบคุมการปกครอง
ทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารในสมัยนั้น และลงมือดำเนินตามนโยบายให้บ้านเมืองเข้มแข็งพลเมืองมั่งคั่ง
ของกงซุนเอียง ไปทั่วประเทศ

แนวทางการปฏิบัติการปกครองใหม่ของกงซุนเอียง เป็นต้นว่ายกเลิกการสืบฐานันดรศักดิ์ในวงศ์ตระกูล
ให้แต่งตั้งและเลื่อนตำแหน่งขุนนางตามความดีความชอบ ส่งเสริมการเพราะปลูก ที่ผลิตได้มา
ก็ไม่ต้องเกณฑ์แรงงาน ห้ามกระทำความผิดอย่างเข้มงวดกวดขัน ผู้ใดทำผิด ครอบครัวและเพื่อนบ้าน
จะต้องรับผิดชอบถูกลงโทษด้วยกันเป็นต้น

แนวทางการปฏิรูปการปกครองของกงซุนเอียง ได้ดำเนินอยู่ในแคว้นฉิน ๑๐ ปี
ภาวการณ์ของบ้านเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปสิ้น ของตกไม่หาย โจรขโมยไม่มี ราษฎรทั้งหลายจึงหาญกล้า
ที่จะออกรบเพื่อบ้านเมือง ไม่หาเหตุทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องส่วนตัว แคว้นฉินเต็มไปด้วยความสงบราบรื่น
บ้านเมืองเข้มแข็ง พลเมืองก็มั่งคั่ง

ในเวลานั้น เป็นช่วงที่เถียนจี้ ซุนปินนำทัพไปตีแคว้นเว่ยเพื่อช่วยแคว้นหานอยู่ ซุนปินใช้กลอุบายลดเตาไฟ
ตีทัพเว่ยพ่ายที่หม่าหลิง ฆ่าฟังจวนขุนพลเอกของเว่ยตายในที่รบ กงซุนเอียงเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่แคว้นฉิน
จักแผ่ขยายอำนาจของตนออกไป ในปีรุ่งขึ้นหลังจากฟังจวนเสียชีวิตแล้ว (๓๔๑ ปีก่อนคริสตกาล) กงซุนเอียง
จึงแนะนำฉินเสี้ยวกงว่า
“แคว้นเว่ยเป็นหนาวยอกอกแคว้นฉินอยู่ หากมิใช่แคว้นเว่ยกลืนแคว้นฉิน ก็จะต้องเป็นฉินกลืนเว่ยเสีย
เพราะแคว้นเว่ยครองด้านตะวันตกของภูเขาจงเถียวซานเอาไว้ ส่วนด้านตะวันออกของภูเขาเถียวซานนั้น
เป็นภูเขาสูงชันรับง่ายบุกยาก เมืองหลวงก็ตั้งอยู่ที่นครอันอี้ (อำเภอเซี่ยเสี้ยนในมณฑลซานซีปัจจุบัน)
มีแม่น้ำเหลืองคั่นไว้กับแคว้นฉินเท่านั้น ทั้งยังยึดด้านตะวันออกของภูเขาเสียวซานอ้นเป็นชัยภูมิที่ดีไว้ด้วย
มาทางตะวันตกก็จะบุกฉินได้ฉินได้ผู้ครองแคว้นที่ดี จึงรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้น ส่วนแคว้นเว่ยเมื่อปีที่แล้ว
ก็ถูกแคว้นตีเอาจนยับเยินไป ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็มิได้สมัครสมานด้วย จึงเป็นโอกาสดีที่แคว้นฉินจะบุกแคว้นเว่ย
เมื่อแคว้นเว่ยรับการบุกของแคว้นฉินไม่ไหวก็จักเคลื่อนไปทางตะวันออก ดังนั้น แคว้นฉินก็จะสามารถครอบครอง
เอาชัยภูมิสำคัญในอาณาบริเวณแม่น้ำเหลืองและภูเขาเสียวซานเอาไว้ ถอยก็จะรับได้ รุกก็ขยายฟื้นที่ออกไป
ทางตะวันออก ข่มผู้ครองแคว้นอื่นๆ ลงโดยง่ายนี่เป็นมรรควิธีแห่งจักรพรรดิ มิควรจะละทิ้งโอกาสนี้เสีย
ขอให้ท่านอ๋องจงตัดสินใจโดยเร็ว”

ฉินเสี้ยวกงตรึกตรองแล้วก็เห็นด้วย จึงตั้งให้กงซุนเอียงเป็นแม่ทัพนำไพร่พล ๕ หมื่นยกออกจากนครเสียนหยาน
เดินทัพมุ่งไปทางตะวันออก ฝ่ายเว่ยฮุ่ยอ๋องทราบว่ากองทัพฉินยกมาทางตะวันออก ทางแคว้นซีเหอคับขัน
จึงเรียกขุนนางน้อยใหญ่มาปรึกษา กงจื่ออั๋งจึงว่า “เมื่อครั้งที่กงซุนเอียงยังอยู่ในแคว้นเว่ยนั้น คบหากับข้าพเจ้าอยู่
บัดนี้ ข้าพเจ้าใคร่จักนำทหารไปต้านทัพฉิน ว่ากล่าวกันด้วยทำนองคลองธรรมกับกงซุนเอียง
หากเขาคิดถึงความสัมพันธ์แต่กาลก่อน ทัพฉินก็จะถอยไปในไม่ช้า ถ้าหากเขามิเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จักยึดแม่น้ำ
และภูเขาอันเป็นชัยภูมิตามธรรมชาติต้านทานไว้อย่างสุดความสามารถ ทัพฉินก็คงจะทำอะไรกับแคว้นเว่ยมิได้”
เว่ยอุ่ยอ๋องฟังความแล้วก็ให้ยินดีเป็นที่ยิ่ง แต่งตั้งให้กงจื่ออั๋งเป็นแม่ทัพนำไพร่พล ๕ หมื่นไปช่วยแคว้นซีเหอ
เมื่อกงจื่ออั๋งถึงแคว้นซีเหอ ก็นำทัพเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองอู๋เฉิง เมืองอู๋เฉิงนี้เดิมทีเป็นเมืองหนึ่งที่อู๋ฉี่บุกตีแคว้นฉิน
มาได้ ๕ เมืองต่อเนื่องกัน จึงได้รับการแต่งตั้งจากเว๋ยเหวินโหวผู้ครองแคว้นเว่ยในขณะนั้น ให้เป็นผู้ครองแคว้นซีเหอ
อู๋ฉี่จึงสร้างกำแพงเมืองและป้อมค่ายคูรบขึ้นมาอย่างแข็งแรงต้านแคว้นฉิน จึงยากแก่การเข้าตียิ่งนัก

เมื่อกงซุนเอียงนำทัพฉินเข้ามายังแคว้นซีเหอจนกระทั้งมาประชิดเมืองอู๋เฉิง เห็นกำแพงเมืองอู๋เฉิงแข็งแรงนัก
ยากที่จะหักเข้าไปด้วยกำลังได้ จึงคิดอุบายที่จะตีเมืองอู๋เฉิงอยู่ ครั้งทราบว่าทางแคว้นเว่ยส่งกงจื่ออั๋งนำไพร่พล
มาต้านทัพฉินก็ให้รู้สึกดีใจ คิดอยู่ในใจว่า “อุบายเราสำเร็จแน่แล้วในครั้งนี้” จึงเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง
ส่งคนนำสารไปตะโกนยังตีนกำแพงเมืองว่า “กงซุนเอียงแม่ทัพแห่งแคว้นฉินมีหนังสือถึงกงจื่ออั๋งแม่ทัพแคว้นเว่ย
ขอให้เปิดประตูออกมารับด้วย ทหารจึงนำความไปแจ้งแก่กงจื่ออั๋ง ขณะนั้น กงจื่ออั๋งก็กำลังคิดจะมีหนังสือ
ถึงกงซุนเอียงอยู่ เพื่อเจรจาสงบศึกต่อกัน

เมื่อได้ข่าวว่ากงซุนเอียงมีหนังสือก่อน จึงสั่งให้หย่อนเชือกลงจากกำแพงเมืองรับหนังสือขึ้นมา
หนังสือของกงซุนเอียงมีความว่า “เมื่ออยู่ในแคว้นเว่ย ท่านกับข้าพเจ้าก็คบหาสมาคมกันเป็นอันดี
บัดนี้ แม้เราจะรับใช้เจ้านายที่ต่างกัน เป็นแม่ทัพของเว่ยและฉิน แต่ข้าพเจ้าก็มิอยากจะให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน
ใคร่จะได้พบหน้าท่าน ทำสัญญาแก่กัน ต่างถอยทัพกลับไป ทำให้แคว้นฉินกับแคว้นเว่ยอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข
หากท่านเห็นฟ้องด้วยก็จงกำหนดวันเวลาที่เราทั้งสองจักพบกันเพื่อหารือในเรื่องนี้สืบไป กงจื่ออั๋งอ่านจบก็ดีใจยิ่งนัก
รีบเขียนหนังสือตอบเห็นด้วยกับการเจรจา แต่กงจื่ออั๋งมิได้เฉลี่ยวแม้สักนิดเดียว นี่คือกลอุบาย
“เชื่อจึงวางใจ มืดเพื่อเตรียมการ” เมื่อกงซุนเอียงได้รับหนังสือตอบแล้ว ก็รู้ว่ากงจื่ออั๋วหลงกลในจนแล้ว
จึงสั่งให้เตรียมการในทันที ถอนทัพฉินออกไปจากใต้กำแพงเมืองอู่เฉิง แสร้งทำเป็นยกทัพกลับฉิน
แต่ในทางลับแล้วกลับสั่งให้ซุ่มซ่อนไพร่พลไว้ในที่พ้นตาโดยรอบ ให้ถือเสียงประทัดเป็นสำคัญ
แล้วให้กรูกันออกมาจับตังกงจื่ออั๋งไว้ในขณะเดียวกันก็ให้คนจัดสุราอาหารโต๊ะเก้าอี้ไว้พร้อมสรรพ
ณ แหล่งประชุมรอกงจื่ออั๋งออกมา

เมื่อถึงวันกำหนด กงจื่ออั๋งก็นั่งรถออกมาจากเมือง พร้อมด้วยบริวารมือเปล่า ๓๐๐ คน กงซุนเอียงจึงออกมาต้อนรับ
กงจื่ออั๋งเห็นฝ่ายตรงข้ามมีอยู่เพียงไม่กี่คน ทั้งไม่มีอาวุธด้วยก็ยิ่งไม่สงสัย ทั้ง ๒ คนเมื่อพบกัน
ต่างสนทนากันถึงเรื่องเก่า ๆ ในครั้งกระโน้นเป็นที่สำราญใจและเมื่อปรึกษาถึงเรื่องสงบศึกต่างเป็นมิตรแก่กันแล้ว
กงซุนเอียงก็เชิญกงจื่ออั๋งและบริวารให้เข้าร่วมโต๊ะ เลี้ยงสุราอาหารเป็นที่เบิกบาน แต่กงจื่ออั๋งดื่มสุราได้เพียงไม่กี่จอก
ก็ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงโห่ร้องอึงคะนึง กงจื่ออั๋งจึงรู้ว่าหลงกลเสียแล้ว ขยับตัวจะหนีก็ถูกคนรับใช้ ๒ คน
ซึ่งที่แท้เป็นขุนพลของแคว้นฉินจับมัดไพล่หลังจนกระดิกตัวไม่ได้กงจื่ออั๋งจึงตะโกนเรียกบริวารให้ช่วย แต่บริวาร
ก็ถูกจับเป็นเชลยหมดสิ้นแล้ว ไหนเลยจะมาช่วยกงจื่ออั๋งได้ กงซุนเอียงจึงนำกงจื่ออั๋งใส่รถนักโทษ
ส่งคนนำกลับไปถวายฉินเสี้ยวกงรายงานชัยชนะของตน ครั้นแล้วจึงใช้บริวารของกงจื่ออั๋งเรียกให้ทหารเว่ย
เปิดประตูเมือง แล้วเข้ายึดเมืองอู๋เฉิงได้ โดยมิได้เสียไพร่พลสิ้นเปลืองกำลัง

เมื่อเมืองอู๋เฉิงแตก แคว้นซีเหอก็รักษาไว้ได้ยาก เว่ยฮุ่ยอ๋องจึงจำต้องย้ายเมืองหลวงจากนครอันฮี้ไปอยู่เมืองต้าเหลียง
(เมืองไคฟงในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) และตัดแคว้นซีเหอให้แคว้นฉินไปเพื่อสงบศึก ในเวลานั้นเว่ยฮุ่ยอ๋อง
ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอันมาก รำพึงรำพันแก่คนทั้งหลายว่า “เราเสียใจที่มิได้เชื่อฟังคำของกงซู่จ้อแต่แรก
ฆ่ากงซุนเอียงเสีย เวลานี้เสียใจก็สายไปเสียแล้ว” ส่วนกงซุนเอียง เนื่องจากมีความดีความชอบในการตีแคว้นเว่ย
ฉินเสี้ยวกงจึงตั้งให้เป็นซาง จินเทียบเท่าผู้ครองแคว้น แล้วมอบ ๑๕ เมืองให้อยู่ได้การปกครองของกงซุนเอียง

แต่หลังจากฉินเสี้ยวกงสิ้นชีพแล้ว เนื่องจากในช่วงเวลาที่กงซุนเอียงปฏิรูปการปกครองตามแนวทางของตนนั้น
ได้กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของพวกเจ้านายเป็นอันมาก ต่างแค้นเคียงอยู่ในใจครั้นเมื่อเฉินฮุ่ยเหวินอ๋อง
ขึ้นมาครองแคว้นฉิน กงซุนเอียงก็ถูกจับมัดติดกับรถศึก ๔ คัน ฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จนตาย
กลยุทธ์นี้ เห็นจะตรงกับสุภาษิตไทยเราที่ว่า “ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ”

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“พยายามทำให้ฝ่ายข้าศึกเข้าใจว่าฝ่ายเรามิได้มีการตระเตรียมแต่อย่างใดเลย จึงสูญเสียความระมัดระวัง
แต่ฝ่ายเรากลับวางแผนอย่างลับ ๆ เมื่อตระเตรียมพร้อมแล้วก็ให้รวบหัวรวบหางพิชิตเอาชัยในทันที
แต่ไม่ควรจะให้ข้าศึกรู้ตัวก่อนเป็นอันขาด อันอาจจะก่อให้เกิดอุปสรรคที่ไม่จำเป็นขึ้น ที่ว่า “ซ่อนดาบในยิ้ม”
ก็คือ “ปากหวานใจคด” ใบหน้านั้นยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในใจแฝงไว้ด้วยด้วยความเหี้ยมเกรียมที่จะเอาชีวิตกัน”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #22 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 11:18:07 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๑ หลี่ตายแทนถาว

