เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 23, 2025, 06:30:41 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3] 4 5
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ  (อ่าน 40125 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #30 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 12:36:15 PM »

ขอบคุณครับ แนะนำที่ขายหนังสือดีกว่าครับ Smiley อ่านซ้ำๆได้ไม่ปวดตา เรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ค่อยๆคิดหนะครับ Wink
หนังสือเดิมชื่อ 36 กลยุทธ์ สับประยุทธ์ทุกปริมณฑน(อาจตก ๆ หล่นไปบ้างในชื่อเรื่องนะพี่) ข่าวดีคือ ผมมีหนังสือเล่มนี้ ข่าวร้ายคือ ถ้าเป็นของท่าน พันเอกโสภณ ศิริงาม อันนี้ผมไม่มีครับ ถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อ ๆ กลยุทธ์เดิม + บทสรุปของกลยุทธ์ว่าคืออะไร และมีตัวอย่างแบบโบราณสมัยก่อนนิดหน่อย ก็ยื่มได้ครับพี่ แต่ถ้าพี่หาเล่มของ พันเอกโสภณ ศิริงาม ผมก็ขอยืมจากพี่ละกัน Grin
๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ
สำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์
โดย
พันเอกโสภณ ศิริงาม
๑๒ เมษายน ๒๕๔๗


Grinเยี่ยมครับพี่ บทวิเคราะห์ตัวอย่างสมัยใหม่ แบบนี้คนอ่านรุ่นใหม่ก็พอนึกภาพตามออก......ถ้ามีลิ๊งให้ไปดูดละเยี่ยมเลยครับ...อ๋อใน 36 กลยุทธ์นี่ ผมชอบกลยุทธ์สุดท้ายครับ คือ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์" เพราะหากคนเรารู้จักประมาณตนไม่ดื้อดึง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ ยอมถอยออก เพื่อตั้งหลัก ก็ย่อมมีโอกาศแก้ตัวได้ใช้กลยุทธ์ที่เหลืออีก 35 กลยุทธ์ได้ในภายภาคหน้า  Grin
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #31 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 12:40:29 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๖ แสร้งปล่อยเพื่อจับ

เค้นกลับสู้ ปล่อยกลับคลาย ตามแต่อย่าประชิด ให้เหนื่อยในกายให้หน่ายในใจ
แตกแล้วจึงจับ ไพร่พลมิหลั่งเลือด รอ ฟักตัว สว่าง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ถ้าบีบคั้นจนเกินไปนัก สุนัขก็จักสู้อย่างจนตรอกปล่อยข้าศึกหนี
ก็จักทำลายความเหิมเกริมของข้าศึกลงได้ ทว่าต้องไล่ตามอย่าละ เพื่อบั่นทอนกำลังของข้าศึก
ให้กะปลกกะเปลี้ย ครั้นเมื่อสิ้นเรี่ยวแรงใจก็มิคิดต่อสู้ด้วยแล้ว จึงจับ อันเป็นการรบที่ไม่เลียเลือดเนื้อ
อีกทั้งทำให้ข้าศึกแตกสลายไปเอง “รอ ฟักตัว สว่าง” มีอยู่ใน “คัมภีร์อี้จิง รอ”

“รอ” หมายถึงการรอคอยอย่างอดทน
“ฟักตัว” ก็คือไก่ฟักไข่จนเป็นลูกไก่ หมายถึง “ได้”
ส่วน “สว่าง” ก็คือแสงสว่าง หมายถึง “ชัยชนะ”
ความหมายของกลยุทธ์นี้ทั้งคำก็คือ เมื่อสองทัพประจันหน้ากัน จักต้องใช้ความอดทนรอคอย
ใช้วิธีการอันแยบยล ให้ข้าศึกมาสวามิภักดิ์ด้วยใจ นี่ก็คือกลอุบายปล่อยป่านยาวตกปลาตัวโตอย่างหนึ่ง
กลยุทธ์นี้มีอยู่ใน “คัมภีร์เหลาจื่อ บทต้น” บรรยายไว้ว่า “เมื่อจักเอาจะต้องให้” ในบันทึก
“ไท่ผิงเทียนกว๋อ อักษรศาสตร์” ก็มีอธิบายไว้ว่า “เมื่อจักจับให้ปล่อย เมื่อจักเร็วให้ช้า
รอเมื่อหย่อนยานจึงตี มิมีที่ไม่ชนะ”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ การรบในสมัยสามก๊กของจีนที่ขงเบ้งรบกับเบ้งเฮ็ก ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้

ในสมัยสามก๊ก (ค.ศ.๒๒๐-๒๘๐) ขงเบ้ง (ข่งเหมิงในภาษาจีนกลาง ชื่อ จริง จูเก้อเลี่ยง ขงเบ้งนั้น
เป็นสมญา ค.ศ.๑๘๑-๒๓๔) ช่วยเล่าปี่จนได้ครองเสฉวนตะวันตก ก่อตั้งเป็นราชวงศ์ฮั่นแห่งรัฐจ๊ก
(“สู่” ในภาษาจีนกลาง เป็นชื่อย่อของเฉสวน) ต่อมาเล่าปี่ยกทัพไปรบกับซุนกวน ณ เมืองเป็กเต้
(บนเขาไป่ตี้ซาน อำเภอฝังเจี๋ยในมณฑลเฉสวนปัจจุบัน) พ่ายแพ้บาดเจ็บสาหัสกลับมา
ก่อนตายก็มอบอาเต๊า-เล่าเสี้ยน ให้ขงเบ้งทำนุบำรุงสืบไป ขงเบ้งทำตามคำสัตย์ที่ให้ไว้แก่เล่าปี่
ยกย่องเล่าเสี้ยนขึ้นเป็นฮ่องเต้ พร้อมกับเตรียมสยบโจโฉทางภาคเหนือ เพื่อขยายอาณาเขตราชวงศ์ฮั่น
แห่งรัฐจ๊กออกไป แต่ทางใต้ของรัฐฮั่น เป็นถิ่นบ้านของฮวนเผ่าต่าง ๆ มากมาย ขณะที่ขงเบ้งเตรียมกรีฑาทัพ
ขึ้นเหนือในปีที่ ๓ แห่งรัชสมัยของพระเจ้าเล่าเสี้ยนเบ้งเฮ็กหัวหน้าฮวนเผ่าฮี๋ ก็นำไพร่พล ๑๐ หมื่นรังควานอยู่
ตามชายแดนของรัฐฮั่น ตีเอาเกียมเหลง โคกุ้น อวดจุ้น ๓ เมืองไปครอง ครั้งแล้วก็เข้าโอบล้อมเมืองเองเฉียง
อ้องค้างเจ้าเมืองเองเฉียงระดมราษฎรรักษาเมืองไว้อย่างแข็งขัน พร้อมกับส่งข่าวไปขอความช่วยเหลือ
ยังเมืองหลวงเซงโต๋แห่งราชวงศ์ฮั่น

ขงเบ้งได้ข่าวดังนั้นก็ให้นึกวิตก คิดว่าหากไม่ปราบภาคใต้ให้ราบคาบเสียก่อนจนมิเป็นภัยต่อไปแล้ว
ก็ยากที่จะรบกับโจโฉทางเหนือได้ ด้วยต้องทำศึกสองด้าน อันมิต้องด้วยกลศึก จึงตกลงใจนำทัพไป
ปราบเบ้งเฮ็กด้วยตนเอง ครั้นแจ้งให้เล่าเสี้ยนทราบ และจัดปัองกันโจโฉทางเหนือ ป้องกันซุนกวนทางตะวันออก
จนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็นำกำลัง ๕๐ หมื่น ให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนเป็นทัพหน้ายกลงใต้ไป
เบ้งเฮ็กเมื่อได้เมืองต่าง ๆ ไปครองแล้วก็ตั้งตัวเป็น “หม่านอ๋อง” รวบรวมพวกหัวหน้าเผ่าฮวนอื่นๆ
และไพร่พลมาสมทบด้วย ขงเบ้งนำทัพมาถึงริมแม่น้ำลกซุย แม้จะมีหัวหน้าเผ่าฮวนมาสวามิภักดิ์บ้างก็ตาม
แต่อิทธิพลของเบ้งเฮ็กก็กล้าแข็งนัก ยังสามารถรวบรวมกำลังส่วนใหญ่ไว้ได้ ถ้าแม้นจะปราบเผ่าฮวนทางใต้
ก็จักต้องสยบเบ้งเฮ็กเสียก่อนเป็นปฐม

ขงเบ้งจึงคิดว่า จักต้องหาทางจับเบ้งเฮ็กเป็น ๆ ให้สวามิภักดิ์ด้วยใจ ถ้าทำได้เช่นนั้นมิใช่แต่จะหมดวิตก
ทางใต้ของฮั่นเท่านั้น ยังอาจจะได้รับการสนับสนุนทั้งกำลังคนและเสบียงอาหารจากเผ่าฮวนทางใต้อีกด้วย
ขงเบ้งจึงสั่งความอย่างเข้มงวดแก่ไพร่พลทั้งหลายมิให้ข่มเหงน้ำใจรังแกหรือฆ่าฟันราษฎรเผ่าฮวนเป็นอันขาด
แต่ให้เอาชนะด้วยความเมตตา ดังนั้นเผ่าฮวนหลายเผ่าจึงมีใจเอนเอียงมาทางขงเบ้ง ทัพฮั่นของขงเบ้ง
จึงมีคนท้องถิ่นนำทางช่วยเหลือและคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ทัพหลวงของขงเบ้งใกล้จะมาถึง เบ้งเฮ็กก็ระดมกำลังเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อขงเบ้งปลงทัพลง
ณ ริมฝั่งน้ำ ก็ให้หาตัวคนท้องถิ่นมาซักถาม ก็ได้ความว่าทัพของเบ้งเฮ็กนั้นมิได้ก่อตั้งขึ้นเป็นกองทัพอย่างแน่นอน
เมื่อจะรบก็เรียกกันเข้ามาสมทบ เมื่อว่างต่างก็แยกย้ายกันไป บัดนี้เพื่อที่จะรบกับขงเบ้ง ก็รวบรวมไพร่พล
ได้ถึง ๑๐ หมื่นแล้ว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้อองเป๋ง กวนสก เตียวหงี เตียวเอ๊ก ๔ ขุนพลนำกำลังออกไป
รักษาเส้นทางสำคัญเอาไว้ ให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนซุ่มกำลังรอฟังคำสั่ง แล้วให้กวนสกเป็นคนไปล่อเบ้งเฮ็ก ให้ออกมารบด้วย
เบ้งเฮ็กดูหมิ่นกวนสก รบได้ไม่กี่เพลง กวนสกหนี เบ้งเฮ็กก็ไล่ตามจนถลำลึกเข้าไปในหุบเขา อองเป๋ง เตียวหงี
และเตียวเอ๊กก็นำทัพออกสกัดพร้อมกัน ทั้งกวนสก ก็หยุดปิดล้อมหมดทุกทาง จึงทิ้งม้าปืนเขาหนี แต่ก็ถูกอุยเอี๋ยน
สกัดไว้อีก อุยเอี๋ยนสั่งไพร่พล ๕๐๐ ล้อมเบ้งเฮ็กไว้อย่งแน่นหนา เบ้งเฮ็กรบจนหมดแรง จึงถูกอุยเอี๋ยนจับได้

เมื่ออุยเอี๋ยนและพวกขุนพลทั้งหลายนำตัวเบ้งเฮ็กเข้ามาอยู่ต่อหน้าขงเบ้งเบ้งเฮ็กก็ตะโกนใส่หน้าขงเบ้งว่า
“เราไม่ยอมแพ้ ที่เราถูกจับหาใช่เพราะเราสู้ไม่ได้ หากแต่เพราะพวกท่านใช้เล่ห์กลลวงเราเข้าหุบเขา
แล้วรุมล้อมเราอย่างหมาหมู่ ถ้าแน่จริง ก็จงปล่อยเราไป เราจะนำทหารมารบกับท่านใหม่”
ขงเบ้งจึงว่า “เมื่อท่านไม่ยอมแพ้ก็เอาเถิด เราจะปล่อยท่านไป รอท่านมารบกันใหม่” ครั้งแล้วก็สั่งให้คืน
อาวุธยุทโธปกรณ์และไพร่พลที่จับได้ ให้แก่เบ้เฮ็กไปจนหมดสิ้น
ขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กไป พวกขุนพลของฮั่นให้รู้สึกกังขายิ่งนัก จึงตั้งข้อสงสัยว่า
“คำโบราณกล่าวไว้ ปล่อยเสือเข้าป่า ภัยจะมาไม่สิ้นสุด” เมื่อหม่านอ๋องถูกจับแล้ว
เหตุไฉนท่านกลับมาปล่อยไปเสียเล่า ที่เรารบกันมามิเสียแรงเปล่าหรือ? ท่านคิดดีแล้วหรืออย่างไร?”
ขงเบ้งจึงตอบว่า “หม่านอ๋องเป็นเสือจริงๆ แต่ถ้าบีบคั้นเขาเกินไปนักเสือก็จักสู้ตายแล้ว
เราก็จะปราบภาคใต้ให้สงบกระไรได้? ปราบเสือเยี่ยงเบ้งเฮ็กนี้ จะต้องปราบทั้งกายและใจ
จึงจะขจัดภัยได้ตลอดไปในวันหน้า” แต่พวกขุนพลทั้งหลายก็ยังมิใคร่จะเชื่อนัก

เบ้งเฮ็กเมื่อกลับไปแล้ว ก็รวบรวมไพร่พลขึ้นมาใหม่ รักษาฝั่งใต้ของแม่น้ำลกซุยไว้อย่างกวดขัน
ทั้งให้ลากเรือทุกลำไปไว้ทางฝั่งใต้จนหมด แม่น้ำลกซุยมีตลิ่งสูงชัน น้ำก็ลึก เชี่ยวกราก และเย็นเยือก
เบ้งเฮ็กเข้าใจว่าขงเบ้งคงจะไม่มีทางข้าวฝากมาได้แน่ แต่ขงเบ้งก็หาตัวคนท้องถิ่นมาถามเอาความจนได้
ครั้นแล้วก็ให้ม้าต้ายนำกำลังลอบเข้าฟากทางตอนล่างของแม่น้ำนั้นไปบุกเข้ายึดคลังเสบียงของเบ้งเฮ็กอย่างฉับพลัน
เบ้งเฮ็กโกรธจัด จะลงโทษไพร่พลที่ดูแลคลังเสบียงแต่ไพร่พลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเชลยที่ถูกขงเบ้งปล่อยกลับมา
ต่างจึงไม่พอใจโอกาสที่เบ้งเฮ็กมิทันระวังตัว รุมกันจับเบ้งเฮ็กมัดไว้อย่างแน่นหนา แล้วนำตัวมามอบให้กับขงเบ้ง
เบ้งเฮ็กจึงถูกจับอีกเป็นครั้งที่ ๒ แต่ในคราวนี้เป็นเพราะความแตกร้าวภายในกองทัพของเบ้งเฮ็กเอง

ขงเบ้งจึงถามเบ้งเฮ็กว่า “ท่านถูกเราจับอีกครั้งหนึ่งแล้ว ท่านจะยอมแพ้แก่เราหรือหาไม่?” เบ้งเฮ็กตอบว่า
“ที่เราถูกจับคราวนี้เพราะคนของเราเป็นหนอนบ่อนไส้ หาใช่เพราะรบแพ้ท่านไม่ จะให้ยอมแพ้แก่ท่านกระไรได้?”
ขงเบ้งจึงปล่อยเบ้งเฮ็กอีก พร้อมทั้งให้จัดสุราอาหารมาเลี้ยง ครั้นแล้วก็ให้ทหารพาเบ้งเฮ็กไปชมค่ายของฝ่ายตน
รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยเบ้งเฮ็กดูแล้วก็กล่าวแก่ขงเบ้งว่า “เรารู้ตื้นลึกหนาบางของทัพท่านแล้ว
คราวหน้าถ้ารบกัน ท่านเห็นทีจะต้องพ่ายแพ้แก่เราเป็นแน่” ขงเบ้งจึงตอบว่า
“ดีแล้วท่านจงกลับไปเตรียมให้พร้อมเถิด เราจะคอยรับมือท่าน”

เมื่อเบ้งเฮ็กกลับไป ก็ยังคิดแคว้นเคืองม้าต้ายอยู่ เพราะเป็นผู้มาแย่งเสบียงอาหารของตนไปหมด
จึงพยายามควานหาม้าต่ายเพื่อรบแก้แค้นด้วยแต่ม้าต่ายก็หลบหน้าเสียมิยอมออกรบ เบ้งเฮ็กจึงใช้กลอุบาย
แสร้งทำเป็นส่งสุราอาหารของเผ่าชนอี๋ไปเลี้ยงทดแทนบุญคุณที่ขงเบ้งปล่อยตนให้เป็นอิสระ เพื่อจะหาทางเข้าไป
ในค่ายฝ่ายฮั่น เมื่อสบโอกาสก็จะจับพวกขุนพลฮั่นฆ่าเสีย แต่อุบายนี้ตื้นเขินนัก ขงเบ้งให้นึกหัวเราะอยู่ในใจ
จึงใช้อุบายซ้อนอุบายอีกชั้นหนึ่ง เอาสุราอาหารที่ทหารเผ่าชนอี้นำมา จัดเลี้ยงมอมเหล้าทหารเบ้งเฮ็ก
จนเมามายกันไปทุกคน แล้วให้ทหารฝ่ายตนแต่งกายปลอมเป็นทหารของหม่านอ๋อง กลับไปแจ้งแก่หม่านอ๋อง
เบ้งเฮ็กว่าอุบายสำเร็จแล้ว ให้หม่านอ๋องรบเข้าค่ายฝ่ายฮั่นไปจัดการตามความประสงค์โดยเร็ว
เบ้งเฮ็กสำคัญว่าจริงให้ดีใจยิ่งนัก รีบเข้าค่ายฮั่นไปมิรอช้า ครั้นถึงกลับเห็นแต่ไพร่พลของตนนอนสลบไสล
ไม่ได้สติกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น เบ้งเฮ็กเห็นท่าไม่ดีก็รีบถอยหนี แต่พอมาถึงท่าข้าม ก็ถูกม้าต้ายล้อมจับตัวได้
เมื่อนำตัวมาอยู่ต่อหน้าขงเบ้ง ขงเบ้งจึงถามว่า “ท่านจะยอมแพ้แก่เราหรือยัง?” เบ้งเฮ็กให้แค้นใจนักที่เสียรู้ขงเบ้งอีก
ตอบว่า “เราหายอมไม่ เราถูกจับเพราะหลงด้วยกลของท่าน หาใช่เพราะการสู้รบกันไม่ ท่านอย่าได้หวังเลย”
ขงเบ้งจึงกล่าวว่า “เอาเถิด เมื่อท่านไม่ยอมก็แล้วไป เราจะปล่อยท่านกลับไปอีกครั้งหนึ่ง”
เบ้งเฮ็กจึงได้รับอิสระเป็นครั้งที่ ๓

เบ้งเฮ็กกลับไปถึงแม่น้ำเซียงหยี ยืมทหารเผ่าฮวนต่าง ๆ ที่เป็นมิตรได้อีกหลายหมื่นคน ก็มาท้ารบด้วยขงเบ้งอีก
ขงเบ้งจึงใช้อุบาย “ถอยเพื่อรุก” เมื่อเบ้งเฮ็กมาท้ารบก็ให้สงบอยู่ในค่าย ค่อนคืนก็ถอนทัพหนีไปเงียบๆ
ทิ้งเสบียงอาหารรถราไว้มากมาย เบ้งเฮ็กเข้าใจว่า ในราชสำนักฮั่นคงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นเป็นแน่
มิฉะนั้นไฉนเลยขงเบ้งจึงได้ถอยทัพไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่ตนจะซ้ำเติมขงเบ้งเสียให้สมแค้น
ในตอนกลางคืนเบ้งเฮ็กจึงนำทหารข้ามแม่น้ำเซียงหยีมาหมายจะลอบเข้าตีค่ายของขงเบ้ง ครั้นขึ้นฝั่ง
กลับได้ข่าวจูล่งนำกำลังตลบหลังไปตียึดค่ายของตนเอาไว้ได้ ก็รีบข้ามฝั่งกลับหวังจะตีเอาค่ายของตนคืน
แต่พอก้าวขึ้นฝั่งก็ถูกม้าต้ายกับจูล่งล้อมไว้ ต้อนจนเบ้งเฮ็กตกไปในหลุมพรางที่ขุดดักไว้
แต่พอก้าวขึ้นฝั่งก็ถูกม้าต่ายกับจูล่งล้อมไว้ ต้อนตนเบ้งเฮ็กตกไปในหลุมพรางที่ขุดดักไว้ เบ้งเฮ็กจึงถูกจับอีก

เมื่อเผชิญหน้ากับเบ่งเฮ็ก ขงเบ้งจึงแสร้งคลาดว่า “เอาตัวออกไปตัดหัวให้เราเสียเดี๋ยวนี้?”
แต่เบ้งเฮ็กหน้ามิได้ถอดสี ขงเบ้งจึงถามว่า “คราวนี้ท่านถูกจับอีกแล้ว ยังจะมีอะไรพูดกับเราอีกหรือ?”
เบ้งเฮ็กตอบอย่างองอาจว่า “คราวนี้ท่านก็ใช้อุบายได้ตัวเรามาอีก แม้เราจะเป็นคนป่าคนดอย
รู้ตำราพิชัยสงครามอยู่บ้าง หากท่านปล่อยเราให้รบกับท่านอีก ก็อย่าหวังเลยว่าจะชนะเราได้”
ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กยังกระด้างกระเดื่องนักก็ให้ปล่อยเบ็งเฮ็กอีกเป็นครั้งที่ ๔

เบ้งเฮ็กรอดตัวมาได้ ก็รีบไปหาโต้สู้ ไต้อ๋องหัวหน้าเผ่าฮวนอีกเผ่าหนึ่ง โต้สู้ไต้อ๋องจึงจัดให้เบ้งเฮ็กพักอยู่ที่
ถ้ำทูหลงตังซึ่งเป็นเส้นทางภูเขาที่สำคัญ มีทางเข้าออกเพียง ๒ ทาง คือทางตะวันตกเฉียงเหนือกับ
ทางตะวันออกเฉียงเหนือ หากปิดทางตะวันออกเฉียงเหนือไว้ตลอดทางจะเต็มไปด้วยลำธารพิษ
หากทางฝ่ายฮั่นบุกเข้ามา ทหาร ๑๐ หมื่นดื่มน้ำพิษในลำธารก็จะตายไปเองโดยมิต้องรบ ดังนั้น
เบ้งเฮ็กจึงเก็บตัวเงียบอยู่ที่ถ้ำทูหลงตังรอขงเบ้งมาติดกับ

ขงเบ้งเห็นเบ้งเฮ็กเงียบหายไปหลายวันก็ให้สงสัยนัก จึงส่งคนไปสอดแนม ก็รู้ว่าเบ้งเฮ็กคิดจะอาศัย
ลำธารพิษยั้งการบุกของทหารฝ่ายฮั่น จึงสั่งห้ามมิให้ไพร่พลใช้น้ำในลำธารดื่มกินเป็นอันขาด
ให้ขุดบ่อหาน้ำใช้ไปตลอดทางด้วยตนเอง ดังนั้น จึงค่อย ๆ ประชิดที่มั่นของเบ้งเฮ็กเข้าไปทุกที
ทหารเบ้งเฮ็กเคยแพ้เป็นเชลยมาหลายครั้ง ให้เบื่อหน่ายการรบเป็นกำลัง อีกทางหนึ่ง
เอียวหองหัวหน้าถ้ำอิ๋นจื้อตังหัวหน้าเผ่าฮวนอีกเผ่าหนึ่งก็ไม่พอใจจะรบด้วยทัพขงเบ้ง
จึงแสร้งให้ยืมทหารเสื้อเกราะแก่เบ้งเฮ็ก ๓ หมื่นคน เบ้งเฮ็กดีใจนักมิทันระวังตัว ก็ถูกไพร่พลของเอียวหอง
จับตัวส่งไปให้ขงเบ้ง เบ้งเฮ็กก็อ่างว่า ตนมิได้พ่านแพ้จากการรบโดยตรง ยืนยันไม่ยอมแพ้เป็นเด็ดตีนขาด
ขงเบ้งจึงให้ปล่อยเบ้งเฮ็กอีกเป็นครั้งที่ ๕

คราวนี้ เบ้งเฮ็กกลับไปถิ่นฐานเดิมของตนที่ถ้ำอิ๋นขั้นตัง ร่วมคิดกับภรรยาสร้างกำแพงเมืองขึ้นที่สำกั๋ง
เมื่อทหารของขงเบ้งยกประชิดติดเมืองเข้ามา เบ้งเฮ็กก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ต้านทานเอาไว้
จนทหารฮั่นต้องถอยไป ขงเบ้งจึงออกมาพิจารณาดูชัยภูมิ ณ เนินสูงแห่งหนึ่ง ครั้นแล้วก็ออกคำสั่งให้ทหารทุกคน
เตรียมกระสอบใส่ดินไว้คนละหนึ่งกระสอบ แล้วให้รอฟังคำสั่งต่อไป พวกไพร่พลแม้จะไม่เข้าใจว่า
กระสอบดินจะใช้รบกับเบ้งเฮ็กได้อย่างไร แต่ก็เชื่อสติปัญญาของขงเบ้งว่า คงจะมีประโยชน์ต่อการรบเป็นแน่
จึงตระเตรียมตามคำสั่งของขงเบ้งไว้โดยพร้อมสรรพ

ครั้นพอถึงกลางดึก ขงเบ้งก็สั่งให้ไพร่พลแบกกระสอบดินไปยังตีนกำแพงเมืองสำกั๋ง แล้วกองทับกันจนสูงขึ้น ๆ
เนื่องจากน้ำในแม่น้ำก็เชี่ยวส่งเสียงดังอึกทึก ฟ้าก็มืด ทหารของเบ้งเฮ็กจึงมิได้กระโตกกระตากเลยแม้สักนิด
คงนอนใจว่า กำแพงเมืองสำกั๋งของตนคงสามารถป้องกันการบุกรุกของกองทัพขงเบ้งไว้ได้ ดังนั้นกระสอบดิน
นับด้วยหมื่นลูกจึงซ้อนกันขึ้นไปจนถึงเชิงเทินกำแพงเมือง ครั้นแล้วทหารฝ่ายฮั่นจึงปีนป่ายกองกระสอบดิน
รุดเข้าไปในกำแพงเมือง เมื่อทหารของเบ้งเฮ็กรู้ตัว บนเชิงเทินก็เกลื่อนไปด้วยทหารของขงเบ้งเสียแล้ว
เกาทัณฑ์ใช้ประโยชน์อะไรมิได้ขณะนั้น ทหารเบ้งเฮ็กพากันแตกตื่น ที่ถูกฆ่าตายและเหยียบกันเองตายก็มากมาย
ทหารเบ้งเฮ็กจึงรีบเข้าไปรายงานแก่เบ้งเฮ็กยังถ้ำอิ๋นขั้นต้ง เบ้งเฮ็กถึงกับตกตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าทัพขงเบ้ง
จะข้ามกำแพงเมืองมาได้ ขุนพลของฮั่น ๒ คนที่นำทัพเข้าไปในกำแพงเมือง เตียวหงีถูกดาบของจกหยง
ม้าตงถูกเชือกพานขาม้าล้มลง จึงถูกจกหยงจับได้ทั้งคู่ จกหยงสั่งให้ตัดคอขุนพลทั้งสองทันที แต่เบ้งเฮ็กห้ามไว้ว่า
“เราถูกจับถึง ๕ ครั้ง ขงเบ้งก็ยังปล่อยตัวเรากลับมาตอนนี้ยังมิควรที่จะตัดคอขุนพลทั้งสอง จับขังไว้ก่อน
แล้วค่อยจัดการในภายหลังเถิด” ขงเบ้งทราบว่า ขุนพลทั้ง ๒ ถูกจับจึงให้จูล่งออกไปท้ารบ จกหยงก็ออกมารบด้วย
จู่ล่งแสร้งรบแพ้ควบม้าหนีเพื่อให้จกหยงไล่ตาม จกหยงรู้ทัน มิได้หลงกล อุยเอี๋ยนก็ออกมาท้ารบอีก
แล้วแสร้งทำแพ้ จกหยงก็ไม่ตามอีก อุยเอี๋ยนเห็นจกหยกไม่ไล่ก็ชักม้ากลับมารบด้วยอีก
จกหยงบันดาลโทสะก็ลืมตัว เมื่ออุยเอี๋ยนรบแพ้ถอยหนี จกหยงก็ไล่ติดตามไปไม่ลดละหวังจะฆ่าอุยเอี๋ยนให้ได้
อุยเอี๋ยนหนีเข้าไปในหุบเขา จกหยงก็ไล่ติดตามไปติด ๆ ครั้นประชิดติดอุยเอี๋ยน ก็กระตุ้นม้าโผนเข้าไป
หมายจะฟันให้ตายคาม้า ทันใดนั้น ม้าที่จกหยงควบมาอย่างเต็มผีเท้าก็ถูกเชือกพานขาซวนเซล้มลง
อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายจึงจับตัวจกหยงไว้ได้

