มนุษย์มีปัญญาในการแยกแยะสิ่งดีงามและชั่วร้ายออกจากกัน
มนุษย์ที่ได้รับการขัดเกลาด้วยธรรม ย่อมใช้สติในการพิจารณาสิ่งหนึ่งสิ่งใด
การที่มนุษย์เราลงโทษด้วยการพล่าผลาญชีวิตผู้กระทำความผิด...ด้วยการทรมาน...ย่อมไม่ต้องด้วยธรรม
บาปและกรรม เป็นสิ่งที่คู่กันไป...ไม่อาจหลีกแยกจากกันได้
คนทำเวรทำกรรม จิตใจของบุคคลนั้น ๆ ย่อมไม่อยู่สุข และเป็นทุกข์ในใจเสมอ ยามนอนก็นอนตาไม่หลับ ยามกินอาหารก็ไม่อิ่มเอมโอชะเยี่ยงผู้ประพฤติดีงาม พระท่านว่า..นั่นคือนรกในใจของผู้นั้นโดยแท้
ทำความผิดครั้งเดียวหรือหลายครั้ง...ใหญ่หรือน้อย....ล้วนแล้วก็เป็นความผิดเสมอกัน เพียงแต่เราส่วนใหญ่เห็นว่า น่าจะลงโทษให้มากขึ้นตามกรรมและวาระแห่งการกระทำ....
การลงโทษ ก็คือ การที่สังคมได้ค้นคิดวิธีการเพื่อปรามปราบผู้กระทำการอันสังคมนั้น ๆ เห็นแล้วว่าไม่ควรอยู่คู่สังคมนั้น ๆ ต่อไป จึงเป็นการกีดกันให้ผู้ที่กระทำผิดจากกฎเกณฑ์ของสังคมหลุดพ้นไป
ตายก็คือตาย ใยจึงต้องทรมานก่อนตายด้วย เขาคนนั้นจะรู้สึกถึงความดีชั่วอย่างไร สุดท้ายก็ตาย ไม่มีโอกาสแม้เพียงเล็กน้อยที่จะคอยแก้ไขให้กลับดีขึ้นมาได้อีก.....
ดังนั้น เมื่อตายตามคำพิพากษา หรือตามบทลงโทษของสังคม...สังคมย่อมอโหสิในกรรมที่เขาก่อขึ้นมา อย่าจองเวรต่อไปเลย..เพราะเรานั่นแหละ..ที่ถูกกรรมทำให้จิตใจไม่ผ่องใส ความคิดขุ่นมัวอยู่แต่เรื่องการแก้แค้น ลงโทษ เหมือนไฟที่คอยเผาผลาญจิตใจเราอยู่มิรู้วาย......