การจักต้องเสีย เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อการพัฒนาของสถานการณ์มิเป็นผลดีแก่ตนจักต้องเกิดความเสียหาย
อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เพื่อที่จะแปรความเสียเปรียบเป็นความได้เปรียบ ก็จะต้องยอมเสีย “มืด”
เพื่อประโยชน์แก่ “สว่าง” ซึ่งก็หมายความว่าจำต้องเสียสละส่วนหนึ่ง เสียค่าตอบแทนน้อย
เพื่อแลกกับชัยชนะทั่วทุกด้าน “ หลี่ตายแทนถาว” ความหมายเดิมเป็นการเปรียบเทียบความรักใคร่
ช่วยเหลือกันระหว่างพี่น้อง แต่เมื่อใช้ในการทหารหรือในกรณีอื่น ๆ ก็เปรียบเทียบเป็นการทดแทน
ซึ่งกันและกัน อันเป็นกลอุบายที่ให้ ก.เข้าแทนที่ ข.หรือให้ ข.แทนที่ ก. อย่างหนึ่ง ที่ว่า”เสียกำเอากอบ”
หรือ “เสียบ่าวเอานาย” ก็เป็นกลอุบายในทำนองนี้ คำ ๆ นี้เดิมมาจากกวีนิพนธ์บทหนึ่งชื่อ “ไก่ขัน”
ใน “ชุมนุมกวีนิพนธ์กู่เล่อฝู่” ความว่า “ ต้นถาวเกิดที่ปากบ่อ ต้นหลี่โตเคียงมา หนอนบ่อนไชต้นถาว
หลี่ตายแทนถาว ต้นไม้ยังตายแทนกัน พี่น้องไฉนไยจึงลืม”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ........
ในช่วงหลังของยุคจ้านกว้อ แคว้นจ้าวมีขุนพลฝีมือดีอยู่คนหนึ่งชื่อหลี่มู่เนื่องจากได้สร้าง
ความดีความชอบไว้มากมาย จึงได้รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ เป็นอู่อันจิน (๒๓๖ ปีก่อนคริสตกาล)
ในสมัยที่เสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๖๕-๒๔๔ ปีก่อนคริสต์กาล) ผู้ครองแคว้นจ้าวยังมีชีวิตอยู่
ขุนพลผู้รักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น(ในอำเภอเหอซีและหนิงอู่ มณฑลซานซีปัจจุบัน) ซึ่งเป็นเขตชายแดน
ของแคว้นจ้าว มักจะตั้งทหารอยู่ ณ เมืองเอี้ยนเหมิน เนื่องจากในขณะนั้นพวกฮวนซงหนู
ได้ตั้งแคว้นซานหลานขึ้นทางภาคเหนือของแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น ทั้งเผ่าชนฮวนตงหูและหลินหู
อีก ๒ เผ่าใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ก็คอยคุกคามพรมแดนของแคว้นจ้าวอยู่เสมอมา
พวกฮวนเหล่านี้โดยเฉพาะฮวนซงหนู มักจะบุกเข้าในแดนจ้าว ถ้าไม่ไปจับคนไปเป็นเชลย
ก็ปล้นชิงเอาสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินของราษฎรไปพวกฮวนแก่งทางขี่ม้า เวลาบุกเข้ามาครั้งละหลายสิบ
หรือหลายร้อยคนก็รวดเร็วประดุจพายุหมุน เข้าตีปล้นกวาดต้อนเอาชั่วพริบตาเดียวก็จากไปทิ้งฝุ่นไว้ตลบ
ราษฎรแห่งแคว้นจ้าวทั้งหลายทางภาคเหนือต้องรับเคราะห์กรรมจากการบุกรุกของพวกฮวนครั้งแล้วครั้งเล่า
เดือดร้อนไปทุกครัวเรือน หลี่มู่จึงถูกส่งให้มาเป็นแม่ทัพรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้น เมื่อถึงเมืองเอี้ยนเหมินแล้ว
ก็ใช้กฎอัยการศึกคุมอำนาจการบริหารไว้ แต่งตั้งขุนนางชั้นต่าง ๆ จัดให้มีที่ว่าราชการ ส่วยสาอากรต่าง ๆ
ก็จัดเข้าท้องพระคลังที่ตนควบคุมดูแลเองจนสิ้น มิให้รั่วไหลไปไหน เพื่อนำไปใช้ในการศึกหลี่มู่ฆ่าวัวแพะ
เลี้ยงดูไพร่พลเกือบทุกวัน ทั้งออกควบคุมการฝึกทหารด้วยตนเอง ให้ขี่ม้า ยิงเกาทัณฑ์ ซ้อมรบเป็นอาทิ
และส่งม้าเร็วออกไปสอดแนมสภาพข้าศึกเป็นประจำ นอกจากนั้นยังร่วมกินร่วมนอนร่วมทุกข์ร่วมสุข
กับไพร่พลดูแลเอาใจใส่ไพร่พลเป็นอย่างดี

แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไพร่พลทั้งหลายไม่เข้าใจ คือหลี่มู่ให้ทหารทั้งหลายเอาตัวรอดไม่ให้ออกรบ
ทั้งยังออกคำสั่งที่แปลกประหลาดฉบับหนึ่ง ความว่า “บรรดาไพร่พลทั้งหลาย เมื่อพวกฮวนซงหนู
และเผ่าหูบุกเข้ามาปล้นสะดม ให้รีบหนีกลับเข้าเมืองรักษาค่ายไว้ หมั่นอย่างกวดขันโดยเร็ว
ห้ามมิให้ออกปะทะด้วยเป็นอันขนาด ผู้ใดฝ่าฝืนอออกจากค่ายไปไล่จับพวกฮวนโดยพลการ
จะถูกตัดคอในทันที” ดังนั้นในคราใดที่พวกฮวนซงหนูบุกรุกเข้ามารังควาน หลี่มู่ก็ให้ทหารเป่าสัญญาณขึ้น
เมื่อบรรดาไพร่พลได้ยินเสียงสัญญาณก็รีบพากันกลับเข้าค่ายสงบอยู่ มิมีผู้ใดกล้าฝ่าฝืนออกรบด้วยข้าศึก
หลี่มู่กระทำเช่นนี้อยู่หลายปี พรมแดนของแคว้นจ้าวแม้จะถูกพวกฮวนรบกวนอยู่เสมอ
แต่เนื่องจากไม่รู้ตื้นหนาบางของเหตุไม่ออกรบด้วยจึงไม่กล้าบุกลึกเข้ามา ราษฎรทั้งหลายก็มิได้รับ
ความเสียหายอะไรมากมายนักทว่าพวกฮวนซงหนูก็มักจะเข้าใจว่า หลี่มู่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว
และแม้แต่แม่ทัพนายกองและไพร่พลของหลี่มู่เองก็เห็นว่า แม่ทัพของตนกลัวพวกฮวนเหมือนกาหวาดธนู
ความเป็นไปเหล่านี้ ก็ได้แพร่ไปถึงเมืองหลวงหานตานของแคว้นจ้าวในที่สุด แม้แต่เสี้ยวเฉิงอ๋อง
ก็ยังเข้าใจว่า ที่หลี่มู่ไม่ออกรบกับพวกฮวนซงหนูก็เพราะขี้ขลาด มิได้คิดว่าเป็นเพราะซงหนูรวมกัน
เผ่าหูอีก ๒ เผ่า มีกำลังกล้าแข็ง หลี่มู่จึงหลีกเลี่ยงการรบเสียชั่วคราว เพื่อสะสมพละกำลังของตนเอง
ให้ทัดเทียมพอสู้รบปรบมือกับข้าศึกได้ และตระเตรียมการออกรบเสี้ยวเฉิงอ๋องแล้ว ก็ยังคงดำเนินตาม
อุบายเก่าของตนอยู่เช่นเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงกริ้ว เรียกตัวหลี่มู่กลับเมืองหลวง ส่งจ้าวซงไปแทน
จ้าวซงพอไปถึงเมืองเอี้ยนเหมินก็ดำเนินการในทางตรงกันข้ามกับหลี่มู่ปีกว่าที่จ้าวซงรักษา
แคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอยู่ แต่ละครั้งที่ซงหนูบุกเข้ามา จ้าวซงเป็นต้องยกกำลังออกปะทะด้วย
แต่ก็ต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาเกือบทุกครั้งไป ด้วยเหตุนี้ สัตว์เลี้ยงและทรัพย์สิน
รวมทั้งตัวของราษฎรเองก็มักจถูกพวกฮวนซงหนูกวาดต้อนไปเป็นประจำ ราษฎรในท้องถิ่น
ก็มิกล้าออกไปเพาะปลูก ไม่กล้าออกไปเลี้ยงสัตว์ ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส ส่วนแม่ทัพนายกอง
และไพร่พลทั้งหลายก็บาดเจ็บล้มตายกันไม่น้อย ประกอบกับรบแพ้ด้วย จึงต่างพากันมีหนังสือขอให้
เสี้ยวเฉิงอ๋องส่งหลี่มู่กลับมารักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นเหมือนเดิม เสี้ยวเฉิงอ๋องเมื่อได้รับหนังสือร้องทุกข์แล้ว
จึงสำนึกว่าการรักษาชายแดนของหลี่มู่นั้น มีอุบายแยบยลของตนเอง ที่แล้วมาตนตำหนิหลี่มู่ผิดไป
จึงดำริให้หลี่มู่กลับไปรักษาแคว้นเอี้ยนหมินจิ้นอีก

หลี่มู่รู้สึกไม่พอใจในตัวเสี้ยวเฉิงอ๋องที่ทราบความเป็นไปของชายแดนอย่างแท้จริง
ฟังแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างก็หลับหูหลับตาเชื่อ เรียกตัวเองกลับโดยมิคิดหน้าคิดหลัง
ครั้นแล้วเสี้ยวเฉิงอ๋องจะให้กลับไปยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก ก็ปฏิเสธว่าป่วย
ปิดประตูเงียบไม่ยอมออกจากบ้าน

แต่เสี้ยวเฉิงอ๋องรู้ตัวดีว่า ตนเข้าใจผิดต่อหลี่มู่แต่แรก จึงยืนยันซ้ำขอให้หลี่มู่ช่วย
หลี่มู่จึงออกไปพบเสี้ยวเฉิงอ๋องกล่าวว่า “หากท่านอ๋องประสงค์จะให้ข้าพเจ้าไปรักษาเอี้ยนเหมินจิ้น
ก็จะต้องยินยอมให้ข้าพเจ้าใช้อุบายเดิมของข้าพเจ้า มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็ยากที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ได้”
เสี้ยวเฉิงอ๋องจึงอนุญาตว่า “ขอให้ท่านจงวางใจออกไปรักษาแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นตามเดิม
ท่านจะใช้อุบายของท่านอย่างไรก็สุดแต่ความเห็นของท่านเถิด เราจักไม่ห้ามปรามท่านอีกแล้ว”
หลี่มู่จึงกลับยังแคว้นเอี้ยนเหมินจิ้นอีก ก็ยังคงใช้อุบายเก่า ไม่ออกไปปะทะกับข้าศึก เมื่อถูกบุก
ก็ให้รีบกลับเข้าค่าย ต่อพวกไพร่พลก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขดูแลเอาใจใส่ในชีวิตความเป็นอยู่อย่างดี
เมื่อพวกฮวนซงหนูรู้ว่าหลี่มู่ กลับมารักษาเอี้ยนเหมินอีกก็ระมัดระวังตัวขึ้น ไม่กล้าเข้ารังควาน
อย่างบุ่มบ่ามเยี่ยงแต่ก่อน แม้จะรุกเข้ามาบ้างแต่ก็รีบถอนตัวกลับไปอย่างรวดเร็วมิหาญบุกลึกเข้ามา
ส่วนพวกแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งหลายได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำสำราญทุกวัน
และมีการฝึกปรืออยู่เป็นประจำ ต่างก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากออกรบเอาชัยแก่ข้าศึกเป็นกำลัง
ปีที่ ๑๖ ในสมัยเสี้ยวเฉิงอ๋อง (๒๕๐ ปีก่อนคริสตกาล) หลี่มู่เห็นแม่ทัพนายกองและไพร่พลของตน
ต่างก็มีร่างกายแข็งแกร่งและฝึกปรือมีความเก่งกาจ จนมีความกระเหี้ยนกระรือรือที่จะออกรบข้าศึก
ก็เห็นว่าโอกาสที่ตนรอคอยได้มาถึงแล้วจึงจัดรถศึก ๑,๓๐๐ คัน ม้าศึกอีก ๑๓,๐๐๐ ตัว
ไพร่พลอีก ๕ หมื่น พลเกาทัณฑ์อีก ๑๐ หมื่น ฝึกการประลองยุทธ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก

แม้กระนั้น ด้วยความสุขุมรอบครอบ ไม่อยากให้ไพร่พลของตนออกไปเสียชีวิตโดยใช่เหตุ
แต่ละคืนหลี่มู่ก็จมอยู่กับกองตำราพิชัยสงคราม เช่น “ซุนซิว” “จ่อจ้วน” “ซุนซื่อ” “กว้อเซ่อ” เป็นต้น
อ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อค้นหายุทธวิธีที่จะรบชนะโดยสิ้นเปลืองกำลังทหารน้อยที่สุด
ในยามกลางวันก็ส่งทหารออกไปสอดแนมความเป็นไปของข้าศึกโดยละเอียดเพื่อให้รู้เขารู้เรา
มิให้พลาดพลั้งเสียทีแก่ข้าศึกได้

ในที่สุด หลี่มู่ก็ติดสินใจใช้กลยุทธ์ “เสียมืดเพื่อประโยชน์สว่าง” โดยจงใจแสดงความอ่อนแอของฝ่ายตน
ให้ข้าศึกเห็นเป็นที่ประจักษ์ ในขณะออกรบ ยอมเสียหายเล็กน้อย เพื่อล่อลวงข้าศึก ทำให้ข้าศึกหยิ่งผยอง
และเหิมเกริมครั้นแล้วจึงใช้อุบาย เอาชนะข้าศึกในขั้นแตกหัก เมื่อตัดสินใจดังนี้แล้ว หลี่มู่ก็เรียกประชุม
แม่ทัพนายกองเพื่อปรึกษาอุบายนี้ แม่ทัพนายกองต่างก็เห็นด้วย ชิงกันสมัครออกรบ
เพื่อสร้างความดีความชอบกันเป็นจ้าละหวั่น และในวันหนึ่ง หลี่มู่ก็สั่งให้ชาวบ้านนำสัตว์ออกไปเลี้ยง
ยังท้องทุ่งนอกเมืองในชั่วขณะนั้น ทั้งคนและสัตว์คลาดคล่ำอยู่บนท้องทุ่งหญ้าเป็นบริเวณกว้าง
เป็นภาพที่เห็นได้ยากยิ่งนักในช่วงเวลาเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า ย่อมจะเป็นที่สนใจแก่พวกซงหนู
เป็นอย่างยิ่งด้วยจึงส่งพลม้าจำนวนหนึ่งออกมาปล้นสะดม เพื่อชิมลาง หลี่มู่แสร้งรบแพ้ถอยหนี
ทั้งผู้คนและสัตว์เลี้ยงไว้ส่วนหนึ่งให้พวกซงหนูกวาดต้อนเอาไป

ฝ่ายตานยีหัวหน้าเผ่าชนซงหนูได้รับแจ้งว่า หลี่มู่ที่ตนระวัดระวังเป็นนักหนานั้น แท้ที่จริง
ก็เป็นคนไร้ความสามารถ ขี้ขลาดอ่อนแอ จึงได้ใจ เห็นเป็นโอกาสที่จะกระหน่ำซ่ำเติมหลี่มู่ให้พ่ายไป
ขยายอาณาเขตแคว้นซานหลานของตนให้กว้างยิ่งขึ้น จึงระดมพลนำกำลังใหญ่บุกรุกเข้ามาในดินแดน
ของแคว้นจ้าวด้วยตนเองอย่างย่ามใจ

นอกเหนือความคาดหมายของตานยีก็คือ แท้ที่จริงแล้ว หลี่มู่ได้เตรียมกำลังอันมหึมารอคอย
ให้ตานยีหลงกลอยู่แล้ว เขาแยกทหารออกเป็น ๓ ทัพ ทัพแรกให้ออกปะทะกับข้าศึกซึ่งหน้า
ส่วนปีกขวากับปีกช้ายแยกกันโอบล้อมกำลังของซงหนูไว้ตรงกลาง แล้วจึงบดขยี้เสีย

พวกซงหนูและพวกอื่นๆ เก่งทางปล้นสะดมเป็นกิจวัตร แม้จะมีความสามารถทางขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์
แต่ก็ไม่สู้จะมีระเบียบวินัย ไม่ฟังคำสั่งความจริงก็เป็นแต่เพียงกำลังที่รวมตัวกันเข้ามาอย่างหลวม ๆเท่านั้น
ไหนเลยจะรบพุ่งต่อตีกับกองทัพของแคว้นจ้าวที่มีแม่ทัพนายกองและไพร่พลที่ได้รับการฝึกปรือ
มาอย่างเข้มงวดได้ ทัพ ๓ ทัพของหลี่มู่ ตีโอบเอากำลัง ๑๐ หมื่นไว้ในวงล้อมอย่างหนาแน่น
การรบได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดจนเลือดนองแผ่นดิน กำลังของซงหนูถูกตัดเป็นส่วนๆ และถูกทำลายไป
ทีละส่วนด้วยการบัญชาของหลี่มู่ก็แตกพ่ายยับเยิน ตานยีหัวหน้าเผ่าก็ได้แต่หลบหนีออกจากสนามรบ
เอาชีวิตรอด ปล่อยให้ไพร่พลเผชิญกับกองทัพอันแข็งแกร่งของแคว้นจ้าวอย่างจนตรอก
ในที่สุดแคว้นซานหลานของพวกฮวนหนูก็ถึงกาลอวสาน