เมื่อได้ตัวจกหยง ขงเบ้งจึงหนังสือถึงเบ้งเฮ็ก ขอแลกเปลี่ยนจกหยงกับเตียวหงีและม้าตง เบ้งเฮ็กได้รับหนังสือ
ก็จำต้องปล่อยตัวเตียวหงีกับม้าตงคืนไปให้ฝ่ายฮั่นไป ส่วนขงเบ้งปล่อยจกหยงกลับมา เบ้งเฮ็กเสียที
ที่ต้องปล่อยขุนพลถึง ๒ คนเพื่อแลกกับภรรยาของตน ก็คิดจะใช้กลอุบายลวงขงเบ้งอีก จึงให้ตั๋วไหลน้องภรรยา
ร่วมกับตนพร้อมด้วยไพร่พลอีก ๑๐๐ คน นำสุราอาหารไปแสร้งแสดงความขอบใจต่อขงเบ้งที่ปล่อยภรรยา
ในขณะเดียวกันก็ซ่อนอาวุธไว้เพื่อทำร้ายขงเบ้งและขุนพลอื่นๆ แต่มิทันจะได้ลงมือ ขงเบ้งก็ล่วงรู้กลอุบาย
จับตัวปลดอาวุธหมด เมื่อขงเบ้งถามเบ้งเฮ็ก เบ้งเฮ็กก็ยินกรานไม่ยอมแพ้ กล่าวว่า “คราวนี้เราพาตัวมาให้ท่านจับเอง
หาใช่พ่ายแพ้ในสนามรบไม่ จักให้เรายอมแพ้นั้นเมินเสียเถิด” ขงเบ้งนิ่งคิดอยู่ครูหนึ่ง ก็ปล่อยเบ้งเฮ็กกับผู้ติดตามทั้งหมด
กลับไปเป็นครั้งที่ ๖

เบ้งเฮ็กถูกจับถึง ๖ ครั้ง และถูกปล่อยตัวทั้ง ๖ ครั้ง และถูกปล่อยตัวทั้ง ๖ ครั้ง ก็ให้รู้สึกอับอายและพรั่นพรึงอยู่ในใจ
หากเอาชนะฝ่ายฮั่นไม่ได้ ก็ไม่มีหน้าที่จะไปให้ผู้ใดเห็นได้อีก จึงครุ่นคิดอยู่ทุกวันคืน ก็นึกออกว่า ที่เมืองออโกก๊ก
ซึ่งเป็นของฮวนอีกเผ่าหนึ่ง มีทหารเกราะหวายอยู่ ซึ่งอยู่ยงคงประพันฟันแทงไม่เข้า เบ้งเฮ็กพร้อมด้วยภรรยา
จึงเดินทางไปยังเมืองออโกก๊กด้วยตนเอง ยืมทหารเกราะหวายจากลุดตัดกุดหัวหน้าเผ่ามาได้ ๓ หมื่นคน
ติดอาวุธครบมือเดินทางกลับมาท้ารบกับฝ่ายฮั่น

ทัพฮั่นมิรู้ว่ามีทหารเกราะหวายอยู่ จึงให้อุยเอี๋ยนออกรบด้วย แต่ทหารเกราะหวายมิได้ระคายเคืองต่ออาวุธของฝ่ายฮั่นเลย
ทัพฮั่นจึงได้รับความเสียหายมากมายจนอุยเอี๋ยนต้องสั่งให้เลิกทัพกลับค่าย ครั้นแล้วก็นำความไปแจ้งขงเบ้ง
ขงเบ้งประหลาดนักจึงให้เชิญคนท้องถิ่นมาพบถามเอาความอีก จึงรู้ว่าเกราะหวายนั้นประกอบขึ้นจากหวายแก่
ที่แซ่น้ำมันจนอิ่ม มีความแข็งแกร่งจนฟันแทงไม่เข้า ลงน้ำก็ไม่จม ขงเบ้งรู้ความแล้วก็ครุ่นคิดอยู่
แล้วพูดแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า “พรุ่งนี้เราจะตีทัพเกราะหวายให้พ่ายไป พวกท่านอย่าได้กังวลไปเลย
รุ่งเช้าขงเบ้งก็ออกไปเลือกดูภูมิประเทศ ก็ได้หุบเขาแห่งหนึ่งมีชื่อว่าจังปังสก (หุบเขางูขด) จึงสั่งให้ไพร่พล
เอาก้อนหินปิดทางออก เหลือแต่ช่องเล็ก ๆไว้ช่องหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็สั่งให้ทหารนำหินมากองไว้บนภูเขาเหนือปากทางเข้า
ครั้นแล้วก็ให้อุยเอี๋ยนออกไปท้ารบ ฝ่ายทหารเกราะหวายเห็นว่าอุยเอี๋ยนเป็นขุนพลขึ้แพ้เคยพ่ายแพ้แก่ตนมาก่อน
จึงมีความฮึกเหิมมิเกรงกลัวอุยเอี๋ยนจึงถอยหนีหลอกล่อให้ทัพทหารเกราะหวายไล่ติดตามเข้าไปในหุบเขาจังปังสก
อุยเอี๋ยนกับไพร่พลรีบลอดช่องเล็กที่เตรียมไว้ออกไป แล้วเอาหินปิดปากช่องไว้อย่างแน่นหนา ทหารเกราะหวาย
ไล่ตามมาจนสุดทาง เห็นทางออกถูกหินปิดสูงเป็นภูเขาเลากา ก็เฉลียวใจว่าจะหลงกล หันหลังรีบกลับออกมา
ทางปากทางเข้า ก็ปรากฏว่าทางเข้าก็มีกองหินหล่นจากภูเขาลงมาปิดไว้เสียอีก หุบเขาทั้งสอฟากก็เป็นหน้าผาสูงชัน
ประดุจเอามีดมาฝานไว้ ไม่มีทางปืนขึ้นไปได้เลย ทหารเกราะหวายก็พากันกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นก็มีเสียงประทัดดังขึ้น ทั้งสองฟากของหุบเขาก็มีก้อนไปโยนลงมาดังห่าฝน เกราะหวายซึ่งแซ่อิ่มด้วยน้ำมัน
ก็ติดไฟลุกไหม้ขึ้นในทันทีไปทั่วทั้งหุบเขา ทหารเกราะหวาย ๓ หมื่นที่เข้ามาติดอยู่ในกองไฟ ที่ตายก็ตายไปที่ไม่ตาย
ก็ถูกไฟลวกสาหัสไปทั้งตัวจะตายมิตายแหล่ เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก เสียงควาญครางเพราะความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณ
ขงเบ้งเมื่อเห็นอุบายตนสัมฤทธิ์ผล จึงให้ทหารปลอมตัวเป็นทหารของเบ้งเฮ็ก ไปแจ้งข่าวแก่เบ้งเฮ็กว่า
“ทหารเกราะหวายได้รับชัยนะอย่างใหญ่หลวง ขอให้เบ้งเฮ็กไปตรวจเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทหารฮั่นทิ้งเอาไว้”
เบ้งเฮ็กดีใจ จึงนำจกหยงภรรยาและไพร่พลไปยังหุบเขาจังปังสก ก็ถูกม้าต้ายล้อมจับตัวเอาไว้ทั้ง ๒ คน
รวมทั้งไพร่พลที่ติดตามไปด้วย

คราวนี้เมื่อทหารฮั่นนำตัวเบ้งเฮ็กมาพลขงเบ้ง ขงเบ้งจงใจไม่ออกมาพบกลับไปให้ทหารเลวออกมาแจ้งแก่เบ้งเฮ็กว่า
“ท่านอัครมหาเสนาบดีรู้สึกอดสูที่จะมาพบท่านอีก ขอให้ท่านเสพสุราอาหารแล้วจงกลับไปเถิด”
ขงเบ้งใช้วิธีแสดงความอดสูมิกล้าจะตากหน้าพบด้วยเบ้งเฮ็ก ก็เพื่อกระตุ้นให้เบ้งเฮ็กเกิดความสำนึกยอมสวามิภักดิ์ด้วยใจ
ถึงตอนนี้เบ้งเฮ็กซึ่งละอายแก่ใจและรำลึกถึงคุณที่ตนพ่ายแพ้เป็นหลายครั้ง แต่ขงเบ้งก็มิได้ทำอันตรายแก่ตน
ให้เป็นที่ระคายเคืองแม้แต่ผิวหนัง กลับปล่อยให้กลับมารบอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จึงยอมศิโรราบแก่ขงเบ้ง
อย่างจริงใจในบัดนั้น เมื่อขงเบ้งออกมาพบขอให้เบ้งเฮ็กกลับไปเตรียมกำลังมารบกันใหม่เป็นครั้งที่ ๗
เบ้งเฮ็กจึงไม่ยอมกลับ ยอมอ่อนน้อมต่อขงเบ้งว่า “ท่านนี้ปรีชาสามารถนัก ใจคอกว้างใหญ่ดุจขุนเขา
เราชาวฮวนภาคใต้จักไม่คิดกบฏต่อท่านอีกต่อไปแล้ว”

เมื่อเบ้งเฮ็กยอมจำนน ขงเบ้งจึงอาศัยอิทธิพลของเบ้งเฮ็ก นำทัพกำราบชาวฮวนเผ่าอื่นๆ ต่อไป
จนมาถึง ทะเลสาบเตียนฉือในยุนนาน เผ่าฮวนภาคใต้ก็ยอมสวามิภักดิ์แก่ราชวงศ์ฮั่นรัฐจ๊ก
สมดั่งความประสงค์ของขงเบ้งโดยสิ้นเชิง
เสร็จภาระของสงครามแล้ว ขงเบ้งก็แต่งตั้งให้หัวหน้าเผ่าฮวนทั้งหลายมีตำแหน่งเป็นขุนนางในราชวงศ์ฮั่น
และให้ทำหน้าที่ปกครองเขตของตนพวกแม่ทัพนายกองฝ่ายฮั่นมีผู้ไม่เห็นด้วย เกรงว่าพวกฮวนเหล่านี้
จักได้ใจคิดก่อการไม่สงบขึ้นอีก ควรจะให้ฝ่ายฮั่นมีคนมาควบคุมอยู่จึงจะควร ขงเบ้งจึงชี้แก่คนทั้งหลายว่า

“อันว่าแผ่นดินฮวนนั้น หากทั้งคนภายนอกให้เป็นขุนนางอยู่คอยดูแลก็จักต้องมีทหารไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน
ดังนี้ ก็ต้องส่งเสบียงอาหารมาให้เป็นประจำ มิฉะนั้นแล้วจักอยู่กินได้ที่ไหน? นี่เป็นเรื่องยากเรื่องแรกแก่เรา
อีกประการหนึ่งนั้น เผ่าฮวนต่าง ๆ ที่เรายกมากำราบในคราวนี้แม้จะยอมสวามิภักดิ์แล้วก็ดี แต่ไม่พ่อก็ลูกของเขา
ต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะศึกนี้เป็นอันมาก หากเราให้คนนอกตั้งประจำอยู่ เกิดมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันในวันหลัง
หากมีคนคอยยุแยงตะแคงรั่ว เราจักทำสถานใด? นี่เป็นเรื่องยากเรื่องที่ สอง
สำหรับขุนนางเผ่าฮวนนั้นเล่าก็เคยแข็งข้อต่อเราเนื่อง ๆ ความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรานั้นฉกรรจ์นัก
แม้นเรายังตั้งคนนอกให้ควบคุมพวกเขาอยู่ ความร้าวฉานก็จักสมานได้ยาก อาจจะเป็นต้นเหตุ
แห่งการปะทะกันใหม่ก็ได้ นี่เป็นเรื่องยากเรื่องที่ สาม
ฉะนั้น บัดนี้ เรามิให้ใครอยู่เลยแม้แต่ทหารเลวสักคน เสบียงอาหารเราก็มิต้องลำเลียงมาให้ลำบาก
แม้นว่าเราทะนุถนอมน้ำใจของพวกเขาไว้ดังกล่าว ภาคใต้ของรัฐจักก็จะสงบราบเรียบไปช้านาน
เรามิพักต้องกังวลอาณาบริเวณนี้สืบไป มิเป็นการดีกว่าหรอไฉน?”

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“แสร้งปล่อยเพื่อจับ” จุดประสงค์อยู่ที่ “จับ” “ปล่อย” เป็นวิธีการ “จับ” คือจับทาง “ใจ”
ให้ยินยอมอ่อนน้อมทั้งกายและใจ ผู้ถูกจับ “ใจ” จักกลายเป็นข้าทาสบริวารของอีกฝ่ายหนึ่ง
อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกว่าจะเกิดความสำนึกใน “ศักดิ์ศรี” ของตนเอง กลยุทธ์นี้
จึงเป็นกลยุทธ์ชาญฉลาด ในการบั่นทอนจิตใจสู้รบและขวัญของข้าศึก
ด้วยวิธีการทั้งแจ้งและลับอย่างหนึ่ง อันได้ผลเกินความคาดหมาย นั้นแล”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #32 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 12:56:57 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๗ โยนกระเบื้องล่อหยก

ล่อด้วยละม้าย ให้งวยงงหลงกล

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันไปล่อข้าศึก ให้ข้าศึกต้องอุบายพ่ายแพ้ไป การใช้กลยุทธ์นี้
กำหนดขึ้นตามสภาพรูปธรรมของข้าศึก ในตำราพิชัยสงครามชื่อ “ร้อยยุทธการพิสดาร การรบที่ได้ประโยชน์”
กล่าวไว้ว่า “เมื่อประมือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตรงข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง จักล่อด้วยประโยชน์ได้
เขาละโมบในประโยชน์ มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่ายนี้คือ “ล่อด้วยประโยชน์”
 
“ โยนกระเบื้องล่อหยก” คำนี้ เดิมมาจากเรื่องราวของกวีสมัยราชวงศ์ถัง ๒ คน ชื่อ ฉางเจี้ยน และจ้าวกู่
กล่าวคือ ฉางเจี้ยนนิยมชมชอบและยกย่องบทกวีของจ้าวกู่มาช้านาน ครั้นเมื่อทราบว่าจ้าวกู่เดินทางมา
เมืองซูโจวก็คาดคะเนว่าคงจะไปเที่ยว ณ วัดหลิงเอี๋ยนสื้อ ฉางเจี๋ยนจึงเขียนบทกวีไว้ ๒ คำบนผนังวัด
เมื่อจ้าวกู่มาเห็นเข้า ก็ต่อบทกวีนั้นอีก ๒ คำ จึงกลายเป็นกวีที่ครบถ้วนสมบูรณ์และสวยงาม ไพเราะจับใจยิ่งนัก
แต่เนื่องจากบทกวีของฉางเจี้ยนด้อยกว่าของจ้าวกู่ คนทั้งหลายจึงเรียกบทกวีของฉางเจี้ยนเป็นเสมือนหนึ่ง
“กระเบื้อง” แต่หากแม้นมิมี “กระเบื้อง” ที่ฉางเจี้ยนเอาไปล่อไว้ ไฉนเลยจะได้มาซึ่ง” หยก” ของจ้าวกู่ ที่ต่อ
“กระเบื้อง” ของฉางเจี้ยนจนกลายเป็นบทกวีมีค่าล้ำที่ทุกคนยกให้

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการตัดต่อพันธุกรรมพืชและสัตว์เพื่อการครอบครองแหล่งอาหาร
และการควบคุมคนในระยะยาว โดยมีรายละเอียดเนื้อหาเพื่อประกอบการอธิบายกลยุทธ์นี้ดังนี้

จีเอ็มโอกำลังเป็นกระแสที่ชาวโลกสนใจเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิงช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงของการตื่นตัว
เรื่องกระแสของ จีเอ็มโอ เป็นอย่างมากทั่วโลก แม้แต่ประชาชนชาวไทย ที่เมื่ออดีตที่ผ่านมาจะไม่ได้ให้ความสนใจ
กระแสของ จีเอ็มโอเท่าใดนัก แต่เมื่อมีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นตามสื่อต่าง ๆ ทั้งสื่อของไทยและ
สื่อของต่างประเทศ ทำให้คนไทยตื่นตัวขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ถึงขั้นมีการเดินขบวนเรียกร้องและต่อต้าน
นโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับ จีเอ็มโออันอาจกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวไทย
ในด้านต่างประเทศ มีหลายประเทศได้ออกมาประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาพืช จีเอ็มโอ
หลายประเทศต่อต้านการนำเข้า จีเอ็มโอ จึงทำให้ผู้ติดตามข่าวเรื่องเกี่ยวกับ จีเอ็มโอได้รับข้อมูลที่หลากหลาย
จนกระทั่งแยกแยะไม่ออกว่าจะคิดใคร่ครวญเรื่อง จีเอ็มโอในแง่มุมใดดี อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักศึกษาด้านความมั่นคง
จึงใคร่ที่จะมองในมุมมองของความมั่นคงว่า เมื่อมองในแง่มุมนี้แล้วจะมีประเด็นของ จีเอ็มโอเรื่องใดบ้างที่น่าสนใจ
ซึ่งในบทความชิ้นนี้จะได้กล่าวถึงประเด็นที่ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ ดังนี้คือ ความหมายของจีเอ็มโอ วิวัฒนาการของ
จีเอ็มโอ ประเทศต่าง ๆ ในประชาคมโลกที่กำลังพัฒนาจีเอ็มโอ ผลกระทบของ จีเอ็มโอที่จะกระทบ
ต่อความมั่นคงของประชาคมโลกและความมั่นคงของประเทศไทย

จีเอ็มโอ หรือ GMOs ย่อมาจากคำว่า Genetically Modified Organisms หมายถึง
สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ที่เกิดจากการตัดต่อเอายีนของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งที่ไม่เคยผสมพันธุ์กันได้
ในธรรมชาติมาใส่ เพื่อให้เกิดคุณสมบัติตามต้องการ เช่น นำยีนทนความหนาวเย็นจากปลาขั้วโลก
มาใส่ในมะเขือเทศ เพื่อให้มะเขือเทศปลูกในที่ที่อากาศหนาวได้ นำยีนจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง
มาใส่ในถั่วเหลือง เพื่อให้ถั่วเหลืองทนทานต่อยาปราบวัชพืช ซึ่งเรื่องการตัดต่อสารพันธุกรรม
หรือ ดีเอ็นเอ ( DNA ) เริ่มมีการทดลองมาในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม
ตั้งแต่ยุคคริสต์ทศวรรษที่ ๗๐ และเฟื่องฟูขึ้นมาพร้อม ๆ กับความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้น
ในวิชาการด้านชีววิทยาโมเลกุล และความก้าวหน้าของเทคนิคด้านพันธุวิศวกรรม

ประเทศที่ได้ชื่อว่า มีความก้าวหน้าในการพัฒนา จีเอ็มโอมากที่สุด เห็นจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้เพราะประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่มีการประกาศถึงความสำเร็จในด้านการพัฒนา
จีเอ็มโอที่ค่อนข้างจะเป็นรูปธรรม อีกทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีบรรษัทของเอกชน
ที่เป็นบรรษัทข้ามชาติที่ใหญ่และมีขอบข่ายของการดำเนินกิจกรรมด้านจีเอ็มโอมากที่สุด
และกว้างขวางที่สุดในโลกในยุคนี้ ตัวอย่างของบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ ที่ดำเนินกิจการด้านนี้ได้
ซึ่งมีบรรษัท AstraZeneeca , Dupont , Monsanto , Novartis และบรรษัท Aventis ซึ่งบรรษัททั้ง ๕
ดังกล่าวแล้วเป็นผู้ผูกขาดตลาดพันธุ์พืชตัดแต่งพันธุกรรมไว้ทั้งหมด ๑๐๐ % อีกทั้งผูกขาดตลาด
สารเคมีปราบศัตรูพืช ๖๐ % และได้ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ด้าน จีเอ็มโอออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลกอีกด้วย
ส่วนประเทศจีนก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนา จีเอ็มโอ อย่างต่อเนื่องและจริงจังจนกระทั่งนักวิชาการด้านนี้
ทั่วโลกเชื่อว่าในปัจจุบันนี้การพัฒนาเทคโนโลยีด้าน จีเอ็มโอของประเทศจีนมีความก้าวหน้าไม่แพ้สหรัฐฯ เช่นกัน

จากที่ประเทศต่าง ๆ ได้ต่อต้านสินค้า จีเอ็มโอ ที่กำลังแพร่ไปทั่วโลกในเวลานี้
โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ได้ประกาศออกมาอย่างแน่ชัดว่า จะต่อต้านสินค้า จีเอ็มโอ ของสหรัฐฯ
ทุกรูปแบบ ซึ่งนำไปสู่การขยายวงของการต่อต้านสินค้า จีเอ็มโอ ทั่วโลก สาเหตุหลัก ๆ ที่มีการต่อต้านสินค้าจีเอ็มโอ
เรื่องหลักคือเรื่องของการแข่งขันกันด้านการค้าที่มีการแย่งตลาดการค้าของสินค้าด้านการเกษตรของแต่ละประเทศ
หรือกลุ่มประเทศ เช่น ของกลุ่มยูโรกับสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าจับตามองอีกประเด็นหนึ่งคือ ด้านความมั่นคง ทั้งนี้เพราะ
ผลจากการทดลองจากหลายค่ายเกี่ยวกับพืชจีเอ็มโอ เป็นที่ปรากฏออกมาชัดเจนว่า มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค
ค่อนข้างจะแน่นอน เช่น การทำให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้อายุของสัตว์สั้นลง ทำให้ระบบการย่อยอาหารสูญเสียไป
ทำลายพันธุ์พืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ ซึ่งประเด็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่กระทบต่อ
ความมั่นคงของประเทศต่าง ๆ ในระยะยาวทั้งสิ้น

สำหรับในประเทศไทย เพิ่งมีการตื่นตัวที่จะศึกษาถึงผลกระทบของพืชจีเอ็มโอหลังจากการประกาศต่อต้านของประเทศ
ในกลุ่มยุโรปแล้ว ความรุนแรงในการต่อต้านสินค้าจีเอ็มโอ และพืชจีเอ็มโอที่นำมาทดลองปลูกในระดับไร่นาของรัฐ
ตามนโยบายของรัฐบาล และที่เกษตรกรผู้รู้เท่าไม่ถึงการได้นำไปปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วนั้นได้พัฒนาความรุนแรง
ถึงขั้นมีการเคลื่อนไหวองประชาชนและองค์กรเอกชนให้มีการตัดทำลายพืชในไร่นา ดังที่มีการเสนอข่าวไปแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นที่จะกล่าวถึงผลกระทบของพืชจีเอ็มโอต่อความมั่นคงของประเทศไทย มี ๒ ประเด็นคือ
ประเด็นที่ ๑ การแย่งยึดแหล่งอาหารด้วยพืชจีเอ็มโอ ประเด็นที่ ๒ คือ การใช้พืชจีเอ็มโอไปเสริมงานด้านการทหาร

ประเด็นที่ ๑ การแย่งยึดแหล่งอาหารด้วยพืชจีเอ็มโอ หมายถึง ถ้ามีการพัฒนาพันธุ์พืชจีเอ็มโอไปถึงขั้นที่
เมื่อนำไปใช้ในการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจแล้วจะทำให้พืชพันธุ์ที่ไม่ใช่จีเอ็มโอถูกทำลาย กล่าวคือ การทำให้พันธุ์พืชนั้น ๆ
กลายเป็นหมันและไม่สามารถขยายพันธุ์ได้อีกต่อไป อันเป็นผลมาจากการผสมของเกสรของพืชจีเอ็มโอ
กับพันธุ์พืชที่ไม่ใช่จีเอ็มโอ ซึ่งในที่สุดพืชที่ไม่ใช่จีเอ็มโอก็จะสูญพันธุ์ไป ส่วนพืชจีเอ็มโอซึ่งถ้าได้รับการพัฒนา
ให้สามารถนำมาปลูกได้เพียงครั้งเดียวและไม่สามารถที่จะขยายพันธุ์ได้อีกต่อไปนั้น เมื่อเกษตรกรต้องการที่จะปลูกพืช
ต่อไปอีกต้องไปซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทที่เป็นเจ้าของ ถ้าเป็นลักษณะเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการผูกขาดด้านพันธุ์พืช
ซึ่งหมายถึงการผูกขาดด้านอาหารไปด้วยในตัว และถ้าประเทศใดประเทศหนึ่งที่เป็นเจ้าของบรรษัทข้ามชาติที่ผูกขาด
เมล็ดพันธุ์พืชแต่เพียงผู้เดียวก็สามารถที่จะกุมชะตาของประชากรโลกทางด้านอาหาร ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการกุมชะตาของโลก
ได้โดยปริยาย นั่นคือ การใช้อาหารเป็นอาวุธในการยึดครองโลกแต่เพียงผู้เดียวหรือที่เรียกว่า “ โภชนาวุธ”
ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะยาว

ประเด็นที่ ๒ การใช้พืชจีเอ็มโอด้านการทหาร มีการทดลองในห้องปฏิบัติการและในสนามทดสอบจริงของสหรัฐฯ
แล้วว่า เมื่อให้ทหารส่วนหนึ่งรับประทานอาหารจากพืชจีเอ็มโอที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะ ทำให้ร่างกายของทหารเหล่านั้น
มีลักษณะเรืองแสงมากขึ้นทำให้เครื่องมือตรวจจับจากดาวเทียมสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของทหารหน่วยนั้น
ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตถ้ามีการนำอาหาหรจีเอ็มโอไปให้ทหารฝ่ายตรงข้ามบริโภคไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม
ประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านจีเอ็มโอก็สามารถเลือกโจมตีเป้าหมายที่เป็นกำลังทหารได้อย่างแม่นยำ
อีกกรณีหนึ่งมีการทดลองและประสบผลสำเร็จมาแล้วโดยกองทัพสหรัฐฯ ที่ให้ทหารรับประทานอาหารจากพืชจีเอ็มโอ
ซึ่งผลการทดสอบของคลื่นสมองปรากฏว่า คลื่นสมองเปลี่ยนไป โดยสามารถรับการควบคุมจากเครื่องควบคุมระยะไกล
( Remote Control ) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างได้ผล คือสามารถเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองมนุษย์ให้มีอารมณ์ฮึกเหิม
ในการต่อสู้ก็สามารถทำได้ หรือให้ยอมแพ้ก็สามารถทำได้ เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีการทดลองใช้เครื่องควบคุมระยะไกล
ควบคุมให้ผู้บริโภคอาหารจากพืชจีเอ็มโอให้ก่อการจลาจลและหยุดก่อจลาจลโดยฉลับพลัน ซึ่งสามารถทำได้
อย่างสมบูรณ์มาแล้วทั้งสิ้น ถ้าการทดลองดังกล่าวข้างต้นนำมาใช้เพื่อให้เกิดผลทางด้านความมั่นคงจริง
( ซึ่งสามารถทำได้จริง ) นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติมาก

จะเห็นได้ว่า จีเอ็มโอ เป็นกระแสชนิดหนึ่งของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีด้านชีวภาพ ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาต่อไป
อย่างไม่หยุดยั้งและจะต้องถูกนำมาใช้เพื่อให้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของประเทศที่มีการพัฒนา
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะหลีกเลี่ยงกระแสนี้ได้ยาก และผลกระทบของจีเอ็มโอต่อความมั่นคงของประเทศ
ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน กองทัพเป็นหน่วยงานที่มีภาระหน้าที่หลัก
ทางด้านความมั่นคงของประเทศ จึงควรต้องหันมาศึกษาผลกระทบของจีเอ็มโอต่องานด้านความมั่นคงอย่างจริงจัง
เพื่อที่จะหาแนวทางในการป้องกันประเทศจากผลกระทบของจีเอ็มโอต่อไป

สรุป
เมื่อจีเอ็มโอเป็นกระแสอันเป็นเรื่องยากที่จะต่อต้านหรือหยุดยั้งได้ จึงเป็นภาระหน้าที่ของกองทัพ
และหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศทั้งหลายจะต้องมาร่วมกันคิดหาแนวทางในการป้องกัน
ผลกระทบด้านความมั่นคงอันเนื่องมาจากจีเอ็มโอ ในเบื้องต้นควรที่จะตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้ คือ
๑. กองทัพและประเทศไทยจะรับกระแสจีเอ็มโออย่างไร
๒. กองทัพจะป้องกันภัยจากจีเอ็มโอในฐานอาวุธทางชีวภาพอย่างไร
๓. กองทัพจะแสวงประโยชน์จากจีเอ็มโอด้านความมั่นคงอย่างไร

ประเด็นของเรื่องเกี่ยวกับจีเอ็มโอที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้แย่งชิงกันในเวทีโลกคือเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาล
จะเห็นได้จากข้อความในตอนต้นของกลยุทธ์นี้ที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้ว ผู้ที่ครอบครองตลาดจีเอ็มโอของโลก
เห็นจะได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้คิดถึงในประเด็นของความมั่นคงก็จะคิดว่าเรื่องจีเอ็มโอ
การพัฒนาจีเอ็มโอ การซื้อขายจีเอ็มโอ เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงของประเทศเลย
เมื่อมนุษย์ไม่มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอ มีผู้ที่คิดค้นวิธีการผลิตอาหารที่มีปริมาณมากและผลิตได้ง่ายกว่า
ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีน่าที่จะให้การสนับสนุนโครงการนี้ ไม่ควรที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ถ้าวิเคราะห์กันให้ดีจะเห็นว่า
ถ้าเป็นการต่อสู้ในระดับโลกในเรื่องของผลประโยชน์แล้ว ผู้คิดค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทข้ามชาติ
ของประเทศมหาอำนาจที่ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลย่อมไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเดียวคือการให้มีอาหารพอเพียงกับ
การบริโภคของมนุษยชาติ โดยธรรมชาติของการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์จะต้องมากกว่าเรื่องนี้ ถ้าพิจารณาเรื่อง
การที่ประเทศที่พัฒนาจีเอ็มโอต้องการที่จะครอบครองแหล่งผลิตอาหารแต่เพียงผู้เดียวว่าเป็นไปได้หรือไม่นั้น
ถ้าวิเคราะห์กันในด้านความมั่นคงทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามว่า

