เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤษภาคม 08, 2025, 06:42:13 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความพอเพียงที่ไม่ใช่แค่พอประทังชีวิต!  (อ่าน 1180 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
nars รักในหลวงและแผ่นดินไทย
Website Sponsor
Hero Member
****

คะแนน 303
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4897


« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2006, 12:41:33 AM »

เศรษฐกิจพอเพียง! เป็นนโยบายที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ประกาศเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

แม้หลายฝ่ายจะเห็นด้วย...แต่ก็มีอีกหลายฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เพียงแต่

ไม่กล้าประกาศตัวออกคัดค้าน


ไม่เห็นด้วย เพราะในใจลึกๆ ของคนหลายฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่เสพติดเศรษฐกิจทุนนิยมตามแนว “ลัทธิทักษิโณมิกส์” มองว่า เศรษฐกิจแบบพอเพียงไม่น่าจะทำให้คนไทยรวยขึ้น
ความพอเพียง ก็คือ ความพอเพียง

ไม่มีวี่แววอะไรเลยที่บอกได้ว่า จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศได้เติบโตอย่างฟู่ฟ่า มีเงินสะพัดไหลไปไหลมา ให้ผู้คนได้มีได้กินได้ใช้อย่างเต็มที่

อย่างดีของความพอเพียงก็จะคงแค่ไม่มีหนี้...เรื่องช่วยให้คนไทยร่ำรวยขึ้นคงไม่มีให้เห็น

แต่ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ นักเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กลับมองว่า


“ถ้าต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง เศรษฐกิจแบบพอเพียงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรีบนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ
เศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ใช่การทำให้ชีวิตคนมีความเป็นอยู่แบบพอมี
พอกิน

 เศรษฐกิจแบบนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้อธิบายมาแล้วว่า เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ ที่ฝรั่งเรียกว่า Subsistence Economics

ส่วนเศรษฐกิจแบบพอเพียงนั้น ใช้คำว่า Sufficiency Economics”

ความพอเพียง มีความหมายยิ่งใหญ่กว่าพอมีพอกิน

ความพอเพียง ไม่ได้หมายความว่า รวยไม่ได้

รวยได้ แต่เป็นการรวยแบบสมเหตุสมผล รวยด้วยความสามารถ ด้วยศักยภาพของตัวเอง ยืนบนขาตัวเอง

ไม่ใช่รวยแบบยืมจมูกคนอื่นหายใจ?


“ที่ผ่านมาการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างสวยหรู ล้วนเป็นความร่ำรวยแบบภาพลวงตา ประเทศชาติไม่ได้ร่ำรวยจริง


เพราะตัวเลขสวยหรูที่ทำให้ดูเหมือนประเทศชาติร่ำรวยขึ้นนั้น ผลปรากฏว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังยากจนอยู่ คนที่รวยจริงๆ มีไม่กี่คน และในคนที่ร่ำรวยนั้นก็ไม่ใช่คนไทยทั้งหมด คนต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยต่างหาก”
คนไทยได้แค่เพียงเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างชาติเจือจานให้ในฐานะเป็นลูกจ้าง พนักงาน...เงินกำไรก้อนมหาศาลขนกลับประเทศบริษัทแม่

ดร.สมภพ ยกตัวอย่าง ความร่ำรวยแบบภาพลวงตา...นโยบายเศรษฐกิจผลักดันให้ประเทศไทยเป็นนิกส์ เป็นชาติอุตสาหกรรมใหม่

ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ของเอเชีย...ดีทรอยต์แห่งเอเชีย
นโยบายนี้ ชี้ให้เห็นชัดถึงความไม่พอเพียง

“จะผลิตรถยนต์ เรามีทรัพยากรอย่างแร่เหล็กหรือไม่ มีเทคโนโลยีหรือไม่ และคนมีความรู้ความสามารถพอหรือไม่


ทุกอย่างเราแทบจะไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย เหล็กที่นำมาทำรถยนต์

ก็ต้องสั่งมาจากต่างประเทศ เทคโนโลยีความรู้ก็ต้องนำเข้ามาจากญี่ปุ่น สิ่งที่เรามีอยู่ก็แค่แรงงานเท่านั้น”