เมื่อพวกฮวนซงหนูพ่ายศึกไปแล้ว พวกฮวนตงหูและหลินหูเห็นกำลัง ๑๐ หมื่นของซงหนูแหลกไป
ต่อหน้าต่อตาก็รู้ว่าตนไม่อาจจะต้านกับกองทัพของแคว้นจ้าวได้ จึงยอมจำนนแต่แคว้นจ้าวโดยดี
นับแต่นั้นมาภาคเหนือของแคว้นจ้าวจึงมิได้ถูกพวกฮวนมารบกวนอีกเลยเป็นเวลาหลายสิบปี
แคว้นจ้าวเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์จากเสี้ยวเฉิงอ๋องมาเป็นเต้าเซียนอ๋องหลังจากนั้นก็เป็นจ้าวเซียนอ๋อง
ซึ่งเป็นศัตรูครองนครจ้าวคนสุดท้าย ครั้นถึงปีที่ ๗ ในสมัยของจ้าวเซียนอ๋อง แคว้นเฉินก็ให้หวางเจี่ยน
นำทัพบุกแคว้นจ้าว จ้าวเซียนอ๋องจึงให้หลี่มู่นำทัพออกต่อต้าน ทัพฉินต้องพ่ายแพ้แก่แคว้นจ้าวเป็นหลายครั้ง
แคว้นฉินก็รู้ว่าได้เจอคู่ศึกฝีมือฉกาจฉกรรจ์เข้าแล้ว จะหวังชัยชนะได้ยากนัก จึงใช้กลอุบายติดสินบนแก่เก้อไค
ขุนนางแคว้นจ้าวผู้เป็นที่โปรดปรานของจ้าวเชียนอ๋อง ใช้กลยุทธ์ไส้ศึก แพร่ข่าวลือว่าหลี่มู่คิดกบฎ
จ้าวเชียนอ๋องเชื่อว่าเป็นความจริง ส่งจ้าวชงกับเหยียนจี้ไปรับมอบตำแหน่งแม่ทัพแทน หลี่มู่
หลี่มู่เห็นการศึกติดพันอยู่ เกรงว่าแคว้นจ้าวจักพ่ายแพ้ จึงมิรับคำบัญชา แต่จ้าวเซียนอ๋องก็ลอบส่งคนไปอีก
อย่างลับ ๆ ฉวยโอกาสที่หลี่มู่มิทันจะได้ระวังตัว จับหลี่มู่เอาไว้ แล้วฆ่าเสียในทันที ชีวิตของหลี่มู่
ซึ่งมีความชอบต่อแผ่นดินอย่างใหญ่หลวง จำต้องประสบเคราะห์กรรมจากความหูเบาของผู้ครองแคว้น
ที่ไร้สติปัญญา แต่ในที่สุด แคว้นจ้าวก็ล่มด้วยน้ำมือของจ้าวเชียนอ๋องผู้ครองแคว้นที่ใฝ่ใจ
แต่การประจบสอพลอคนนั้นเอง?

กลยุทธ์นี้สรุปว่า
“ในขณะที่ ๒ ฝ่ายประจันหน้ากันอยู่ ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องประสบความสูญเสีย
จักไม่บาดเจ็บล้มตายเลยหาได้ไม่ ในขณะที่กำลังของทั้งสอง ฝ่ายทัดเทียมกัน
ใครจะอยู่ใครจะไปยังมิอาจรู้ได้ ก็ควรจักยอมเสียค่าตอบแทนไปบ้างแต่น้อย
เพื่อแลกมาซึ่งผลประโยชน์ใหญ่ที่สุด จึงถูก”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #23 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2006, 11:43:38 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๒ จูงแพะติดมือ

ช่องทางเล็กก็พึงฉกฉวย ผลได้น้อยก็พึงชิงเอา มืดน้อย สว่างน้อย

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า แม้จะเป็นความเลินเล่อของข้าศึกเพียงเล็กน้อยเราก็ถึงฉกฉวยเอาประโยชน์
แม้จะเป็นชัยชนะเพียงเล็กน้อย ก็จะต้องชิงเอามาให้ได้ “มืดน้อย” หมายถึงความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ
ของข้าศึก “สว่างน้อย” หมายถึงชัยชนะเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฝ่ายเรา “ จูงแพะติดมือ” หมายถึง
อาศัยความประมาทแม้เพียงเล็กน้อยของฝ่ายตรงข้าม ชิงเอาผลประโยชน์มาเป็นของฝ่ายเราเสีย

กลยุทธ์นี้เป็นกลอุบายที่ใช้ช่องอันเป็นจุดอ่อนของข้าศึก ขยายพลังของตนเองออกไป เหมือนหนึ่งจูงแพะ
ของฝ่ายตรงข้ามติดมือเราไปด้วย ช่วงชิงมาซึ่งชัยชนะอย่างสะดวกใจสบายกายอย่างหนึ่ง
กลยุทธ์นี้เดิมมาจาก “คัมภีร์จิงเลี่ย ว่าด้วยการเคลื่อนพล” ซึ่งกล่าวไว้ว่า
“คอยจ้องหาจุดอ่อนของข้าศึก ฉกฉวยเอาประโยชน์ให้ทันท่วงที”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศไทยและในเอเชีย
โดยประเทศสหรัฐอเมริกา........จีนกับสหรัฐอเมริกานับว่าเป็นประเทศคู่แข่งขันและเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย
มาตั้งแต่ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์อย่างสมบูรณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นต้นมา
สหรัฐฯ ได้สร้างพันธมิตรของตนเองทั่วเอเชียเป็นแนวปิดล้อมการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน
การสร้างประเทศต่าง ๆ ให้เป็นประเทศที่มีศักยภาพและมีความมั่งคั่งตามแนว ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง
มาเลเซียและสิงคโปร์จึงเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ครั้นเมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดไปแล้ว
การขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์หมดความหมายไปตั้งแต่กำแพงเบอร์ลินพังทลายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒
ทำให้ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์โดยจีนหมดสิ้นไป อย่างไรก็ตามการที่จีนได้ประกาศนโยบายปฏิรูป
และเปิดประเทศในสมัย เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้นำนั้น ทำให้จีนสามารถพัฒนาเศรษฐกิจของตนได้อย่างก้าวกระโดด
ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างจับตามมองการเคลื่อนไหวของจีนอย่างสนใจ จีนได้ประกาศนโยบาย
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ๕ ข้อ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาคมโลก ที่ทำให้เห็นว่า
จีนไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อประเทศใด ๆ อีกต่อไป ยิ่งทำให้จีนได้เพิ่มความสำคัญให้กับตัวเอง
จีนกลายเป็นประเทศที่มีคู่ค้าขายมากขึ้น ด้วยการมีแผนในการปิดล้อมจีนมาอย่างต่อเนื่องและไม่ได้ยกเลิก
แต่มีการพัฒนาให้แผนสามารถที่จะปรับใช้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจีนได้อย่างต่อเนื่อง
( บัญญัติ ๑๐ ประการในการทำลายจีนของสหรัฐฯ, The 10 Commandment to conquer China
ซึ่งหลักฐานอันนี้ได้ถูกตีพิมพ์สู่สาธารณะอันเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปอยู่แล้ว ) สหรัฐฯ ได้พัฒนา
แผนดังกล่าวมาโดยตลอดจนกระทั่งล่าสุด ได้กำหนดแผนขึ้นมาอีกแผนหนึ่งเป็นส่วนประกอบของแผนใหญ่
ในการปิดล้อมจีน คือ การสร้างวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในอาเซียนและเอเชีย ซึ่งแผนนี้แท้ที่จริงเป้าหมายหลักคือ
การทำลายการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของจีนที่ต่อเนื่องมายาวนานอันเป็นเหตุให้จีนแข็งแกร่ง
และเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ มากขึ้น แต่แผนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะบรรลุเป้าหมายกังกล่าวข้างต้นนั้น
จึงอยู่ในข่ายของการใช้กลยุทธ์ “จูงแพะติดมือ” ดังต่อไปนี้

โดยปกติแล้วสหรัฐฯ ได้มีการเตรียมการวางสายงานด้านการข่าวและเครือข่ายการปฏิบัติงานทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยอันเป็นฐานที่มั่นหลักในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐฯ
มาตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มต้นของยุคสงครามเย็น เมื่อปี ๒๕๓๖ ขณะนั้นเป็นยุคที่ นายชวน หลีกภัย
เป็นนายกรัฐมนตรีของไทย มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย
รัฐบาลไทยในยุคนี้ ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังจากต่างประเทศเข้ามาให้คำปรึกษา
อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายหลายกรณีด้วยกัน ทำให้ต่างชาติได้เข้ามาล่วงรู้ความลับด้านการเงิน
และการคลังของประเทศไทยจนหมดสิ้น ซึ่งบริษัทต่างชาติดังกล่าวที่ได้รับการว่าจ้างให้เข้ามาเป็น
ที่ปรึกษาด้านการเงินและการคลังในสมัยนั้นคือ บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ โฮลดิ้ง อันเป็นบริษัท
ที่อยู่ในเครือของ นาย จอร์จ โซรอส ผู้ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย ดังที่จะได้กล่าวต่อไป
นั่นแสดงให้เห็นว่า จอร์จ โซรอส ได้เริ่มรวบรวมข้อมูลและได้มีการเตรียมการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ซึ่งผู้ว่าจ้างคือ นายชวน หลีกภัย ในฐานะนายกรัฐมตรี และนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กระทำอย่างจงใจและตั้งใจ และรู้เรื่องผลเสียหาย
ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติในอนาคตอย่างชัดเจนอยู่แล้ว( มีกฎหมายบัญญัติห้ามอยู่แล้ว
แต่ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ) พร้อมกันนั้นนายธารินทร์ฯ ได้ออกนโยบายการนำเข้าเงินทุน
จากต่างชาติเพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยย่างเสรี พร้อมกับเปิดวิเทศน์ธนกิจ ทำให้การนำเงินลงทุน
เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดขั้นตอนและผิดหลักการทางเศรษฐศาสตร์ อันเป็นเงื่อนไขต่อไป
ในการทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย

เมื่อถึงสมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี ๒๕๓๙ เป็นช่วงที่สถานการณ์สุกงอมเต็มที่
เศรษฐกิจของไทยได้กลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่อย่างสมบูรณ์แล้วระเบิดออกมาในที่สุด
กระบวนการเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้ถูกวางไว้ในประเทศต่าง ทั่วทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน
โดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯที่แฝงเข้ามาในรูปขององค์กรการค้าหรือการลงทุนใด ๆ ก็ตาม ได้เข้าไปสร้าง
องค์ประกอบของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ไว้ในประเทศต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ดังที่ซุน วู กล่าวไว้ว่า

“ ...ภารกิจของสามทัพ มิมีผู้ไว้ใจได้เท่าจารชน มิมีผู้ได้รางวัลเท่าจารชน มิมีเรื่องใดลึกลับเท่าจารชน
ไม่ปราดเปรื่องมิอาจช้ารชน ไร้เมตตามิอาจบัญชาจารชน ไม่แยบยลมิอาจได้ความจริงจากจารชน
แยบยลแสนจะแยบยล มิมีแห่งใดใช้จารชนมิได้ แผนจารชนมิทันใช้ มีผู้ล่วงรู้ก่อน ให้ตายทั้งจารชนและผู้รู้ ......”

“...กองทัพที่จะโจมตี เมืองที่จะเข้าบุก คนที่จะต้องฆ่า พึงรู้ชื่อแซ่ ขุนทัพ คนสนิทซ้ายขวา ผู้สื่อสาร
นายทวาร เหล่าบริวารก่อน ด้วยใช้จารชนเราสืบหามา...”จารชน บรรพที่ ๑๓

เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นที่ประเทศไทย จึงได้ขยายตัวออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งกลายมาเป็นวิกฤตเอเชียและกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในเวลาต่อมา มีนักวิเคราะห์สถานการณ์
ด้านความมั่นคงของโลกได้วิเคราะห์ถึงจำนวนเงินที่สหรัฐฯ จะได้รับจากการสร้างวิกฤตเศรษฐกิจในอาเซียน
และเอเชียครั้งนี้คือประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๒๘,๐๐๐,๐๐๐ ล้านบาท นับว่าเป็นตัวเงิน
ที่มีมูลค่าไม่น้อยต่อการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม โดยเป้าหมายหลัก
ของสหรัฐอเมริกาแล้ว คือการบรรลุเป้าหมายในการปิดล้อมจีนตามแผน ๓ ขั้น คือ

๑) ปิดล้อมจากโลกภายนอก โดยการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นทั่วโลกแล้วขับไล่อิทธิพลของจีนออกไป
ทั้งด้านการค้า การเมืองระหว่างประเทศและการทหารก็ตามที่จีนจะพึงมีอยู่ในภูมิภาคใด ๆ ทั้งนี้
การพัฒนาประเทศของจีนไปสู่ความเป็นมหาอำนาจได้จะต้องอาศัยการค้าขายจึงจะสามารถ
สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งได้ ความมั่งคั่งคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จีนจะสามารถทำได้ เมื่อจีนมั่งคั่ง
จะสร้างกองทัพให้เข้มแข็งมีเทคโนโลยีสูงมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก การสร้างความเข้มเข็ง
และอิทธิพลในการเมืองระหว่างประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นเดียวกัน ขอให้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
ขึ้นมาก่อน ฉะนั้นสหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันไม่ให้จีนมีความมั่งคั่งตามเป้าหมายของจีนให้ได้
โดยใช้การปิดล้อมจากโลกภายนอกคือการสร้างสถานการณ์ให้มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในทุกพื้นที่
ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ ได้ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ว่า “........จงปราบบรรดาอริราชศัตรูโดย
• ทำความพินาศให้กับมัน
• สร้างความลำบากยากแค้นให้กับมัน
• ให้มันต้องวุ่นอยู่เสมอ
• หยิบยื่นเหยื่อแห่งอามิสประโยชน์
• ทำให้มันต้องรีบรุดไปยังจุดใด ๆ ที่เราประสงค์.....”บทที่ ๘ กลยุทธแปรรูป
“ ...พึงให้เจ้าครองแคว้นอื่นสยบด้วยภยันตราย ให้เจ้าครองแคว้นอื่นรับใช้ด้วยอิทธิพล
ให้เจ้าครองแคว้นอื่นขึ้นต่อด้วยผลประโยชน์...”เก้าลักษณะ (บรรพที่ ๘) และจะสามารถสกัดกั้น
การเติบโตด้านการค้าขายของจีนกับตลาดโลกให้ได้

๒) การสร้างสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นรอบบ้านของจีนให้ได้ เช่น สร้างความขัดแย้งให้ทวีมากยิ่งขึ้น
ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นระหว่างไทยกับพม่า เป็นต้น

๓) การสร้างความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในประเทศจีนเอง โดยจัดให้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ
เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบขึ้นทุกวิถีทางให้เหมือนกับที่เคยสนับสนุนการก่อจารจลขึ้น
ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอย่างแน่ชัดว่าเป็นการสนับสนุนโดย
องค์กร ซีไอเอ ของสหรัฐอเมริกา ( จีน – ไทย ในศตวรรษที่ ๒๑ : ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ) หรือแม้กระทั่งการสร้างสงครามขึ้นในดินแดนของจีนในพื้นที่ใด ๆ ก็ตาม
ถ้าสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดคิดของคนทั่วไป อย่างไรก็ตามนับได้ว่าสหรัฐฯ
สามารถที่จะบรรลุแผนตามเป้าหมายคือการได้รับเงินก้อนใหญ่มหาศาลเข้าประเทศถือได้ว่า
เป็นการ จูงแพะติดมือ ดังกลยุทธ์ที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น