“....หลักแห่งการบัญชาการทัพ อย่าหวังว่าข้าศึกไม่มา เราพึงเตรียมการให้พร้อม อย่าหวังข้าศึกไม่ตี
เราพึงทำให้มิอาจโจมตี ....” ( การทำศึก บรรพที่ ๒ ) และ “...อันการศึกสงครามทุกชนิดย่อมถือหลักการลวง .....”
ดังนั้นเมื่อเรื่องจีเอ็มโอเป็นเรื่องของการต่อสู้ เป็นสงคราม ฉะนั้นจึงต้องอยู่บนพื้นฐานของการลวงเสมอ
การลวงคืออะไร การลวงคือการที่ประเทศมหาอำนาจส่งบรรษัทข้ามชาติ เช่น บรรษัท AstraZeneeca , Dupont
, Monsanto , Novartis และบรรษัท Aventis เข้ามาโฆษณาแต่เฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้ชาวโลกได้รู้
แต่สิ่งที่ไม่ดีหรือที่จะเป็นผลเสียหายแก่ประเทศนั้น ๆ บรรษัททั้งหลายที่เป็นเจ้าของก็ไม่เคยพูดถึง
บรรษัททั้งหลายไม่เคยพูดถึงเป้าหมายที่แท้จริงของตนในการวิจัยและพัฒนาจีเอ็มโอขึ้นมา
ซึ่งขณะนี้ประเทศที่พอจะรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของสหรัฐอเมริกาอย่างประเทศในกลุ่มยูโรก็ได้ออกมาประกาศ
อย่างชัดเจนถึงการต่อต้านการนำเข้าสินค้าจีเอ็มโอจากสหรัฐฯ มีเพียงแต่ประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้น
ที่ยังไม่รู้เท่าทันและไม่ได้มีการต่อต้าน แม้แต่ประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ก็ได้มีประชาชนและองค์กรต่าง ๆ
ออกมาคัดค้านการปลูกและการนำเข้าพืชและสัตว์จีเอ็มโอนี้แล้วจนกระทั่งรัฐบาลไทยต้องประกาศนโยบาย
ให้งดการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับจีเอ็มโอไปชั่วขณะแล้ว ( พ.ศ.๒๕๔๗ )

ที่ผู้เขียนนำเรื่องเกี่ยวกับจีเอ็มโอมากล่าวในกลยุทธ์ “ โยนกระเบื้องล่อหยก” นั้นก็เพราะว่า มีคำกล่าวใน
“ร้อยยุทธการพิสดาร การรบที่ได้ประโยชน์” กล่าวไว้ว่า “เมื่อประมือกับข้าศึก ขุนพลฝ่ายตรงข้ามโง่เง่ามิรู้พลิกแพลง
จักล่อด้วยประโยชน์ได้ เขาละโมบในประโยชน์ มิรู้ผลร้าย ก็ซุ่มทหารลอบตีได้ ข้าศึกจักพ่ายนี้คือ “ล่อด้วยประโยชน์”
หลายประเทศที่มีนักการเมืองและข้าราชการที่ถูกล่อด้วยผลประโยชน์แล้วให้มีการผลักดันให้มีการดำเนินการ
เกี่ยวกับพืชและสัตว์จีเอ็มโอโดยบรรษัทข้ามชาติอย่างไม่ระมัดระวัง ในช่วงระยะเวลาอันสั้นอาจจะยังไม่เห็น
ผลเสียร้ายแรงที่ชัดเจนนัก แต่ในระยะยาว ผู้ที่ได้ประโยชน์มหาศาลคือบรรษัทข้ามชาติของประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย
ที่เป็นเจ้าของจีเอ็มโอ โดยการโยนผลประโยชน์ให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยเหมือนกระเบื้อง
เพื่อที่จะแลกเอาหยก คือสิ่งที่จะได้ตามมาอีกมาก ทั้งในแง่เศรษฐกิจ แง่การทหาร และแง่ของพลังอำนาจของชาติอื่น ๆ
ที่เข้าไปครอบงำประเทศที่เป็นเป้าหมาย

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ วิธีหลอกลวงข้าศึกมีมากมาย ที่แยบคายที่สุดมิมีใดเกิน “ ความละม้ายแม้น” หรือ “ ความเหมือน” ที่เรียกว่า
“ กระเบื้อง” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีค่างวด ส่วน “ หยก” นั้นเป็นจินดาสูงค่าอันพึงปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย ที่ว่า
“ โยนกระเบื้องล่อหยก” ก็คือใช้สิ่งของที่มีค่าน้อยไปแลกกับสิ่งของที่มีค่าสูง กระเบื้องกับหยกนั้น มองผ่าน ๆ
ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่ นักการทหารผู้มีความชำนาญในกลศึก ก็สามารถจะใช้ความ “ละม้ายแม้น” ความ “เหมือน”
ความ “ คล้ายคลึง” ของทั้งสองสิ่งสร้างความสับสนฉงนสนใจให้แก่ข้าศึก ฉวยโอกาสที่ข้าศึกกำลังวุ่นวายหรือหลงกล
จู่โจมเอาชัยชนะโดยพลัน”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #33 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 01:38:44 PM »

กลยุทธ์ที่ ๑๘ จับโจรเอาหัวโจก

หักความแข็งแกร่ง เอาตัวหัวโจก ให้แตกสลาย มังกรสู้บนปฐพี ก็อับจนหมดหนทาง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า จักต้องตีข้าศึกในจุดที่เป็นหัวใจของกองทัพเพื่อสลายพลังของข้าศึก
“มังกรสู้บนปฐพี ก็อับจนหมดหนทาง” เปรียบประดุจมังกรในทะเล ขึ้นมาสู้กับศัตรูบนพื้นแผ่นดิน
ก็จักปราชัยแก่ข้าศึกโดยง่าย คำนี้เดิมพบใน “คัมภีร์อี้จิง ดิน” ซึ่งแฝงความนัยว่า “จับโจรให้เอาตัวหัวโจก”
อันเป็นกลอุบายใช้วิธี “ตีงูให้ตีหัว” เพื่อสยบข้าศึกอย่างหนึ่ง “ จับโจรเอาหัวโจก” มาจากบทกวีของตู้ผู้
กวีอมตะแห่งยุคราชวงศ์ถึงของจีน ความว่า “น้าวเกาทัณฑ์ต้องให้ตึง ลูกเกาทัณฑ์ควรจะยาว
ยิงคนควรยิงม้า จับโจรเอาหัวโจก”

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ในช่วงสงครามเย็น เป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำในฝ่ายโลกเสรีต้องใช้ความพยายามอย่างสูง
ที่จะเอาชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้ได้ แม้ว่ามีข้อมูลมากมายที่มีความขัดแย้งกันที่ว่าแท้ที่จริงแล้ว
ฝ่ายที่สร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมาเป็นฝ่ายเดียวกันกับฝ่ายที่ให้การสนับสนุนให้มีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ก็ตาม
เป็นอันว่าในกลยุทธ์นี้ผู้เขียนจะนำข้อคิดเห็นของทั้งสองฝ่ายที่มีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับยุคสงครามเย็น
ซึ่งพอที่จะแบ่งออกเป็น ๒ ค่ายตามความเชื่อดังต่อไปนี้

๑) ฝ่ายที่เชื่อว่าคอมมิวนิสต์เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางชนชั้นและมีอุดมการณ์จริงที่จะให้คอมมิวนิสต์
ครอบครองโลกให้ได้ ตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซิสต์

๒) ฝ่ายที่เชื่อว่าคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ทางศาสนาและเพื่อผลประโยชน์
ทางด้านธุรกิจของกลุ่มชนบางกลุ่ม

ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงฝ่ายแรกที่มีความเชื่อว่าคอมมิวนิสต์เป็นการต่อสู้ทางลัทธิอุดมการณ์จริง
ดังที่ปรากฏชัดแล้วว่า สหรัฐฯ ได้ทุ่มเทงบประมาณมหาศาลในการแสดงตนเป็นผู้นำของฝ่ายโลกเสรี
ด้วยการต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก ดังที่เห็นได้จากการที่
เมื่อเริ่มต้นยุคสงครามเย็นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศที่มีชื่อว่าประเทศที่ได้รับการแต่งตั้ง ( Appointed Nation )
ในการต่อต้านการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำอยู่ในขณะนั้น
โดยการแบ่งยุทธบริเวณออกเป็นหลายยุทธบริเวณใหญ่ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ Eastern Theater
ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ยุทธบริเวณย่อยทางตะวันออก ทั้งทางเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และด้านตะวันออกกลาง ส่วนยุทธบริเวณใหญ่ทางด้านตะวันตกก็รับผิดชอบพื้นที่ทางยุโรปเพื่อป้องกัน
การขยายอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ไปทางยุโรปตะวันตก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมและระดมกำลัง
จากฝ่ายโลกเสรีทุกประเทศในแต่ละยุทธบริเวณและประเทศต่าง ๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทั้งนี้เพราะแต่ละประเทศต่างก็กลัวภัยของพรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกัน ในการสู้รบในช่วงสงครามเย็นนี้
เป็นสงครามตัวแทน การสู้รบมีอยู่ทั่วไปทุกภูมิภาคแต่การสู้รบที่รุนแรงเกิดขึ้นเป็นเพียงบางจุดแท่านั้น
เช่น บนคาบสมุทธเกาหลี ในเวียดนามและอินโดจีน ซึ่งมีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วยในภูมิภาคนี้
ดังที่ทราบกันดีถึงการระดมสรรพกำลังของประเทศไทยเพื่อการต่อสู้กับการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น
ใช้งบประมาณมหาศาลภายในประเทศและงบประมาณส่วนหนึ่งได้รับมาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อการต่อสู้เพลาลง
อันเนื่องมาจากการอ่อนแรงของผู้นำคอมมิวนิสต์เองคือสหภาพโซเวียตและจีนทำให้ประเทศไทยรอดพ้น
จากการยึดครองของฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างหวุดหวิด ถ้าดูตามรูปการแล้วจะเห็นว่าการต่อสู้มีมาอย่างยาวนาน
กว่า ๗๐ ปีเศษทำให้สหรัฐฯ เองต้องสูญเสียทรัพยากรไปไม่ใช่น้อย รวมทั้งในหลายสมรภูมิทำให้สหรัฐฯ
ต้องเพลี่ยงพล้ำในการสู้รบถึงขั้นบอบช้ำทุกระบบของประเทศ กล่าวคือทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ
ศักดิ์ศรีของประเทศ เช่น ผลกระทบจากการสู้รบในสมรภูมิเวียดนามที่สหรัฐฯ ได้ชื่อว่าพ่ายแพ้สงคราม เป็นต้น

อย่างไรก็ตามในภาพรวมแล้วถือว่าชัยชนะตกแก่ฝ่ายโลกเสรี ดังที่ทราบกันดีที่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย
เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๓๒ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตดังกล่าวนั้น หลายท่านอาจจะคิดว่า
เป็นการทำลายตัวเองของสหภาพโซเวียตเอง แต่ในแง่คิดมุมมองด้านความมั่นคงที่คิดตามหลักการของ
ตำราพิชัยสงครามแล้วถือว่าเป็นเรื่องของการชนะกันด้วยการต่อสู้ที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ
แต่ที่คนทั่วไปมองกันว่าเป็นเพราะสหภาพโซเวียตต้องเป็นไปเช่นนั้นเองก็เพราะแผนการที่วางไว้นั้น
มีความแนบเนียนและกลมกลืนกับสถานการณ์อย่างแยกไม่ออกว่าเป็นแผนหรือเป็นธรรมชาติกันแน่
ดังที่ ซุน วู กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงครามของเขาตอนหนึ่งว่า “......ที่โบราณเรียกว่า ผู้สันทัดการรบนั้น
คือชนะผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันัดการรบ จึงมิพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขา
ก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะผู้ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบจึงตั้งอยู่ในฐานะไม่แพ้
และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกต้องแพ้...” ซุน วู เห็นว่า จะสามารถทำถึงขั้นนั้น “จักทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ก่อน”
กุมอำนาาจการเป็นฝ่ายกระทำอยู่ในมือของตนนั้น จะทำได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการ “ จรรโลงไว้ซึ่งมรรค”
( หมายถึงการสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับชัยชนะ) สหรัฐฯ ได้ให้นักวางแผนดำเนินการเช่นนี้
กับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นจุดศูนย์ดุลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยการสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ จำนวนมากที่จะให้ตน
เป็นฝ่ายได้ชัยชนะการสู้รบในภาพรวมของสงครามเย็น ทั้งการยั่วยุให้สหภาพโซเวียตแข่งขันกับสหรัฐฯ
ในการสะสมอาวุธและทุ่มงบประมาณมหาศาลกับการผลิตอาวุธไม่ได้สนใจการพัฒนาด้านการเมือง
และการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนชาวสหภาพโซเวียต จึงเป็นเหตุประการหนึ่งให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย
และอีกประการหนึ่งคือการที่สหรัฐฯ ได้ใช้กรรมวิธีในการผลักดันให้ผู้นำของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น
ใช้นโยบายเปเรสทรอยก้า ซึ่งเมื่อสหภาพโซเวียตหลงกลและประกาศใช้นโยบายดังกล่าวก็เป็นสาเหตุใหญ่
อีกประการหนึ่งที่ทำให้สหภาพโซเวียตล่มลายเช่นเดียวกัน นักทฤษฎีสงครามต่างวิเคราะห์กันว่า
ทุกสาเหตุของการล่มลายของสหภาพโซเวียตล้วนแล้วแต่มาจากการสร้างสภาพแวดล้อมของสหรัฐฯ
ที่ทำให้สหภาพโซเวียตต้องพ่ายแพ้ในสงครามเย็นในภาพรวมนั่นเอง เมื่อสหภาพโซเวียตล่มลายลงแล้ว
ประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ทั้งหลายก็ล้มตามกันเป็นทิวแถว อันเป็นอวสานของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ถือกำเนิดมา
เป็นเวลาประมาณ ๗๒ ปี ทั้งนี้ก็เพราะสหรัฐฯ ได้ตระหนักว่า การจะเอาชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ก็ด้วยการเอาชนะ
หัวหน้าคอมมิวนิสต์ให้ได้ก่อน กล่าวคือ “ จับโจรเอาหัวโจก” คือการจับหัวโจกของฝ่ายคอมมิวนิสต์คือ
สหภาพโซเวียตแล้วนำไปสู่การได้ชัยชนะทั้งกระดานในที่สุด

นอกจากนั้นจะขอกล่าวถึงความคิดเห็นประเด็นหลังคือคอมมิวนิสต์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความมุ่งหมายทางศาสนา
และผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจของกลุ่มชนบางกลุ่ม จากหลักฐานที่กล่าวไว้ในเอกสารประกอบการฝึก
การแก้ปัญหาด้านกิจการพลเรือน หลักสูตร นายทหารกิจการพลเรือนชั้นสูง รุ่นที่ ๑๕ ระหว่าง ๘ พ.ค.๔๓
ถึง ๑๔ ก.ค.๔๓ กล่าวไว้ดังนี้.........บทที่ ๒

ลัทธิคอมมิวนิสต์ กับ โรมันคาทอลิก

กำเนิดลัทธิคอมมิวนิสต์
ในคัมภีร์ไบเบิลเก่า(Old Testament) และคัมภีร์ไบเบิลใหม่(New Testament)ซึ่งใช้เป็นหลักในคำสอนของ
“โรมันคาทอลิก” มีข้อความตรงกันในเรื่องของ “ดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า” บอกลักษณะของดินแดนนั้นว่า
“เป็นสังคมไม่มีชนชั้น ไม่มีเจ้า บ่าว นาย ทุกคนต่างอยู่แบบเสมอภาคเท่าเทียมกันหมด” จากจุดในคัมภีร์ไบเบิลนี้เอง
ทำให้ “วาติกัน” ร่วมมือกับประเทศสเปน และ โปรตุเกส ให้ส่งนักรบของแต่ละประเทศไปล่าอาณานิคม
โดยอ้างว่าเป็นการสร้างให้ดินแดนที่ตนเข้าไปยึดครองนั้นเป็นดินแดนของพระเจ้า พร้อมกับเผยแพร่คำสั่งสอนว่า
“โรมันคาธอลิคไม่มีชนชั้น ทุกคนคือบุตรของพระเจ้าเท่าเทียมกันหมด จึงทำลายขนบธรรมเนียม ศิลปวัฒนธรรม
ศาสนาเดิม พร้อมทั้งโค่นล้มกษัตริย์ที่ปกครองดินแดนเหล่านั้นอยู่เดิมเสียทั้งสิ้น ให้กษัตริย์ในประเทศที่ถูกยึดครอง
รวมทั้งประชากรเหล่านั้นขึ้นตรงกับ “สันตะปาปา” ณ นครหลวงวาติกัน โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้า
ต้องการอ่านข้อมูลวาติกันกดที่นี่ “วาติกัน”
ต่อมาเมื่อมีการพบทวีปอเมริกา จึงได้มีนักบวชโรมันคาทอลิกผู้หนึ่งนามว่า “โทมัส มัวส์” ได้นำมาเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง
ชื่อว่า “ยูโทเปีย” ซึ่งกล่าวถึงดินแดนที่พระเจ้าได้สัญญาเอาไว้ว่าคือ อาณาจักรของพระเจ้า หนังสือดังกล่าว
ได้รับการสนับสนุนโดย “วาติกัน” และถูกนำไปแพร่หลายในทุกดินแดนที่ “โรมันคาทอลิก” เข้าไปเผยแพร่
และมีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศส ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๙๑ นายคาร์ล มาร์กซ์ ศาสนิกของโรมันคาทอลิก
ได้ศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างแตกฉาน มีความประทับใจหลักการในหนังสือ “ยูโทเปีย ของโทมัส มัวส์”
ก็ได้นำมาเขียนเป็นหนังสือ-7ho ชื่อว่า“คำประกาศของคอมมิวนิสต์ (The Communis Manifesto)”
อันเป็นต้นกำเนิดของ ลัทธิคอมมิวนิสต์” ต่อมาเรียกว่า “สังคมนิยม” ในปัจจุบัน

จากหลักฐานดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า “ลัทธิคอมมิวนิสต์” ได้พัฒนาการมาจากคำสอน
ในคัมภีร์ไบเบิล “โรมันคาทอลิก” สิ่งที่พิสูจน์ได้อีกสิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดก็คือ ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์เช่น
โปแลนด์ ยูโกสลาเวีย ไม่มีโบสถ์ของโรมันคาทอลิกจะถูกทำลายไปเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นระบบการแอบแฝง
แทรกซึม การจัดตั้งเขตปกครองคอมมิวนิสต์ ก็ล้วนแล้วแต่พัฒนาและใช้ระบบของ “โรมันคาทอลิก” ทั้งสิ้น

เมื่อพิจารณาด้วยหลักฐาน ข้อมูล พฤติกรรม แล้วไม่อาจจะปฏิเสธได้ในความเป็นหนึ่งเดียวระหว่าง
“คอมมิวนิสต์ กับ โรมันคาทอลิก”ซึ่งวาติกัน ให้การสนับสนุนทั้งทางกำลังทรัพย์ กำลังบุคคล กำลังสมอง
ให้สำหรับการขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก รวมไปถึงขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือการสร้างความขัดแย้ง
ทุกประเทศ ข้อเปรียบเทียบ “เขตปลดปล่อย” กับ “มิชซัง”

ยุคของการใช้แผนล่าอาณานิคมโดยการใช้บาทหลวงโรมันคาทอลิกเข้าไปในประเทศต่าง ๆ
พยายามสร้างให้เกิดความขัดแย้งกับข้าราชการของประเทศนั้น เพื่อให้ข้าราชการหรือกษัตริย์ประเทศนั้น ๆ
สั่งลงโทษเพื่อที่จะได้ใช้เป็นข้ออ้างว่าบาทหลวงตัวแทนของพระเจ้า ถูกรังแกถูกทำร้าย จึงจำเป็นต้องใช้
กองทัพไปช่วยรักษาโรมันคาทอลิก และในที่สุดเข้ายึดครองในที่สุดนั้น(ตามที่ปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ใน
ประวัติศาสตร์ทุกประเทศ รวมทั้งประเทศไทย) ได้รับการต่อต้านโดยประชาชนเจ้าของประเทศ
ที่รวมตัวกันด้วยความรักชาติ ออกต่อต้านกองทัพตัวแทนของ “วาติกัน”

ดังนั้นจึงได้มีการกำหนดยุทธการใหม่ใช้ “กฎแห่งการแตกแยก” โดยสร้างให้เกิดความแตกแยก
ทางด้านความคิดเห็น ฯลฯ ของชนชาตินั้นเอง และแทรกตัวเข้ายึดครอง จากผลของการศึกษา
วิเคราะห์โดย “วาติกัน” ได้บทสรุปว่า ควรที่จะใช้ “ลัทธิคอมมิวนิสต์” สำหรับปฏิบัติการ
เนื่องจากลัทธิดังกล่าวนี้ได้ถือกำเนิดโดยชาวคาทอลิก มีหลักการที่ประสานแนบแน่นกับหลัก
“ดินแดนพันธสัญญาของพระเจ้า” ตามพระคัมภีร์ไบเบิล จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะให้ยุทธวิธีดังกล่าว
สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือการจัดระบบการปกครองย่อย หรือ “อาณานิคมแฝง” เรียกตามภาษาโรมันคาทอลิกว่า
“มิชซัง” กับ “เขตปลดปล่อย” ของคอมมิวนิสต์ นั้น เป็นอย่างเดียวกัน เหมือนกับน้ำในขวดที่เทออกมาใส่แก้ว
ย่อมมีสภาพและมวลสารที่ไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด

โรมันคาทอลิกได้จัดตั้งพื้นที่ของตนทั้งโดยถูกต้องกฎหมาย หรือผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถตั้งขอบเขต
อาณาจักรของตนและใช้กฎหมายของตนขึ้นได้ ภาษาเฉพาะของคาทอลิกเรียกว่า ซึ่งเรียกว่า “มิชซัง”
หรือ เขตปฏิบัติการ (ประเทศไทยได้ถูกแบ่งออกเป็นมิชซัง 10 เขต) ลักษณะดังกล่าวนี้ตามหลักของยุทธศาสตร์
เรียกว่า “การแบ่งเขตยึดครอง” และสามารถเทียบได้อย่างลงตัวกับการแบ่งเขตของ “ลัทธิคอมมิวนิสต์” โดยตรง
ซึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์จะมีฐานบัญชาการเรียกว่า “องค์การคอมมิวนิสต์สากล” เทียบได้กับ “สภาคริสต์จักรโลก”
(รายละเอียดจะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า) “เขตมิชซัง” เทียบได้กับ “เขตงาน”คือพื้นที่ปฏิบัติงาน
เพื่อยึดอาณาเขตการปกครองของประเทศนั้น ๆ โดยใช้กฎหมายของตน ไม่ขึ้นกับกฎหมายของเจ้าของประเทศ
เท่ากับเป็น “เขตปลดปล่อย” และจะประสานกันด้วยการปกครองแบบรวมศูนย์ รูปแบบการบริหาร การปกครองและ
การดำเนินการของคอมมิวนิสต์เป็นเช่นไร คาทอลิกก็เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพื้นที่ของคาทอลิกในลักษณะนี้
จะมีกระจายกันไปทั่วโลก และลัทธิคอมมิวนิสต์ก็คือการพัฒนาไปจากระบบของคาทอลิก โดยนายคาร์ล มาร์กซ์

จากหลักฐานในเอกสารวิจัยเรื่อง สถานการณ์ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกาแลจีนหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย
ครั้งที่ ๒ โดย นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันประเทศ ( วปอ.)

๓. มหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ กองทัพปลดปล่อย สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างก.ย.๒๕๔๕ – ก.ย.๒๕๔๖
ระบุว่า...... “.....ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริงของสังคมชาวอเมริกัน องค์กรที่อยู่เบื้องหลัง
รัฐบาลสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยุทธศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอันเป็นส่วนที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง
ต่อการผลักดันนโยบายต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบต่อประชาคมโลก
ความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างทางสังคมและโครงสร้างของรัฐบาลที่แท้จริงของสหรัฐอเมริกา
หนทางที่ดีที่สุดที่จะรู้เรื่องยุทธศาสตร์และกิจกรรมต่าง ๆ ของสหรัฐอเมริกาคือการรู้โครงสร้างที่แท้จริงทางสังคม
และผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่พึ่งจะก่อตั้งขึ้นมาประมาณ ๒๐๐ ปีเศษ
ซึ่งเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษทางตะวันตกที่ประกอบด้วยประเทศตะวันตกในอดีตหลายประเทศ
ที่เป็นประเทศผู้ล่าอาณานิคม หลังจากที่ประเทศเหล่านั้นเสื่อมอำนาจลงผู้ที่อยู่อาศัยที่เป็นคนชั้นนำของประเทศ
ก็ได้เคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งรกรากแห่งใหม่ในสหรัฐแห่งอเมริกา ( ชำระประวัติศาสตร์ไทย กรณีตุลาและพฤษภาทมิฬ
โดย ศูนย์นิสิตและนักศึกษาแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์และวรรณคดีสยาม )

ฉะนั้นประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเป็นประเทศที่เป็นแหล่งรวมของคุณลักษณะและบุคลิกลักษณะรวมทั้งอุดมการณ์ของ
ผู้ล่าอาณานิคมเดิมอย่างเต็มเปี่ยม พื้นฐานโครงสร้างทางสังคมของสหรัฐอเมริกาจึงประกอบไปด้วย เฟดเดอรอลรีเสิร์ฟ
( Federal Reserve FED ) กลุ่มนักธุรกิจชาวยิว และกลุ่มผลประโยชน์ทางศาสนาคือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก
( กลุ่มครูเสด ( Crusader Group) ที่ทำงานเพื่อศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ) ทั้งสามกลุ่มใหญ่ ๆ
ในสังคมสหรัฐอเมริกาดังกล่าวนี้ได้ก่อตั้งและครอบครองธุรกิจขนาดใหญ่ของโลกมาเป็นเวลานานนับตั้งแต่มีกลุ่มต่าง ๆ
นี้ขึ้นมา ธุรกิจทั้ง ๖ ชนิดนั้นประกอบไปด้วย
๑) ธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคม
๒) ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและยา
๓) ธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน
๔) ธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาวุธ
๕) ธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องการเงินและการธนาคาร
และ ๖) ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก และรถยนต์
ซึ่งธุรกิจหลัก ๆ ทั้ง ๖ ธุรกิจดังที่กล่าวมาแล้วนั้นได้มามีบทบาทอย่างสำคัญต่อการเข้าครอบครอง
โครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สังคมชาวอเมริกันและโครงสร้างทางรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา
เมื่อสหรัฐอเมริกาแผ่ขยายธุรกิจของตนออกไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกทำให้ธุรกิจเหล่านี้เข้าไปครอบงำธุรกิจต่าง ๆ
ของโลกโดยปริยาย ซึ่งธุรกิจของสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกที่ไหลทะลักเข้าไปยังประเทศต่าง ๆ ในนามของ
ธุรกิจข้ามชาติมีอยู่มากมายดังที่ทราบกันดีในยุคปัจจุบัน ทำให้อิทธิพลของ FED นอกจากจะครอบงำสังคมอเมริกันแล้ว
ยังครอบงำสังคมโลกโดยปริยายด้วยเช่นเดียวกัน.....”

ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเชื่อประการหลังคือ เมื่อคอมมิวนิสต์เข้าครอบครองประเทศทางอินโดจีนแล้ว
ไม่มีการทำลายโบสถ์คริสต์แม้แต่โบสถ์เดียว ตรงกันข้ามกับทำลายวัดวาอารามของพุทธศาสนา นอกจากนั้น
ก็มีหลักฐานเช่นเดียวกันว่าทหารสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
ในสงครามต่อสู้คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย อีกทั้งผู้ที่เคยเข้าร่วมเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ภายหลังออกมาเป็น
ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาจากสหรัฐฯ และได้กลับเข้ามามีอิทธิพลในประเทศไทย
อีกครั้งหนึ่งในยุคปัจจุบัน ( ๒๕๔๗ ) และทุกประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกกลายเป็นประเทศ
ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอร์ด็อก ไปทั้งหมด ซึ่งก็ยังคงอยู่ในเครือข่ายของนิกายโรมันคาทอลิกอยู่ดี

ถ้าเป็นเช่นนั้นกรณีหลังไม่น่าจะเป็นกลยุทธ์ “ จับโจรเอาหัวโจก” น่าจะเป็น “ มีในไม่มี”
หรือ “ ปิดฟ้าข้ามทะเล” หรืออะไรทำนองนั้น

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ ความหมายที่แท้ของกลยุทธ์นี้ คือให้โจมตีส่วนที่สำคัญที่สุดของข้าศึกเพื่อให้ได้รับชัยชนะอย่างสิ้นเชิง
ในการบัญชาการรบ จะต้องสันทัดในการขยายผลของการรบให้ใหญ่หลวงยิ่งขึ้น อย่าได้ปล่อยโอกาส
ที่จะได้รับชัยชนะให้หลุดลอยไปเป็นอันขาด หากคิดง่าย ๆ แต่เพียงว่า ขอให้โจมตีข้าศึกถอยไปได้เท่านั้นก็พอใจแล้ว
แต่ไม่ทำลายกำลังหลักของข้าศึก จับตัวผู้บัญชาการหรือทลายกองบัญชาการของข้าศึกให้ย่อยยับไปแล้ว
ก็จะเหมือนดั่งปล่อยเสือเข้าป่า จักอันตรายไม่สิ้นสุดในภายหลัง ฉะนั้น”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2006, 01:41:03 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #34 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 01:48:05 PM »

หนังสือเดิมชื่อ 36 กลยุทธ์ สับประยุทธ์ทุกปริมณฑน(อาจตก ๆ หล่นไปบ้างในชื่อเรื่องนะพี่) ข่าวดีคือ ผมมีหนังสือเล่มนี้ ข่าวร้ายคือ ถ้าเป็นของท่าน พันเอกโสภณ ศิริงาม อันนี้ผมไม่มีครับ ถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อ ๆ กลยุทธ์เดิม + บทสรุปของกลยุทธ์ว่าคืออะไร และมีตัวอย่างแบบโบราณสมัยก่อนนิดหน่อย ก็ยื่มได้ครับพี่ แต่ถ้าพี่หาเล่มของ พันเอกโสภณ ศิริงาม ผมก็ขอยืมจากพี่ละกัน Grin
๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ
สำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์
โดย
พันเอกโสภณ ศิริงาม
๑๒ เมษายน ๒๕๔๗
Grinเยี่ยมครับพี่ บทวิเคราะห์ตัวอย่างสมัยใหม่ แบบนี้คนอ่านรุ่นใหม่ก็พอนึกภาพตามออก......ถ้ามีลิ๊งให้ไปดูดละเยี่ยมเลยครับ...อ๋อใน 36 กลยุทธ์นี่ ผมชอบกลยุทธ์สุดท้ายครับ คือ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์" เพราะหากคนเรารู้จักประมาณตนไม่ดื้อดึง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ ยอมถอยออก เพื่อตั้งหลัก ก็ย่อมมีโอกาศแก้ตัวได้ใช้กลยุทธ์ที่เหลืออีก 35 กลยุทธ์ได้ในภายภาคหน้า Grin

ผมไม่มีหนังสือหรอกครับ คัดลอกมาจากเวปบอร์ดนี้ครับ
http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=336&VIEW=1318

สถานการณ์ปัจจุบันนี้ให้ทายว่า ใครจะใช้กลยุทธ์สุดท้าย อิ อิ
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #35 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 02:16:44 PM »

ส่วนที่ ๔ กลยุทธ์ติดพัน
เมื่อเกิดศึกชุลมุน พึงตีหัวใจเป็นสำคัญ
ลวงข้าศึกให้หย่อนการป้องกัน
สยบข้าศึกด้วยอ่อนพิชิตแข็ง

กลยุทธ์ที่ ๒๐ กวนน้ำจับปลา

ศัตรูปั่นป่วนภายใน พึงเอาประโยชน์เพราะไร้สติ ให้คล้อยตามเรา ดุจดั่งต้องหลับนอนยามค่ำ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อข้าศึกเกิดความปั่นป่วนในกองทัพของตน เราจักต้องฉวยโอกาสความวุ่นวาย
มิรู้ที่จะทำประการใดของข้าศึก แย่งยึดเอาผลประโยชน์มา หรืออีกนัยหนึ่ง “เอาชัยจากความปั่นป่วน”
ดุจดังพายุฝนกระหน่ำยามค่ำคืน ที่ต่ำก็จักขังน้ำ ผู้คนจักเข้าสู่นิทรารมณ์ อันเป็นปกติวิสัยของธรรมชาติ
และมนุษย์ “ กวนน้ำจับปลา” ก็คือกวนน้ำให้ขุ่น ให้ปลางุนงง ลงจับก็ง่าย อันนับเป็นกลยุทธ์ฉวยโอกาส
เข้าตีเอาชัย เมื่อข้าศึกกำลังชุลมุนปั่นป่วนอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ถังเก่า ประวัติฮวนเหนือ” ,มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้
ในราชการสมัยของพระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ถัง นับตั้งแต่ปีที่ ๔ ถึงปีที่ ๑๓ ของรัชกาลเสียนจง
(ค.ศ. ๗๑๖ – ๗๒๕) อันเป็นเวลานาน ๑๐ ปี ฮวนเผ่าชี่ตันกับเผ่าซีแม้จะเปลี่ยนหัวหน้าเผ่ามาถึง ๕ คน
ก็ยังส่งเครื่องบรรณาการมาถวายราชสำนักถึงตลอดมา พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้จึงยกธิดาของอันเฉิงกงจู่
ชื่อเหว่ยสื้อ ให้เสกสมรสกับหลี่หลู่ซูหัวหน้าเผ่าซี และยก พระภาคิไนยตงหวากงจู่ เสกสมรสให้กับหลี่ส้าวกู้
หัวหน้าเผ่าซี่ตัน

ครั้นถึงปีที่ ๑๕ แห่งรัชกาลเสียนจงฮ่องเต้ หลี่ส้าวกู้ก็ให้ขุนพลเคอทูข่านเป็นทูตนำเครื่องบรรณาการ
มาถวายแด่ราชสำนักถังยังเมืองหลวงฉางอัน หน้าตาของเคอทูข่านอัปลักษณ์นัก หน้าผากโหนก ตาโปน
หน้าดำ หนวดเหลือง ขาทั้งสองก็เกเดินขากางเพราะขี่ม้าอยู่เสมอมา หลี่หยวนหง ก็รู้สึกขำ อดไว้มิได้
จึงหัวเราะออกเสียง จนได้ยินกันไปทั่วทั้งท้องพระโรง เคอทูข่านรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์
ก็มิกล้าที่จะแสดงความโกรธเกรี้ยวให้ประจักษ์ ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ คิดอาฆาตในใจอย่างรุนแรง
หลี่หยวนหงมิใช่แต่จะมิรู้สำนักผิดที่เสียมารยาทต่อทูต หลังเลิกเฝ้าออกขุนนางแล้ว หากมิตำหนิว่า
เครื่องบรรณาการน้อยเกินไป ก็มักจะพูดหัวเราะเยาะว่ารูปร่างหน้าตาของเคอทูข่านช่างผิดมนุษย์นัก
เคอทูข่านจึงยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นหนักขึ้น ก่อนเดินทางออกจากนครฉางอัน ก็สาบานว่าจะกลับมาแก้แค้น
ในความอับอายครั้งนี้ให้จงได้ ความรู้ไปถึงหูของจางซ่อผู้รู้เรื่องราวของชายแดนดี จึงกราบทูลเสียนจงฮ่องเต้ว่า
“เคอทูข่านกลับไปคราวนี้ เห็นทีเผ่าชี่ตันจักแข็งข้อเป็นแน่แท้” แต่เสียนจงฮ่องเต้มิทรงเห็นเป็นเช่นนั้น

เมื่อเคอทูข่านแบกความอัปยศกลับไปยังบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ยุยงให้หลี่ส้าวกู้แข็งอำนาจต่อราชวงศ์ถัง
เป็นหลายครั้ง แต่หลี่ส้าวกู้เกี่ยวดองเป็นประยูรญาติกับราชวงศ์ถังแล้ว จึงมิคิดจะทำการใดให้เกิดเหตุ
อันจะเป็นที่ระคายเคือง ต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ๒ ฝ่าย เคอทูข่านยุหลี่ส้าวกู้อยู่ ๒ ปี ไม่สำเร็จ
ก็แค้นใจจับหลี่ส้าวกู้ฆ่าเสียแล้วตั้งให้ ชี่เลี้ยขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าแทน ทั้งข่มขู่บังคับให้เผ่าซีมาร่วมแข็งอำนาจ
พร้อมกับซี่ตันด้วย ตงหวากงจู่ภรรยาของหลี่ส้าวกู้ กับหลี่หลู่ซูหัวหน้าเผ่าซีและภรรยา เห็นเคอทูข่านกบฏ
ฆ่าเจ้านายของตนได้ลงคอก็รีบหนีไปยังเมืองซิวโจว (ปักกิ่งในปัจจุบัน) จ้าวหานจางเจ้าเมืองซิวโจว
จึงรีบมีหนังสือแจ้งข่าวไปยังเมืองหลวง

พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้กลับเห็นไปว่า ชายแดนแถบนี้สงบสุขมาช้านานที่เคอทูข่านฆ่า หลี่ส้าวกู้
เป็นเพียงกรณีพิพาทภายใน อันเป็นเรื่องการแย่งชิงอำนาจของเผ่าซี่ตันเอง คงจะมิบังอาจแตะต้อง
อาณาจักรของราชวงศ์ถังเป็นแน่ จึงเพียงแต่มี พระราชโองการให้เจ้าเมืองซิวโจวจ้าวหานจาง
ส่งทหารออกปรามมิให้เหตุการณ์ลุกลามขยายตัวออกไปเท่านั้น จ้าวหานจางจึงยกทัพออกปราบ
เคอทูข่านกับซี่เลี้ยหัวหน้าเผ่าสู้ไม่ไหวก็หลบหนีหัวซุกหัวซน ส่วนเผ่าซีซึ่งความจริง มิคิดจะก่อเรื่องอยู่แล้ว
ก็ยอมสยบแต่โดยดี แต่เคอทูข่านแม้จะต้องได้รับความพ่ายแพ้ถึงกระทั่งต้องหลบหนีกระเจิดกระเจิง
ทว่าในใจหาได้ยอมจำนนไม่ คิดแต่ว่าแค้นนี้ต้องชำระ จึงบุกป่าฝ่าดงด้วยลำพังตัวคนเดียว ตระเวนไป
รวบรวมชาวชี่ตันให้เป็นกลุ่มก้อนเข้าอีก จึงได้ไพร่พลนับด้วยหมื่น ตั้งเป็นกองทัพขึ้นมาใหม่
แล้วยกเข้าบุกดินแดนของราชวงศ์โดยมิเกรงกลัว

ในขณะนั้น เจ้าเมืองซิวโจวเปลี่ยนเป็นเซี่ยฉู่อี้ลูกชายคนที่ ๒ ของเซี่ยเหรินกุ้ย (ซิยิ่นกุ้ย) จึงส่งรองแม่ทัพ
มีเก้ออิงเจี๋ย กับอู๋เค่อฉิน นำพลหมื่นคนไปสกัดเคอทูข่าน ณ เมืองหยีกวาน (ในเขตซานไห่กวาน
มณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน) เผ่าฮวนซีแม้จะสยบด้วยจ้าวหานจางมาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความที่เป็นฮวน
เยี่ยงเดียวกันกับเผ่าชี่ตัน เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันมาอย่างใกล้ชิดช้านาน เยื่อใยที่เคยมีมาแต่กาลก่อน
ก็หาได้ขาดสะบั้นลงไปไม่ ครั้งต้องติดตามทัพราชวงศ์ถังมาปราบเคอทูข่าน ก็มิใคร่อยากจะรบด้วย เมื่อ ๒ ทัพ
เผชิญกัน ชาวเผ่าซีก็ฉวยโอกาสหนีทัพไปเสียเป็นอันมาก จึงทำให้ทัพถึงชุลมุนวุ่นวาย เคอทูข่านจึงฉวยโอกาส
เข้าตีอย่างไม่ยั้งมือ เก้ออิงเจี๋ยกับอู๋เค่อฉินถูกทหารซึ่งกำลังปั่นป่วนชนจนตกจากหลังม้า จึงถูกไพร่พลของชี่ตัน
สับจนเละทหารถังที่รอดชีวิตไปได้ จึงนำความไปแจ้งเซี่ยฉู่อี้ เซี่ยฉู่อี้จึงมีหนังสือแจ้งเข้าไปยังเมืองหลวง

พระเจ้าถังเสียนจงฮ่องเต้ทรงทราบถึงความพ่ายแพ้ ก็ให้ตกพระทัยจึงมีพระราชโองการให้ขุนพลจางโส่วกุ้ย
ไปเป็นแม่ทัพเมืองซิวโจว เพื่อปราบเผ่าฮวนชี่ตันที่กำเริบอยู่ จางโส่วกุ้ยอ่านตำราพิชัยสงครามมาแต่เด็ก
ชำนาญในกลศึกยิ่งนัก เมื่อมาถึงเมืองซิวโจวแล้ว ก็ปรับปรุงฝึกฝนไพร่พลอย่างเร่งรีบ พร้อมกับเสริมกำแพงเมือง
ให้สูงขึ้นและหน้าขึ้น ขุดดูรอบเมืองและตั้งป้อมค่ายอยู่ทั่วไปเคอทูข่านได้พยายามเข้าตีเมืองซิวโจวเป็นหลายครั้ง
แต่ก็ถูกจางโส่วกุ้ยตีถอยทุกครั้งไป

เคอทูข่านเห็นว่าจะหักด้วยกำลังคงจะไม่สำเร็จ จึงวางกลอุบายส่งทูตฝีปากดีคนหนึ่ง ขอเข้าพบแม่ทัพจางโส่วกุ้ย
เพื่อประวิงเวลาหาอุบายต่อไปจางโส่วกุ้ยนึกหัวเราะอยู่ในใจว่า “แข็งไม่ได้ มาไม้อ่อน” ครั้นแล้วจึงสั่งให้เตรียมการ
ระมัดระวังให้ดี เปิดประตูเมือง ปล่อยสะพานหกลงรับทูตของเคอทูข่านเข้าเมือง ให้นำตัวเข้ามาพบเจรจาความ
ยังจวนแม่ทัพ ทูตของเคอทูข่านเมื่อเข้าเมืองมา ก็รู้สึกประหม่า รำพึงว่า ในเมืองป้องกันเข้มแข็งนัก
คงจะได้รับการฝึกมาอย่างดีเป็นแน่ มิน่าเล่า เคอทูข่านจึงตีเมืองไม่แตกจนแล้วจนรอด

เมื่อเข้าพบจางโส่วกุ้ย จางโส่วกุ้ยจึงถามว่า “สองประเทศเรารบกันอยู่ท่านทูตมาวันนี้ ด้วยเหตุอันใดหรือ?”
ทูตชี่ตันจึงบอกว่า “ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งมาจากท่านชี่เลี้ยหัวหน้าเผ่าของเรา ให้มาขอยอมแพ้ด้วยท่าน
ขุนพลเคอทูข่านแห่งชี่ตันลุแก่โทสะ บุกอาณาจักรถังมาหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้มาหลายครั้งราษฎรทั้งหลาย
ต่างไม่พอใจเป็นอันมาก บัดนี้ ยังมาล่วงล้ำซิวโจวอีกเล่า ชาวชี่ตันจงประฌามเขาเป็นเสียงเดียวกัน
เคอทูข่านจึงได้สำนึก หากท่านมิเอกโทษถึงตายแก่เขา ก็จะยอมสวามิภักดิ์ด้วยราชสำนักถัง
มิคิดจะล่วงเกินด้วยตลอดไป ขอให้ท่านแม่ทัพจงอภัยแก่เราเผ่าชี่ตัน ทั้งขอให้แจ้งไปยังเมืองหลวง
ให้ฮ่องเต้ทรงทราบ”

จางโส่วกุ้ยรู้ดีว่า ทูตชี่ตันมาคราวนี้ก็เพื่อสืบสภาพความเป็นไปในค่ายของตนและประวิงเวลาใช้กลอุบายอย่างอื่น
หาได้คิดมายอมสวามิภักดิ์ด้วยอย่างเต็มใจไม่ แต่แสร้งทำเป็นพาชื่อตอบไปว่า “ทั้ง ๒ ฝ่ายคืนดีต่อกัน
ก็เป็นความปรารถนาของฝ่ายเราตั้งแต่องค์ฮ่องเต้ลงมาจนถึงราษฎร ในเมื่อหัวหน้าที่จะสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ถัง
ข้าพเจ้าก็จักกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบต่อไปพร้อมกันนั้น ข้าพเจ้าก็จะส่งคนไปเยี่ยมเยียนเผ่าท่าน เพื่อปลอบขวัญ
มิให้วิตกกังวล ฝ่ายท่านก็ควรจักถอยทัพกลับไปทำมาหากินตามปกติโดยเร็ว”

ครั้นแล้ว จางโส่วกุ้ยก็สั่งให้หวางหุ่ยและก่วนจี้เป็นทูตแทนราชวงศ์ถังไปปลอบขวัญเผ่าชี่ตัน
เมื่อเข้าไปยังที่พักของเคอทูข่าน เคอทุข่านก็แสร้งทำเป็นต้อนรับด้วยความยินดี ให้แม่ทัพนายกองน้อยใหญ่
รินเหล้าคารวะแก่ทูตทั้งสอง หวางหุ้ยสังเกตเห็นว่า บางคนก็ให้ความคารวะอย่างจริงใจ แต่บางคนก็ทำอย่างเสียไม่ได้
พร้อมทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแสดงอาการไม่พอใจออกนอกหน้าในหมู่แม่ทัพนายกองของเผ่าชี่ตันทั้งหลาย
บางคนก็มีความประสงค์ที่จะสงบศึกจริงๆ ไม่เห็นชอบด้วยที่เคอทูข่านก่อเรื่อง รบราฆ่าฟันกับราชวงศ์ถัง
เป็นที่เดือดร้อนกันไปทั่ว เมื่อรู้ว่างานเลี้ยงเป็นเพียงการตบตาก็ให้รู้สึกหวั่นใจ เกรงว่าทูตทั้งสองจักเป็นอันตราย
ด้วยความเหี้ยมโหดของเคอทูข่าน

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ในขณะที่ไพร่พลชี่ตันจุดโคมนำหวางหุ่ยไปยังที่พัก
บังเอิญทหารคนหนึ่งของชี่ตัน รู้จักกับหวางหุ่ย จึงเล่าให้ฟังว่า ขุนพลหลี่กว้อเจ๋อซึ่งคุมกำลังพลม้าของเผ่าชี่ตันนั้น
ไม่ถูกกับเคอทูข่านกัดกันจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วจึงฉวยโอกาสจัดการกับเคอทูข่านเสีย
ปราบการแข็งข้อของเผ่าชี่ตันให้ราบคาบโดยเร็ว ในระหว่างที่อยู่ในค่ายของชี่ตัน หวางหุ่ยก็จงใจใกล้ชิดสนิทสนมกับ
หลี่กว้อเจ๋อ พร้อมกับยกย่องความเก่งกาจของเคอทูข่าน และว่าพวกขุนนางแห่งราชวงศ์ถังต่างก็นิยมชมชอบ
ในตัวเคอทูข่านเป็นอย่างยิ่ง เพื่อยั่วยุให้หลี่กว้อเจ๋อเกิดความริษยา หลี่กว้อเจ๋อก็หลงกล ตบโต๊ะพลางพูดขึ้น
ด้วยความขุ่นเคืองว่า “เคอทูข่านฆ่าหัวหน้าเผ่าเรา ซ้ำยังแข็งข้อต่อราชวงศ์ถัง ก่อให้เกิดศึกในครั้งนี้ขึ้น
ทำให้ชาวชี่ตันและเผ่าซีต้องรับทุกข์จากสงครามจนเดือดร้อนกันทั่วหน้า ชาวเผ่าชี่ตันเราต่างพากัน
ด่าว่าอย่างเหลืออดแล้ว ไฉนพวกท่านจึงพึงพอใจในตัวมันอีกเล่า ?

หวางหุ่ยก็แสร้งทำเป็นตกใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าพเจ้ามิได้รู้เรื่องเลยหากการณ์เป็นไปดังที่ท่านขุนพลว่า
เหตุไฉนหัวหน้าเผ่าชี่เลี้ยจึงยังทนต่อเคอทูข่านได้อีก?” หลี่กว้อเจ๋อจึงบอกว่า “ชี่เลี้ยเป็นหัวหน้าเผ่าก็จริงอยู่
แต่ก็ด้วยการแต่งตั้งของเคอทูข่านนั้นดอก หาได้มีอำนาจอย่างใดไม่ ทุกวันนี้ก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจอยู่ในอก
มิกล้าเอ่ยปากพูด” หวางหุ่ยก็แสดงความเห็นใจ ยั่วยุหลี่กว้อเจ๋อซ้ำเข้าไปอีกว่า “ท่านก็เป็นขุนพลคนเกล้า เหตุไฉน
จึงยังรีรออยู่มิคิดแก้ไข ความสามารถของท่านก็หาน้อยหน้าผู้ใดไม่ หากท่านขจัดเคอทูข่านได้ ข้าพเจ้าก็ยินดี
จะกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงทราบ ท่านก็จักมีความดีความชอบมิมีผู้ใดเสมอเหมือน”
หลี่กว้าเจ๋อได้ฟังคำของหวางหุ่ย เห็นตรงกับความในใจของตนมาแต่เดิมก็ให้รู้สึกมีความยินดี ลุกขึ้นยืนคำนับ
กล่าวแก่หวางหุ่ยว่า “ข้าพเจ้าหลี่กว้อเจ๋อเป็นชายชาตรีสูง ๗ เชียะมิได้เป็นรองผู้อื่น หาได้เกรงกลัวเจ้าถ่อยคนนั้นไม่
หากได้ท่านเมตตาอีกแรงหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จักขจัดเคอทูข่านให้ท่านได้ประจักษ์แก่สายตา!”

ดังนั้น หลี่กว้อเจ๋อกับหวางหุ่ยก็ลักลอบปรึกษาหาอุบายแก่กันและกันจนเป็นที่ตกลง หวางหุ่ยก็ทราบข่าวในเวลาต่อมาอีกว่า
เคอทูข่านกำลังส่งคนไปติดต่อกับเผ่าฮวนทู่เจี๋ย คิดจะยืมทหารทู่เจี๋ยไปร่วมกันตีเมืองซิวโจว หวางหุ่ยจึงให้รู้สึกคับขันนัก
ขืนรั้งอยู่กับเผ่าชี่ตันต่อไปเห็นทีจะไม่เป็นการ จึงหาทางบอกลาชี่เลี่ย เดินทางกลับไปยังซิวโจวโดยเร็ว
ในคืนวันที่ ๒ หลังจากหวางหุ่ยเดินทางกลับแล้ว หลี่กว้อเจ๋อก็นำไพร่พลของตน ทะลวงเข้าไปในค่ายของเคอทูข่าน
เคอทูข่านมิได้ระมัดระวังตัว มิหนำซ้ำยังเมามายไม่ได้สตินอนหลับสนิท หลี่กว้อเจ๋อจึงตัดคอเคอทูข่านเสียในทันที
ชี่เลี้ยซึ่งมากินเหล้าอยู่กับเคอทูข่าน ก็พลอยถูกหลี่กว้าเจ๋อสังหารเสียด้วยในหมู่เผ่าชนชี่ตัน จึงเกิดโกลาหลกันไปทั้งกองทัพ

ผู้ใกล้ชิดของเคอทูข่านและพวกขุนพลของเผ่าชี่ตันทั้งหลาย เห็นเคอทูข่านกับชี่เลี้ยถูกฆ่าตาย ต่างก็รวบรวมกำลัง
ต้านทานหลี่กว้อเจ๋ออย่างสุดความสามารถหลี่กว้อเจ๋อยามปกติก็ถือดีทะนงตน ใช้อำนาจอย่างไรความเป็นธรรม
จึงมิได้เป็นที่ชอบพอแก่ไพร่พลของชี่ตันเท่าใดนัก ในที่สุด ขุนพลของเคอทูข่านคนหนึ่งชื่อเนี่ยหลี่ซึ่งเข้มแข็งกว่าผู้อื่น
ก็ตีกำลังของหลี่กว้าเจ๋อจนแตกพ่ายหลี่กว้าเจ๋อถูกเนี่ยหลี่จับตัวได้ ก็ให้ตัดคอหลี่กว้อเจ๋อตายตกตามเคอทูข่านและชี่เลี้ยไป
หวางหุ่ยกลับถึงเมืองซิวโจว ก็แจ้งเรื่องที่ตกลงกับหลี่กว้อเจ๋อกับข่าวที่เคอทูข่านจะยืมทหารของทู่เจี่ยมาตีเมืองซิวโจว
ให้จางโส่วกุ่ยทราบ จางโส่วกุ้ยจึงเรียกประชุมขุนนางน้อยใหญ่ในเมืองซิวโจวปรึกษาหารือเรื่องยกทัพปราบเผ่าชี่ตัน
จึงตกลงกันว่า ทางหนึ่ง ให้เสริมการป้องกันเมืองซิวโจวให้แข็งขันขึ้นเพื่อความไม่ประมาท
ทางหนึ่ง จางโส่วกุ้ยก็นำทัพไปสนับสนุน หลี่กว้อเจ๋อตามที่ตกลงกันไว้

แต่ครั้นเมื่อจางโส่วกุ้ยยกทัพไปถึงค่ายของเผ่าชี่ตัน ก็ได้ข่าวว่าเคอทูข่านกับหลี่กว้าเจ๋อถูกฆ่าตายทั้งคู่
ทัพถึงจึงฉวยโอกาสที่เผ่าชี่ตันขาดหัวหน้า ไล่ฆ่าฟันไพร่พลชี่ตันซ้ำเติมจนระส่ำระสายไปทั้งกองทัพมิเป็นอันสู้รบ
จนเนี่ยหลี่ก็ถูกจับเป็น เนี่ยหลี่จึงกล่าวแก่จางโส่วกุ้ยว่า “หลี่กว้อเจ๋อป่าเถื่อนไร้คุณธรรม ไพร่พลทั้งหลายมิยอมขึ้นด้วย
จึงได้พร้อมใจกันสังหารเสีย มิใช่เป็นผู้ใดสั่งความบัดนี้ชี่เลี้ยก็ตายแล้ว เราก็ขาดหัวหน้า ซ้ำก็เบื่อหน่ายในการศึกเป็นกำลัง
จึงคิดจะขอสงบศึก มิแข็งข้อต่อราชวงศ์ถึงอีกต่อไป”
จางโส่วกุ้ยจึงปล่อยเนี่ยหลี่เป็นอิสระ เมื่อเผ่าชี่ตันไร้พิษสงอันใดแล้วชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์ถัง
ก็สงบราบคาบมานานปี

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ปลาไม่เห็นทิศทางเมื่อน้ำขุ่น คนแยกจริงเท็จไม่ออกยามชุลมุน จึงเกิดช่องว่างอันมากหลายที่จะเอาประโยนช์ได้
“กวนน้ำจับปลา” ย่อมหมายถึงในสงครามชุลมุนแห่งการแก่งแย่งอำนาจกันนั้น ควรฉวยโอกาสใช้กำลังที่อ่อนแอ
ให้คล้อยตามความประสงค์ของตน ที่สำคัญคือเอาเท็จพรางจริง กวนน้ำให้ขุ่นโดยเจตนา แล้วรีบซ้ำเติมเอาชัยแก่ศึกเสีย ดังนี้”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2006, 02:58:07 PM โดย narongt » บันทึกการเข้า
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #36 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 02:43:57 PM »

หนังสือเดิมชื่อ 36 กลยุทธ์ สับประยุทธ์ทุกปริมณฑน(อาจตก ๆ หล่นไปบ้างในชื่อเรื่องนะพี่) ข่าวดีคือ ผมมีหนังสือเล่มนี้ ข่าวร้ายคือ ถ้าเป็นของท่าน พันเอกโสภณ ศิริงาม อันนี้ผมไม่มีครับ ถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อ ๆ กลยุทธ์เดิม + บทสรุปของกลยุทธ์ว่าคืออะไร และมีตัวอย่างแบบโบราณสมัยก่อนนิดหน่อย ก็ยื่มได้ครับพี่ แต่ถ้าพี่หาเล่มของ พันเอกโสภณ ศิริงาม ผมก็ขอยืมจากพี่ละกัน Grin
๓๖ กลยุทธ์ ตำราพิชัยสงครามแห่งชัยชนะ
สำหรับนักการทหารและนักยุทธศาสตร์ไทยในยุคโลกาภิวัตน์
โดย
พันเอกโสภณ ศิริงาม
๑๒ เมษายน ๒๕๔๗
Grinเยี่ยมครับพี่ บทวิเคราะห์ตัวอย่างสมัยใหม่ แบบนี้คนอ่านรุ่นใหม่ก็พอนึกภาพตามออก......ถ้ามีลิ๊งให้ไปดูดละเยี่ยมเลยครับ...อ๋อใน 36 กลยุทธ์นี่ ผมชอบกลยุทธ์สุดท้ายครับ คือ "หนีคือสุดยอดกลยุทธ์" เพราะหากคนเรารู้จักประมาณตนไม่ดื้อดึง เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ ยอมถอยออก เพื่อตั้งหลัก ก็ย่อมมีโอกาศแก้ตัวได้ใช้กลยุทธ์ที่เหลืออีก 35 กลยุทธ์ได้ในภายภาคหน้า Grin

ผมไม่มีหนังสือหรอกครับ คัดลอกมาจากเวปบอร์ดนี้ครับ
http://www.do.rtaf.mi.th/Webboard/answer.asp?id=336&VIEW=1318

สถานการณ์ปัจจุบันนี้ให้ทายว่า ใครจะใช้กลยุทธ์สุดท้าย อิ อิ
  Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #37 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 02:59:43 PM »

กลยุทธ์ที่ ๒๑ จักจั่นลอกคราบ

คงโครงรูป จบกระบวนท่า มิตรมิแคลง ศัตรูมิเคลื่อน เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า รักษาไว้ซึ่งแนวรบเยี่ยงเดิม ให้ดูน่าเกรงขามเหมือนเก่า ฝ่ายมิตรก็มิสงสัย
ฝ่ายข้าศึกก็มิกล้าผลีผลาม ครั้นแล้ว จึงถอนตัวอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังหลักให้หลบเลี่ยงไป
“ เลี่ยงเพื่อสลาย ลวง” คำนี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ลวง” “ เลี่ยง” ก็คือหลบหลีก “ลวง” ก็คือ
ทำให้งงงวยนี้นับเป็นกลยุทธ์ถอยทัพอย่างไม่กระโตกกระตาก เพื่อเป้าประสงค์ที่กำหนดไว้หรือหลีกเลี่ยง
ความสูญเสียอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ
ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ ประวัติตระกูลหาน” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้
ยุคจ้านกว๋อ ในปีที่ ๑๖ ของซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน ซึ่งตรงกับตันปี ที่ ๘ ของ ฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน
(๓๑๗ปีก่อนคริสตกาล) จางอี๋ เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นฉิน ส่วนแคว้นฉี แคว้นฉู่ แคว้นเอี้ยน แคว้นหาน
แคว้นจ้าว แคว้นเว่ย รวม ๖ แคว้นด้วยกัน ได้ตกลงร่วมกำลังกันเพื่อต่อต้านแคว้นฉิน ภายใต้การโน้มน้าวใจของซูฉิน
นักการทูตสัญจร แต่ครั้นเมื่อเยนเหวินกงแห่งแคว้นเอี้ยนถึงแก่อายุขัย อี้อ๋องบุตรชายขึ้นครองอำนาจแทน
ทางฉีซวนอ๋องแห่งแคว้นฉีก็ละเมิดคำสัญญา ฉวยโอกาสที่แคว้นเอี้ยนยังอยู่ในความทุกข์โศกไม่เรียบร้อย
บุกตีแคว้นเอี้ยน จนได้ ๑๐ หัวเมืองใหญ่ไปครอบครองติดต่อกัน