ฉะนั้น การผลักดันให้เราเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย ประเทศชาติได้อะไร...ได้แค่ช่วยให้คนไทยมีงานทำ เป็นลูกจ้างญี่ปุ่น
กำไรรายได้อย่างอื่น เป็นของต่างชาติ

หนำซ้ำประเทศไทยไม่มีบ่อน้ำมันเป็นของตัวเอง น้ำมันแทบทุกหยดต้องซื้อจากต่างประเทศ ผลิตรถยนต์ขึ้นมา เพื่อให้เป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย ต้องกระตุ้นตลาดในประเทศให้คนไทยใช้รถยนต์มากขึ้น... ประเทศชาติต้องเสียเงินไปซื้อน้ำมันจากต่างชาติอีก
“การพัฒนาเศรษฐกิจแบบนี้ เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบสร้างภาพลวงตาว่าเรารวย เจริญทันสมัย แต่จริงๆแล้วต่างชาติต่างหากที่ได้ประโยชน์

ถ้าจะให้คนไทยได้ประโยชน์จริง นโยบายเศรษฐกิจต้องเป็นแบบพอเพียงนั่นก็คือ เราต้องสร้างความร่ำรวยแบบสมเหตุสมผล เรารวย เศรษฐกิจเติบโตได้เพราะเราสามารถผลิตสินค้าได้เองจริงทั้งระบบ ไม่ใช่แค่คนรับจ้างประกอบสินค้า”

เศรษฐกิจพอเพียงในความหมายของ ดร.สมภพ นั่นก็คือ ถ้าเราอยากจะร่ำรวยอย่างแท้จริง ต้องหันมาสำรวจความพอเพียงของประเทศก่อนว่า...ประเทศเรามีอะไรบ้าง ที่เพียงพอเป็นของตัวเอง
สิ่งที่เรามี...ความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตร ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก ในทวีปเอเชียไม่มีใครสู้เราได้ในเรื่องนี้
เพราะเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสุทธิ หรือส่งออกอาหารมากกว่านำเข้าได้ทุกปี ในเอเชียไม่มีประเทศไหนทำได้ จีนที่ว่ายิ่งใหญ่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะต้องนำเข้าอาหารมากกว่าส่งออก

ญี่ปุ่นก็ยังต้องนำเข้าอาหารถึง 60% พึ่งพาอาหารที่ผลิตในประเทศได้แค่ 40%


“นี่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย คนไทยผลิตอาหารได้เก่ง มีทรัพยากรวัตถุดิบ มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องยืมจมูกต่างชาติมาหายใจ ทุกอย่างที่ค้าขายได้ เงินก็ตกอยู่กับคนไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์”

สรุปแล้วเศรษฐกิจแบบพอเพียง...ก็คือ ก่อนจะทำอะไร ต้องการรู้จักประเมินความพอเพียงของตัวเองก่อนว่า มีความพร้อม ความสามารถตรงไหน และพัฒนาเศรษฐกิจไปตามศักยภาพความเป็นจริงที่ตัวเองมีอยู่

ไม่ใช่คิดฝันพัฒนาเศรษฐกิจ ให้ประเทศชาติร่ำรวยแบบ...เห็นช้างขี้ อยากจะขี้ตามช้าง

เห็นญี่ปุ่นรวยเพราะขายรถ ก็อยากจะทำขายกับเขาบ้าง

เห็นฝรั่งเพราะค้าหุ้น ค้าเงินแล้วรวย ก็อยากจะพัฒนาตลาดหุ้น ตลาดเงินให้เหมือนเขา

ทำไปเพราะความอยาก โดยไม่สำรวจตัวเองให้ดีว่า เรามีทรัพยากร มีความรู้ความสามารถเหมือนเขาหรือเปล่า

“การบริหารเศรษฐกิจแบบพอเพียง ไม่ใช่เป็นการกำหนดทิศเศรษฐกิจที่จะไปขัดขวางไม่ให้ธุรกิจของเอกชนเติบโต เอกชนจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเอกชน

แต่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยภาครัฐ รัฐบาลควรจะกำหนดทิศทางให้ชัดเจน การลงทุนอะไรที่ไม่สอดคล้องความพอเพียงที่เป็นจริงของประเทศ รัฐบาลต้องไม่ไปสนับสนุนอุดหนุน หรือให้สิทธิเป็นกรณีพิเศษเหมือนที่ผ่านมา เพราะจะเป็นการลากให้ประเทศไทยต้องพึ่งจมูกต่างชาติหายใจ”

ดร.สมภพ ตั้งข้อสังเกต ผลของการบริหารเศรษฐกิจแบบไม่รู้จักความพอเพียงของตัวเอง ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะมีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลกมาก

น้ำมันแพงเราก็มีปัญหา...ตลาดหุ้นในต่างประเทศวูบ เศรษฐกิจไทยวูบตาม...อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่คงที่ เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ...เงินทุนไหลเข้าไหลออก เศรษฐกิจไทยเอียง

“ประเทศเรามีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเป็นพื้นฐาน สามารถยืนอยู่บนขาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร ประเทศไทยมีเนื้อที่ 321 ล้านไร่ ประชากร 62 ล้านคน หารเฉลี่ยแล้ว คนไทยมีที่ดิน 5 ไร่ต่อคน

ที่ดินขนาดนี้ เพียงพอต่อการสร้างปัจจัย 4 ให้คน 1 คนได้สบายมาก ต่อให้ปิดประเทศไม่ต้องค้าขายอะไรกับใคร เราก็ยังมีกินมีใช้อย่างเหลือเฟือ เราพึ่งตัวเองได้ แต่พอเศรษฐกิจโลกมีปัญหาทำไมเราต้องป่วยตาม”

สาเหตุนั่นก็มาจาก ที่ผ่านมาการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ เป็นไปในทิศทางทำให้เรายืมจมูกคนอื่นหายใจ พึ่งพาต่างชาติตามกระแสโลกาภิวัตน์มากเกินไป

ทั้งที่มีพอเพียง แต่อยากรวยแบบไม่ดูตัวเอง ประเทศชาติเลยรวยแบบสามล้อถูกหวย...รวยไม่นาน ไม่จีรังยั่งยืน.

 
        เรานำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ รวมทั้งน้ำมันปีละ กว่าล้านล้านบาท แค่น้ำมันอย่างเดียวก็วันละ 800000 บาเรล ตกปีละ แปดแสนล้านบาท  แต่เราส่งออกรถได้ปีล่าสุดก็แสนสองแสนล้านเอง คุ้มไม่คุ้มกับแนวทางนี้ก็คงต้องหยุดคิดกันบ้างแล้ว กับนโยบายรวยกระจุก จนกระจายเต็มประเทศครับ


http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=22572
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2006, 11:35:55 AM โดย nars » บันทึกการเข้า

ถ้าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง
ผีเปรตในนรกมันคงโหวตให้พวกมันได้ขึ้นสวรรค์
จะแก้รัฐธรรมนูญไปทำไม! ต้นตอปัญหามันเกิดจากรธน.ไม่ดี หรือพวกแกมันเลว!
jamin
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 9
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1356


« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2006, 02:33:52 AM »

ประเทศเรามีอะไรบ้าง ที่เพียงพอเป็นของตัวเองสิ่งที่เรามี...ความสามารถในการผลิตสินค้าเกษตร ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก ในทวีปเอเชียไม่มีใครสู้เราได้ในเรื่องนี้
เพราะเป็นประเทศที่ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสุทธิ หรือส่งออกอาหารมากกว่านำเข้าได้ทุกปี ในเอเชียไม่มีประเทศไหนทำได้ จีนที่ว่ายิ่งใหญ่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะต้องนำเข้าอาหารมากกว่าส่งออก

ญี่ปุ่นก็ยังต้องนำเข้าอาหารถึง 60% พึ่งพาอาหารที่ผลิตในประเทศได้แค่ 40%

“นี่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย คนไทยผลิตอาหารได้เก่ง มีทรัพยากรวัตถุดิบ มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องยืมจมูกต่างชาติมาหายใจ ทุกอย่างที่ค้าขายได้ เงินก็ตกอยู่กับคนไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์”


เราเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่เกษตรกรของเรามีกรรม ได้รับความเหลียวแลจากผู้มีอำนาจน้อยที่สุด
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.044 วินาที กับ 20 คำสั่ง