สิ่งที่เป็นแพะตัวใหญ่ที่สหรัฐฯ ได้ติดมือไปในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่คนไทยไม่ค่อยจะมีคนรู้กันดีเท่าใดนัก
คือเรื่องทรัพยากรธรรมชาติที่สหรัฐฯ วางแผนมานานกว่าจะได้สิ่งนี้มาคือ

การยึดครองแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดหลังปรากฏการณ์ เอล นีโน ตามที่องค์การนาซา ( NASA) ของสหรัฐฯ
รายงานว่า แหล่งอาหารของโลกทั่วทุกภูมิภาคของโลกจะถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากโดยลำดับหลังจาก
ปรากฏการณ์ เอล นีโนแล้ว ยกเว้น ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออกบางส่วน
พื้นที่ที่เหลือในการผลิตอาหารเลี้ยงพลเมืองของโลกนั้นมีเพียงแค่ ประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม
ทางตอนใต้ของจีน ( มณฑลยูนนานของจีน ) ปัจจุบันนี้ องค์การนาซาของสหรัฐฯ นอกเหนือจากการสำรวจงาน
ด้านอวกาศที่เป็นงานหลักของตนแล้ว ยังทำหน้าที่ในการสำรวจหาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติภายใต้พื้นผิวโลก
โดยเฉพาะแร่ธาตุที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

นาซาได้พบว่า หลังจากปรากฏการณ์ที่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมาเรียงตัวกันเป็นแนวระนาบ
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แล้วเกิดแรงดูดอย่างรุนแรงต่อของเหลวใต้ผิวโลก น้ำมันปิโตรเลียมบางส่วนมีการเคลื่อนย้าย
จากแหล่งเดิมไปสู่แหล่งใหม่ แหล่งปิโตรเลียมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือบริเวณประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และบางส่วนของประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอ่าวไทยจะมีการเคลื่อนตัวของปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ
เข้ามาในบริเวณอ่าวไทยอีกเป็นปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า แนวเชื่อมตั้งแต่อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย อ่าวไทย
เข้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ผ่านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพม่าและจีนตอนใต้บางส่วน ซึ่งในขณะนี้จีนกับพม่า
ได้สำรวจพบปิโตรเลียมปริมาณมากเหล่านี้แล้ว

เมื่อประมาณกลางเดือน ต.ค.๒๕๔๗ ก็ได้มีการสำรวจพบแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นอีก
อันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการปรากฏตัวของแหล่งปริโตรเลียมใหม่ที่จะมีปริมาณไม่น้อยไปกว่า
ในตะวันออกกลางเลยทีเดียว อีกส่วนหนึ่งที่สหรัฐฯ ได้ไปก็คือทรัพยากรธรรมชาติที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์
ในประเทศไทยที่เมื่อเปลือกโลกและของเหลวใต้โลกเคลื่อนตัวดังที่กล่าวมาแล้วนั้นทำให้แร่ธาตุต่าง ๆ
ที่อยู่ใต้พื้นดินลึกลงไปกลับตื้นขึ้นมา เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม เพชร ทองคำ โปแตสเซียม
( โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่โปแตสเซียมที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกและมากที่สุดในโลกที่อุดรธานี
ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าประเทศไทยมีแต่กว่าจะรู้ว่ามีต่างชาติก็ได้สัมปทานไปหมดแล้ว )
และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ต่างชาติโดยสหรัฐอเมริกาที่เป็นแกนหลักจะได้มาโดยง่าย
เพียงแค่ให้พันธมิตรของตนที่เป็นนักการเมืองไทยในบางยุคบางสมัยออกกฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน
จาก อบต.,อบจ. ๙๙ ปี แค่นี้ต่างชาติก็ได้ทรัพย์สินที่มีค่าของประเทศชาติทั้งหมดไปได้
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่หนักหน่วงที่สุดเท่าที่เคยมีมา รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวผู้อ่าน
สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ ปอกเปลือก...อานันท์ ปันยารชุน ของ ชลธิศ อาจมนภาพ ฯ ,
ชำระประวัติศาสตร์ กรณี ตุลาฯ และพฤษภาทมิฬ ( อ้างแล้ว ) , เนื้อหากฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ
ช่วงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

มีตัวอย่างบางตัวอย่างที่เกี่ยวข้องพอจะยกมาเป็นอุทาหรณ์ได้บ้างดังนี้
“......ธนาคารพัฒนาแห่งเอเซีย (ADB) ซึ่งปรากฏตามเอกสารของ Asian Development Bank , 1995
คงจะเป็นคำตอบได้ในกรณี นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับนายอานันท์
เป็นผู้ไปติดต่อกู้เงินจาก ธนาคาร ADB ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8% ทั้งที่สามารถกู้ธนาคารภายในประเทศ
ได้ในอัตราเพียงไม่เกินร้อยละ 2% ที่แสบไปกว่านั้นคือ ประธานของ ADB ได้เปิดเผยในการประชุมที่เชียงใหม่
เมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๓ ว่า รัฐบาลของประเทศไทยเป็นผู้เขียนลงในสัญญาการกู้เอง ว่า

“เกษตรกรไทยจะต้องจ่ายเงินซื้อน้ำที่ใช้ในการเกษตร ให้กับธนาคารADB ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำบ่อ น้ำคลอง”
เขาทำเพื่ออะไร ?? หากจะให้เข้าใจเอาเองแล้วละก็ต้องเข้าใจว่าเนื้อแท้ความต้องการของผู้ไปเขียนสัญญาเช่นนั้น
ก็คือ “ต้องการทำลายโครงการเกษตรพอเพียง ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ประชาชน
เสื่อมความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” อันเป็นนโยบายหลักของวาติกันอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ ? ....”

“.......วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๑ นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พรรคประชาธิปัตย์
ได้รับการแต่งตั้งเป็น กรรมการถาวรกองทุนการเงินระหว่างประเทศIMF โดยได้รับเงินเดือนประจำ
และทำงานให้กับ IMF สิ่งที่น่าแปลกก็คือตัว นายชวนฯ ยังเป็นนายกรัฐมตรีของประเทศไทย
แต่เหตุใดจึงรับตำแหน่งเป็นกรรมการของIMF ?? ...”

“....วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๑ ธนาคารโลก และ IMF แต่งตั้งนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นรับตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการ
เพื่อการพัฒนาธนาคารโลกและกองทุนระหว่างประเทศ(IMF) อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสังเกตที่สุด
ก็คือตำแหน่งที่ได้รับนั้นเป็นตำแหน่งควบของธนาคารโลก กับ IMF จึงไม่เป็นที่กังขาหรือปฏิเสธ
กันต่อไปอีกแล้วว่า ธนาคารโลกคือเครื่องมือเปิดทางให้กับ IMF และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า
นายธารินทร์ฯ คือบุคคลที่ IMF ที่วางไว้ในตำแหน่งการเงินของประเทศ เพื่อรองรับปฏิบัติการ
ตามแผนธารินทร์ ๓๕-๔๓ ให้แล้วเสร็จตามคำสั่งของ IMF ...”

“....นับตั้งแต่การออก พ.ร.บ.วิเทศธนกิจ หรือที่เรารู้จักกันในนามว่า BIBF นอกจากนั้นยังเป็นผู้นำเอา
นายราเกซ สักเสนา ซึ่งทำงานให้กับองค์กรCIA เข้ามาบริหารธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ (BBC)
แต่ในปี พ.ศ.๒๕๔๑ นายธารินทร์ ได้มีคำสั่งให้ปิดBBC อย่างถาวรเพื่อทำลายหลักฐานทั้งหมด
เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการรับ-ส่งหน้าที่และประสานงานกันอย่างมีระบบ
ไม่ใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ตามธรรมชาติของนักการเมืองแต่อย่างใด
แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ เป็นสมการที่มีชื่อเฉพาะว่า
“สมการกลืนชาติ” หรือ E=MOC2

ดังนั้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย ย่อมต้องไม่ธรรมดา
มีการเข้าควบคุมข่าวสาร สร้างสถานการณ์กลบกระแส การยุบกรมตำรวจ การสลายอำนาจกองทัพ
เปลี่ยนระบบโครงสร้าง กองทัพ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน รวมถึงการขาย
สินทรัพย์ของชาติ ออกกฎหมายขายชาติ ฯลฯ จึงได้เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนได้ถูกวางแผนงานไว้
เพื่อการ “ล่าอาณานิคม” ชนิดใหม่ เป็นปฏิบัติการประสานภารกิจที่กลมกลืนระหว่าง สมการกลืนชาติ กับ
พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ อย่างได้ผลที่สุดในประเทศไทย ....”

จะเห็นได้ว่าสหรัฐฯ วางแผนมายาวนานเพื่อที่จะได้สิ่งละอันพันละน้อยจากประเทศไทยไป
ค่อย ๆ เอาไปทีละเล็กละน้อยคนไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่รู้เมื่อสมรู้ร่วมคิดกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง
ในแต่ละยุคแต่ละสมัยทำให้สหรัฐฯ ได้รับสิ่งนี้ไป ตามกลยุทธ์ “จูงแพะติดมือ”

ในชั่วชีวิตของผู้เขียนอยากจะเห็นความมั่งคั่งของประเทศไทยที่พัฒนาตนเองจากทรัพยากรทั้งสิ้น
ที่มีอยู่ในประเทศไทย ทั้งปิโตรเลียมทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมี ราคาน้ำมันอาจจะ
ลดลงเหลือราคาลิตรละครึ่งหนึ่งของปัจจุบันนี้ ( ต.ค.๒๕๔๗ ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษลิตรละ ๒๒ บาทเศษ )
ผู้เขียนเชื่อว่าทำได้และทำได้อย่างง่ายดายด้วย ที่จะทำได้เช่นนั้นก็ต่อเมื่อทรัพยากรทั้งหลายที่ควรจะเป็น
ของคนไทยต้องกลับมาเป็นของคนไทยทั้งสิ้น แล้วลองเอาพวกที่เคยให้ประโยชน์กับต่างชาติไปมาอธิบาย
ให้คนไทยทั้งชาติฟังว่าทำไมเขาจึงให้ทรัพยากรเหล่านั้นกับต่างชาติไป เขาได้อะไร ประเทศชาติเสียอะไร
และประชาชนเสียอะไร ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ช้าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น คนชั่วและคนดีจะได้รับการพิสูจน์
ต่อหน้าคนไทยทั้งชาติ

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ โอกาสแม้จะน้อยแสนน้อยก็ควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ ชัยชนะแม้จะเล็กแสนเล็กก็ควรจะช่วงชิงมาให้ได้
“ จูงแพะติดมือ” ก็คือการใช้กลอุบายที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้สำเหนียกหรือมิได้รู้สึกตัว ฉะนั้นจึงย่อมจะตกหลุมพราง
ถูกบั่นทอนหรือได้รับความสูญเสียอย่างยับเยินโดยมิได้คาดคิด”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #24 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 12:39:54 AM »

นาซาได้พบว่า หลังจากปรากฏการณ์ที่มีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลมาเรียงตัวกันเป็นแนวระนาบ
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แล้วเกิดแรงดูดอย่างรุนแรงต่อของเหลวใต้ผิวโลก น้ำมันปิโตรเลียมบางส่วนมีการเคลื่อนย้าย
จากแหล่งเดิมไปสู่แหล่งใหม่ แหล่งปิโตรเลียมใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นคือบริเวณประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และบางส่วนของประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณอ่าวไทยจะมีการเคลื่อนตัวของปิโตรเลียมและแก๊สธรรมชาติ
เข้ามาในบริเวณอ่าวไทยอีกเป็นปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า แนวเชื่อมตั้งแต่อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย อ่าวไทย
เข้าไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ผ่านอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังพม่าและจีนตอนใต้บางส่วน ซึ่งในขณะนี้จีนกับพม่า
ได้สำรวจพบปิโตรเลียมปริมาณมากเหล่านี้แล้ว


ลองหาข้อมูลพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง พื้นบ้านร้อนจนเข้าอยู่ไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร?
http://www.yenta4.com/webboard/2/224404.html
ความเห็นผมน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางการไหลของหินหลอมเหลวใต้ผิวโลกของไทย
ซึ่งอาจส่งผลเกี่ยวกับเรื่องแหล่งน้ำมันดิบด้วย แล้วจะหาข้อมูลจากนาซามาเพิ่มเติมถ้าหาได้
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #25 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 11:11:24 AM »

ส่วนที่ ๓
กลยุทธ์เข้าตี
เมื่อสองฝ่ายเริ่มรบด้วยกลศึก พึ่งใช้ทุกมาตรการ
ถือเพทุกบายเป็นวิถี เอาชนะด้วยเล่ห์กล

กลยุทธ์ที่ ๑๓ ตีหญ้าให้งูตื่น

สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน ซ้ำซาก คืออุบายรู้มืด

กลยุทธ์นี้ความหมายว่า เมื่อมีสิ่งใดพึงสงสัย ควรจักส่งคนสอดแนมให้รู้ชัด กุมสภาพข้าศึกได้แล้วจึงเคลื่อน
นี่เรียกว่า “สงสัยพึงแจ้ง สังเกตจึงเคลื่อน” ในคัมภีร์อี้จิง ซ้ำ” ได้อธิบายไว้ว่า “ใช้มรรควิธีเดิมกลับไปมา ๗ วัน
เมื่อละเอียดแล้ว จึงเข้าใจสิ่งนั้นได้” ความหมายของคำนี้ก็คือ ต่อสิ่งใดก็ตามจักต้องสังเกตซ้ำแล้วซ้ำอีก
จึงจะสามารถจำแนกแยกแยะมันได้ถูก
ที่ว่า “ซ้ำซาก คืออุบายรู้มืด” นั้น เมื่อนำมาใช้ในการทหาร หมายถึงใช้วิธีการสอดแนมหลายครั้งหลายหน
อันเป็นวิธีสำคัญในการเข้าใจสภาพข้าศึก ค้นพบศัตรูที่แฝงเร้นอยู่

ความหมายของ “ ตีหญ้าให้งูตื่น” ก็คือแม้เราจะตีหญ้า แต่งูที่ซ่อนอยู่ในหญ้าก็ตื่นตกใจ
นี้เป็นกลอุบายที่ใช้การสอดแนม แจ้งชัดในสภาพข้าศึกที่เราโอบล้อมอยู่ แล้วตียังจุดหนึ่ง
ซึ่งจะกระเทือนไปทั้งแนว หลังจากนั้นจึงทำลายข้าศึกให้แหลกลาญไปทีละส่วนอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ...........
พระเจ้าฉงเจินฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิง (จูอิ๋วเจียน) ค.ศ.๑๖๑๑-๑๖๔๔) เป็นกษัตริย์ที่ไร้ทศพิธราชธรรม
แสร้งทำดีเป็นผักชีโรยหน้า เพื่อหลอกลวงรีดนาทาเร้นราษฎร จนเดือดร้อนไปทุกย่อมหญ้า
ชาวนาจึงต่างพากันก่อการจลาจลเพื่อต่อต้านฉงเจิงฮ่องเต้กันเกือบทั่วไปในแผ่นดิน จนกลายเป็น
กองกำลังที่ใหญ่โตหลายต่อหลายแห่ง ในหมู่กองกำลังของชาวนา ๑๓ กองที่ก่อการลุกขึ้นสู้
ที่กล้าแข็งที่สุดคือ หลี่จื้อเฉิง (ค.ศ.๑๖๐๖- ๑๖๔๕) ซึ่งเป็นคนหมี่จือในส่านซี หลี่จื้อเฉิงมิใช่แต่จะมีฝีมือสูงส่ง
กล้าหาญชาญชัยเท่านั้น ยังเก่งกาจในทางการทหารอย่างหาตัวจับยากอีกด้วย