ในขณะนั้นซูฉินกำลังอยู่ในแคว้นเอี้ยน อี้อ๋องจึงขอให้ซูฉินเดินทางไปแคว้นฉี เพื่อให้แคว้นฉีคืน ๑๐ หัวเมือง
ที่ยึดไปให้กับแคว้นเอี้ยนตามเดิม ซูฉินจึงไปแคว้นฉีตามคำขอร้องของ อี้อ๋อง จางอี๋ได้ข่าวนี้ ก็รู้ว่านโยบาย
รวมกำลังต่อต้านแคว้นฉินของซูฉิน จะต้องล้มเหลวลงในไม่ช้า ก็ออกจากแคว้นฉินไปแคว้นเว่ย เกลี้ยกล่อมให้
แคว้นเว่ยสวามิภักดิ์ด้วยแคว้นฉิน เพื่อทำลายแผนการรวมกำลังของซูฉินเสีย เซียงอ๋องแห่งแคว้นเว่ยสองจิตสองใจ
แต่ก็มิยอมคล้อยตามคำข่มขู่ของจางอี๋ในที่สุด

ฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉินจึงบันดาลโทสะที่แคว้นเว่ยมิยอมค้อมหัวแก่ตนโดยดี จึงยกพลรุกเข้าแคว้นเว่ย
ยึดเอาเมืองชี่ว่อ (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ของเว่ยได้ และฉวยโอกาสความฮึกเหิมต่อชัยชนะ บุกเข้ารังควาน
แคว้นหานอีกแคว้นหนึ่ง แคว้นหานมิใช่คู่ต่อสู้ของแคว้นฉิน ก็พ่ายแพ้เสียหายหนักขุนพลแคว้นหาน ๒ คนชื่อหยีโซ่ว
กับเซินชา ถูกจับเป็นที่กวนเจ๋อ (ในมณฑลเหอ หนานปัจจุบัน)

เมื่อข่าวความพ่ายแพ้แพร่ไปถึงเมืองหลวงซินเจิ้น (ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) ของแคว้นหาน ซวนฮุ่ยอ๋อง
ก็ตกใจเป็นที่ยิ่ง จึงเรียกขุนนางทั้งหลายมาปรึกษาหารือ กงจ้งฉื่นอัครมหาเสนาบดีจึงเสนออุบายขึ้นมาว่า
“บัดนี้พันธมิตรที่เคยทำข้อตกลงร่วมกันมาแต่กาลก่อน จักหวังพึ่งมิได้แล้วแม้เราจะมีข้อสัญญากับแคว้นฉู่
แต่แคว้นฉู่ก็ไม่แน่ว่าจะส่งกองทัพมาช่วยเรารบกับแคว้นฉิน อันแคว้นฉินนั้น นับแต่ซางเอียงได้ปรับปรุง
ราชการแผ่นดินเป็นต้นมา ก็นับวันเข้มแข็งยิ่งขึ้น และหมายใจจะตีเอาแคว้นฉู่มาช้านาน ตามความเห็นของข้าพเจ้า
เรามิสู้เจรจาสงบศึกกับแคว้นฉิน ยอมเสียเมืองให้สักเมืองหนึ่ง และให้อาวุธยุทโธปกรณ์ไปสักจำนวนหนึ่งให้แคว้นฉิน
มุ่งไปตีแคว้นฉู่ทางใต้ ให้ไฟสงครามลามไหม้ไปยังแคว้นฉู่เสีย ด้วยประการฉะนี้ความคับขันภัยพิบัติแห่งแคว้นหานเรา
ก็จักแก้ไขให้ลุล่วงไปได้” ซวนฮุ่ยอ๋องมิรู้ที่จะคิดเป็นประการใดอีก จึงจำใจต้องเห็นด้วยกับกงจ้งฉื่อ และให้กงจ้งฉื่อ
ลงมือดำเนินการโดยพลัน

กงจ้งฉื่อก็นำหนังสือของซวนฮุ่ยอ๋อง เตรียมตัวไปเจรจากับแคว้นฉินแต่ยังมิทันจะได้ออกเดินทาง
แคว้นฉู่ก็ได้ข่าวในเรื่องนี้ ทางไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่จึงคิดว่า หากปล่อยให้ฉินกับหานตกลงกันได้
ปลายหอกก็จะพุ่งมาทางแคว้นฉู่เป็นแม่นมั่น จึงเรียกเฉินเจิ่นอัครมหาเสนาบดีของตนมาพบ
เพื่อปรึกษาอุบายตอบโต้กับแผนของแคว้นหาน

อันเฉินเจิ่นนั้น เดิมทีเป็นนักการทูตสัญจรซึ่งช่วยราชการร่วมกับจางอี๋อยู่กับฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน
แต่จางอี๋ริษยาในสติปัญญาของเฉินเจิ่นจึงมักใส่ความเฉินเจิ่นต่อหน้าฮุ่ยเหวินอ๋องอยู่เสมอ ๆ ฮุ่ยเหวินอ๋อง
จึงโปรดปรานในจางอี๋ แต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดี เฉินเจิ่นเห็นมิเป็นการ จึงออกจากแคว้นฉิน
ไปอยู่กับไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่ เมื่อได้ถูกเรียกตัว ก็นึกรู้ว่าคงจะเป็นเรื่องการสงบศึกระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหาน
จึงรีบเข้าไปพบตามความประสงค์

ไหวอ๋องจึงถามเฉินเจิ่นว่า เรื่องที่ฉินกับหานจะเจรจากันนั้น เฉินเจิ่นเห็นว่าควรจะทำประการใดดี เฉินเจิ่นจึงกล่าวว่า
“ที่แคว้นฉินจักตีแคว้นฉู่ของเรานี้ หาได้เพิ่งจะมาคิดในวันสองวันนี้ไม่ แต่มีมาช้านานแล้ว บัดนี้ ฉินก็จะได้ดินแดนของ
แคว้นหานไปครองไว้เมืองหนึ่ง ซ้ำยังจะได้อาวุธยุทโธปกรณ์อีกมากหลาย ทั้งข้าพเจ้าก็ฟังมาว่า แคว้นหานยังแสดงว่า
ยินดีจะส่งกองทัพมาช่วยแคว้นฉินตีแคว้นฉู่เราอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่แคว้นฉินตั้งความประสงค์มาหลายเพลาแล้ว
เมื่อการสำเร็จดังคิด แคว้นฉินก็คงจะกรีฑาทัพมาตีแคว้นฉู่ในไม่ช้า” ไหวอ๋องจึงว่า “ที่ท่านพูดตรงกันกับที่เราคิด
จึงเชิญท่านมาปรึกษาท่านจะมีอุบายแก้ความคับขันของแคว้นเราดังที่ท่านกล่าวมาหรือไม่ประการใด?”

เฉินเจิ่นจึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านอ๋องควรจะออกประกาศให้ทราบทั่วไปในแผ่นดิน แจ้งว่า
แคว้นฉู่กับแคว้นหานเคยทำสัญญาร่วมต่อต้านแคว้นฉินด้วยกัน อันที่จริงก็เป็นพันธมิตรกันอยู่ บัดนี้
แคว้นหานถูกแค้นฉินโจมตี แคว้นฉู่จึงมีหน้าที่ต้องไปช่วย ในขณะเดียวกัน ก็ควรจะจัดกำลังแม่ทัพนายกอง
ยกไพร่พลไปตามเส้นทางสู่แคว้นหาน ให้ผู้คนทั้งหลายทราบทั่วกันว่า แคว้นฉู่กรีฑาทัพไปช่วยแคว้นหาน
ตามข้อสัญญา พร้อมกันนั้นก็ให้แต่ทูตไปด้วยคนหนึ่ง นำของขวัญอย่างดี รวมทั้งเสบียงอาหารและ โค แกะ
ไปปลอบขวัญทหารของแคว้นหาน ให้แคว้นหานเชื่อว่า แคว้นฉู่ยกกำลังไปช่วยแคว้นหานจริง ให้แคว้นหาน
ไว้วางใจในแคว้นฉู่เรา ไม่ยกทัพไปช่วยแคว้นฉิน มาตีแคว้นฉู่ ถึงแม้จะยกทัพไปแล้วก็จะลังเล รบแต่พอเป็นพิธี
ดังนี้ การคุกคามต่อแคว้นฉู่ก็จะลดน้อยถอยลงเป็นอันมาก ในเมื่อแคว้นหานไม่สมัครสมานด้วยแคว้นฉินแล้ว
แคว้นฉินก็จักโกรธ อาฆาตแค้นในแคว้นหาน ซึ่งแต่เดิมมา แคว้นหานก็ดูหมิ่นแคว้นฉินเป็นทุนอยู่แล้ว
บัดนี้กลับมาคืนดีกับเราก็ย่อมจะยิ่งมองแคว้นฉินไม่ขึ้น กระนี้แล้ว ใช่แต่ฉินกับหานจะรวมทัพกันไม่สำเร็จ
ยังอาจจะถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันด้วยซ้ำไป !”

ไหวอ๋องได้ฟังความเห็นของเฉินเจิ่นแล้ว ก็รู้สึกพอใจ พยักหน้ารับเป็นหลายครั้งว่า “ดี! ดีจริงๆ !
จงทำตามที่ท่านว่านี้เถิด!” ดังนั้น ไหวอ๋องจึงออกประกาศให้ทวยราษฎร์รับรู้การตัดสินใจของตน
พร้อมทั้งแต่ทัพแพร่ข่าวว่าจะยกทัพไปช่วยแคว้นหาน จากนั้น บนเส้นทางไปสู่แคว้นหานก็เต็มไปด้วย
ไพร่พลของแคว้นฉู่ เฉพาะรถที่บรรทุกของขวัญไป ก็มีมากถึงหลายสิบคัน ข่าวจึงระบือไปจนถึงแคว้นฉิน
ทูตของแคว้นฉู่เมื่อไปถึงแคว้นหาน ก็เข้าเฝ้าซวนฮุ่ยแห่งแคว้นหานในทันที กล่าวว่า

“แคว้นฉู่เราแม้จะไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็ได้ระดมพลังทางวัตถุเงินทองและไพร่พลทั่วประเทศ
มาช่วยแคว้นหานอย่างเต็มสติกำลัง ขอท่านอ๋องจงอย่าได้ห่วงกังวลในเรื่องตีโต้แคว้นฉิน
แคว้นฉู่เรายอมเสี่ยงกับความหายนะ ช่วยแคว้นของท่านอ๋องเป็นตามร่วมกันมิผิดวาจา”

ซวนฮุ่ยอ๋องก็ให้ปิติยินดีเป็นที่ยิ่ง ครั้นยิ่งเมื่อได้เห็นของขวัญที่แคว้นฉู่ส่งมามอบให้มีจำนวนถึงหลายสิบคันรถ
ก็เชื่อว่า แคว้นฉู่ยินดีทำตามข้อสัญญามาช่วยแคว้นหานย่างจริงใจ จึงกล่าวแต่กงจ้งฉื่อว่า แคว้นฉู่ตั้งใจจะช่วย
แคว้นหานต่อต้านแคว้นฉินจริง ๆ ให้ยับยั้งการเดินทางไปขอสงบศึกกับแคว้นฉินไว้ก่อน
กงจ้งฉื่อเห็นซวนฮุ่ยอ๋องเชื่อคำพูดของทูตแคว้นฉู่อย่างง่ายดาย ล้มเลิกการเจรจากับแคว้นฉินดังนั้น
ก็รู้ว่า ความหายะคืบคลานเข้ามาหาแคว้นหานแล้ว จึงทัดทานซวนฮุ่ยอ๋องด้วยความวิตกว่า

“ปัจจุบัน ทัพที่เรียงรายอยู่ตามชายแดนของเรา พร้อมที่จะบุกแคว้นหานในวันในพรุ่ง คือทัพใหญ่ของแคว้นฉิน
ที่แคว้นฉู่นำทัพมาทำทีว่าจักช่วยเรานั้น ที่แท้เป็นเรื่องเสแสร้งแล้งทำหาใช่จักช่วยเราต้านแคว้นฉินอย่างใจจริงไม่
บัดนี้ท่านอ๋องเชื่อการช่วยเหลือจอมปลอมของแคว้นฉู่เอาง่าย ๆ ตัดการเจรจากับแคว้นฉินซึ่งส่งทัพประชิดอยู่
ณ ชายแดนของเราอย่างไม่ไยดี ดังนี้ ผู้รู้ทั้งหลายในแผ่นดิน ก็จักหัวเราะเยาะท่านอ๋องได้ว่า
ความคิดของท่านอ๋องตื้นเขินนัก มิรู้ซึ่งในเหตุผลกลอุบายของแคว้นฉู่กับกับแคว้นหานหาได้เป็นบ้านพี่เมืองน้องกันไม่
ทั้งก็มิได้ปรึกษาหารือเรื่องการต้านทานทัพฉินมาก่อน ที่แคว้นฉู่ส่งทูตมาครั้งนี้ ก็ด้วยเหตุการณ์บัง เห็นถึงอันตราย
ที่ตนจักถูกบุกรุกในเร็ววัน การประกาศช่วยหานรบฉินจักต้องเป็นเล่ห์กระเท่ห์ของเฉินเจิ่นโดยแท้ ท่านอ๋องมิควร
จะหลงกลอีกประการหนึ่งเล่า เราก็ส่งคนไปแจ้งของเจรจากับแคว้นฉินแล้ว มาบัดนี้ก็จะกลับคำเสีย
แคว้นฉินจักต้องเข้าใจว่า เราหลอกลวงดูหมิ่นเขาเป็นแม่นมั่นเมื่อหมางใจกับแคว้นฉินอันยิ่งยงฉะนี้แล้ว
ก็ยากที่จะคาดถึงผลเสียหายอันร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ครั้งถึงเวลานั้น จักเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้ว ขอให้ท่านอ๋อง
ทรงโปรดไต่ตรองให้จงดี!” ถ้อยคำของกงจ้งฉื่อเต็มไปด้วยเหตุผลอันพึงรับฟัง แต่ซวนฮุ่นอ๋องถูกมธุรสวาจา
และเครื่องบรรณาการของทูตแคว้นฉู่ กล่อมเอาจนหูตาถูกปิดไปสิ้นแล้ว จึงยืนยันมิยอมเจรจาด้วยกับแคว้นฉินเป็นอันขาด
กงจ้งฉื่อให้รู้สึกเสียเป็นที่ยิ่ง ฝ่ายฮุ่ยเหวินอ๋องแห่งแคว้นฉิน เมื่อจับหยีโซ่วกับเซินชาขุนพลของแคว้นหาน
ได้ที่กวนเจ๋อแล้ว เดิมก็คิดจะบุกเข้าตีเมืองหลวงซินเจิ้นของหานให้เป็นการเสร็จสิ้นไป แต่เพราะแคว้นหานขอเจรจาสงบศึก
แสดงว่ายินดีจะส่งทัพมาช่วยตีแคว้นฉู่ จึงได้รั้งทัพเอาไว้ก่อน แต่ฮุ่ยเหวินอ๋องรออยู่หลายเดือนก็ไม่เห็นแคว้นหาน
ส่งทูตมาตามคำขอ มิหนำซ้ำยังได้ข่าวว่า แคว้นฉู่ส่งทูตมาโน้มน้าวซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน มิให้เจรจาด้วยกับฉิน
ฮุ่ยเหวินอ๋องจึงพิโรธ บัญชาให้ทัพฉินพุ่งเข้าขยี้แคว้นหานโดยไม่รั้งรออีกต่อไป ซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหานทราบดังนั้น
ก็รีบส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่ พร้อมกับเตรียมกำลังไพร่พลไว้รับมือกับทัพฉิน ซวนฮุ่ยอ๋องเชื่ออย่างสนิทใจว่า

เมื่อมีการช่วยเหลือของแคว้นฉู่แล้ว ก็จักรบชนะแคว้นฉินได้โดยไม่ยาก แต่ซวนฮุ่ยอ๋องต้องผิดหวังอย่างแรง
แคว้นฉู่กลับทำเมินเฉยต่ำคำขอไม่ส่งกำลังมาช่วยตามคำตกลง ปล่อยให้แคว้นหานรับข้าศึกกับแคว้นฉินแต่โดยลำพัง
ถึงตอนนี้ ซวนฮุ่ยอ๋องจึงตะหนักในสายตาเล็งการณ์ไกลของกงจ้งฉื่อนึกเสียใจที่มิได้เชื่อในคำทัดทานของกงจ้งฉื่อ
จึงต้องได้รับเคราะห์กรรมที่เลี่ยงไม่พ้น ตกอยู่ในภาวะ “ขี่เสือไม่กล้าลง กอดมังกรก็หล่นจากฟ้า” เยี่ยงนี้
แม้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตามที่สุดจะหลีกเลี่ยง ซวนฮุ่ยอ๋องก็ฮึดสู้ ระดมกำลังทุกอย่างบรรดามี
ทั้งประเทศสู้รบกับแคว้นฉินอย่างไม่คิดชีวิต

สงครามใหญ่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหานในคราวนี้ กินเวลานานถึง ๓ ปี ก็ยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน
แต่แคว้นหานต้องประสบกับความยากลำบากนานัปการ จนกระทั้งถึงปีที่ ๑๙ ของซวน ฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน
(๓๑๔ ปีก่อนคริสตกาล) ทัพฉินตีเมืองอั้นเหมิน (ในมณฑลเหอหนานปัจจุบัน) ของแคว้นหานแตก
แคว้นหาจำต้องยอมขอสงบศึกกับแคว้นฉิน ยอมสยบแก่ฉิน ซวนฮุ่ยอ๋องต้องส่งบุตรชาย
ไปเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นฉิน สงครามสองแคว้นจึงได้ยุติลง

อีก ๒ ปีต่อมา คือปีที่ ๒๑ ของซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหาน (๓๑๒ ปีก่อนคริสตกาล) แคว้นฉินก็เตรียมบุกแคว้นฉี
แต่แคว้นฉีกับแคว้นฉู่มีสัญญาพันธมิตรแก่กัน แคว้นฉินจึงส่งจางอี๋ไปเจรจากับไหวอ๋องแห่งแคว้นฉู่ว่า
“ขอแต่เพียงแคว้นฉู่ตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉี แคว้นฉินก็จะคืนพื้นที่ ๖๐๐ ลี้
ที่เมืองซางอีของแคว้นฉู่ที่ฝ่ายฉินยึดครองไว้กลังไปให้” ไหวอ๋องดีใจคิดว่าแคว้นฉินมีเจตนาดี
ไม่ฟังคำเตือนของเฉินเจิ่น จึงตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉีเสีย ผลสุดท้ายพื้นที่เมืองซางอีที่แคว้นฉินว่าจะคืนให้
ไหวอ๋องก็มิได้รับคืน มิหนำซ้ำตัวเองกลับต้องตกอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว ไหวอ๋องโกรธที่ถูกแคว้นฉินหลอกลวง
จึงตัดความสัมพันธ์กับแคว้นฉินและส่งกองทัพบุกฉินเพื่อแก้แค้นที่เสียรู้ ฉินส่งทัพออกมารับศึก ทั้งสองฝ่ายรบกัน
ที่เมืองตันหยาง (อยู่ในระหว่างมณฑลส่านซีกับเหอหนานปัจจุบัน) แคว้นฉินขอให้แคว้นหานยกทัพมาช่วย
ตามข้อตกลงสงบศึกที่เมืองอั้นเหมินซวนฮุ่ยอ๋องแห่งแคว้นหานก็ส่งกองทัพมาโจมตีแคว้นฉู่จากทางใต้
เพื่อแก้แค้นที่ถูกแคว้นฉู่หลอกใช้ให้ปะทะกับแคว้นฉินอย่างโดดเดี่ยวเมื่อครั้งกระโน้น
การรบที่เมืองตันหยาง แคว้นฉู่พ่ายแพ้ยับเยิน เสียทหารไป ๘ หมื่น ฝ่ายฉินจับแม่ทัพชี่หวาง ขุนพลฝงโหวโฉ่ว
และแม่ทัพนายกองอื่นๆ อีก ๗๐ กว่าคน ยึดพื้นที่ของแคว้นฉู่ที่เมืองฮั่นจงได้อีก ๖๐๐ ลี้
ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ซ้อง” ก็มีเรื่องทำนองเดียวกันในอีกแง่มุมหนึ่ง ดังต่อไปนี้

ในสมัยราชวงศ์ซ้อง พวกฮวนเผ่าจิน (แมนจู) เข้มแข็งมาก บุกรุกเข้ามาในแผ่นดินของชาติฮั่น
อย่างรวดเร็วเหมือนไร้สิ่งกีดขวาง ขุนพลปี้จ้ายแห่งราชวงศ์ซ้องนำทัพออกไปรบ ก็พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ขุนพลปี้จ้ายจึงคิดจะถอยทัพที่ประจันหน้ากันอยู่ ไปตั้งหลักใหม่เพื่อให้พ้นจากการคุกคามของข้าศึก
จึงใช้กลยุทธ์ “จักจั่นลอกคราบ”
กล่าวคือ ในระหว่างที่ทัพซ้องถอยตัว ก็ปล่อยให้ธงทิวในค่ายปลิวสะบัดอยู่ย่างสง่าผ่าเผยมิผิดกับทุกวันที่ผ่านมา
พร้อมกันนั้นก็เอาแพะมาแขวนเอาหัวลง ให้เท้าหน้าเหยียบอยู่กับกลอง ในยามที่แพะดิ้นเพื่อจะให้หลุดจากการผูกมัด
เท้าหน้าก็จะซอยเท้ากระทบกับหน้ากลองเหมือนหนึ่งทหารย่ำกลองในยามปรกติ

ทหารฝ่ายจีนได้ยินเสียงกลองยังดังอยู่ตลอดเวลา ก็เข้าใจว่าทหารซ้องยังอยู่ในค่าย ไม่สงสัย แต่นานวัน
ก็เกิดรู้สึกผิดสังเกต ส่งทหารอกไปสอดแนมยังค่ายของทหารซ้อง ก็พบว่า ที่แท้ค่ายนั้นว่างเปล่าไปนานแล้ว
หาได้มีทหารเดินขวักไขว่อยู่เยี่ยงปกติไม่ ครั้นบุกเข้าไปดูในค่าย ก็เห็นแพะถูกแขวนไว้ตีกลองในที่ต่าง ๆ รอบค่าย
ส่วนทหารซ้องจะถอนตัวไปเมื่อใดและไปไหนทหารจีนก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“จักจั่นลอกคราบ เป็นวิธีสะบัดให้หลุดพ้นจากการเผชิญหน้ากับข้าศึก ด้วยการเคลื่อนย้ายหรือถอยทัพ
ที่ว่า “ลอก” มิใช่อย่างตื่นตระหนก อย่างขวัญหนีดีฝ่อ แต่ยังคงไว้ซึ่งรูปโฉมภายนอก ทว่าได้ถอดเนื้อหา
ออกไปหมดสิ้นแล้ว หนีแสดงว่าไม่หนี ปกปิดข้าศึก เพ่อให้หลุดพ้นจาห้วงอันตราย วิธีการ “ลอกคราบ”
มีหลายแบบหลายอย่าง เนื้อแท้ก็คือการใช้เล่ห์กลหลอกลวงข้าศึก เป็นพฤติการณ์ที่ใช้การพรางตา
ปลอมปนความจริงเอาตัวรอดนั่นเอง”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #38 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 03:21:00 PM »

กลยุทธ์ที่ ๒๒ ปิดประตูจับโจร

ศัตรูเล็กพึงล้อม ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อข้าศึกอ่อนแอจำนวนน้อย พึงโอบ้อมแล้วทำลายเสียให้สิ้น
เพื่อมิให้เป็นภัยแก่เราภายหลัง “ปล่อย มิเป็นคุณซึ่งติดพัน” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ปล่อย”
“ปล่อย” ในที่นี้หมายถึงการแตกกระจายออกเป็นกองเล็กกองน้อยของข้าศึก กำลังก็อ่อนเปลี้ย
จนไร้สมรรถนะที่จะสู้รบแล้ว “ติดพัน” หมายถึงการไล่ติดตามไม่ลดละทั้งใกล้และไกล “มิเป็นคุณซึ่งติดพัน”
ก็คือ ต่อข้าศึกกองเล็กกองน้อยปล่อยให้หนีไปได้ แม้จะเล็ก แต่ก็สามารถย้อนกลับมาสร้างความยุ่งยากแก่เรา
จนเราต้องไล่ติดตามเพื่อทำลายเสีย เช่นนี้ มิเป็นประโยชน์แก่เรา ใน “จดหมายเหตุราชวงศ์ถึงเก่าและใหม่
ประวัติหวงฉาว” มีเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ดังต่อไปนี้

ในระยะหลังของราชวงศ์ถัง การปกครองบ้านเมืองเต็มไปด้วยความเหลวแหลกเละเทะ
การขึ้นครองและสืบราชสมบัติล้วนแต่ได้ถูกกำหนดโดยขันทีผู้ทรงอิทธิพลทั้งสิ้น องค์ฮ่องเต้เองหาได้มี
พระราชอำนาจอันใดไม่ ขุนนางทั้งหลายแม้จะมีปากก็พูดไม่ออก ที่ลาออกเพราะทนดูความหายนะต่อไปไม่ไหว
ขันทีก็มีไม่น้อย ต่างก็ก่อกรรมทำเข็ญแก่ราษฎรนานัปการ ความโอ่อ่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในราชสำนักเป็นประดุจคำ
ที่กล่าวเสียดสีไว้ว่า “ภายในประตูแดงเหล้าเนื้อแรงด้วยกลิ่นเหม็น ตามถนนคนลำเค็ญ อดอยากเป็นศพเกลื่อนไป”
ประชาราษฎร์ทั้งหลายต่างร้องระงมไปทุกหย่อมหญ้า พากันไม่พอใจ สาบแช่งราชวงศ์ถังกันทั่วไป

ในขณะที่พระเจ้าถังอี้จงฮ่องเต้จัดพิธีอภิเษกสมรสราชธิดาถงชางกงจู่ก็ใช้จ่ายเงินไปถึง ๑ ล้าน ๒ แสนหมิน
(๑ หมินเท่ากับ ๑,๐๐ อีแปะ) ม่านหน้าต่างห้องประทับประดับด้วยไขมุก บ่อน้ำก็ก่อด้วยหยกก้อน
ส่วนแก้วแหวนเงินทองก็พระราชทานเป็นสินสมรสนับจำนวนไม่ถ้วน เมื่อท้องพระคลังต้องร่อยหรอไป
เพราะการใช้จ่ายอย่างไม่ยับยั้ง ถึงอี่จงฮ่องเต้ก็จำต้องรีดภาษี อากรจากราษฎรมาชดเชย
ความเดือดร้อนของประชาราษฎรก็หนักหน่วงยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ

กาลมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๗๔ – ๘๗๙) ทางเหอหนานเกิดทุพภิกขภัย
ราษฎรอดอยากยากแค้นแสนสาหัส จึงพากันไปร้องเรียนยังจวนเจ้าเมือง เจ้าเมืองหาได้รับฟัง
ความทุกข์ยากของราษฎรไม่ กลับชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ในจวนของตน พลางตวาดราษฎรที่มาร้องทุกข์ว่า
“พวกเจ้าว่าฝนแล้งไรนาแห้งตามหมด พวกเจ้าจงถ่างตาดูซิว่า ต้นไม้ของข้ายังใหญ่โต ใบไม้เขียวชอุ่ม
งอกงามดีอยู่อย่างเดิม ถ้าฝนแล้วอากาศแห้งอย่างพวกเจ้าว่า ต้นไม้ข้าจะอยู่ได้อย่างไรกัน?” ขุนนางเลวแบบนี้
มีอยู่มากมายในปลายสมัยราชวงศ์ถัง ที่ใกล้จะสิ้นราชวงศ์แล้ว

ในปีที่ ๒ ของถังซีจงฮ่องเต้ (ค.ศ.๘๗๕) ทางซานตงเกิดแล้งจัด ประชาราษฎรทนต่อการดูดายของทางราชสำนัก
ต่อไปอีกไม่ไหว หวางเซียนจือ คนเมืองผูโจว (ในมณฑลซานตงปัจจุบัน) ก็รวบรวมราษฎรแข็งข้อลุกขึ้นสู้
กับทางราชวงศ์ถัง ในปีรุ่งขึ้น หวางเซียนจือก็นำกำลังบุกเข้าไปในแคว้นฉาวโจว (ในมณฑลซานตง
และเหอหนานในปัจจุบัน) ต่อมาหวงฉาวก็ลุกขึ้นสู้ นำราษฎรที่ทุกข์ยากแข็งข้อต่อราชวงศ์ถังอีกแรงหนึ่ง
หวงฉาวเป็นคนเมืองเหมี่ยนจี้ (ในมณฑลซานตง) ในวันเด็กเคยร่วมมือกับหวางเซียนจือ ค้าเกลือเถื่อน
ชอบการเล่าเรียนและฝึกเพลงอาวุธ เคยเข้าสอบไล่เพื่อเป็นบัณฑิตหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ครอบครัวพอมีอันจะกิน
มักจะจับจ่ายทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือ คนตกทุกข์ได้ยากเสมอมา ครั้นเห็นชาวนาทั้งหลายอดอยากยากแค้นสุดคณนา
ทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ก็หมดสิ้นแล้ว เมื่อได้ข่าวว่าหวางเซียนจือเพื่อนเกลอนำราษฎรแข็งข้อต่อฮ่องเต้
จึงรวบรวมบรรดาชาวนาที่ไม่พอใจใคร่จะกบฏ ก่อการแข็งข้อขึ้นมาบ้าง ต่อมา หวางเซียนจือถึงแก่ชีวิตในการรบ
กับเจิงหยวนยี่แม่ทัพปราบกบฏของราชวงศ์ถัง ที่เมืองหวงเหมย (ในมณฑลฆูเป่ยในปัจจุบัน) กำลังของหวางเซียนจือ
จึงตกมาเป็นของหวงฉาวทั้งหมด หวงฉาวจึงตั้งตนขึ้นเป็น “ขุนพลทะลุฟ้า” อันมีความหมายว่า จักขจัดฮ่องเต้
ผู้อุปโลกน์ตัวเองเป็นพระราชบุตรแห่งสวรรค์ให้สิ้นไป