ปีที่ ๑๕ แห่งรัชสมัยของฉงเจินฮ่องเต้ หลังจากหลี่จื้อเฉิงรบกับทหารราชวงศ์หมิงที่ เชียงหยางและพานเฉิง
ในส่านซีแล้วก็นำทัพมุ่งไปยังเหอหนานเพราะรู้ว่าเหอหานมีชาวนามาก การรบใหญ่หลายครั้งกับทหารหมิง
แม้จะชนะก็สูญเสียกำลังพลไปมาก การรบใหญ่หลายครั้งกับทหาร หมิง แม้จะชนะก็สูญเสียกำลังพลไปมาก
จำต้องหามาเพิ่มเติม เสริมกองทัพของตนได้เข้มแข็งอยู่เสมอ และเหอหนานจะเป็นแหล่งเสริมกำลังได้ดีที่สุด
มิผิดไปจากที่หลี่จื้อเฉิงได้คาดคิดไว้ พอทัพของเขาเข้าแดนเหอหนานก็มีกองทัพลุกขึ้นสู้ของชาวนา
ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่มีชื่อว่าเสี่ยวหยวนอิ่ง มีกำลังพลถึง ๒๐ หมื่น เข้ามาสมทบด้วย นอกจากนั้นยังทัพของหลอหรู่ไฉ
ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๓ ทัพที่ลุกขึ้นสู้กับราชวงศ์หมิง เห็นทัพอันเกียงไกรของ หลี่จื้อเฉิงก็ยอมเข้ามาสมทบด้วย
ในชั่วเวลาอันสั้นชาวนาเหอนหนานซึ่งอดยากยากแค้นเหลือเข็ญ ถูกข่มเหงรังแกสุดจะทน

เมื่อพบกับกองทัพลุกขึ้นสู้ ต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาสมัครเป็นทหารของหลี่จื้อเฉิง ประดุจสายน้ำที่พรั่งพรู
ลงสู่มหาสมุทรฉะนั้น บ้างก็ยกกันมาทั้งครอบครัว คน ๒ รุ่น ๓ รุ่นอยู่ในกองทัพเดียวกันก็มี หลี่จื้อเฉิงเมื่อได้
กำลังเสริมมามากมายได้ดังนั้น ในเดือน ๓ ก็ยกเข้าตีเมืองไท่คัง ซุยโจว หนิงหลิง กุยเต๋อซึ่งเป็นเมืองสำคัญ
ในเหอหนานได้ภายในเวลาเพียง ๖ วัน ในเดือน ๔ ก็ตีได้เมืองอี๋ฟง ฉี่เสี้ยน เจ้อเฉิง หยีเฉิง อีก
ผู้คนต่างพากันมาสวามิภักดิ์ด้วยอย่างไม่ขาดสาย กำลังของหลี่จื้อเฉิงเข้มแข็งยิ่งขึ้นทุกวัน จึงตระเตรียมที่จะบุก
เมืองใคฟงอันเป็นเมืองเอกของเหอหนานสืบไป ฉงเจินฮ่องเต้ ได้รับข่าวว่าเมืองไคฟงคับขันก็เรียกประชุมขุนนาง
ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แต่ขุนนางในราชสำนักของราชวงศ์หมิง ก็เป็นเช่นเดียวกับฉงเจินฮ่องเต้ ล้วนแต่เป็นขุนนาง
ที่ประจบสอพลอ เห็นแก่ตัว มือใครยาวสาวได้สาวเอา และรักตัวกลัวตายกันทั้งสิ้น จึงไม่มีใครให้ความเห็นที่ดี
แก่ฉงเจินฮ่องเต้เลย ได้แต่ก้มหน้าก้มตานิ่งอยู่ ฉงเจินฮ่องเต้จนพระทัย จึงรับสั่งให้ติงฉี่รุ่นแม่ทัพประจำเหอหนาน
ยกพลไปช่วยไคฟงจากทิศใต้ หยางเหวินเย่ข้าหลวงเมืองเป่าติ้งยกไปทางทิศตะวันตก แล้วให้โหวสุนเสนาบดี
ฝ่ายกลาโหมไปควบคุมการช่วยไคฟง

เมื่อพระราชโองการของฉงเจินฮ่องเต้ไปถึงติงรุ่ย หยางเหวินเย่ และจ่อเหลียงอี้แล้ว คนทั้งสามรู้ว่าการศึกครั้งนี้หนักนัก
ลำพังกำลังที่ต่างมีอยู่คงจะไม่พอส่งไปช่วยเมืองไคฟงเป็นแน่ เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว จึงจัดรวบรวมไพร่พล
ดึงกำลังของพวกเจ้าที่ดินที่หวาดกลัวการลุกขึ้นสู้ของชาวนาเข้ามาอยู่ในกองทัพ จัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์
ซึ่งต้องใช้เวลาเดือนหนึ่งเต็มๆ จึงสามารถรวบรวมไพร่พลได้ ๒๐ หมื่น และปืนใหญ่อีก ๑ หมื่น ครั้นแล้วก็พากัน
ยกกำลังเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในจูเชียนเจิ้น เมืองหน้าด่านทางใต้เมืองไคฟงและเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์
ในสมัยนั้นในตอนปลายเดือน ๖ อันที่จริงในตอนกลางเดือน ๖ หลี่จื้อเฉิงก็ได้วางกำลังโอบล้อมเมืองไคฟงไว้เรียบร้อยแล้ว
เตรียมเข้าตีเมืองอยู่ในวันในพรุ่ง และตั้งทัพอยู่ในเมืองจูเชียนเจิ้น จึงให้ยับยั้งการตีเมืองไคฟงไว้ก่อน เรียกแม่ทัพนายกอง
มาปรึกษาหารือกลยุทธ์ที่รบกับทหารราชวงศ์หมิง แม่ทัพนายกองก็เสนอความเห็นกันต่างๆ นานา สรุปได้ความว่า
“เหอหนานอยู่ในมือของกองทัพชาวนาแล้ว ไคฟงก็ถูกล้อม เมื่อทหารหมิงเข้ามาตั้งอยู่ที่จูเชียนเจิ้น ก็ให้ขยายแนว
โอบล้อมกว้างออกไป ครอบคลุมเอาจูเซียนเจิ้นเข้าไปด้วย ให้เป็นแนวโอบล้อมใหญ่เป็นเนื้อในหม้อเดียวกัน”

แต่หลี่จื้อเฉิงก็เป็นนักการทหารที่ศึกษาตำราพิชัยสงครามาจนจบคนหนึ่ง จึงคิดว่าด้วยกำลังเป็นล้านของทัพชาวนา
ไคฟงก็มีสภาพเหมือนหมู่ในอวยอยู่แล้ว ทัพราชวงศ์หมิงที่ส่งมาช่วย อย่างมากก็ประมาณสัก ๒๐ หมื่นถ้าจะขยายแนว
โอบล้อมรวมเอาจูเซียนเจิ้นเข้าไปด้วยก็มิใช่เรื่องยาก แต่ถ้าทำเช่นนั้น ทัพที่มาช่วยก็จะรวมกำลังเข้ากับไพร่พล
ในเมืองไคฟงได้ ทำให้ข้าศึกกล้าแข็งขึ้น กลับจะเป็นเรื่องยากแก่ชัยชนะ ในตำราพิชัยสงครามเคยมีกล่าวไว้ว่า
“ตีให้แตกทีละส่วน” กับ “แบ่งแยกแล้วทำลายเสีย” จักให้ข้าศึกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิได้

ดังนั้น หลี่จื้อเฉิงจึงจัดวางแผนการยุทธ์ขึ้นมาใหม่ กล่าวคือ การโอบล้อมเมืองไคฟงไม่ถอย
แต่ให้ตั้งแนวโอบล้อมเมืองจูเซียนเจิ้นขึ้นอีกแนวหนึ่งและจะต้องใช้ทหารชาญศึกชั้นเยี่ยมเข้าทำหน้าที่นี้
มิฉะนั้นแล้วก็จะล้อมทหารหมิงไว้ไม่อยู่ เมื่อล้อมได้แล้ว จึงค่อยหาทางทำลายเสียต่อไป แผนการยุทธ์นี้
เมื่อแม่ทัพนายกองได้ปรึกษาหารือกันแล้วก็เห็นฟ้องด้วยว่า ดีกว่าจะให้ข้าศึกบรรจบทัพเป็นกองเดียวกันแข็งแกร่งขึ้น

ครั้นแล้ว หลี่จื้อเฉิงจึงสั่งให้รักษาแนวโอบล้อมไคฟงอยู่เช่นเดิม มิให้ทัพหมิงในเมืองแหกวงล้อมมาสมทบกับ
ทัพหนุนช่วยที่จูเซียนเจิ้นได้ ให้ถอนกำลังส่วนใหญ่มาไว้ที่เมืองเกาฝูทางใต้ของจูเซียนเจิ้น สร้างป้อมปืนใหญ่ขึ้น
บนแถบเนินสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองนั้น แต่ละป้อมให้ขุดคูกว้าง ๑๖ เซียะยาว ๑๐๐ กว่าลี้
ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจูเซียนเจิ้นเป็นวงแหวน ส่วนทางเหนือของเมืองก็เป็นแม่น้ำเหลืองซึ่งเชี่ยวกราก
ไม่จำต้องป้องกันข้าศึกก็ข้ามไปมิได้ พร้อมกันนั้นก็ส่งทหารสอดแนมออกไปสืบสภาพของข้าศึกแล้วให้กลับมา
รายงานโดยละเอียดเป็นประจำ

จ่อเหลืองอี้แม่ทัพเมืองเป่าติ้งหวาดกลัวที่จะสู้รบกับกองทัพชาวนาเป็นอันมาก ครั้นเมื่อทราบว่า ทัพชาวนา
ขุดคูตัดเส้นทางลำเลียงทางตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็เดือดร้อนยิ่งนัก หากขาดเสบียงอาหารแล้ว
ไม่ต้องรบกองทัพหมิงก็วุ่นวายไปเอง จ่อเหลียงอี้จึงบังคับให้ราษฎรในจูเซียนเจิ้นสร้างทางขึ้นสายหนึ่ง
เพื่อเชื่อมต่อกับเมืองไคฟงทะลุไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำเหลือง เพื่ออาศัยการขนส่งทางน้ำมาชดเชยกับ
เส้นทางที่ถูกตัดขาดไป แต่จ่อเหลืองอี้เป็นแม่ทัพใจโหด กระทำการทารุณต่อราษฎรเป็นที่รู้กันทั่วไป
ราษฎรทั้งหลายเมื่อถูกบังคับให้สร้างทางจึงต่างพากันเฉื่อยงาน หรือมิฉะนั้นก็หาทางทำลายการสร้างถนน
ด้วยประการต่างๆ วันนี้สร้างได้ ๑๐ เซี๊ยะ ตกกลางคืนชาวบ้านก็พากันขุดทำลายเสีย การสร้างทางเพื่อแก้ปัญหา
การขนส่งของจ่อเหลียงอี้ โดยเฉพาะเรื่องเสบียงอาหาร จึงมิได้ประสบความสำเร็จจนแล้วจนรอด

ทัพหมิงเมื่อตั้งค่ายลง ณ จูเชียนเจิ้น ด้วยจำนวนพลเพียง ๒ หมื่นคนก็ตั้งค่ายยาวถึง ๒๐ ลี้ ดูแล้วให้น่าเกรงขามยิ่งนัก
แต่ทว่าแม่ทัพทั้ง ๓ คนต่างก็คิดกันไปคนละอย่าง ล้วนแต่กลัวที่จะออกรบกับกองทัพของชาวนาทั้งสิ้น
เมื่อมาพบหน้าปรึกษาหารือกันคราใดเป็นต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างเอาเป็นเอาตายครานั้น
เพื่อปกป้องมิให้กำลังของตนต้องได้รับความเสียหายจากการสู้รบกับข้าศึก ในที่สุด จึงตกลงกันได้ที่จะใช้คำขวัญว่า
“ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อแบ่งเบาภาระขององค์ฮ่องเต้” กำหนดให้กองทัพของทุกฝ่ายออกปราบข้าศึกพร้อมกัน
โดยหวังที่จะทำลายกองทัพชาวนาเสียในครั้งเดียวนี้

แต่สภาพความเป็นไปของกองทัพหมิงได้ถูกส่งมาถึงมือของหลี่จื้อเฉิงอยู่ตลอดเวลา เช่นความขัดแย้งของพวกแม่ทัพ
การจัดวางกำลังของข้าศึกตลอดจนปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์อื่นๆ หลี่จื้อเฉิงได้รับทราบโดยละเอียด
กองทัพหมิงที่อยู่ในจูเซียนเจิ้น ทัพของจ่อเหลียงอี้นับว่าเข้มแข็งที่สุดมีกำลังพล ๑๐ กว่าหมื่นคน
ของหยางเหวินเย่มีเพียงหมื่นกว่าคน ส่วนของติงฉี่ลุ่ยมีราว ๓ หมื่นคน ส่วนโหวสุนมเลยสักคนเดียว
ในด้านฐานะตำแหน่งนั้นเล่า ติงฉี่ลุ่ยสูงสุด รองลงมาก็เป็นหยางเหวินเย่ ส่วนจ่อเหลียงอี้แม้จะมีไพร่พล
ในมือมากกว่าคนอื่น แต่ก็มีตำแหน่งฐานะต่ำกว่าคนอื่นทั้งหมด ทว่าจ่อเหลียงอี้ก็เป็นขุนพลที่เจ้าเล่ห์ที่สุด
ซึ่งรู้ดีว่าถ้ารบชนะ ความดีความชอบก็จะตกเป็นของติงฉี่รุ่ยและหยางและหยางเหวินเย่ ถ้าแพ้
ตนก็จะต้องเสียไพร่พลในมือไปโดยเปล่าประโยชน์ ในทัพของจ่อเหลียงอี้ขุนพลหู่ต้าเวยอยู่คนหนึ่งเท่านั้น
ที่บ้าบิ่นไม่รู้เหนือรู้ใต้ อยากจะรบเพื่อเป็นบันไดไต่เต้าเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นท่าเดียว

เมื่อหลี่จื้อเฉิงทราบสภาพของข้าศึกเช่นนี้แล้ว จึงเห็นว่าจากการวางกำลังของทั้ง ๒ ฝ่าย กองทัพชาวนา
บรรจบวงล้อมได้แล้ว จักต้องรักษาไว้มิให้ข้าศึกแหกวงล้อมไป สำหรับข้าศึกที่ถูกล้อมนั้นเล่า ก็ควรจะเข้าโจมตี
โดยเลือกจุดที่อ่อนแอของข้าศึกเป็นที่สุด เพื่อให้ทัพหมิงเกิดสะทกสะท้าน เมื่อข้าศึกเกิดความหวาดกลัวแล้ว
ก็จะตื่นตระหนก ต้องดำเนินการไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งทัพชาวนาก็จะได้ฉวยโอกาสซ้ำเติมในขณะที่ข้าศึกเคลื่อนพล
ก็จะได้ชัยชนะอย่างสิ้นเชิง เมื่อใคร่ครวญจนมีความมั่นใจแล้ว หลี่จื้อเฉิงจึงวางแผนกลยุทธิ์
“ตีหญ้าให้งูตื่น แล้วกำจัดเสีย”

การรบที่จูเชียนเจิ้นจึงระเบิดขึ้น ทัพหมิงมีปืนใหญ่หมื่นกระบอก หยางเหวินเย่แม่ทัพเป็นผู้เปิดฉากใช้ปืนใหญ่
ยิงทัพชาวนาก่อน แต่หลี่จื้อเฉิงก็ใช้แผนตัดเสบียงอาหารและน้ำของทัพนี้ โดยกั้นลำธารน้ำให้เปลี่ยนทิศทาง
พร้อมทั้งตัดเส้นทางส่งเสบียงอาหารเสียด้วย ทัพหมิงใช้ปืนใหญ่ระดมยิงอยู่ ๓ วันแต่พวกทหารไม่มีน้ำไม่มีอาหาร
เข้าปากเลยแม้สักคำเดียว ขณะนั้นก็เป็นกลางฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เส้นทางส่งเสบียงอาหารก็เป็นเส้นทาง
ส่งกระสุนดินดำด้วยเช่นกัน ทัพปืนใหญ่ของหยางเหวินเย่จึงขาดทั้งอาหาร ขาดน้ำ ขาดกระสุนดินดำ หยางเหวินเย่
ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากเมืองไคฟงก็มิได้รับตอบ ส่วนทัพของติงฉี่รุ่ยกับจ่อเหลียงก็ทำเฉยเสีย หยางเหวินเย่
ให้บันดาลโทสะ แต่ก็มิรู้ที่จะทำประการใด จิตใจของไพร่พลก็ท้อแท้ ในที่สุด
ปืนใหญ่หมื่นกระบอก ก็มิผิดอะไรกับท่อนเหล็ก

กำลังของจ่อเหลืองอี้ ๑๐ หมื่นคนอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจูเซียนเจิ้นขุนพลหู่ต้าเวยก็อยู่ใต้ลงไป
เมื่อหลี่จื้เฉิงรู้ถึงกำลังและที่ตั้งของคนทั้งสองแล้ว ก็เห็นว่าหากล้อมไว้เฉยๆ โดยไม่เข้าตี
ก็ไม่อาจทำลายข้าศึกลงได้ แม้นสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะควบคุมแนวโอบล้อมไว้ได้ต่อไป
ดังนั้น จึงได้ระดมกำลังหลักและขุนพลกล้าศึกเข้าตีที่ตั้งของหู่ต้าเวยอย่างรุนแรง เพื่อทำลายให้สิ้น
ส่วนตัวหลี่จื้อเฉิงเองก็กำลังส่วนหนึ่ง ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดึงกำลังของจ่อเหลืยงอี้ไว้มิให้ไปช่วยหู่ต้าเวยได้

ทัพของหลี่จื้อเฉิงใช้กำลัง ๒ หมื่นบุกเข้าตีที่ตั่งของหู่ต้าเวยอย่างดุเดือดหู่ต้าเวยแม้จะมีความกล้า
แต่ก็ปรามาสข้าศึกมาแต่แรก นอนใจว่าข้าศึกคงจะไม่หาญบุกเข้ามา เพราะ ทหารของตนนั้น
ล้วนแต่แกล้วกล้าอาจหาญ ทั้งยังมีกำลังของจ่อเหลียงอี้หนุนหลังอยู่ ครั้นทัพลี่จื้อเฉิงบุกเข้าจริงอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
มิทันจะได้รับพวกไพร่พลก็แตกหนีจนหู่ต้าเวยบังคับไว้ไม่อยู่ ต้องพลอยหนีตามไพร่พลไปด้วย ส่งคนไปขอความช่วยเหลือ
จากจ่อเหลียงอี้ เฝ้าแต่คอยก็คอยหาย กำลังของทัพหลี่จื้อเฉิงก็ตามติดมาไม่ยอมปล่อย จนกระทั้งฟ้ามืดทัพหลี่จื้อเฉิง
จึงหยุดไล่ตาม แต่ทัพของหู่ต้าเวยก็เหลืออยู่เพียง ๓ พันคน

เมื่อทัพหมิงทางใต้ย่อยยับแล้ว ก็ทำให้ทัพของจ่อเหลียงอี้เผชิญกับทหารชาวนาทั้งทางด้านตรงและด้านข้างโดยตรง
หู่ต้าเวยเป็นขุนพลที่มีทหารชั้นเยี่ยมที่สุดของกองทัพหมิงอยู่ในมือ แต่ก็กลับแตกกระเจิงในเวลาเพียงวันเดียว
จึงส่งผลสะเทือนต่อทัพของจ่อเหลียงอี้เป็นอันมาก บวกกับจ่อเหลียงอี้ ไม่คิดจะรบกับทัพของชาวนา
คิดแต่รักษากำลังของตนไว้แบบ “รู้รักษาตัวยอดเป็นยอดดี” ถ่ายเดียว ดังนั้น เมื่อหลี่จื้อเฉิงกับขุนพลของทัพชาวนา
บุกขนาบทัพของจ่อเหลียงอี้เข้ามา ๒ ทาง จ่อเหลียงอี้จึงจำใจต้องรบด้วยอย่างฝืนๆ ทว่าก็คิดหาทางหลีกเลี่ยง
การปะทะอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากทัพของหลี่จื้อเฉิงติดพันอยู่ไม่ยอมให้มีโอกาส จ่อเหลียงอี้จึงหมดปัญญา
ต้องกัดฟันสู้อย่างสุนัขจนตรอกไปตามเพลง

ทั้ง ๒ ฝ่ายรบกันอยู่ ๕ วันกับ ๕ คืน จ่อเหลืยงอี้ต้องสูญเสียทหารไปกว่าครึ่งก็ให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก เกรงว่าขืนรบต่อไป
กำลังของตนก็คงจะไม่มีเหลือจึงพยายามถอนตัวจากการรบตีฝ่าออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หลี่จื้อเฉิงยืนอยู่บนเนินสูง
เห็นเช่นนั้นก็รู้ความประสงค์ของจ่อเหลียงอี้ จึงมีคำสั่งให้เปิดทางให้ จ่อเหลียงอี้จึงสามารถหลุดพ้นออกมาจากวงล้อมได้
และได้พบกับหู่ต้าเวยกับทหารที่เหลืออยู่ จึงสมทบกันถอยทัพต่อไปอย่างเร่งรีบ

แท้ที่จริงนั้น หลี่จื้อเฉิงได้เตรียมกำลังบดขยี้จ่อเหลียงอี้ไว้ก่อนแล้วที่ให้เปิดทางก็เพื่อให้จ่อเหลียงอี้ตกหลุมพราง
ที่ตนได้วางไว้ จ่อเหลียงหนีมาได้ ๑๐ กว่าลี้ก็โล่งใจคิดว่าตนรอดชีวิตมาได้แล้ว ทันใดนั้นเองก็มีทหารมาแจ้งว่า
ทัพหลี่จื้อเฉิงไล่ติดตามมาทางด้านข้างหลังอย่างรวดเร็วจนฝุ่นตลบบังแสงอาทิตย์ไปหมดสิ้น จ่อเหลียงอี้จึงเลี่ยง
หนีไปตามทางเล็ก แต่ไม่นานก็มีรายงานมาอีกว่า เกิดปะทะกับข้าศึกทางด้านหน้าอีก จ่อเหลียงอี้จึงรู้ว่า
ตนเข้ามาติดกับของหลี่จ้อเฉิงเข้าให้แล้ว ครั้นจะนำทะลวงไปทางเมืองที่ซางทางใต้ ก็ไปเจอเข้ากับ
คูขุดกว้าง ๑๖ เซียะ ของหลี่จื้อเฉิงเข้า ม้ากระโดดข้ามไม่ได้ บ้างก็มีทัพของหลี่จื้อเฉิงติดตามมาอย่างประชิด
ถึง ๒ ทางด้วยกัน ก็มีแต่ต้องรุดหน้าไปแม้จะเป็นคู ทั้งคนทั้งม้าลงคูเพื่อปืนป่ายไปยังอีกฟากหนึ่ง
กองทัพของจ่อเหลียงอี้เข้าไปจุกกันอยู่ที่ริมคู ที่อยู่ในคูก็เบียดเสียดยัดเบียดกันแย่งจะขึ้นคูหนีตายกันจ้าละหวั่น
ทั้งม้าทั้งคนจึงถูกเหยียบตายอยู่ในคูเป็นอันมากส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ทั้งกันเกลื่อนไปทั่วท้องทุ่ง
จ่อเหลียงอี้มีคนสนิท ๑๐ กว่าคนช่วยประคับประคองก็หนีออกจากวงล้อมของกองทัพหลี่จื้อเฉิงไปจนถึง
เมืองเซียงหยางได้ เมื่อตรวจสอบไพร่พลที่ยังเหลืออยู่ ของหู่ต้าเวยมีเหลืออยู่เพียง ๑๐ กว่าคน
ส่วนกำลัง ๑๐ หมื่นของจ่อเหลียงอี้ก็เหลืออยู่เพียงหมื่นกว่าคน จ่อเหลียงอี้ถึงกับร้องไห้รำพันว่า
“เราอุตส่าห์สะสมกำลังอยู่นาน ๑๐ ปี ต้องพังพินาศไปเพราะการยุทธ์จูเซียนเจิ้นนี้ไปจนหมดสิ้น
ฟ้าคงจะลงโทษเราเป็นแน่แล้ว” หู่ต้าเวยได้ฟังดังนั้นก็ให้รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่ยิ่ง จึงชักดาบออกมา
จะเชือดคอตาย เดชะบุญที่ผู้ใกล้ชิดแย่งดาบไว้ทัน

เมื่อทัพของจ่อเหลียงอี้แหลกลาญไป หยางเหวินเย่ก็ดีใจสมน้ำหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนทัพของติงฉี่รุ่ย หลี่จื้อเฉิงก็ให้ขุนพล ๒ คนนำทัพไปบดขยี้เสีย ติงฉี่รุ่ยขอให้หยางเหวินเย่ยิงปืนใหญ่ช่วย
แต่ทหารของหยางเหวินเย่กลับปฏิเสธว่า “หากท่านให้น้ำเราสักชามหนึ่งเสียแต่แรก ปืนใหญ่ของเรา
ก็จะยิงเสียตั้งนานแล้ว” ทหารของติงฉี่รุ่ยก็ถูกทัพชาวนาตีแตกไม่เป็นกระบวน ติงฉี่ลุ่ยกับหยางเหวินเย่
จึงจำต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันทะลวงแนวโอบล้อมลงไปทางใต้พร้อมกัน
ผลของการรบใหญ่ที่จูเซียนเจิ้น ทหารราชวงศ์หมิงถูกจับเป็นเชลยของกองทัพชาวนาหลี่จื้อเฉิงหลายหมื่นคน
ได้ยุทโธปกรณ์อาทิเช่น เสบียง ปืนใหญ่ กระสุนดินดำมากมาย เฉพาะม้าศึกก็ได้ถึง ๒ หมื่นตัว
กลยุทธ์นี้ ได้ใช่วิธี “ตีหญ้า” คือเล่นงานทัพ ๒ หมื่นของหู่ต้าเวยก่อนเมื่อหู่ต้าเวยพ่ายก็กระทบกระเทือนถึง
จิตใจทัพจ่อเหลียงอี้ให้เกิดหวั่นไหวเหมือน “งูตื่น” เมื่อ “งูตื่น” ก็เอาแต่หนีมิคิดสู้ จึงกำจัดเสียได้โดยไม่ยาก

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เมื่อสภาพของข้าศึกยังไม่ชัดแจ้งแก่เราฝ่ายเราไม่ควรจะปฏิบัติการอย่างลวก ๆ
จะต้องหาทางสืบทราบ สภาพของข้าศึกให้ถ่องแท้ ครั้นเมื่อทราบเจตนาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว
จึงออกโจมตี เยี่ยงเดียวกับงูที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า ควรจะใช้ไม้ตีพงหญ้าไปรอบ ๆ
เพื่อให้งูปรากฏให้เห็น แล้วจึงจับเอาภายหลัง ไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปจับจนถังรัง งูให้เปลืองแรง”
บันทึกการเข้า
BADBOY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 11:20:35 AM »

ถ้าทำเป็น File ในรูป Acrobat แล้ว น่าจะเข้าท่ามากครับ...พริ้นออกมา....เย็บเป็นรูปเล่ม...ไว้อ่านมีประโยชน์มาก  ครับ...ขอบคุณครับ...
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #27 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 11:31:43 AM »

ถ้าทำเป็น File ในรูป Acrobat แล้ว น่าจะเข้าท่ามากครับ...พริ้นออกมา....เย็บเป็นรูปเล่ม...ไว้อ่านมีประโยชน์มาก ครับ...ขอบคุณครับ...
ใจจริง อยากให้ลองไปหาซื้อหนังสือกันก่อนครับ ถ้าไม่มีจริงๆค่อยทำดีกว่าเพราะมีลิขสิทธิ์
ผมเอามาไม่ได้ขออนุญาติผู้แต่ง แต่เห็นว่าข้อมูลน่าจะเป็นประโยชน์กับคนทั่วไป เลยเสี่ยงดวงเอามาแปะ หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #28 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 11:34:24 AM »

กลยุทธ์ที่ ๑๔ ยืมซากคืนชีพ

ผู้ที่ใช้ได้ ไม่ควรใช้ ผู้ที่ใช้ไม่ได้ พึงใช้ ใช้ผู้ที่ใช้ไม่ได้
มิใช่เราต้องการเด็กไร้เดียงสา เด็กไร้เดียงสาต้องการเรา

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ผู้ที่มีความสามารถและมีบทบาทนั้น จะใช้อย่างผลีผลามมิได้ ส่วนผู้ที่ไร้ความสามารถ
ก็มักจะมาขอความช่วยเหลือจากเรา การใช้ผู้ที่ไร้ความสามารถ มิใช่เพราะว่าเราต้องการจะใช้เขา หากแต่เพราะ
เขาต้องการพึ่งเรา คำว่า “เด็กไร้เดียงสา” มาจาก “ คัมภีร์อี้จิง ไร้เดียงสา” “ ยืมซากศพคืนชีพ” ความหมายเดิม
เปรียบกับของที่ตายแล้ว แต่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่โดยใช้อีกรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อใช้ในสงครามหรือในการต่อสู้อื่นใด
ก็หมายถึงกลยุทธ์การใช้พลังที่สามารถจะใช้ได้ทั้งปวงมาบรรลุซึ่งเจตนารมณ์ของเราอย่างหนึ่ง

ในประวัติศาสตร์แต่กาลก่อน ในระหว่างการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จักมีผู้แกล้วกล้าตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้นมากมาย
ซึ่งมักจะแอบอ้างพระนามของกษัตริย์และรัชทายาทที่สูญชาติเป็นเครื่องมือ ป่าวร้องชักชวนให้กู้ชาติแล้ว
ได้ชาติไปครองในภายหลัง นี่ก็คือการใช้กลยุทธ์ข้างต้น การใช้กำลังสนับสนุนผู้อื่นเข้าโจมตีหรือป้องกันแทนเขา
โดยที่มีเจตนาจะเข้าควบคุมผู้นั้น ก็นับอยู่ในกลยุทธ์นี้เช่นเดียวกัน

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ การยืมซากของซัดดัม ฮุสเซน คืนชีพเพื่อสร้างสงครามอ่าวเมื่อปี ๒๕๓๔ และ ๒๕๔๖
โดยสหรัฐอเมริกา ซัดดัม ฮุสเซน ข้อมูลจากรายงานข่าวของฝรั่ง ซัดดัมร้ายกาจไปหมด เขาเกิดในครอบครัวชาวนา
ที่ยากจนที่หมู่บ้านชื่อไทกริต ห่างจากแบกแดดไปทางเหนือ ๑๐๐ ไมล์ บิดาชื่อ ฮุสเซน อัล- มาจิด
ตายเสียตั้งแต่เขาเกิด มาดาชื่อสุภา ( Subha ) ได้แต่งงานใหม่กับชาวนาชื่อ อิบราฮิม ฮัสซัน ซึ่งเกลียดลูกเลี้ยงมาก
เพราะดื้อเหลือเกิน จึงเฆี่ยนตีซัดดัมอย่างทารุณจนต้องหนีเตลิดออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุได้ ๘ ขวบ
นักข่าวไปสืบประวัติของซัดดัมที่โรงเรียนเก่า ปรากฏว่า ซัดดัมเป็นเด็กที่มีผลการเรียนปานกลาง เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า
ความฝันของพวกเด็ก ๆ ที่นั่นคือโตขึ้นจะเป็นครู มีซัดดัมคนเดียวที่คิดแบบผู้ใหญ่ว่า คนอิรักลำบากมาก
โตขึ้นเขาจะทำให้อิรักพ้นจากความยากจนและความล้าหลัง