ในปีแรก ๆ หวงฉาวนำไพร่พลร่อนเร่รบไปในแถบซานตง เหอหนานอันฮุย และหูเป่ย ฆ่าขุนนางที่ข่มเหงราษฎร
ปล้นคนรวยช่วยคนจน ขจัดคนพาลอภิบาลคนดีเรื่องมา ต่อมาหวงฉาวก็นำกลับข้ามแม่น้ำแยงซีตีลงมาทางใต้
ยังเมืองหังโจว เย่โจว ฉีโจว (ในมณฑลเจ๋อเจียงปัจจุบัน) เจี้ยนโจว ฝูโจว (ในมณฑลฮกเกี้ยนปัจจุบัน)
จนถึงกว่างโจว (ในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน) เดิมทีหวงฉาวเห็นกว่างโจวมีชัยภูมิดี คิดจะตั้งหลักอยู่กว่างโจว
แต่เนื่องจากไพร่พลส่วนใหญ่เป็นคนทางเหนือ ไม่ชินต่อดินฟ้าอากาศทางใต้ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยกันเป็นอันมาก
หาวฉาวจึงเลิกล้มความตั้งใจ จำต้องนำกำลังบุกกลับขึ้นไปทางเหนือ เข้าหูหนานก่อน ต่อมาก็เข้าไปในหูเป่ย
 
ในขณะนั้น หวางต้ออัครหาเสนาบดีของราชวงศ์ถังถูกส่งตัวให้มาหาทางสกัดทัพของหวงฉาวที่เมืองเจียงหลิง
(ในมณฑลหูเป่ยในปัจจุบัน) มิให้รุกขึ้นไปทางเหนือ แต่หวางต้อกลับตั้งมั่นอยู่ในเมืองเจียงหลิงเฉยอยู่
แต่เมื่อข่าวแพร่มาว่าวหวงฉาวนำทัพ ๕๐ หมื่นพุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วรี่ พวกขุนนางน้อยใหญ่ และแม่ทัพนายกองทั้งหลาย
ในเมืองเจียงหลิงต่างก็พากับหลบหนีเอาตัวรอด มิมีใจรบด้วยหวงฉาวเป็นจ้าละหวั่น หวางต้อเห็นดังนั้นก็ขวัญหนีดีฝ่อ
ก็ทิ้งเมืองเจียงหลิงเอาตัวรอดไปบ้าง หวงฉาวทราบว่า หวางต้อถูกส่งตัวมาสกัดทัพของตนที่เมืองเจียงหลิง
ก็นำทัพตรงเข้ามายังเมืองเจียงหลิงเพื่อรบกับหวางต้อให้รู้ดีรู้ชั่ว แต่ครั้นมาถึงเมืองเจียงหลิง จึงรู้ว่าหวางต้อหนีไป
จนไม่เห็นเงาแล้ว ก็ยกทัพวกลงมาทางเมืองเจียงโจว ซิ่นโจว (ในมณฑลเจียงซีปัจจุบัน) ฉือโจว
(ในมณฑลอันฮุยในปัจจุบัน) ข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงที่เมืองไฉ่สือ เข้าตีเมืองซู่โจว (ในมณฑลเจียงซูปัจจุบัน) แล้ว
พุ่งเข้าตีเมืองเลาะหยาง จากเลาะหยางก็รุดเข้าตีเมืองหลวงฉางอัน ที่หวงฉาวสามารถเดินทัพและรบชนะได้รวดเร็วเช่นนี้
ก็เพราะกองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวมีวินัยเข้มงวด ได้รับการสนับสนุนจากมวลชนโดยเฉพาะชาวนาอย่างกว้างขวาง
ไปถึงที่ใด ที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง แทบจะมิได้รับการต่อต้านขัดขวางแต่ประการใดเลย

เมื่อกองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวได้เมืองเลาะหยางอันเป็นเมืองหลวงทางตะวันออกของราชวงศ์ถังแล้ว
พระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ก็เตรียมการหลบหนีออกจากนครฉางอัน เมื่อกองทัพของหวงฉาวผ่านด่านถงกวนเข้ามา
ถังซีจงฮ่องเต้พร้อมด้วยขันดีคนโปรดเถียนลิ่งเซี่ยว และขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคนก็หลบออกจากนครฉางอัน
ไปยังเมืองซิงหยวน (ในมณฑลส่านซีปัจจุบัน) อย่างเงียบๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น พวกขุนนางทั้งหลายก็ไปเข้าเฝ้ายังท้องพระโรงตามปกติแต่เฝ้าคอยก็คอยหาย
ไม่เห็นพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้ออกขุนนางเยี่ยงทุกวัน ก็เกิดรวนเรกันเป็นการใหญ่ เมื่อไต่ถามเข้าไปยังพระราชวังชั้นใน
จึงรู้ว่าฮ่องเต้ชิงหนีไปเอาตัวรอดไปก่อนแล้ว ขุนนางทั้งหลายก็ยิ่งตื่นตกใจ ที่หนีก็หนี ที่ซ่อนก็ซ่อน
มิมีผู้ใดคิดการที่จะกอบกู้เมืองหลวงเลย ในเมืองหลวงฉางอันจึงเต็มไปด้วยความอลหม่าน ไม่เป็นอันรบป้องกันเมือง
ทำให้หวงฉางสามารถยาตราทัพเข้านครฉางอันโดยมิต้องเสียทหารเลยแม้สักคนเดียว ประชาราษฎรในเมืองหลวง
พากันต้อนรับทหารของหวงฉาวด้วยความปิติยินดี เวลานั้น ตรงกับปีที่ ๑ แห่งศักราชกว่างหมิงของพระเจ้าถังซีจงฮ่องเต้
(ค.ศ.๘๘๐)

เมื่อทัพของหวงฉาวเข้าเมืองหลวงฉางอันได้แล้ว ก็นำราชสมบัติในท้องพระคลังและทรัพย์สินของพวกขุนนางทั้งหลาย
ออกแจกจ่ายแก่อาณาประชาราษฎร์ผู้ทุกข์ยากโดยทั่วหน้า แล้วประกาศแก่ราษฎรทังหลาย ว่า
“กองทัพลุกขึ้นสู่ของหวงฉาว ที่แท้นั้นเพื่อประราษฎร์ หาได้กดขี้บีฑาไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของราษฎร
เฉกเช่นราชวงศ์ถังแห่งตระกูลหลี่ไม่ บัดนี้ความสงบสุข มิต้องเกรงกลัวอีกต่อไป”
ในชั้นแรกที่เข้าเมืองหลวง หวงฉาวมิได้เข้าไปพำนักอยู่ในพระราชวังเพียงแต่สั่งให้คอยพิทักษ์วังต้องห้ามเหล่านั้นให้ดี
ตนเองก็ไปพักเสียที่บ้านของขันทีเยนลิงเซี่ยว ให้เข้มงวดในวินัยของทหาร เพื่อมิให้ฮึกเหิมจนเสียการจึงได้รับ
การสนับสนุนจากราษฎรในเมืองหลวงเป็นอันดี แต่ชั่วระยะเวลาไม่นาน หวงฉาวก็หลงในคารมของพวกประจบสอพลอ
นำครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ตั้งตนเป็นฮ่องเต้มีชื่อว่าพระเจ้าไต้ฉีฮ่องเต้ เปลี่ยนศักราชเป็นจิงถ่ง
ตั้งให้ช่างย่างเป็นอัครมหาเสนาบดี การหลงระเริงต่อความสุสำราญในพระราชวัง ทำให้หวงฉาวค่อยๆ ลืมไปว่า
ถังซีจงฮ่องเต้ยังอยู่ อิทธิพลของขุนนางเก่าในราชวงศ์ถังยังอยู่ จึงมิได้รุกไล่ติดตามถังซีจงให้สิ้นแผ่นดิน
ถังซีจงจึงสามารถหลบหนีเอาชีวิตรอดไปได้โดยสะดวก

ถังซีจงหนีไปอยู่เมืองเฉิงตู (ในมณฑลเสฉวนปัจจุบัน) เมื่อเห็นว่าพ้นจากการคุกคามของหวงฉาว
ก็ทรงเรียกขุนนางทั้งหลายเข้าปรึกษาเพื่อตอบโต้หวงฉาว ครั้นแล้ว ก็จัดฝึกปรือกำลังทหาร
เสริมอาวุธยุทโธปกรณ์ โยกย้ายกำลัง เตรียมการตีโต้กลังอย่างเร่งรีบ ในขณะเดียวกันก็ลักลอบติดสินบน
ขุนพลของหวงฉาวตลอดจนขุนพลราชวงศ์ถังเก่าที่สวามิภักดิ์ด้วยหวงฉาว ยุยงให้ทรยศหักหลังหวงฉาว
พร้อมกันนั้น ก็ส่งทูตไปขอความช่วยเหลือจากซาทอหลี่เค่อเผ่าฮวนชาติทู่เจี๋ย (เตอร์ก) ทางตะวันตก
เพื่อให้ส่งกำลังมาช่วยขจัดกองทัพชาวนาของหวงฉาว การดำเนินงานของถังซีจงฮ่องเต้
หวงฉาวตั้งอยู่ในความประมาทมิได้ใส่ใจในพฤติการณ์ของฝ่ายราชวงศ์ถังอย่างใกล้ชิด
ในเดือนที่ ๕ ปีที่ ๒ แห่งศักราชจินถ่งของหวงฉาว (ค.ศ.๘๘๑) การจัดวางกำลังของราชวงศ์ถังก็เสร็จสิ้น
เรียงรายโอบล้อมนครฉางอันไว้โดยรอบในระยะห่าง หวงฉาวก็ยังมิได้เล็งเห็นถึงความคับขันของเหตุการณ์
เพียงแต่ส่งซ่างย่างให้นำทัพไปตีเมืองฝังเสียง (ในมณฑลส่านซีปัจจุบัน) เจิ้นเถียนขุนพลราชวงศ์ถัง
ซึ่งจัดวางกำลังซุ่มไว้คอยท่าในชัยภูมิที่ได้เปรียบอยู่ก่อนแล้ว ก็นำกำลังออกล่อรบด้วย โดยตั้งทัพไว้บนเนินสูง
ซ่างย่างเห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าเจิ้นเถียนอ่อนหัดมิรู้เรื่องพิชัยสงคราม จึงเร่งทหารเข้าตี ยังไม่ทันที่ทัพของซ่างย่าง
จะขึ้นเนิน ก็ถูกกองทัพที่เจิ้นเถียนซุ่มเอาไว้ก่อน บุกเข้าตีจนถูกตัดออกเป็นหลายส่วน คุมกันไม่ติด สั่งการไม่ได้
ซ่างย่างจึงรีบถอยทัพกลับ แต่ก็เสียกำลังไพร่พลไปกว่าครึ่งแก่คนที่ตนดูถูกว่า มิรู้ซึ้งถึงตำราพิชัยสงครามคนนั้น

ชัยชนะที่เมืองฝังเสียง ทำให้ทางราชวงศ์ถังฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง จึงเร่งเดินทัพติดตามซ่างย่างมาอย่างไม่ลดละ
ด้วยกำลังทัพที่เตรียมไว้ ซ่างยางเมื่อถึงเมืองหลวงฉางอัน ก็เข้าไปแจ้งแก่หวงฉาวให้ทราบถึงความพ่ายแพ้ของตน
โดยตลอดแล้วว่า “บัดนี้ ทหารราชวงศ์ถังมากมาย กำลังไล่ตามหลังมาติด ๆ คงจะประชิดฉางอันในไม่ช้า
เหตุการณ์คับขันนัก ท่านจะทำประการใดก็จงเร่งคิดโดยเร็วเถิด”
หวงฉาวพร้อมด้วยขุนพลทั้งหลายจึงปรึกษาการศึกครั้งนี้โดยละเอียดเห็นว่า ควรจะให้กลยุทธ์ถอยเพื่อรุก
“ปิดประตูจับโจร” ครั้งแล้ว ในวันที่ ๖ เดือน ๕ หวงฉาวก็ถอยออกจากฉางอันทางตะวันออกอย่างปิดเงียบ
พักซุ่มซ่อนตัวอยู่บนเขื่อนแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากฉางอันนัก

กองทัพของราชวงศ์ถังซึ่งนำทัพไปโดยขุนพล เฉินจงฉู่ ถังหงฟู หวางซู่ฉุน ก็ตีบุกเข้าไปในเมืองหลวงฉางอัน
ได้โดยสะดวก เห็นทหารของหาวฉาวไม่มีเหลืออยู่เลยสักคน ก็เข้าใจว่าหวงฉาวรักตัวกลัวตาย
รีบถอยหนีไปเสียก่อน เหล่าทหารจึงต่างพากันปล้นสะดมชาวเมือง ข่มเหงรังแกสตรีเพศโดยปราศจากความกังวล
เมืองหลวงฉางอัน แทบจะกลายเป็นเมืองนรกไปในบัดดล

ตอนดึกของคืนวันนั้น กองทัพลุกขึ้นสู้ของหวงฉาวก็เข้าล้อมฉางอันไว้ทุกด้าน แล้วแยกกันเข้าฉางอันจากทุกทิศ
ทหารราชวงศ์ถังเหนื่อยเพลียจากการปล้นสะดมข่มเหงรังแกชาวเมืองมาทั้งวัน อีกทั้งเป็นห่วงทรัพย์สินที่ปล้นชิงมาได้
เมื่อถูกทหารหวงฉาวตีกระหนาบเข้ามาทุกทาง ก็ไม่เป็นอันสู้รบถูกฆ่าตายเป็นเบือ ส่วนแม่ทัพเฉินจงฉู่กับคนอื่น ๆ
ผวาตื่นกลางดึก เพราะเสียงโห่ร้องเข้าตีของทหารหวงฉาวจนแยกทิศทางไม่ถูก จึงได้แต่คว้าอาวุธประจำตัว
ต่างคนต่างคิดหนีเอกตัวรอด แต่พวกขุนพลทั้งหมดกลับถูกทหารหวงฉาวล้อมไว้อย่างหนาแน่น สุดจะตีฝ่าออกไปได้
ก็จำต้องฝืนสู้อย่างสุนัขจนตรอก ก็ถูกฆ่าตายในที่รบหมดทุกคน

เมืองหลวงฉางอันกลับคืนสู่อุ้งมือขงราชวงศ์ถังยังไม่ทันจะครบวันดีก็ต้องมาเสียให้แก่กองทัพลุกขึ้นสู้ของชาวนาหวงฉาวอีก
พร้อมกับพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“เมื่อจักจับโจร พึงตัดทางหนี โอบล้อมไว้ให้แน่นหนา หากโจรเข้าในเมือง จงปิดประตูเมืองให้สนิท
มิให้มีทางเล็ดรอดออกไปได้ จึงจักถูกจับได้โดยละม่อม กลับกัน พบโจรก็ไล่ ไม่ปิดประตูเมือง
ไล่เหนือไปใต้ โจรก็พ้นไป โจรที่หนีพ้น ย่อมจักย่ามใจ จักย้อนกลับมาอีกพร้อมด้วยพรรคพวก
หากปิดทางหนีโจรจักมิกล้า อู๋จื่อกล่าวไว้ว่า “โจรที่ไม่คำนึงถึงความตาย หากซ่อนตัวตามสุมทุมพุ่มไม้ในป่ากว้าง
ก็พอจักทำให้กำลังซึ่งติดตามมาเป็นพันคนอกสั่นขวัญแขวนลมพัดใบไม้ไหวก็แตกตื่น เพราะมิรู้ว่า
โจรจักปรากฏตัวออกมาจู่โจมเอาชีวิตเมื่อใด” จับโจร จึงควรระวังมิให้เป็นปลาลอดร่างแห”
บันทึกการเข้า
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #39 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 04:30:19 PM »

 Grinดูดมาใส่word แล้ว แปลงอักษรเป็น คลอเดียนิว ขนาด 16 กั่นหน้าและหลัง 2.5 , 2.7 จัดหน้าใหม่ เบ็ดเสร็จ 170 หน้าครับ ไม่ขาดไม่เกิน......ต้องทำใจอีกซักพักถึงจะอ่านเพราะแยะเหลือเกินจะเป็นลม หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
SA-KE
เมื่อเดินผิด ย่อมมิใช่มนุษย์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 702
ออฟไลน์

กระทู้: 3612


เรารักในหลวง


« ตอบ #40 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 04:37:27 PM »

... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ
 คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....?

เดี๋ยวจะลองทำให้ครับ ต้องเอาไปเรียบเรียงใน WORD ใหม่แล้วแปลงเป็น PDF

 ขอบคุณมากครับ....
 คุณ Narongt นำข้อมูลค่อนข้างแยอะมากมาลงเผยแพร่ ให้พวกเรา ต้องบอกว่า..นับถือครับ

 
บันทึกการเข้า

คนต่างกับสัตว์ที่ "ความคิด"  ,  คนต่างกับมนุษย์ที่ "ศีลธรรม"
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #41 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 05:07:42 PM »

กลยุทธ์ที่ ๒๓ คบไกลตีใกล้

สภาวการณ์บังคับ เอาใกล้จักได้ มุ่งไกลจักเสีย เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไหลลง

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า เมื่อถูกจำกัดโดยสภาพแวดล้อม ควรตีเอาข้าศึกที่อยู่ใกล้ตัว
จึงจะเป็นประโยชน์แก่ตน โจมตีข้าศึกที่อยู่ไกล จัดเป็นผลร้ายแก่ตน “ เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไหลลง”
หมายความว่า การผูกมิตรนั้น แม้ความคิดเห็นจะไม่ตรงกันก็สามารถที่จะร่วมมือกันได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
คำนี้มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ต่าง” ความว่า “เปลวไฟลอยขึ้น น้ำบึงไกลลง บุรุษจักร่วมกันเราความผิดแผก”
ดังนั้น ต่อข้าศึกใกล้และไกล พึงมีนโยบายที่แตกต่างกัน นี่เป็นกลยุทธ์ที่ผูกมิตรกับรัฐไกล
เพื่อเอาชัยต่อรัฐใกล้อย่างหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ.......
ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศขนาดเล็กที่อยู่ปลายแหลมมาลายู ที่เมื่อครั้งในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่ง
ของประเทศมาเลเซีย แต่แล้วเมื่อไม่นานมานี้ได้แยกตัวเป็นอิสระจากประเทศมาเลเซียไป
ชื่อเสียงของประเทศสิงคโปร์ในสายตาของประชาคมโลกนับว่าเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะมีเครดิตดี
อันเนื่องมาจากการที่สิงคโปร์มีการพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าตามแนวทางของลัทธิทุนนิยม
อย่างได้ผล ทั้ง ๆ ที่สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กกว่าจังหวัดภูเก็ตของไทยด้วยซ้ำไป
มีประชากรประมาณ ๓ ล้านคนเศษ แต่รายได้ต่อหัวของประชากรสิงคโปร์มีสูงกว่าทุกประเทศ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทุกประเทศ บรรพบุรุษของชาวสิงคโปร์เป็นชาวจีนโพ้นทะเล
โดยกำเนิด แต่เนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษมายาวนานจึงทำให้ชาวสิงคโปร์มีวิถีชีวิตคล้ายคลึง
กับชาวตะวันตกหรือตามแบบอย่างอังกฤษ สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ
ที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับประเทศได้จึงจำเป็นต้องดิ้นแสวงหาความมั่งคั่งด้วยวิธีอื่น
ที่ไม่ใช่ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการบริหารจัดการที่ดีและเป็นระบบทำให้ประเทศสิงคโปร์
เป็นประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวยในที่สุด เป็นเสือหนึ่งในห้าของเอเชีย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าด้วยข้อจำกัด
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและเป็นประเทศเล็ก สิงคโปร์จึงใช้ทุกวิธีทางในอันที่จะสร้างความมั่งคั่ง
ให้กับตนเอง ในกลยุทธ์นี้อยากที่จะกล่าวถึงพฤติกรรมในการดำเนินนโยบายการคบไกลตีใกล้ของสิงคโปร์
ที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของตน

ใคร่ที่จะขอกล่าวถึงการแย่งชิงความเป็นใหญ่ของประเทศมหาอำนาจในโลกในแต่ละยุคแต่ละสมัย
ก่อนที่จะกลับมากล่าวถึงสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่งนั้น นับตั้งแต่โบราณกาลเป็นต้นมา ประเทศใดก็ตาม
ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในโลก ย่อมพยายามที่จะแย่งชิงผลประโยชน์จากพื้นที่ต่าง ๆ
ในทั่วทุกมุมโลกมาเป็นของตน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในยุคสงครามเย็นที่ผ่านมา
ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศต่างแข่งขันกันแย่งชิงผลประโยชน์กันทั่วทุกมุมโลก
ด้วยการแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในดินแดนต่าง ๆ แล้วนำความมั่งคั่งกลับสู่ประเทศของตน
ยิ่งในยุคปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ที่ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการด้วยกัน
อย่างน้อยที่สุดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้แก่ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสาร ความรวดเร็วของ
การขนส่ง และความรวดเร็วของการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่ง
โลกาภิวัตน์ เกิดขึ้นก่อนที่จะสิ้นสุดยุคสงครามเย็น แต่มาเกิดผลเป็นรูปธรรมของการเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่สิ้นสุดยุคสงครามเย็นเรียบร้อยแล้วคือหลังปี พ.ศ.๒๕๓๒ เป็นต้นมา


ยุคต่างๆ ของการต่อสู้ของมหาอำนาจ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นดินแดนที่เป็นเป้าหมายการแย้งชิงของประเทศมหาอำนาจนับตั้งแต่
ยุคล่าอาณานิคมเป็นต้นมา ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่ถูกประเทศมหาอำนาจยึดครองเป็นอาณานิคม
ยกเว้น ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น ประเทศสิงคโปร์ เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา
มหาอำนาจทั้งปวงมหาอำนาจที่มีพลังอำนาจมากกว่าจะรีบเร่งเข้ายึดครอง สิงคโปร์ทันที ที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่
อังกฤษ ที่มีพลังอำนาจทางเรือมากกว่าประเทศใด ๆ ในยุคนั้นได้เข้ายึดครอง มาเลเซีย และสิงคโปร์
เพื่อดำรงอิทธิพลของตนเหนือช่องแคบมะละกาให้ได้

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ การสู้รบระหว่างมหาอำนาจเจ้าถิ่นในเอเชียกับมหาอำนาจตะวันตกคือ
อังกฤษก็เริ่มขึ้น ญี่ปุ่นได้รีบเร่งเข้ายึดภูมิประเทศ สำคัญคือสิงคโปร์นี้ให้ได้ครั้นเมื่อสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ ๒
อำนาจอิทธิพลของอังกฤษเสื่อมลง มหาอำนาจในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ คือ
สหรัฐอเมริกา ได้นำพาประชาคมโลกเข้าสู่สงครามเย็นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังเป็นพื้นที่แย่งชิงอำนาจ
และผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจอยู่เช่นเดิม ประเทศในค่ายสังคมนิยม อันมีสหภาพโซเวียตและจีนเป็นผู้นำ
ได้พยายามจะขยายอิทธิพลของตนเข้าครอบครอง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกาก็ได้ระดมพลังของประเทศ
ในค่ายโลกเสรีต่อต้าน การแพร่ขยายอิทธิพลอันนั้น มีสมรภูมิการต่อสู้ย่อย ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งด้วยกันเช่น
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีสงครามเกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสงครามเวียดนาม สงครามในอินโดจีน
ทั้งลาวและกัมพูชา ซึ่งฝ่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสต์สามารถที่จะขยายอำนาจอิทธิพลของตนลงมาทางใต้ครอบครอง
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในระดับหนึ่ง จุดแย่งชิงสำคัญอยู่ที่ประเทศไทย ถ้าประเทศไทยล้มไปพร้อมกับประเทศ
ในอินโดจีนทั้งหมด ตามทฤษฎีโดมิโนในขณะนั้นแล้วเชื่อแน่ว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะต้องล้มตามไปด้วย
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่การต่อสู้บนผืนแผ่นดินคนไทยมีความเหนียวแน่นมาก ที่เหนียวแน่น และทำให้ประเทศไทย
ไม่ล้มตามทฤษฎี โดมิโน ดังที่กล่าวแล้ว ถ้าศึกษาให้ละเอียดลึกซึ้ง จริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องไม่ใช่บังเอิญ
แต่เป็นด้วยการมีลักษณะพิเศษของสังคมไทย ที่จะใช้ทฤษฎีใดๆ มาอธิบายและคาดเดาสังคมไทย
ก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ทำให้เห็นความเป็นพิเศษ และเอาประเทศชาติของไทย
ได้มีมาโดยตลอด ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ประเทศไทยไม่แพ้ด้วย ในยุคล่าอาณานิคมทุกประเทศ
ในภูมิภาคตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจหมดสิ้นเหลืออยู่เพียงประเทศเดียวคือ ประเทศไทย
ที่ยังคงดำรงเอกราช และอธิปไตยของชาติไว้ได้

กล่าวถึงสิงคโปร์ในยุคหลังสงครามเย็น ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า สิงคโปร์เป็นจุดแย่งชิงสำคัญของ
มหาอำนาจอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะถ้าประเทศใดยึดครองสิงคโปร์ได้ก็สามารถที่จะยึดครอง
และมีอำนาจเหนือช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อมหาอำนาจทั้งหลาย
จำเป็นอยู่ดีที่ผู้บริหารประเทศของสิงคโปร์ต้องหาทางออกที่ เมื่อมีการเปลี่ยนมหาอำนาจเข้ามามีอิทธิพล
เหนือเกาะสิงคโปร์ ผู้บริหารประเทศของสิงคโปร์ก็ต้องพึ่งพาประเทศชาติของตนให้รอดพ้นความบอบช้ำ
และถูกทำลายให้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำสิงคโปร์ต้องมีความฉลาดเพียงพอที่จะสร้างความมั่งคั่งของประเทศตน
ให้ได้ภายใต้จังหวะการเปลี่ยนแปลงการเข้ามีอิทธิพลและอำนาจเหนือเกาะสิงคโปร์ของมหาอำนาจ
ในแต่ละยุคสมัยถ้าไม่เช่นนั้นแล้วสิงคโปร์ก็จะดำรงความเป็นประเทศอยู่ไม่ได้ ดังที่กล่าวแล้วว่า
ในช่วงยุคสงครามเย็น สิงคโปร์เป็นเพียงฐานการส่งกำลังบำรุง และเส้นทางผ่านที่สำคัญของสหรัฐฯ
ที่เข้าสู้รบในสมรภูมิเวียดนาม ลาว กัมพูชา และแม่แต่ในประเทศไทยเองก็ตาม สิงคโปร์ไม่ได้เป็นสมรภูมิ
การสู้รบด้วยอาวุธในสมัยนั้น ดังนั้นในยุคนี้สิงคโปร์จึงยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของมหาอำนาจผู้นำโลกเสรีคือ
สหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ ได้มีส่วนเสริมสร้างความแข่งแกร่งหลายด้านให้สิงคโปร์ต่อจากอังกฤษที่ยึดครองสิงคโปร์
จนกระทั้งสงครามเย็นสิ้นสุดลง สิงคโปร์ก็ยังคงอยู่ในบรรดาประเทศที่อยู่ภายใต้อิทธิพลอำนาจของ
มหาอำนาจสหรัฐอเมริกา

จะเห็นได้จาก นายกรัฐมนตรี ลีกวน ยู ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายสหรัฐอเมริกา ทั้งทางลับและเปิดเผย มาถึงยุค
นายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง ของสิงคโปร์ สิงคโปร์ก็ยังคงอิงสหรัฐอเมริกาอยู่เช่นเดิม จากการขยายอิทธิพลของจีน
หลังยุคสงครามเย็น หลังจากที่จีนประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ (Reform and Openning Up Policy)
โดยผู้นำ เติ้ง เสี้ยว ผิง ของจีน ทำให้อิทธิพลของจีนขยายเข้ามาสู้ภูมิภาค เอเชียตะวันออก เฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
ด้วยการที่จีนมีชาวจีนโพ้นทะเลอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ ทำให้การดำเนินกินกรรมใด ๆ ของจีน
เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งจีนค่อย ๆ มีอิทธิพลเข้าไปถึงสิงคโปร์ด้วยอย่างน้อยที่สุดคนสายเลือดเดียวกัน
ของชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับชาวจีนโพ้นทะเลที่อยู่ในสิงคโปร์ เมื่อจีนขยายอิทธิพลของตนเข้าทับพื้นที่อิทธิพลของสหรัฐฯ
แต่เดิมทำให้สหรัฐฯ อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ สหรัฐฯ ยังคงดำเนินนโยบายการปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีนอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นการโต้ตอบการขยายอิทธิพลของจีนโดยสหรัฐฯ จึงต้องกลายเป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจ
ที่เห็นได้ชัดอีกช่วงหนึ่งของการปิดล้อมการขยายอิทธิพลของจีน โดยสหรัฐอเมริกาคือ การสร้างวิกฤติเศรษฐกิจ
ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เริ่มต้นจากประเทศไทย แล้วขยายออกไปสู่ภาคอาเซียน
และภูมิภาคเอเชีย ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์ในการเข้าครอบครองเอเชียด้านเศรษฐกิจ
โดยการดำเนินการ ๒ ทางด้วยกัน