เมื่อเป็นวันรุ่น เขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคบาธ ครั้นอายุได้ ๒๒ ปีเขาระหกระเหินไปแบกแดด
เข้าเรียนหนังสือได้เล็กน้อย และได้คบคิดกับเพื่อนจะฆ่าอับดุลการิม กาสเซ็ม, นายกรัฐมนตรี ซัดดัมถูกยิงที่ขาซ้าย
จนต้องหนีไปรักษาตัวอยู่อียิปต์ เมื่อกลับมาอิรักในปี ๑๙๖๓ นายกฯ กาสเซ็มถูกฆ่าตาย เขาถูกจับขังคุกเพราะ
อยู่เบื้องหลังการล้มล้างรัฐบาล แต่ก็หนีออกจากคุกมาได้ จนกระทั่งพรรคบาธขึ้นครองอำนาจ ซัดดัมจึงผงาดออกมา
ในฐานะบุรุษผู้เก่งกล้า เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี ๑๙๗๙ และพยายามนำพาประเทศไปสู่
ความเจริญก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น สร้างถนน สะพาน โรงพยาบาลและโรงเรียน ผู้คนที่ไปอยู่ต่างประเทศ
ต่างหวนกลับมาอิรักใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อติดเขี้ยวเล็บให้แก่ประเทศ เขาสั่งสะสมอาวุธทุกรูปแบบ
รวมถึงอาวุธนิวเคลียร์ เคมี และอาวุธเชื้อโรค เขาเสพติดความมีอำนาจ จึงทำทุกรูปแบบให้ฝ่ายค้านกลัว
ด้วยการกวาดล้างผู้มีปฏิกิริยาเป็นพันๆ คน ฉายวีดีโอแสดงการฆ่าผู้ต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมให้ประชาชนดู
ผู้คนจึงกลัวหัวหดไม่กล้าหือ ชุมชนรัฐเกอร์ดิชที่คิดแยกตัวไป ถูกฆ่าด้วยแก๊สพิษตายหลายหมื่นคน
ขณะเดียวกันแทบทุกตารางเมตรมีรูปของซัดดัมติดไว้เต็ม เพื่อเผยแพร่วีรกรรมที่ทำเพื่อประเทศชาติ

ไม่เพียงแต่นั้นแม้แต่ในครอบครัวของเขาเอง รานา,ลูกสาว กับกามาล ลูกเขย ทนความร้ายกาจไม่ไหวหนีไปจอร์แดน
และเปิดเผยเรื่องอาวุธของพ่อตา เขาก็ทำเป็นไม่ถือสา บอกให้กลับมาบ้านเถิด พ่ออาจผิดเอง แต่พอเครื่องลง
ปรากฏว่ากามาลและพี่น้องตายหมู่คาสนามบิน โซเฟีย.มารดาของกามาล ร้องไห้คร่ำครวญว่าเธอไม่ได้เห็นศพลูกเลย
ซัดดัมจึงใช้มีดแทงเธอจนตาย อ้างว่าเธอตำหนิเขา

รอล์ฟ เอคเคิส หัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธของสหประชาชาติระบุว่า การสร้างศัตรูรอบตัว
ทำให้เขาตกอยู่ในโลกแห่งความกลัว จึงมีองครักษ์ถึง ๔๐ คน และมีการสร้างตัวปลอมขึ้นมาหลายคน
ต้องจ้างคนชิมอาหารเพราะกลัวถูกวางยาพิษ ย้ายที่นอนทุกคืนและหลับไม่เคยเต็มอิ่มใครก็ตามที่เข้าพบ
จะต้องถูกล้างมือฆ่าเชื้อโรค เขาคิดว่าทุกคนมุ่งทำร้ายเพราะได้ค่าหัวจากสหรัฐอเมริกา ชีวิตส่วนตัวใช้
“ ไวอากร้า “” มีเมีย ๔ คน คือ ๑. ซาจิดา ๒. ซามีรา , แอร์โฮสเตสสายการบินอิรักกี ๓. เนคฮาล, ดาวเต้น
๔. ไอมาน วัน ๒๗ ที่เพิ่งแต่ง ต่อมามีสาวกรีกชื่อ “ ปารีซูลา “ อ้างกับ ABC NEWS ว่าเธอเป็นเมียน้อยของเขา
มา ๓๐ กว่าปี เขาตั้งยูเดย์ , ลูกชายคนโต ขึ้นเป็นทายาททางการเมือง ซัดดัมย้อมผมสำดำสนิท (Jet Black )
สูบซิการ์จากคิวบา ดื่ม Johny Walker Blue Label on the Rocks ชอบเพลง Strangers in the night
ของแฟรงก์ สินาตรา โปรดปรานหนังสือเรื่อง Godfather เป็นพิเศษ

หลังทำสงคราม ๘ ปีกับอิหร่าน เขาหันไปรุกรานคูเวต ชีวิตประจำวันจึงต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ กลัวถูกทำร้าย
คนอิรักเล่าว่าหากทหารอเมริกันบุกเกือบถึงตัว อวสานของเขาก็เหมือนฮิตเลอร์ คือ ตายในบังเกอร์
แต่โดยความเป็นจริงแล้วถ้าศึกษาประวัติของ ซัดดัม ฮุสเซน อย่างมีใจเป็นกลางแล้วจะเห็นได้ว่า
เขาผู้นี้เป็นคนที่มีความสามารถและเป็นวีระบุรุษของชาวอิรักเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่อคราวที่สหรัฐฯ
ต้องการที่จะหาใครสักคนหนึ่งที่จะสร้างสงครามกับอิหร่านให้ได้ เขาผู้นั้นที่ถูกเลือกคือ ซัดดัม ฮุสเซน นั่นเอง
ด้วยความต้องการที่จะรักษาอำนาจของตนให้คงทนถาวรตามแบบอย่างของนักปกครองแบบเบ็ดเสร็จ
ด้วยข้อเสนอที่จะค้ำบัลลังก์ให้โดยสหรัฐฯ ซึ่งมีข้อแลกเปลี่ยนคือการนำอิรักเข้าทำสงครามกับอิหร่าน
ในปี ๒๕๒๓ เมื่อสงครามดำเนินไปจนถึง ปี๒๕๓๑ ปรากฏว่าผู้ที่ขายอาวุธให้ทั้งสองฝ่ายอันเป็นผลประโยชน์
ทางเศรษฐกิจกลายเป็นอดีตสหภาพโซเวียตและจีน สหรัฐฯ ได้ทำเพียงการให้การสนับสนุนอิรักในโครงการต่าง ๆ
เกี่ยวกับการผลิตอาวุธ จึงทำให้สหรัฐฯ ไม่ได้รับผลประโยชน์แต่อย่างใดจากการสร้างสงครามอิรัก - อิหร่าน
( ช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิรักมากที่สุด ถ้าพูดถึงผู้นำอิรักแล้ว สหรัฐฯ
ให้ความสำคัญกับผู้นำอิรักคือ ซัดดัม ฮุสเซน เป็นความต้องการของสหรัฐฯ ที่ต้องการจะสนับสนุนหรือสร้างผู้นำอิรัก
เพื่อให้นำกองทัพของอิรักเข้าทำการรบกับอิหร่านซึ่งมีฝ่ายสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุน การจะทำให้ซัดดัมเป็นผู้แทน
ในการทำสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างแข็งแกร่งได้นั้น สหรัฐฯ จึงจำเป็นที่จะต้องทุ่มเทงบประมาณ
และเจ้าหน้าที่มหาศาลเพื่อช่วยเหลืออิรักหรือซัดดัม ฮุสเซน นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับ ซัดดัม ฮุสเซน
เมื่อครั้งสงครามอิรัก-อิหร่าน ) เป็นอันว่า ซัดดัม ฮุสเซน ไม่ได้มีประโยชน์ต่อสหรัฐฯ อีกต่อไป
( เพราะสงครามอิรัก-อิหร่าน ล้มเหลวในเชิงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ )

เมื่อได้ลงทุนสร้าง ซัดดัม ขึ้นมาแล้วประกอบกับสหรัฐฯ มีความต้องการที่จะสร้างสงครามครั้งใหม่
ที่สามารถแก้ปัญหาของตนได้อย่างเบ็ดเสร็จและสามารถที่จะนำสหรัฐอเมริกาผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ
ผู้นำของโลกหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง คือ
การสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี ๒๕๓๔ ที่ผ่านมาถือว่าการใช้งาน ซัดดัม ฮุสเซน
โดยสหรัฐอเมริกาไม่ได้ผลแต่ประการใด การสร้างสงครามอิรัก – อิหร่าน ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ บรรลุเป้าหมาย
ด้านยุทธศาสตร์และด้านเศรษฐศาสตร์แต่ประการใด ได้เพียงแค่การต่อต้านการขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตเท่านั้น
เพราะสหภาพโซเวียตในขณะนั้นให้การสนับสนุนอิหร่าน ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับอิรักโดยการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
นั่นคือการได้ทำเพียงแค่สงครามตัวแทนสงครามตัวแทนเท่านั้นเอง

ที่มาของสงครามพายุทะเลทราย

๑) ภายหลังจากสงครามอิรัก - อิหร่าน เศรษฐกิจโลกได้ตกต่ำลงอย่างหนักสหรัฐอเมริกา
ได้ปิดฐานทัพไปทั้งหมด ๔๐๐ กว่าแห่ง บริษัทต่าง ๆ กว่า ๖ แสนบริษัทได้ปิดตัวลงคนตกงาน
จำนวนมหาศาล ต้องมีการเร่งขายอาวุธอย่างหนัก และอาวุธที่เหลือต้องขนไปเก็บไว้ที่เซาท์ ดาโกตา
เจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นคือซาอุดิอารเบีย เป็นจำนวนเงิน ๑๗ พันล้านดอลลาร์
ประธานาธิบดี จอร์จ บุช จึงได้ทำหนังสือถึงซัดดัม ฮุดเซน ผ่านฑูตสหรัฐอเมริกา ประจำอิรักให้บุกยึดคูเวต
สหรัฐอเมริกาจะสนับสนุน แต่ซัดดัมไม่มีทุนเพราะการทำสงครามต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งอิรักยังบอบช้ำ
กับการทำสงครามอิรัก – อิหร่านที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกา จึงตกลงจะให้เงินทุนสนับสนุนการทำสงครามในครั้งนี้แก่
ซัดดัม ฮุสเซน เป็นจำนวนเงิน ๓ พันล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งให้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ประกอบระบบอาวุธ

จากหลักฐานวีดีโอการสอบสวนประธานาธบดี บุช หลังจากที่ลงตำแหน่งแล้วปรากฏชัดว่า การให้การสนับสนุนของสหรัฐฯ
ในเวลานั้นมีทั้งการสนับสนุนด้านการข่าวที่มีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างการเตรียมการทำสงครามบุกยึดคูเวตของอิรัก
การให้การสนับสนุนด้านอาวุธ การให้การสนับสนุนด้านโครงการพัฒนาอาวุธอำนาจทำลายล้างสูง และซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
(โครงการพัฒนาอาวุธมีอำนาจในการทำลายล้างสูง รวมทั้งอาวุธเคมี ที่สหรัฐฯ เป็นผู้ผลักดันให้สหประชาชาติเข้าไปตรวจค้น
ในอิรักก่อนที่จะทำสงครามอิรักครั้งที่ ๒ ในปี ๒๕๔๖ ล้วนแต่เป็นอาวุธที่สหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิรักไว้แล้วทั้งสิ้นแต่สหรัฐฯ
เพราะมีประเทศมหาอำนาจอื่นยุยงให้อิรักเคลื่อนย้ายออกจากที่ตั้งเดิมที่ซึ่งสหรัฐฯ รู้ตำแหน่งดี ) เป็นหลักฐานสาธารณะ
ที่ชี้ชัดว่าสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนอิรักให้เข้ายึดครองคูเวต ( ซีดี INSIDE INFORMATION ที่ใช้ประกอบการบรรยาย
ให้กับนักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหารรุ่นที่ ๔๕ ) การบุกยึดคูเวตของอิรักครั้งนี้สหรัฐฯ ได้แจ้งแก่ซัดดัมว่า
หลังจากที่สหรัฐฯ ใช้กำลังเข้าผลักดันกำลังทหารอิรักออกจากคูเวตในสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปี ๒๕๓๔ แล้ว
สหรัฐฯ จะสั่งถอนทหารก่อนที่จะบุกเข้ายึดกรุงแบกแดดเมืองหลวงของอิรักได้เพื่อที่จะให้ซัดดัมยังคงมีอำนาจอยู่อีกต่อไป
ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้ทำตามที่ได้สัญญากับซัดดัมไว้ พอเคลื่อนทัพเข้าใกล้กรุงแบกแดดและสามารถที่จะจับตัวซัดดัมได้
สหรัฐฯ ก็สั่งให้ถอนกำลังออกอย่างไม่มีเหตุผล สร้างความฉงนงงงวยให้กับชาวโลกเป็นอย่างยิ่ง
แต่แท้ที่จริงแล้วสหรัฐฯ ได้ตกลงกับซัดดัมไว้แล้วตั้งแต่ต้นจึงทำเช่นนั้น ผลก็คือ ซัดดัม ก็ยังคงอยู่ในอำนาจในอิรักต่อไป
สหรัฐฯ ก็ได้หลายอย่างด้วยกัน

๒. เหตุผลของการสร้างสงครามอ่าว ( ๑๙๙๑ ) คือ ให้ซาอุดิอาระเบียซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา
ซึ่งอาวุธหลายชนิดไม่มีที่เก็บ ทั้งยังเป็นการปลดหนี้และทำให้ทหารมีงานทำคือการที่ ซาอุดิอารเบีย
มีความกลัวต่อภัยคุกคามจากอิรักตามที่สหรัฐฯ ได้ใช้สื่อ CNN ประโคมข่าวถึงความน่าสะพรึงกลัวของอิรัก
ซาอุดิอารเบียจึงได้ทุ่มซื้ออาวุธจำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกา และอนุญาตให้สหรัฐอเมริกาตั้งฐานทัพในประเทศตนได้
และรัฐบาลของซาอุดิอารเบียคาดว่าค่าใช้จ่ายไม่มาก แต่ในที่สุด ซาอุดิอารเบีย ต้องกลายไปเป็นลูกหนี้ทางการเงิน
อันเป็นผลมาจากการซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา เป็นจำนวนเงินถึง ๙ พันล้านดอลลาร์ เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
มากมายมหาศาล ตั้งแต่การฝึกสอน ค่าอะไหล่ ค่าบำรุงรักษา รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ อีกมากมายจากการซื้ออาวุธ
ของสหรัฐอเมริกา และเป็นผลให้สหรัฐอเมริกา สามารถควบคุมประเทศที่ผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลกได้ ประเทศตะวันตก
สามารถแทรกเข้าอาหรับได้ ซึ่งแต่เดิมประเทศตะวันตกแทรกเข้าอาหรับได้ยากมาก และยังทำให้อาหรับแตกแยก
และซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา การซื้ออาวุธนั้น ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ใช้การร่วมหุ้นในบริษัทผลิตน้ำมันของอาหรับ
เช่น บริษัทน้ำมันคาลเท็กซ์ของสหรัฐอเมริกา เอสโซ่ของอังกฤษ เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทน้ำมันในอาหรับประมาณ ๙ ใน ๑๐
เป็นของอเมริกันและอังกฤษ

การเคลื่อนไหวขึ้นราคาน้ำมัน ผู้ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงคือสหรัฐอเมริกาและอังกฤษและที่สำคัญที่สหรัฐฯ
ได้รับคือการสามารถสร้างเกียรติภูมิทางด้านการเมืองและด้านการทหารให้กับตนเองอันจะกลับมาเป็นมหาอำนาจ
หนึ่งเดียวของโลกได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้เกียรติภูมิด้านการทหารและด้านการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐฯ
ได้สูญสิ้นไปเมื่อต้องพ่ายแพ้สงครามเวียดนามอย่างย่อยยับและหลังจากนั้นมาสหรัฐฯ ก็ไม่ได้มีการชัยชนะในสงครามใด ๆ
อันจะสามารถกอบกู้เกียรติภูมิด้านการทหารของตนได้เลย ธุรกิจด้านการขายอาวุธก็ซบเซา เสียงของสหรัฐฯ
ในประชาคมโลกก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ ผลของการสร้างสงครามครั้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกากอบกู้ศักดิ์ศรีของตน
ขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ สามารถยึดครองภูมิภาคอันเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลก
คืออิรักและตะวันออกกลางได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยการยืมซากของผู้ที่เสมือนว่าตายไปแล้วคือ ซัดดัม ฮุสเซน ที่เสมือนว่า
ไม่มีประโยชน์อะไรต่อสหรัฐฯ ให้คืนชีพขึ้นมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ ในการสร้างสงครามอ่าวเปอร์เซีย
เมื่อปี ๒๕๓๔ อีกครั้งหนึ่ง

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ ยืมซากคืนชีพหมายถึง ใช้สิ่งที่ใช้ไม่ได้แล้วในทางเป็นจริง หรือฉวยโอกาสทุกอย่างเท่าที่จะสามารถจักหยิบฉวยได้
ให้เป็นประโยชน์ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายบางประการของตน ให้รอดพ้นจากความหายนะ
เพื่อที่จะได้ยืนผงาดขึ้นมาใหม่ในวันหน้า หรือไม่วันใดก็วันหนึ่ง”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #29 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 12:13:45 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๕ ล่อเสือออกจากถ้ำ

รอฟ้าให้ลำบาก ใช้คนให้ล่อหลอก ไปยากก็ลวงให้มา

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จะต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลอันเป็นเงื่อนไขตามธรรมชาติ
เช่น หนาว ร้อน ฝน แจ้ง เป็นต้น ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างและเพิ่มความยากลำบากให้กับข้าศึก
ในขณะเดียวกันก็ใช้ภาพลวงที่เราจงใจสร้างขึ้น ล่อให้ข้าศึกออกจากแนวป้องกัน หลังจากนั้นก็โจมตีหรือทำลายเสีย
“ไปอยากก็ลวงให้มา” คำนี้มาจาก “ คัมภีร์อี้จิง ยาก” ความว่า “ยาก คือยากลำบาก อันตรายอยู่ ณ เบื้องหน้า
เห็นภัยก็หยุด นับได้ว่ารู้” “มา” มีความหมายว่าเคลื่อนย้ายข้าศึกหรือให้ข้าศึกเคลื่อนที่ ในขณะที่สองทัพประจันหน้ากัน
จักรุกเข้าตีข้าศึกที่มีการเตรียมพร้อมก็ให้ลำบากนัก การที่จะเข้าตีจุดแข็งของข้าศึก มิใช่แต่จะชนะได้โดยยาก
ซ้ำยังจะเป็นอันตรายแก่ตนอีกด้วย “ ล่อเสือออกจากถ้ำ” ก็คือกลอุบายที่ล่อหลอกข้าศึกให้ออกมาจากที่ตั้งอันแข็งแกร่ง
แล้วโจมตีทำลายเสียอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ กรณีการใช้เครื่องบิน EP-3 เพื่อทดสอบระบบการตัดสินใจทางทหารของจีน
ก่อนจะเริ่มดำเนินการตามแผนการสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ของสหรัฐฯ
เครื่องบิน EP-3 ของสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องบิน

การทดสอบศักยภาพการป้องกันภัยทางอากาศของจีน
( สายงานข่าว ปักกิ่ง )
ภายหลังจากการทดสอบปฏิกิริยาโดย CIA จัดตั้งในไทเป เพื่อเรียกร้องให้ไต้หวันประกาศเอกราชจากจีน
เพื่อดูผลทางการเมืองและเพื่อเป็นการทดสอบกระบวนการตัดสินใจทางทหารของจีน เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๔
เครื่องบินจารกรรม EP – 3 ของสหรัฐฯ http://www.aerospaceweb.org/aircraft/maritime/p3/
ถูกส่งเข้าสู่น่านฟ้าของจีนและได้ถูกกองทัพอากาศจีนส่งเครื่องบินรบขับไล่ขึ้นสกัด จนถูกเครื่องบินจารกรรม EP – 3 ยิงตก
ทำให้นักบิน ( นายหวังเหม่ย ) ของจีนเสียชีวิต ส่วนเครื่องบินจารกรรม EP – 3 ได้รับวิทยุจากหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของจีน
บังคับให้ลงจอด มิฉะนั้นหน่วยป้องกันภัยจะยิงขีปนาวุธพื้นดินสู่อากาศเพื่อทำลายเครื่องบินจารกรรม EP – 3 นักบินสหรัฐฯ
จึงนำเครื่องบินลงจอดที่เกาะไหหลำของจีน

การทดสอบระบบเตือนภัยคุกคามทางอากาศของเครื่องบินจารกรรม EP – 3 ครั้งนี้เพื่อตรวจวัดระดับการตรวจจับระบบรายงานข้อมูล
( Process ) ของระบบสั่งการว่ากระบวนการนั้นใช้เวลาประมาณเท่าใด เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวส่งตรงไปยังฝ่ายวางแผนยุทธการ
คำนวณระยะเวลาของการสั่งการของจีนในด้านยุทธวิธีซึ่งสหรัฐฯ ตระหนักดีว่าถ้าจีนจะตัดสินใจใช้กำลังทหารในการแก้ปัญหาใด ๆ
จะให้เวลาเท่าใด เพื่อที่สหรัฐฯ จะได้เตรียมการตอบโต้การปฏิบัติการทางทหารจากการสั่งการโดยกระบวนการแสวงข้อตกลงใจ
ทางทหารแล้วสั่งการไปยังหน่วยปฏิบัติ โดยความเป็นจริงเครื่องบินจารกรรม EP – 3 เป็นเครื่องบินจารกรรมที่มีเทคโนโลยี
สูงที่สุดชนิดหนึ่ง เป็นเสมือนฐานปฏิบัติการลอยฟ้าที่นอกจากจะสามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสูงภายใน
เพื่อการตรวจจับการเคลื่อนไหวที่สำคัญทางทหารของจีนและรัสเซียได้แล้ว EP – 3 ยังมีเครื่องมือที่สามารถรับสัญญาณ
การรายงานข้อมูลต่าง ๆ จากดาวเทียมได้ด้วย จึงทำให้การทำหน้าที่เป็นเครื่องบินจารกรรมที่สมบูรณ์แบบ
และสามารถที่จะล่วงรู้ข้อมูลลึก ๆ เกี่ยวกับความลับของจีนได้เป็นจำนวนมาก การปฏิบัติภารกิจของเครื่องบินชนิดนี้
จะบินในระยะความสูงที่สูงมาก สูงกว่าอากาศยานรบใด ๆ ที่เคยมีมาจึงทำให้การตรวจจับด้วยเรดาร์ของจีนไม่อาจที่จะตรวจพบได้
โดยทั่วไปแล้วถ้าเป็นการปฏิบัติภารกิจที่เป็นปกติเครื่องบินชนิดนี้จะบรรจุลูกเรือได้ประมาณ ๑๖๒ นาย พร้อมกับเครื่องมือ
ในการจารกรรมเต็มอัตรา เครื่องบินชนิดนี้จะได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจในการสอดส่องดูแลการเคลื่อนไหวที่สำคัญ ๆ ของจีน
เช่น การเคลื่อนไหวทางทหาร การเคลื่อนย้ายกำลังทหาร การสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตยุทโธปกรณ์ด้านการทหาร
การร่วมมือระหว่างจีนกับรัสเซียด้านต่าง ๆ เป็นต้น ด้วยภารกิจดังกล่าวทำให้เครื่องบินนี้ได้ถูกสั่งให้เข้าประจำการอยู่ที่
ฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งที่มีที่ตั้งอยู่ที่โอกินาวา และเครื่องบินชนิดนี้มีเพียง ๗ เครื่องเท่านั้น ฉะนั้นเส้นทางการบินจึงวนเวียน
อยู่เหนือน่านฟ้าของจีนแผ่นดินใหญ่ บริเวณช่องแคบไต้หวัน และบางครั้งเลยไปถึงเขตติดต่อระหว่างจีนกับรัสเซียด้วย
ด้วยระยะความสูงบินที่สูงมากทำให้จีนไม่สามารถที่จะตรวจจับได้ แต่เมื่อมีโครงการร่วมมือด้านการทหารระหว่างจีนกับรัสเซีย

เครื่องมือเทคโนโลยีสูงของรัสเซียทำให้จีนสามารถตรวจจับเครื่องบินดังกล่าวของสหรัฐฯ ได้แต่ไม่อาจที่จะทำประการใดได้
อันเป็นหนามยอกอกของจีนอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้การปฏิบัติการตามแผนได้อย่างสมจริง ก่อนที่จะปล่อยให้จีนจับเครื่องบินนี้
ได้อีกครั้งหนึ่งนั้น สหรัฐฯ ได้ถอดเครื่องมือเทคโนโลยีสูงออกทั้งหมด และมีลูกเรือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่บินมาปฏิบัติภารกิจ
เพื่อให้จีนจับได้ครั้งนี้ ทำให้เมื่อจีนจับได้และบังคับให้เครื่องบิน EP-3 ดังกล่าวลงจอดที่เกาไหหนานได้สำเร็จ จีนมีความหวังว่า
จะสามารถที่จะได้ข้อมูลเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯ แต่ก็คว้านำเหลว จีนได้เพียงสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการให้จีนรู้เท่านั้น
ไม่ได้มีเครื่องมือพิเศษแต่อย่างใด ( ตามที่ปรากฏตามข่าวสาธารณะ)

การทดสอบการตัดสินใจตอบโต้ทางการทหารของจีน ทันทีที่มีการเสนอข่าวว่าเครื่องบินของสหรัฐฯ
ถูกบังคับให้ลงจอดในดินแดนของจีนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการ
และแข็งกร้าวต่อจีน “ ตัดสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีน” ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช
ก็กล่าวต่อประชาชนผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่องอย่างแข็งกร้าวต่อจีนเช่นเดียวกัน และพร้อมที่จะดำเนินการ
อย่างใดอย่างหนึ่งที่รุนแรงหากจีนไม่ยอมคืนเครื่องบินจารกรรม EP – 3 ให้กับสหรัฐฯ ตามคำร้องขอ
ถึงแม้ว่าเครื่องบินสหรัฐ ฯ จะละเมิดอธิปไตยของจีนก็ตาม

- การยอมอ่อนข้อของจีนในกรณีแถลงยอมคืนเครื่องบิน EP – 3 ( สายงานข่าว ปักกิ่ง )
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๔๔ นาย ซุน ยู ฉี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงว่า
“ จีนไม่เคยพูดว่าจะไม่ยอมส่งเครื่องบินจารกรรม EP –3 คืนให้กับสหรัฐฯ ขณะนี้เราและสหรัฐฯ
กำลังทำความตกลงกันในเงื่อนไขของการขนย้าย “

ภายหลังจากจีนได้แถลงแล้ว ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ออกมาแถลงตอบจีนว่า
กรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศอย่างเป็นทางการและแข็งกร้าว
“ ตัดสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีน “ ข้อความดังกล่าวนั้นเป็นข้อความผิดพลาด
เกิดจากพนักงานพิมพ์ ที่พิมพ์ข้อความผิด “

การแถลงดังกล่าวส่งสัญญาณที่สามารถอ่านได้ว่า จีนไม่กล้าแม้กระทั่งแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ละเมิดอธิปไตยทางทหาร ดังเช่นกรณีเครื่องบินสอดแนมที่เป็นหลักฐานต่อชาวโลกนี้
แสดงความแข็งกร้าวเพราะ จีนตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบทางสังคมโลก คือ เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า
จีนจะต้องสงวนท่าทีและปิดกั้นการกระทำของตนเอง ในด้าน

๑) จีนอยู่ในภาวะที่จะต้องทำตนให้ผ่านคุณสมบัติการเป็นสมาชิก WTO
๒) จีน อยู่ในภาวะที่ต้องสร้างภาพพจน์ที่ดีเพื่อสนองต่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
จึงต้องทำทุกอย่างให้สงบ ไม่อาจใช้กำลังหรือการต่อต้านทางทหาร

จากการทดสอบดังกล่าวสรุปได้ว่าในระยะช่วงก่อนโอลิมปิก และก่อนที่จีนจะได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ
แม้ว่าจะได้เป็นสมาชิก WTO ก่อนหน้าหรือหลังนี้ จีนจะไม่ปฏิบัติการในการตอบโต้ทางทหารหรือ
แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐอเมริกาไม่ว่ากรณีใด ๆ
จากการทดสอบครั้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาทราบว่าถ้าจีนจะยังไม่ตอบโต้ในสิ่งที่รุนแรงหรือการตอบโต้
โดยใช้กำลังทหารแต่อย่างใด จึงทำให้สหรัฐฯ เพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าเมื่อตนเริ่มปฏิบัติการตามแผน
การถล่มเวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ที่จะถึงโดยใช้ชื่อของ บิน ลาเดน แล้ว
หลังจากที่เปิดการโจมตีฐานที่มั่นของ บิน ลาเดน ที่อัฟกานิสถานแล้วจะใช้ข้ออ้างต่อไปว่าไม่สามารถจับกุม
บิน ลาเดน ได้และบิน ลาเดน พร้อมกับเครือข่ายผู้ก่อการร้ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถล่ม
เวิร์ลด์เทรด เซ็นเตอร์ของเขา ได้หลบหนีเข้าไปยังดินแดนของจีน ดังคำกล่าวที่ว่า

“… Xinjiang’ Province of China’s mainland is the best and the most safety place
for Osama Bin Laden to hide because there are the Muslim minority’s homeland ….”.
“ …. We must not stop the war on terrorism , we don’t know when the war would be stopped ,
we’ll go to anywhere to every countries which we believe that there are hidden places
for the terror or the terror networks according to our own evidences.
This is the 21st Crusade War and this is the true Liberal War ……”

แล้วในที่สุดสหรัฐฯ จะส่งกำลังของตนพร้อมกับสร้างการก่อการร้ายขึ้นที่มณฑลซินเกียงของจีนและจะมีเป้าหมาย
ในการแบ่งแยกดินแดนมณฑลซินเกียงของจีนออกเป็นรัฐอิสระ ซึ่งเดิมมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจีนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
ก็ยังมีการเคลื่อนไหวเป็นประจำอยู่แล้ว ถ้าได้รับการสนับสนุนด้านการก่อการร้ายจากสหรัฐฯ ก็จะทำให้เงื่อนไข
การแบ่งแยกดินแดนใกล้ความจริงได้มากยิ่งขึ้น และเมื่อสามารถแบ่งแยกมณฑลซินเกียงของจีนออกเป็นรัฐอิสระได้
จะทำให้รัฐอื่น ๆ มีแนวทางในการแยกตัวเป็นอิสระตามแบบอย่างของมณฑลซินเกียงได้ แล้วเมื่อนั้นก็เท่ากับว่า
สามารถที่จะย่อยสลายจีนได้ จีนจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป

กลยุทธ์นี้จึงมีชื่อว่า “ ล่อเสือออกจากถ้ำ” คือเป็นการล่อหลอกให้จีนออกมาแสดงท่าทีของตนเองต่อเหตุการณ์ใด ๆ
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การปฏิบัติตามกระบวนการตัดสินใจทางทหาร ที่จะใช้กำลังทหารถ้าเมื่อจีนจำเป็นที่จะต้อง
ใช้กำลังทหารแก้ไขปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ได้ทดสอบปฏิกิริยาต่อสถานการณ์เรื่อง EP-3 ถ้าในอนาคตเมื่อสหรัฐฯ
ใช้กำลังบางส่วนบุกเข้าไปยัง ซินเกียงของจีน จีนจะโต้ตอบด้วยการใช้กำลังทหารอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร
มีความรวดเร็วมากน้อยเพียงใด เมื่อสหรัฐฯ ได้ประจักษ์แล้วทำให้สหรัฐฯ สามารถที่จะกำหนดแนวทางในการดำเนินการ
ด้านการสร้างเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ได้อย่างสมบูรณ์และได้ผลมาจนเท่าทุกวันนี้ ( ๒๑ เม.ย.๔๗ )
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 5.68 วินาที กับ 21 คำสั่ง