๑) ทางที่หนึ่งคือการ ใช้นักการค้าตนเอง ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าประเทศสหรัฐฯ ได้ดำเนินการในการรุกเข้าสู่พื้นที่ต่างๆ
เช่นเดียวกับประเทศล่าอาณานิคมในอดีตทำ กล่าวคือ เป็นลักษณะของการรุกไปพร้อม ๆ กันทุกองค์กร ทั้งด้านการค้า
การทหาร และด้านศาสนา ที่ทั้งสามองค์กรดังกล่าวจะต้องมีการประสานงานและเกื้อกูลประโยชน์กันอย่างสอดคล้อง
ถ้าศึกษาและสังเกตให้ดีจะทราบว่ากำลังทหารก็มีส่วนสนับสนุนงานด้านการค้าขาย นักการข่าวหรือสายลับ
อย่างองค์กร ซีไอเอ ก็แสวงหาข้อมูลเพื่อสนับสนุนนักธุรกิจทั้งสิ้นเหมือนกัน นักธุรกิจของสหรัฐฯ ที่ประกอบไปด้วย
บรรษัทข้ามชาติทั้งหลายร่วมมือกับองค์กร ของรัฐอย่างเช่น องค์กร ซีไอเอ รวมทั้งองค์กรการเคลื่อนไหวอย่าง NGOs
เข้าสู่ประเทศเป้าหมายโดยตรง ดังจะเห็นได้จากการที่มีบรรษัทข้ามชาติของทั้งสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเข้ามาลงทุน
ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากองค์กรที่แฝงเข้ามากับบรรษัทข้ามชาติในขณะนั้นก็คือ องค์กรซีไอเอ ทั้งนี้เพราะ
ซีไอเอเป็นองค์กรที่รวบรวมข่าวสารในทุก ๆ ด้าน ซีไอเอจะเข้าแทรกซึมในทุกองค์กรของประเทศไทยเป้าหมาย
เข้าแทรกแซงทางการเมือง ทางการทหารเข้าสู่ระบบราชการของประเทศนั้น ๆ การปฏิบัติงานของซีไอเอ
จะสอดคล้องกับกิจกรรมของ NGOs ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าไม่สังเกตจะไม่มีทางเข้าใจว่าทั้ง ซีไอเอ
กับ NGOs ทำงานประสานสอดคล้องกันอย่างไร ซึ่งได้กล่าวถึงความมาขององค์กรทั้ง ๒ ไปแล้วในเนื้อหาตัวอย่าง
กลยุทธ์ต้น ๆ และเมื่อศึกษาให้ดีจะเห็นในภาพรวมว่าการเคลื่อนไหวของซีไอเอ และ NGOs เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์
ต่อบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ มีข้อมูลด้านการติดที่ทันสมัยกว่าบรรษัทข้ามชาติของประเทศอื่นๆเพราะมีองค์กรของรัฐบาล
สหรัฐฯ คอยป้อนข้อมูลข่าวสารด้านการค้าที่ทันสมัยให้อยู่อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างของบรรษัทสหรัฐฯดังกล่าวก็ได้แก่
บ.จีอี แคปปิตอล เลแมน บราเดอร์ส์ โกลด์ มานแซ็กซ์ ซึ่งอยู่ในเครือของ จอร์จ โซรอส ที่เข้ามาตีค่าเงินบาทของไทย
และคนไทยก็ทราบภายหลังว่า ผู้อยู่เบื้องหลังจอร์จ โซรอส คือ รัฐบาลสหรัฐฯ นั้นเอง แล้วเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น
นักธุรกิจของสหรัฐฯ และประเทศในเครือก็เข้าควบคุมและครอบครองธุรกิจของไทยโดยเบ็ดเสร็จ อันเป็นที่ทราบกันทั่วไป
ของนักธุรกิจชั้นนำ นักยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงชั้นนำของประเทศไทยอยู่แล้ว ซึ่งการครอบครองธุรกิจดังกล่าว
เป็นไปทั้งทางลับ และเปิดเผย ทางลับคือใช้ชื่อนักธุรกิจของไทยเป็นตัวแสดงแต่เจ้าของทุนและผู้มีอำนาจสั่งการจริง ๆ แล้ว
เป็นเจ้าของบรรษัทข้ามชาติสหรัฐอเมริกา

๒) การใช้สิงคโปร์เป็นฐาน ในบทบรรยายเพิ่มเติมตำราพิชัยสงคราม ซุน วู กล่าวไว้ว่า การต่อสู้ด้านการค้ากับการต่อสู้
ด้านการทหารก็ใช้หลักการเดียวกัน ฉะนั้นผู้ที่วางแผนการรบ และปฏิบัติการสู้รบเก่งก็จะทำการค้าเก่งด้วยการดำเนินการ
คิดของสหรัฐฯ ก็เช่นเดียวกันที่มีการวางแผนเหมือนกันกับการสู้รบทางทหาร คือ การโจมตีเป้าหมาย ๒ ระลอก

ระลอกแรกคือส่วนที่โจมตีเป้าหมายโดยตรงตามข้อ ๑) ที่ได้กล่าวไปแล้ว คือ การเข้าสู่เป้าหมายการยึดครองโดยตรง
ของนักการค้าและการข่าวของสหรัฐฯ เช่น เข้าสู่ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง

ระลอกที่ ๒ จะตั้งฐานอยู่ที่สิงคโปร์ มีรายงานข่าวหลายกระแสที่น่าเชื่อถือและมีเหตุมีผลถึงเรื่องความร่วมมือ
ของนักธุรกิจสิงคโปร์กับนักธุรกิจสหรัฐฯ คือเงินทุนเป็นของ บรรษัทข้ามชาติสหรัฐฯ แต่ชื่อบริษัทในสิงคโปร์
เป็นชื่อชาวสิงคโปร์

หมายเหตุ
เรื่องนี้อธิบายได้ด้วย ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่สามารถจะทุ่มเงินทุนผ่านประเทศเล็ก ๆ
และเข้าซื้อประเทศบางประเทศ ทั้งประเทศอย่างไม่เป็นทางการหรือเป็นทางการก็อยู่ในขีดความสามารถ
ที่จะทำได้โดยง่าย นอกจากนั้นสิงคโปร์จำเป็นที่จะต้องทำประเทศชาติของตนเองให้รอด สิ่งใดที่เป็นประโยชน์
ต่อสิงคโปร์ สิงคโปร์ทำได้ทั้งนั้น เป็นหลักธรรมดา สิ่งที่เห็นชัดเจนในเรื่องนี้คือ หลักวิกฤตเศรษฐกิจบริษัทจำนวนมาก
ในชื่อ สิงคโปร์เข้ามากว้านซื้อกิจการด้านเศรษฐกิจของไทยไว้เป็นอันมาก สิงคโปร์ทำเช่นนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน
ที่ประสบวิกฤตเศรษฐกิจทุกประเทศ สิ่งที่สิงคโปร์ได้รับคือ ผลประโยชน์ตอบแทนหลายๆ ด้าน ทั้งด้านการเงิน
ด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอนาคต ในระยะยาวของสิงคโปร์สำหรับประเทศไทยที่คนไทยรู้กันดีอีกเรื่องหนึ่งคือ
การที่นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เข้าซื้อกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตของไทยไว้ทั้งหมด
โดยมีการจ่ายเงินให้กับนักการเมืองผู้รับผิดชอบด้านนี้อยู่ ในขณะนั้นจำนวนถึง ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนมหาศาล
สำหรับนักการเมืองที่สามารถจะตัดสินใจขายกิจการของประเทศไทยให้กับต่างชาติได้อย่างสบาย

ที่ผู้เขียนได้กล่าวมาทั้งหมดเพื่อที่จะอธิบายกลยุทธ์ “คบไกลตีใกล้” โดยยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์
ที่คบกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจและให้ประโยชน์แก่สิงคโปร์แล้วสิงคโปร์ก็เข้าตีเพื่อนบ้าน อย่างไม่ปราณี
เข้าแย่งยึดผลประโยชน์ในประเทศเพื่อนบ้านไป สิงคโปร์ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นเพื่อนบ้าน ไม่คำนึงถึงความเป็น
สมาชิกอาเซียนด้วยกัน สิ่งที่สิงคโปร์ทำไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติของตน เพื่อความอยู่รอดของตนเอง
และเพื่ออนาคตของประเทศสิงคโปร์เอง นั้นเป็นเรื่องธรรมดา

อีกตัวอย่างหนึ่งที่เข้าข่ายการใช้กลยุทธ์ “ คบไกลตีใกล้” ที่กระทบกับประเทศไทยอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ
การที่ประเทศไทยส่งกำลังทหารเข้าไปในนามขององค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพที่ติมอร์ตะวันออก
ถ้าคิดกันให้ดีแล้ว ถ้ามองในมุมมองของอินโดนีเซียก็จะมองประเทศไทยว่า ได้คบกับสหรัฐฯ หรือออสเตรเลีย
ทำลายความเป็นเอกภาพหรือบูรณภาพของอินโดนีเซีย ก็เหมือนว่าเราช่วยประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการแยกตัว
ออกมาเป็นประเทศเอกราชของติมอร์ตะวันออก ออสเตรเลียได้ประโยชน์ในเรื่องการสลายความแข็งแกร่งของอินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของออสเตรเลียมานาน นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์ในด้านของผลประโยชน์ทาง
ทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในพื้นที่บริเวณโดยรอบติมอร์ตะวันออกที่มีปริมาณมหาศาล และอื่น ๆ อีกมาก ส่วนสหรัฐฯ
ก็มีส่วนที่ได้รับประโยชน์อยู่เป็นอันมากแต่จะไม่ขอกล่าวในรายละเอียดในที่นี้ นักการทหารไทยมักจะกล่าวกันเสมอว่า
เป็นความชอบธรรมของติมอร์ตะวันออกที่จะแยกตัวออกไปจากอินโดนีเซีย เพราะที่ผ่านมาติมอร์ตะวันออกเคยเป็นรัฐอิสระ
ได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โต้ แต่ถ้าเราคิดกันในมุมมองของอินโดนีเซียแล้ว
เราจะเห็นว่า ไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ซ้ำเติมความบอบช้ำเพื่อนบ้าน ไทยช่วยเหลือกบฏของอินโดนีเซียให้แยกตัว
ออกจากรัฐบาลกลางอินโดนีเซีย ทำให้อินโดนีเซียเกิดความเคียดแค้น รอเวลาว่าเมื่อใดประเทศไทยมีสภาพเช่นอินโดนีเซีย
อินโดนีเซียก็จะทำอย่างไทยบ้างคือสนับสนุนกบฏในประเทศไทยแบ่งแยกดินแดนหรือแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระบ้างเหมือนกัน

ดังเช่นที่ทราบกันจากข่าวสารที่ได้รับทราบกันว่า อินโดนีเซีย เรียกร้องให้ไทยให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมภาคใต้
นั่นเป็นแนวโน้มว่าเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่อินโดนีเซียจะแก้แค้นไทยบ้างแล้ว อาจจะสนับสนุนชาวมุสลิมภาคใต้
แบ่งแยกดินแดนออกไปจากรัฐบาลกลางจริง ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ นี้เป็นยุทธศาสตร์ยุทธวิธีแยกสลายหรือป้องกันการร่วมมือกันของฝ่ายตรงข้าม
เพื่อจุดมุ่งหมายในการตีให้แตกทีละส่วน ที่คำโบราณจีนเคยกล่าวไว้ว่า “ ญาติไกลมิสู้มิตรใกล้” นั้น
ตรงกันข้ามกับกลยุทธ์นี้ แท้ที่จริงแล้ว ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ความขัดแย้งกับประเทศไกลมักจะน้อย กับประเทศใกล้กับจะมากกว่า เพราะอาจจะมีการกระทบกระทั่งกัน
ในเรื่องผลประโยชน์และอื่น ๆ อีกนานัปการ กลยุทธนี้มีหลักปรัชญาในการแสวงหาประโยชน์
พร้อมทั้งป้องกันตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน สุดแต่ผู้ใดจักใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #42 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 05:53:40 PM »

กลยุทธ์ที่ ๒๔ ยืมทางพรางกล

ระหว่างสองใหญ่ ศัตรูบังคับให้สยบ เราพึงแสดงท่าที ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา

กลยุทธ์นี้มีความว่า ประเทศเล็กที่อยู่ในระหว่าง ๒ ประเทศใหญ่เมื่อถูกข้าศึกบังคับให้สยบอยู่ใต้อำนาจเรา
พึงให้ความช่วยเหลือโดยพลัน เพื่อให้ประเทศที่ถูกข่มเหงเชื่อถือ ต่อประเทศที่ตกอยู่ในความยากลำบาก
การช่วยเหลือแต่เพียงทางวาจา มิได้มีการกระทำที่เป็นจริง ย่อมจะมิได้รับความไว้วางใจ
จากผู้ที่รอความช่วยเหลืออยู่ “ ทุกข์ จักมิเชื่อเพียงวาจา” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง ทุกข์” ความเต็มว่า
“เมื่ออยู่ในทุกข์ จักไม่เชื่อใครโดยง่าย จึงมิเชื่อเพียงวาจา” อันนับเป็นกลยุทธ์ใช้การหลอกยืมทางผ่าน
เพื่อบรรลุการให้ยึดครองอีกฝ่ายที่เราต้องประสงค์อย่างหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้กลยุทธ์นี้คือ การที่จีนให้การช่วยเหลือพม่าในยามที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางตะวันตกที่ประณามและบีบคั้นพม่าเป็นอันมากทำให้พม่าไม่มีทางออก
ผู้ที่เห็นประโยชน์ที่จะใช้พม่าให้เป็นประโยชน์ได้คือจีน ซึ่งมีรายละเอียดของการใช้กลยุทธนี้ดังต่อไปนี้

หลังจากที่พม่าต้องตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม อังกฤษได้แสวงประโยชน์จากความมั่งคั่ง
ทางทรัพยากรธรรมชาติของพม่าเพื่อสร้างความมั่งคั่งไปสู่ประเทศแม่ของตนเป็นอันมากนั้น อังกฤษไม่เพียงจะ
ไม่ได้สร้างพื้นฐานการพัฒนาให้กับพม่าเท่านั้น ยังได้วางยาพม่าด้วยการกำหนดในรัฐธรรมนูญพม่าหลังจากที่ให้
เอกราชแก่พม่าว่า ให้ชนกลุ่มน้อยของพม่าสามารถที่จะแยกตนเองเป็นอิสระหรือประกาศอิสรภาพจากพม่าได้
นั่นคือปัญหายิ่งใหญ่ของพม่าที่ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่อังกฤษวางยาพม่าไว้นั่นเอง
พม่าต้องขมขื่นกับการวางยาของอังกฤษที่ทำให้พม่าต้องพยายามที่จะรวบรวมแผ่นดินของตนให้เป็นหนึ่งเหมือนเดิม
การสร้างบูรณาการของชาติพม่าที่ประกอบด้วนชน กลุ่มน้อยต่าง ๆ มากมายเป็นปัญหาที่รัฐบาลทหารพม่าต้องทุ่มเท
ความพยายามทั้งทรัพยากรเงินทุน และกำลังทหารเข้าดำเนินการแต่ก็ยังไม่มีวี่แววจะสำเร็จลงได้

ถ้าศึกษาเรื่องเกี่ยวกับปัญหาในประเทศพม่าให้ดีก็พอที่จะมองปัญหาโดยสรุปออกมาเป็นปัญหาหลัก ๆ ดังนี้คือ

๑. ปัญหาเรื่องชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่พม่าต้องใช้เวลาและทรัพยากรทุ่มเทเพื่อแก้ปัญหาอันนี้มายาวนาน
แต่ก็ยังมองไม่เห็นฝั่งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

๒. ปัญหาการบีบคั้นกดดันจากประเทศโลกเสรี ประเทศพม่านับเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบ
เผด็จการทหารมายาวนาน ประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการทหารนั้นก็ต้องตกเป็นเหยื่อของการการกดดัน
และบีบคั้นของประเทศในค่ายโลกเสรีทางตะวันตก ประเทศที่บีบคั้นกดดันพม่าหลัก ๆ คือประเทศทางตะวันตก
ทั้งกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริการวมทั้งอังกฤษที่เคยวางยาพม่ามาแล้วเมื่อครั้งให้เอกราชแก่พม่า
ประเด็นที่ประเทศทางตะวันตกบีบคั้นและกดดันพม่าอย่างรุนแรงต่อเนื่องคือเรื่อง สิทธิมนุยชนและเรื่องประชาธิปไตย
อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนั้น

๓. ปัญหานาง ออง ซาน ซู จี ประเทศตะวันตกพยายามที่จะหยิบยกกรณีนาง ออง ซาน ซู จีมาในการกดดันพม่า
กรณีของนางอองซานซูจี เป็นประเด็นหลักในการกดดันพม่าเพื่อที่จะให้รัฐบาลทหารพม่าเปิดทางให้ นางออง ซานฯ
ขึ้นมาบริหารประเทศตามครรลองประชาธิปไตยตามที่ตะวันตกต้องการ ในขณะที่พม่ามีความเห็นว่า
ตัวนาง ออง ซาน ซู จี ขึ้นบริหารประเทศพม่ามีความเห็นว่า พม่าหรือเมียนม่าในปัจจุบันต้องล่มสลายไป
ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ต้องประกาศอิสรภาพและตั้งประเทศใหม่ขึ้นอีกหลายประเทศ และประเทศตะวันตก
ก็จะเข้ามาครอบครองพม่าและแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรณ์อันมั่งคั่งของพม่าไปเหมือนดังเช่นที่
อังกฤษเคยทำมาแล้วเมื่อยุคสมัยล่าอาณานิคม ประเด็น นาง ออง ซาน ซูจี ในแง่คิดมุมมอง ของผู้นำทหารพม่า
กล่าวว่า นาง ออง ซาน ซูจี เหมือนไม่ใช่คนพม่าเพราะตั้งแต่เด็กจนกระทั้งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่และเข้ามาเคลื่อนไหว
ทางการเมืองพม่า นางอองซานซูจี ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับประเทศพม่าเลย เพราะนางอองซานฯ เติบโตในอังกฤษ
ได้รับการศึกษาและมีครอบครัวที่อังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่เคยครอบครองพม่าและทำลายประเทศพม่ามาแล้ว

ฉะนั้น นางออง ซาน ซูจี เข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองในพม่าต้องได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกเพื่อตอบสนอง
ต่อผลประโยชน์ของประเทศตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย เงินช่วยเหลือต่อนางอองซานฯ จากประเทศตะวันตก
มีจำนวนปีละไม่น้อย ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลทหารของพม่ารู้ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นจำเป็นที่รัฐบาลทหารพม่า
จะต้องแสวงประโยชน์จากนาง ออง ซาน ซูจี ดีกว่าที่จะสังหารหรือต่อต้านนาง ออง ซาน ซูจี เพียงแต่ปล่อยให้
นาง ออง ซาน ซูจีได้แสดงกิจกรรมตามความประสงค์ของประเทศตะวันตก บางครั้งบางคราวเท่านั้น
ส่วนที่รัฐบาลทหารของพม่าคือ เงินที่ได้รับจากประเทศตะวันตกที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมของ
นาง ออง ซาน ซูจี แต่ละปีซึ่งเป็นเงินเงินก้อนโต เพียงพอที่รัฐบาลทหารพม่าจะนำไปใช้ในการบริหารกิจการต่าง ๆ
ของตนได้

๔. ปัญหาความยากจน ด้วยการปิดประเทศของพม่ามายาวนานตั้งแต่ครั้งมีการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร
เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันซึ่งต้นเวลาเกือบครั้งศตวรรษแล้ว ทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจของพม่าดำเนินไปอย่างล่าช้า
ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน มีภาพบ้านเมืองทั่วไปอยู่ในสภาพที่ไม่ได้รับการพัฒนาดังนี้มีคนกล่าวเปรียบเทียบ
สภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนในพม่าในปัจจุบันนี้ว่า สภาพดังกล่าวเหมือนกับสภาพของประเทศไทย
ที่นับย้อนถอยหลังไปจากปัจจุบัน (๒๕๔๗) อีกประมาณ ๓๐ – ๔๐ ปี ซึ่งผู้เขียนเองก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง
ความยากจนค้นแค้นของประชาชนชาวพม่าทำให้คนพม่าต้องหลบหนีเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
ในปัจจุบัน ดังที่ทราบกันดี

๕. ปัญหาอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สืบเนื่องมาจากข้อต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ทำให้การแก้ปัญหาประเทศชาติ
โดยรัฐบาลทหารพม่าไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ เหมือนงูกินหาง ซึ่งปัญหาก็ยังคงวนเวียนกลับมาสู่
ต้นเหตุของปัญหาเช่นเดิม ยังทำให้รัฐบาลทหารพม่ายากที่จะหาทางออก จึงทำได้เพียงรักษา
สถานะของรัฐบาลทหารพม่าไว้ให้ได้ยาวนานที่สุดเท่านั้น

นี่คือสภาพที่เป็นอยู่ของรัฐบาลพม่าประเทศที่รู้ปัญหาของพม่าดีที่สุดและพร้อมที่จะเข้าโอบอุ้มรัฐบาลพม่าคือ
ประเทศจีน จากรายงานข่าวสารอันเป็นทราบกันโดยทั่วไปว่า จีนได้ให้การช่วยเหลือรัฐบาลทหารพม่า
มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แต่ยุคสมัยเริ่มต้นยุคสงครามเย็นที่พม่าปิดประเทศเป็นต้นมามีรายงาน
ที่เป็นหลักฐานเรื่องการช่วยเหลือของจีนต่อพม่าที่คิดเป็นจำนวนเงินแล้วมีมูลค่ามหาศาลนั้นมีรายการ
โดยประมาณดังต่อไปนี้

๑) อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติการทางทหารทั้งทางบก เรือ และ อากาศ
๒) เงินทุน จีนให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่พม่าเป็นเงินก้อนมหึมา
๓) ที่ปรึกษาทางทหาร
๔) กำลังทหาร
๕) การสร้างเมืองโดยชาวจีนที่อยู่ในพม่า ที่มีชาวจีนเข้าไปในพม่าเป็น ล้านคนเศษ
๖) อื่นๆ

การที่จีนให้การสนับสนุนพม่า เช่นนี้จีนย่อมการผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน ซึ่งที่เห็นชัดที่สุด
และเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับหลักการที่ว่า “ไม่มีอะไรได้เปล่าในโลกนี้” นั้นพอที่จะประมาณสิ่งที่จีน
ต้องการจากพม่า อันได้แก่

๑) เส้นทางออกสู่ทะเลทางด้านอันดามัน จากแผนการปิดล้อมจีน ของสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
และมีการปรับปรุงให้ทันสมัยต่อยุคสมัยอยู่เสมอ นั้น ทำให้จีนต้องการทางออกทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในช่วงที่จีนกำลังขยายตลาดทางการค้ากับประเทศในตะวันออกกลางกลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกา
กลุ่มประเทศในอเมริกาใต้และอเมริกากลาง เฉพาะในกลุ่มประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง
จีนได้ขยายพันธมิตรด้านการค้าและการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยลำดับ การติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคของจีน
กับสินค้าพลังงานปิโตรเลียมของชาวตะวันออกกลาง ซึ่งมีประมาณการแลกเปลี่ยนค้าขายกันเป็นจำนวนมหาศาล
ในระยะหลังนับตั้งแต่จีนใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ ( Reform and Openning up policy )
ปริมาณการค้าขายระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางยังเพิ่มทวีมากขึ้นโดยลำดับ ในเวลาต่อมา
เมื่อชาวตะวันตกข่มเหงรังแก ชาวมุสลิมทั่วโลกมากขึ้น ยังทำให้ชาวมุสลิมในตะวันออกกลางหันมาสถาปนา
ความร่วมมือกับจีนในด้านต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งเห็นได้ว่าตะวันออกกลาง เป็นแหล่งค้าขายที่ใหญ่ที่สุด
และสำคัญที่สุดของจีน แห่งหนึ่งที่จีนต้องดำรงรักษาไว้ ตราบใดที่จีนยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เศรษฐกิจของตน
มีความเจริญอย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าเส้นทางออกสู่ทะเลทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ของจีนที่ต้องผ่านพม่าเป็นเส้นทางสายยุทธศาสตร์ของจีน
จีนจะอยู่รอดและมั่งคั่งได้หรือไม่ด้านหนึ่งมาจากเส้นทางนี้ เหมือนกัน นั้นแสดงว่าการที่จีนลงทุนทุ่มงบประมาณ
และทรัพยากรมหาศาลลงที่พม่าย่อมให้ผลคุ้มค่าแก่จีน

๒) รักษาเส้นทางส่งกำลังทางทหารของจีน แม้ว่าจีนจะประกาศนโยบายต่อชาวโลกที่ค่อนข้างชัดเจนว่า
จีนจะไม่มีนโยบายส่งกำลังทหารไปประจำอยู่ในพื้นที่ใด ๆ บนพื้นโลกนอกจากบนผืนดินและผืนน้ำของจีนเอง
ก็ตามแต่สิ่งหนึ่งที่ชาวโลกยังไม่ค่อยจะรู้กันมากนักก็คือการที่จีนมีกองกำลังส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังทางทหาร
และช่างเทคนิคที่ไปประจำอยู่ในเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดหัวรบนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต
ลอยลำอยู่ใต้ผิวน้ำในทะเลแถบตะวันออกกลางทั้งทะเลแดง และทะเลอาราเบียน รายงานข่าวที่เชื่อถือได้
ยังแจ้งอีกว่า หลังจากที่อดีตสหภาพโซเวียตล้มสลายกองเรือขนาดมหึมาของอดีตสหภาพโซเวียตได้ตกไปอยู่
ในการดูแลของรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ แต่รัสเซียซึ่งประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำไม่สามารถที่จะดำรงกองเรือดำน้ำ
พลังงานนิวเคลียร์ติดหัวรบนิวเคลียร์เหล่านั้นไว้ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้การซ่อมบำรุง
อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านั้นไว้พันธมิตรเก่าที่เชื่อถือต่อการรักษาความลับได้มากที่สุดในขณะนั้นมีเพียงจีนเท่านั้น
โดยเงือนไขของทั้ง ๒ ประเทศตกลงกันว่าจะดูแลเรือดำน้ำด้วยกันแต่ผู้จ่ายงบประมาณมหาศาลเหล่านั้นคือจีน
ทำให้ขณะนี้มีกองกำลังของจีนครึ่งหนึ่งอยู่ในเรือดำน้ำของรัสเซีย จึงเป็นความสำคัญประการหนึ่งที่จีนจำเป็น
ที่จะต้องรักษาเส้นทางส่งกำลังบำรุงด้านนี้ของตนไว้คือการรักษาเส้นทางด้านพม่าไว้นั้นเอง

๓) ความร่วมมือกับกลุ่มเอเชียใต้ แม้ว่าจีนจะเคยมีข้อขัดแย้งกับอินโดนีเซียถึงขั้นใช้กำลังทางทหารเข้าสู้รบกัน
บริเวณชายแดนมาแล้ว เมื่อครั้ง เหมา เจ๋อ ตุง ขยายอำนาจของตนทำให้เป็นข้อพิพาทอันยาวนาน
ของทั้ง ๒ ประเทศมาแล้วนั้นก็ตาม มาระยะหลังจีนกับอินเดียได้สถาปนาความสัมพันธ์ด้านการค้า
และการลงทุนระหว่างกันมากขึ้นจะเห็นได้จากการที่ผู้นำของจีนเน้นการไปเยือนอินเดียและผู้นำอินเดีย
ได้เดินทางมาเยือนจีนเป็นการตอบแทนเมื่อปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมาปรากฏการณ์เช่นนี้ นับเป็นก้าวใหม่ของ
ความสัมพันธ์จีน อินเดีย ผลที่เกิดขึ้นจากการเยือนซึ่งกันและกันครั้งนั้นเด่นชัดที่สุดคือการที่อินเดียยอมรับว่า
ธิเบตเป็นดินแดนของจีนและจีนจะรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาคาใจที่ค้างกับอินเดียให้หมดสิ้นโดยเร็ว
และหันมาร่วมมือกันด้านการค้าและการลงทุน ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าจีนเข้าไปมีอิทธิพลในเอเชียใต้อย่างมาก
ความสัมพันธ์ของจีนกับปากีสถาน , บังคาเทศ, ศรีลังกา, เนปาล, ก่อนข่าวจะมีการพัฒนาขึ้นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กับปากีสถานซึ่งถือว่าเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของจีน เมื่อความสัมพันธ์กับประเทศในเอเซียใต้ดำเนินไปด้วยดี
จะทำให้สามารถที่จะเอื้อประโยชน์กับอินเดียถ้าอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน อย่างน้อยที่สุดจะสามารถ
ประสานรอยร้าวระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนานได้กับทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง
อินเดียกับสหรัฐฯ ไม่ค่อยสู้ดีนักอันเนื่องจากอินเดียไม่พอใจที่สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการปฏิบัติการของปากีสถาน
ที่กระทบกับอินเดีย สิ่งเหล่านี้คำตอบอยู่ที่จีน เมื่อจีนสามารถประสานรอยร้าวทั้งหมดของกลุ่มประเทศในเอเชียใต้
จะทำให้ทั้ง จีนและอินเดียและประเทศอื่น ในเอเชียได้ประโยชน์ จุดเริ่มต้นนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์อันดี
จะเริ่มต้นขยายออกไปจากเส้นทางด้านพม่านี่เอง

ต่อเรื่องเกี่ยวกับพม่าที่กำลังเกิดเป็นข่าวฮือฮาเรื่องการทำรัฐประหารในพม่าเมื่อประมาณวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๗
ที่ผ่านมา มีข่าวที่นำเสนอทางสื่อมวลชนกล่าวถึงสถานการณ์ในพม่าว่า สาเหตุของการทำรัฐประหารในพม่า
เป็นเพราะนายพล ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีพม่าที่ถูกยึดอำนาจและให้ถูกออกไปนั้นเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการคอรัปชั่น
เป็นอันมากในรัฐบาลของพม่าช่วงที่นายพล ขิ่น ยุ้นต์ บริหารประเทศ ทำให้คณะนายทหารทั้งหลายไม่พึงพอใจ
อีกทั้งนายพล ขิ่น ยุ้นต์ ดังกล่าวนี้กำลังจะพาประเทศของตนออกห่างจากความเป็นรัฐบาลทหารพม่า
และอีกกระแสหนึ่ง นายพลขิ่น ยุ้นต์ มีสุขภาพที่ไม่สู้ดีนักทำให้อาจจะไม่สามารถที่จะบริหารประเทศต่อไป
อย่างมีประสิทธิภาพได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีในที่สุด จึงต้องเกิดรัฐประหารขึ้น
อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า รัฐบาลทหารพม่าอยู่ยงคงกระพันมายาวนาน ไม่สามารถมีประเทศมหาอำนาจใด ๆ
มาโค่นล้มได้แม้ว่าประเทศตะวันตกจะรุมกระหน่ำโจมตีพม่าอย่างไม่หยุดหย่อนก็ตาม จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถ
ที่จะโค่นล้มรัฐบาลทหารพม่าได้ ความเข้มแข็งดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้รับการสนับสนุนหรือการหนุนหลังจากจีน
ตราบใดที่จีนยังคงเป็นใหญ่สามารถที่จะท้าทายอำนาจของประเทศตะวันตกได้ ตราบนั้นพม่าก็จะยังคงยืนท้าทายอิทธิพล
และอำนาจของประเทศตะวันตกได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นกรณีพม่ามีข่าวที่ท้าทายความเชื่อถืออยู่กระแสหนึ่งคือ

การที่ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าไปรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และกู้เงินประเทศไทยที่พม่าเชื่อว่าเป็นเงินของสหรัฐฯ
โดยที่ผู้รับผิดชอบคือพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรี เงื่อนไขของการรับเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ คือการปล่อยตัว
นาง ออง ซาน ซู จี ออกจากที่คุมขัง เมื่อรัฐบาลทหารพม่ารับเงินมาแล้วแต่ไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว
จึงปล่อยข่าวว่ามีการทำรัฐประหารและปลดนายกรัฐมนตรีเดิมออก ผลที่ตามมาคือ พม่าได้เงินฟรี ไม่ต้องใช้หนี้
และไม่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับสหรัฐฯ หรือแม้แต่กับไทยก็ตาม พม่าก็อาจจะไม่ใช้หนี้รัฐบาลไทยก็ได้
ส่วนพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ ก็ยังคงมีอำนาจในรัฐบาลทหารพม่าอยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
บริหารประเทศเท่านั้นเอง ( ๒๓ ต.ค.๔๗ )

ดังนั้นเมื่อพม่าถึงจุดอับ จีนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ พม่าได้ประโยชน์จีนได้ประโยชน์แต่จีนได้ประโยชน์มากกว่า
เพราะได้ประโยชน์ด้านการสู้รบในภาพรวมที่จะรวมพลังทั้งสิ้นของตน โดยใช้เส้นทางผ่านพม่า นำไปสู่ผลประโยชน์
ในกลุ่มประเทศต่างๆ ทั่วโลก เป้าหมายสุดท้ายของจีนอยู่ที่สร้างความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
และโค่นล้มสหรัฐอเมริกาลงให้ได้นั้นเอง จีนได้รับความมั่งคั่งจากการใช้เส้นทางพม่าเป็นอันมาก ทั้งการค้าขายกับอัฟริกา
ค้าขายกับลาตินอเมริกา และค้าขายกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ล้วนแต่ต้องใช้เส้นทางออกด้านพม่าทั้งสิ้น
จีนจึงจำเป็นที่จะต้องให้ได้เส้นทางนี้มา และจีนจะต้องรักษาเส้นทางนี้ไว้ให้ได้อย่างเหนียวแน่น
สิ่งที่จีนทำกับพม่าคือการใช้กลยุทธ์ “ ยืมทางพรางกล” แล้วยึดครองประเทศพม่าและยึดครองเส้นทางของจีน
ในประเทศพม่าตามกลยุทธ์นั่นเอง

กลยุทธ์นี้จึงมีผู้สรุปว่า
“ ปัญหาของกลยุทธ์นี้อยู่ที่คำว่า “ ยืมทาง” ถ้ายืมทางได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สำเร็จ เพราะฉะนั้น
ผู้ที่ใช้กลยุทธ์ยืมทาง จักต้องหาเหตุผลในการยืมทางให้ดี เพื่อปกปิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของตน
ความจริงคำว่า “ ศัตรูบังคับให้ ( อีกฝ่ายหนึ่ง) สยบ เราพึงแสดงท่าที” นั้น ก็คือ
ฉวยโอกาสที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เพลี่ยงพล้ำ เรายื่นมือเข้าไปช่วย แล้วเอาประโยชน์จากนี้
อันที่จริงการกระทำดังนี้ เป็นพฤติการณ์ที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง แต่ในสงครามหรือในการต่อสู้ใด ๆ
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรามักจะเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่ทั่วไปในชีวิตจริง เพราะเหตุว่า
แต่ละฝ่ายย่อมจะเริ่มต้นจากผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่ หากปราศจากเสียซึ่งการร่วมมืออันถาวร
ก็จักไม่มีการช่วยเหลือที่แท้จริง มิตรและศัตรู คำมั่นสัญญากับการปฏิบัติจึงพึงจำแนกให้ชัด
พิจารณาให้ถ่องแท้ มิฉะนั้นแล้ว หากเห็นแก่ได้ถ่ายเดียวก็จักสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตตน”
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #43 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 05:57:51 PM »

... ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ที่มีมาให้อ่านกันอีกแล้วครับ
 คุณ narongt ครับ...มี File ในรูป Acrobat ไหมครับ....?

เดี๋ยวจะลองทำให้ครับ ต้องเอาไปเรียบเรียงใน WORD ใหม่แล้วแปลงเป็น PDF

 ขอบคุณมากครับ....
 คุณ Narongt นำข้อมูลค่อนข้างแยอะมากมาลงเผยแพร่ ให้พวกเรา ต้องบอกว่า..นับถือครับ

 

รับทราบครับท่าน
บันทึกการเข้า
narongt
Sr. Member
****

คะแนน 16
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 749


« ตอบ #44 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2006, 10:00:27 PM »

ส่วนที่ ๕
กลยุทธ์ร่วมรบ
เมื่อร่วมรบด้วยพันธมิตร
พึงให้ได้อำนาจบัญชาการ
ทั้งฝ่ายเราและศัตรู

กลยุทธ์ที่ ๒๕ ลักขื่อเปลี่ยนเสา
ลวงให้ย้ายแนวบ่อย หลอกให้ถอนทัพหลัก รอให้พ่ายไปเอง ฉกฉวยเอาภายหลัง หยุดซึ่งกงล้อ

กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า ต่อกำลังที่ร่วมรบด้วยข้าศึกกับเราหรือต่อข้าศึกจักต้องหาทางเปลี่ยนแปลง
แนวรบของฝ่ายนั้นอยู่เสมอ ถอดถอนเคลื่อนย้ายกำลังสำคัญของฝ่ายนั้นไป รอให้ฝ่ายนั้นอ่อนแอ
ต้องประสบกับ ความพ่ายแพ้จึงฉวยโอกาสแปรกำลังของฝ่ายนั้น ให้กลายมาเป็นของเราแล้ว
ควบคุมกำลังของฝ่ายนั้นไว้ใต้การบัญชา “ หยุดซึ่งกงล้อ” มาจาก “คัมภีร์อี้จิง มิทัน”
อันหมายความว่า รถคันหนึ่งนั้นสำคัญที่ล้อ ถ้าหยุดล้อได้ก็สามารถบังคับให้เคลื่อนที่ไป
ตามความประสงค์ของเรา อันเป็นกลยุทธ์กลืนกำลังของพันธมิตรหรือสลายกำลังของข้าศึกอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์นี้คือ กรณีจีนเข้าไปควบคุมพม่าในลักษณะ “ ลักขื่อเปลี่ยนเสา”
ดังมีรายละเอียดของเนื้อหาดังนี้ ดังที่เคยนำเสนอมาแล้วในกลยุทธ์ที่ผ่านมาว่า จีนเป็นประเทศที่มี
ความทะเยอทะยานอย่างสูงที่จะยกตัวเองให้ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแทน
สหรัฐอเมริกา ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วเช่นเดียงกัน แต่การที่ประเทศใด ๆ จะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกได้
จำเป็นจะต้องสร้างพื้นฐานของการยึดครองประชาคมโลกให้ได้หลาย ๆ มิติ ดังเช่นที่สหรัฐฯ ทำอยู่ในขณะนี้
ขอนำเสนออีกครั้งหนึ่งถึงเนื้อหาในหนังสือเรื่อง Hegemony of a new type ซึ่งเขียนโดย Bezezinski
โดยเนื้อหาแล้วกล่าวถึงเรื่อง ความเป็นเจ้าของสหรัฐฯ ที่เป็นเจ้าโลกอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
ที่อิทธิพลของประเทศสหรัฐฯจะมากมายเท่านี้และในอดีตก็ยังไม่มีประเทศใดมีอิทธิพลมากมายมาก่อน
ซึ่งครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก ด้านการทหาร สหรัฐฯ ใช้งบประมาณครึ่งหนึ่งของงบประมาณทหาร
ของโลกทั้งหมด ในปัจจุบันนี้ ๔๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญ เป็นงบประมาณทางทหารของสหรัฐฯ ( ๒๕๔๗ )
เมื่อเทียบกับ GDP ของไทย ปัจจุบัน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านเหรียญเท่านั้นเอง

สหรัฐฯ จะต้องครองความเป็นเจ้า ๔ มิติ

ทหาร: สหรัฐฯ มีการวางกำลังทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคของโลก สหรัฐฯ เป็นประเทศ
ที่มีพลังอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
เศรษฐกิจ : GDP ใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ในปัจจุบันร้อยละ ๓๐ หรือประมาณ ๑๐ ล้านล้านเหรียญ
ซึ่งเมื่อเทียบกับไทยของไทยเป็นเพียงร้อยละ ๑ ของสหรัฐฯ
เทคโนโลยี : การวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีทุก ๆ ด้านของสหรัฐฯ มีความก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ
อย่างเห็นได้ชัด
วัฒนธรรม: ประเทศต่าง ๆ ยอมรับวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อย่างเต็มใจ เช่น Mass Culture ๓ใน ๔
ของตลาดหนังมาจากสหรัฐฯ ซึ่งแทรกความเป็นฮีโรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สหรัฐฯ
เข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของสหรัฐฯ อยู่ตลอดเวลา เช่น ภาพยนตร์ , ภาษา ,อาหาร ,การแต่งกาย
, การเมือง , ระบบเศรษฐกิจ , วิชาความรู้ , อินเตอร์เน็ต , สหรัฐฯ ได้สร้างสถาบันการยอมรับจากทั่วโลก
เช่น UN , IMF ,WB , WTO ….( รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
ฉะนั้นถ้าจีนต้องการที่จะเป็นมหาอำนาจดังเช่นสหรัฐอเมริการในปัจจุบัน จำเป็นที่จีนจะต้องสร้างความเหนือกว่า
สหรัฐฯ อย่างน้อย ๔ มิติดังที่กล่าวมาแล้ว คือ ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม
ถ้าเมื่อใดก็ตามที่พลังอำนาจทั้ง ๔ ประการหรือมากกว่านั้นของจีนยังไม่สามารถที่จะทัดเทียม สหรัฐอเมริกาได้
ความเป็นมหาอำนาจของจีนที่หวังไว้จึงจะยังเป็นไปไม่ได้ ทางด้านการสร้างความเหนือกว่าของจีน
บริเวณโดยรอบผืนแผ่นดินจีนนั้น จีนได้ใช้ความพยายามอย่างขมักเขม้น จีนพยายามสร้างอิทธิพลให้เกิดขึ้น
ทั้งในเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในทวีปอัฟริกา เกือบทั้งทวีปเป็นพันธมิตรกับจีนตั้งแต่ครั้งที่อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์เข้าไปมีอิทธิพล
ทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลางก็เป็นพันธมิตรของจีนไม่ใช่น้อย ประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรน้ำมัน
อย่างประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางก็ให้ความเห็นใจจีนมากว่าสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน รัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตร
ในยุคสงครามเย็นของจีนก็กลับมาเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับจีนอีกครั้งหนึ่ง กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
ที่ได้รับพิษสงการใช้พลังอำนาจ ( Hard Power ) ของสหรัฐอเมริกา ทำให้หันมาร่วมมือกับจีนด้านเศรษฐกิจ
ซึ่งถ้าสังเกตให้ดีในประเทศจีนสินค้าของทางประเทศในแถบยุโรปในจีนมีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สินค้าด้านเครื่องยนต์กลไก เช่น รถยนต์ ประมาณร้อยละ ๘๐- ๙๐ เป็นยี่ห้อของทางยุโรปทั้งสิ้น นอกจากนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับประเทศคู่อริเก่าอย่างเช่น ญี่ปุ่น เริ่มได้รับการพัฒนามากขึ้น จีนเคยบอบช้ำ
จากการรุกรานของญี่ปุ่นในอดีต ในขณะนี้จีนเริ่มผ่อนคลายการต่อต้านญี่ปุ่นลงบ้างแล้วหันมาร่วมมือ
ทางการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้น ดังที่มีตัวอย่างของการทำข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับจีนที่จะให้มี
การผลิดรถยนต์ยี่ห้อของญี่ปุ่น เช่น โตโยต้าในจีนได้ เป็นต้น ซึ่งเชื่อกันว่า ในความพยายามทั้งหลายของจีน
ล้วนมุ่งไปสู่เป้าหมายหลักคือการสร้างพันธมิตรเพื่อที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งและเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง
ให้ได้ในที่สุด ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่คลุกคลีเรื่องราวเกี่ยวกับจีนมาพอสมควรนั้น จะเห็นว่า
ด้วยการที่จีนมีประวัติศาสตร์มายาวนานมากกว่าประเทศใด ๆ ที่เป็นมหาอำนาจอยู่ในปัจจุบันนี้ จีนเคยเป็น
มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เคยเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดประเทศหนึ่งมาแล้วในอดีด
เมื่อมีความรุ่งเรืองแล้วก็มีความเสื่อมแล้วรุ่งเรืองใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้เป็นวัฐฎจักรเรื่อยไป จนกระทั่งถึงยุคที่
จีนเสื่อมถอยอำนาจลง ทำให้จีนถูกประเทศเล็ก ๆ อย่างญี่ปุ่นรุกราน ประเทศผู้ล่าอาณานิคมตะวันตกย่ำยีจีน
อย่างบอบช้ำ จีนพยายามที่จะยกตนเองขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอีกครั้งตั้งแต่เริ่มมีการตั้งจีนใหม่ ( Modern China )
ขึ้นมาหลังจากที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๒ และพัฒนาเรื่อยมา
จนกระทั่งปัจจุบันนี้ จีนเชื่อว่า เมื่อครั้งอดีต จีนเคยรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจมา กับการที่จีนจะกลับมาเป็น
มหาอำนาจอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องที่อยู่ในวิสัยที่จะเป็นไปได้

กรณีด้านพม่า จีนถือว่าพม่าเป็นมิตรที่เก่าแก่มากที่สุดประเทศหนึ่ง แม้ว่าในอดีตจีนกับพม่าจะเคยมีกรณีพิพาท
กันเรื่องชายแดนของทั้งสองประเทศแต่เมื่อมาถึงปัจจุบัน จีนกับพม่าถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความแนบแน่น
ทางด้านความสัมพันธ์ทุก ๆ ด้านอย่างหาประเทศที่เป็นมิตรกับจีนใด ๆ จะมาเปรียบได้จีนถือว่า เมื่อครั้งที่จีน
ถูกรุมประณามเรื่องการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประเทศโลกเสรีทุกประเทศประณามจีนหมด
ประเทศที่มีความเห็นอกเห็นใจและไม่ประณามจีนคือพม่า และพม่าก็ยังคงเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์กับจีนมาโดยตลอด
ระยะเวลาอันยาวนาน มา ณ ปัจจุบันนี้จีนกับพม่าก็ยังคงมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันไม่เสื่อมคลาย
สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองประเทศ ดังกล่าวมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันได้ ก็คือ
เรื่องของการมีผลประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง จีนได้หยิบยื่นผลประโยชน์ในสิ่งที่พม่าโหยหายากที่พม่า
จะหาจากแหล่งอื่น ๆ ได้ นั่นคือการช่วยเหลือ ต่อต้านผู้คุกคามพม่าหรือผู้ที่บีบคั้นและประณามพม่า
เช่นประเทศตะวันตก และประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศในโลกเสรี ที่ต้องการเห็นพม่าเป็นประชาธิปไตย
ตามแบบตน จีนไม่เคยประณามพม่าในกรณีใด ๆ เลย กลับให้การสนับสนุนช่วยเหลือพม่าอยู่ตลอดเวลา
จึงทำให้พม่าเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจจีนมากยิ่งขึ้นโดยลำดับ นอกจากนั้นจีนยังให้การสนับสนุนเงินทุน
ในการพัฒนากองทัพเพื่อปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่า ตามโครงการสร้างบูรณาการของประเทศเมียนม่า
จีนทุ่มเทงบประมาณไม่น้อยให้กับพม่าในด้านนี้ รวมทั้งจีนได้ให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์
พร้อมทั้งที่ปรึกษาทางทหารให้กับพม่าเป็นธรรมดาที่ผู้รับย่อมเกรงใจผู้ให้ พม่าก็ยิ่งเพิ่มความเกรงอกเกรงใจ
จีนมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผลประโยชน์ที่จีนกำลังได้รับคือการได้ใช้พม่าเป็นเส้นทางไปสู่ทะเลอันดามัน
อันเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญต่อเส้นชีวิตของจีนอีกเส้นหนึ่ง นัยว่าผลประโยชน์ด้านการค้าขายของจีน
ที่ต้องผ่านเส้นทางนี้มีมากมาย ทั้งนี้เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางการค้าขายของจีน ที่จีนดำเนินกิจกรรม
ทางด้านการค้าขายกับหลายกลุ่มประเทศ เช่น กลุ่มประเทศในทวีปอัฟริกา กลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาใต้
กลุ่มประเทศในอเมริกากลาง กลุ่มประเทศบางส่วนของเอเชียใต้ รวมทั้งพื้นที่สำคัญยิ่งอีกกลุ่มหนึ่งคือ
กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง สินค้าอุปโภค บริโภคราคาถูก แต่คุณภาพชั้นดีจำนวนมากของจีนส่งไปขาย
ให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ในขณะเดียวกันจีนก็นำสินค้าพลังงานปิโตรเลียมจากกลุ่มประเทศ
ตะวันออกกลางกลับประเทศตน นอกจากนั้นจีนยังได้ทำสัญญากับบางประเทศในการแลกเปลี่ยนสินค้า
อุปโภคบริโภคกับน้ำมันโดยตรง ( Exchanged ) ไม่ใช่ Barter Trade ซึ่งมีการทำกันโดยทั่วไป
กับประเทศคู่ค้าหลายประเทศอยู่แล้ว จึงเห็นได้ว่าประเทศจีนมีผลประโยชน์จากพม่าที่เพียงขอใช้เส้นทางผ่าน
แต่คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับจำนวนมหาศาล จึงทำให้จีนจะไม่ยอมสูญเสียเส้นทางนี้ไปเป็นอันขาด
เป็นที่น่าสังเกตที่ เมื่อครั้งที่ผู้เขียนกำลังศึกษาหลักสูตรป้องกันประเทศของมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ
ของจีนอยู่นั้น นักศึกษาร่วมชั้นเรียนที่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ชาวพม่าได้เดินทางไปร่วมต้อนรับ
ผู้นำทหารพม่าที่เดินทางไปเยือนจีนทุก ๆ เดือน หลังจากที่มีการเยือนเสร็่จแล้ว รุ่งขึ้นก็จะมีข่าว
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพม่ากับจีน หรือความร่วมมือกันของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น มีการให้เงินช่วยเหลือ
จากจีนต่อรัฐบาลทหารพม่าเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ จึงทำให้เห็นอย่างแน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ของทั้ง ๒ ประเทศนี้
มีความแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน ทั้งนี้เพราะต่างมีผลประโยชน์เอื้อซึ่งกันและกัน จีนมีผลประโยชน์ด้านการใช้เส้นทาง
ผ่านพม่า พม่าได้รับเงินช่วยเหลือจากจีน

เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลทหารพม่า เป็นรัฐบาลทหารที่มีความอยู่ยงคงกระพันมากที่สุดในโลกรัฐบาลหนึ่ง
ที่ท้าทายอำนาจของประเทศตะวันตกที่กระหายประชาธิปไตย พม่าไม่ได้สนใจต่อคำว่ากล่าวและประณามใด ๆ
จากประเทศตะวันตกถึงเรื่องประชาธิปไตย ถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน นั่นเพราะพม่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องอาศัย
ประเทศเหล่านั้น พม่าทำเช่นนี้มายาวนานก็ไม่เห็นว่าจะมีประเทศตะวันตก ที่บูชาประชาธิปไตยประเทศใด
ที่จะล้มล้างรัฐบาลทหารพม่าได้ อีกในแง่มุมหนึ่งก็คือ ถ้ารัฐบาลทหารพม่าไม่ได้รับความเห็นชอบหรือได้รับ
การสนับสนุนจากประชาชนในประเทศของตน ก็เชื่อแน่ว่ารัฐบาลทหารพม่าคงอยู่ไม่ได้เช่นกันที่มีคนกล่าวว่า
ประชาชนทั้งประเทศต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าจึงน่าจะไม่เป็นจริงทั้งหมด อย่างน้อยที่สุดส่วนใหญ่ต้องให้
การสนับสนุนไม่เช่นนั้นแล้วรัฐบาลใด ๆ ก็ไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่นานได้ถึงเพียงนี้ นี่น่าจะเป็นหลักสัจจธรรม
ผู้เขียนเองมีความเชื่อว่า รัฐบาลทหารพม่าคงไม่ใช่คนโง่เสมอไปและประชาชนที่เป็นปัญญาชนของพม่า
ก็คงไม่ใช่คนโง่เสมอไป ต้องรู้เหตุและผล อย่างน้อยที่สุด การแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างปัญญาชน
และเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของพม่าต้องลงตัว และประชาชนทั้งประเทศต้องได้รับผลประโยชน์ร่วมกันด้วย
หรืออย่างน้อยเรื่องของการปฏิบัติการจิตวิทยาของรัฐบาลทหารพม่าต้องเป็นเลิศอย่างแน่นอน
และเขาคงจะให้สัญญากับประชาชนอย่างพึงพอใจจึงสามารถที่จะตกลงกันได้และอยู่ทนนานเช่นนี้ ( ผู้เขียน)

เรื่องราวเกี่ยวกับที่พม่าและจีนจะต้องร่วมมือกันรักษาผลประโยชน์ของซึ่งกันและกัน คือจีนรักษาเส้นทาง
พม่ารักษาเอกราชของชาติตน ประเทศที่เป็นภัยคุกคามของทั้งสองประเทศนี้คือชาวตะวันตก
ถ้าเป็นกลุ่มประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป จีนยังพอที่จะเป็นตัวประสานให้เพลาการกดดันพม่าลงได้
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปค่อนข้างจะมีความแน่นแฟ้น
แต่ประเทศที่เป็นปัญหาของทั้งพม่าและจีนคือสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะใช้อิทธิพลของตน
เข้าไปสู่ประเทศพม่าให้ได้แต่ยังไม่เป็นผลทั้งนี้เพราะได้รับการต่อต้านจากพม่าอย่างเหนียวแน่น
สาเหตุที่สหรัฐฯ ต้องการที่จะเข้าไปในพม่าก็เพราะว่า สหรัฐฯ ต้องการที่จะตัดเส้นทาง
การออกสู่ทะเลของจีนนั่นเอง ซึ่งถ้าสามารถตัดเส้นทางออกสู่ทะเลด้านอันดามันของจีนได้
ก็เท่ากับว่าได้ดำเนินการไปตามแผนการปิดล้อมจีนอย่างได้ผล คือการที่จะทำให้ผลประโยชน์
ทางการค้าของจีนที่ต้องใช้เส้นทางผ่านพม่าต้องถูกตัดไปซึ่งเป็นผลประโยชน์อย่างมหาศาลของจีน
ที่ได้รับในแต่ละปีซึ่งจีนจะยอมไม่ได้เป็นอันขาดที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์ส่วนนี้ไป ดังที่ผู้เขียน
ได้เคยกล่าวมาแล้วและคงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปของนักการทหารและนักการข่าวด้านความมั่นคง
โดยทั่วไปว่า สิ่งที่จีนให้การช่วยเหลือแก่พม่าได้แก่

๑) งบประมาณทางทหาร
๒) อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธยุทโธปรกรณ์จำนวนมากของพม่าที่ได้รับจากจีน
๓) ที่ปรึกษาทางทหาร จีนให้ที่ปรึกษาทางทหาร
๔) ด้านการค้า เศรษฐกิจส่วนใหญ่ของพม่าต้องพึ่งพาจีน
๕) ด้านการเมืองระหว่างประเทศ จีนจะออกมาปกป้องพม่าต่อการกดดันและบีบครั้งของประชาคมโลก
ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม

สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น ภารกิจในการสกัดกั้นการเจริญเติบโตของจีนก็ยังคงเป็นเรื่องหลักไม่เช่นนั้นแล้ว
สหรัฐฯจะอยู่ไม่ได้ หรือจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจชั้นรองหรือมหาอำนาจขนาดเล็ก
อย่างประเทศอังกฤษไป ถ้าจีนขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ โดยนักวิเคราะห์
จากหลายสำนักนั้น สิ่งที่สหรัฐฯ จะต้องทำคือการที่ต้องรีบตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีนให้ได้
ถ้าภารกิจอันนี้สำเร็จลงได้ ก็เท่ากับว่าสามารถทำลายความหวังที่จะเป็นมหาอำนาจผู้นำของโลกของจีน
ตามกำหนดเวลาได้ กิจกรรมต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ ดำเนินการเพื่อการตัดเส้นทางออกสู่ทะเลอันดามันของจีน
ได้แก่
๑) ใช้กรณียาเสพติด เป็นที่เปิดเผยกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อขบวนการผลิต
และค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนไทย- พม่า คือสหรัฐฯ โดยมีองค์กรที่เกี่ยวข้องด้วยดังนี้คือ

(๑) UNHCR คือองค์กร NGOs สาขาหนึ่ง ที่มีชื่อเต็มว่า สำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ
องค์กรนี้ ถ้าสืบค้นหาต้นตอของความเป็นไปเป็นมาก็คือองค์กรที่อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา
( เพราะสหรัฐฯเป็นผู้นำในการตั้ง UN และสามารถควบคุม UN ให้เป็นเครื่องมือในการดำเนินการ
ตามนโยบายของตนได้ ) องค์กรนี้จะเข้าประจำอยู่ตามค่ายผู้ลี้ภัยชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า
ชนกลุ่มนี้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จากรายงานข่าวของทางทหารและสายข่าวหน่วยรบพิเศษ
ที่เป็นเพื่อนของผู้เขียนเอง ที่ได้เข้าไปปฏิบัติงานใกล้ชิดและบางครั้งได้เข้าร่วมปฏิบัติงานกับชนกลุ่มนี้
สามารถชี้ชัดได้ว่า ชนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยของพม่าผลิตและค้ายาเสพติด
พร้อมกับส่งเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมอมเมาคนไทย และพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เกิดข้อพิพาทระหว่าง
ทหารไทยกับทหารพม่า ให้ได้เพื่อให้เกิดการสู้รบกันทางทหารของทั้งสองประเทศ เรื่องเช่นนี้ถ้าวิเคราะห์
กันให้ดีก็จะพบว่า เมื่อ UNHCR เป็นชาวคาทอลิก ที่มีอุดมการณ์ในการเผยแพร่ศาสนาของตนตามแนวทาง
ของวาติกัน ที่ให้การสนับสนุนหลักด้านการเงิน จึงต้องทำลายศาสนาอื่น หรือไม่ก็ต้องพยายามให้
ศาสนิกของศาสนาอื่นที่เชื่อมั่นศรัทธาศาสนาของตนอย่างแนบแน่นให้ละความศรัทธาลงแล้วหันเข้าหา
และนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในที่สุด ดังที่เห็นได้จากการที่เมื่อคนไทยที่เป็นชาวพุทธ
เสพยาเสพติดแล้วจิตใจก็มิได้จดจ่อต่อหลักการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธศาสนา
ไม่สามารถปฏิบัติสมาธิจิตได้ ไม่สามารถรักษาศีลได้ หันไปสนใจในสิ่งยั่วยุทางจิตใจ หันเข้าหาอบายมุข
การห่างเหินศาสนาเป็นการทำลายวัฒนธรรมเดิมของตนเอง เพราะวัฒนธรรมประเพณีของคนไทยมาจาก
รากฐานของพระพุทธศาสนา เมื่อประชาชนชาวไทยห่างเหินจาก ศาสนาพุทธก็เท่ากับเป็นการทำลาย
ศาสนาพุทธไปในตัว แล้วในที่สุดวัฒนธรรมแบบตะวันตกที่มีแนวทางของ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
เป็นแกนก็จะเข้าครอบงำสังคมไทย ดังที่เห็นกันอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้ สังคมไทยกำลังถูกกลืน
ด้วยวัฒนธรรมของสังคมอื่น คนไทยมองเห็นพุทธศาสนาแต่เพียงเปลือก ศาสนาพุทธถูกทำลายไปทุกวัน
ด้วยชื่อเสียต่าง ๆ นานา เป็นประจำทุกวัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่มีองค์กรของศาสนาอื่นอยู่เบื้องหลัง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.294 วินาที กับ 21 คำสั่ง