มหาวิทยาลัยนอกระบบกับการแปลงทรัพย์สินให้เป็นสินบน?
พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ
ptorsuwan@yahoo.comเชื่อว่าสังคมไทยคงจะคุ้นเคยกับพฤติกรรมการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบนเป็นอย่างดี เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีในระดับประเทศอย่างเรื่องค่าโง่ทางด่วน หรือกรณีสนามบินสุวรรณภูมิ ไปจนถึงในระดับท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นบรรดาโครงการสร้างถนนสาธารณะ เขื่อนหรือฝายชลประทานต่าง ๆ อย่างที่เป็นข่าวเกี่ยวกับการฮั้วประมูลอยู่หลายครั้ง การที่อาจารย์อายุทธ์ จิรชัยประวิตรได้ตั้งข้อสังเกตไว้ในบทความเรื่อง การนำจุฬาฯออกนอกระบบ (ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจวันที่ 16 ม.ค. 50) เกี่ยวกับเรื่องการแปลงสมบัติสาธารณะให้เป็นสินบน (briberization) จากนโยบายที่จะเอามหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการนั้น จะเป็นกระบวนการที่ชั่วร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยจริงหรือไม่นั้นผมคงไม่กล้าฟันธง แต่สังคมไทยก็น่าจะลองพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ มิใช่แต่เพียงรับฟังการแก้ข้อสันนิษฐานนี้โดยอ้างเพียงว่าบรรดาผู้บริหารฯ ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงโปรดเกล้าสถาปนาสถาบันแห่งนี้ ตลอดจนพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ให้แก่มหาวิทยาลัย ซึ่งทางผู้บริหารฯ จะไม่มีวันที่จะทำการแปลงทรัพย์สมบัติของมหาวิทยาลัยให้เป็นสินบนเด็ดขาด ซึ่งล้วนเป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอยโดยปราศจากหลักประกันอันใด
จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยฉบับเดิมเพียงกำหนดให้มหาวิทยาลัยในการดําเนินงานทางการศึกษาและวิจัยเท่านั้น โดยไม่มีมาตราใดเปิดโอกาสให้มีการประกอบการค้าได้ แต่นโยบายมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือมหาวิทยาลัยออกนอกระบบนี้มุ่งหวังความคล่องตัวทางการบริหาร ถ้าพิจารณาโดยหลักการแล้วก็เห็นว่ามีความคล้ายกันเกือบทุกมหาวิทยาลัย แต่ข้อสังเกตเกี่ยวกับความน่าจะเป็นในการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบน ตลอดจนการผูกขาดถ่ายโอนช่วงอำนาจของคณะผู้บริหารฯนี้ ก็น่าจะมีความเป็นไปได้ในอนาคต และอาจเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดกับมหาวิทยาลัยซึ่งถือครองทรัพย์สินอันมหาศาลอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระบวนการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบนจะเริ่มต้นจากศักยภาพของมหาวิทยาลัยในการถือครองอสังหาริมทรัพย์อันมีคุณค่า ซึ่งเป็นที่หมายปองของบรรดาภาคเอกชน (prospected investors) กับโอกาสการแสวงหาผลกำไรอันมหาศาลจากการทำธุรกิจ โดยอำนาจผูกขาดเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรของมหาวิทยาลัยเพื่อการให้สัมปทานหรือการดำเนินการทางธุรกิจอื่นใดจะอยู่กับคณะผู้บริหารฯ และสภามหาวิทยาลัยซึ่งเป็น authorized agents เท่านั้น โดยอาศัยอำนาจตามร่างพระราชบัญญัติจุฬาฯฉบับใหม่ ไม่ว่าจะตามมาตรา 13 ที่ให้อำนาจผู้บริหารฯในการประกอบธุรกิจอย่างกว้างขวาง ทั้งสามารถซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน และจำหน่าย หรือทำนิติกรรมใด ๆ รวมถึงการให้สิทธิในการกู้เงินและให้กู้เงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน ตลอดจนการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับภาคธุรกิจเอกชน นอกจากนี้ในมาตรา 14 ยังเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยสามารถแสวงหารายได้หรือผลประโยชน์อื่นจากการลงทุนหรือจากการร่วมลงทุนและจากทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย ส่วนมาตรา 15 ให้เอกสิทธิแก่มหาวิทยาลัยสามารถดำเนินการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยได้ เว้นแต่ที่ดินพระราชทาน ณ อำเภอปทุมวัน ยกเว้นแต่โดยออกเป็นพระราชบัญญัติฯ และมาตรา14 (7) ยังกำหนดว่ารายได้ของมหาวิทยาลัยไม่ต้องส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
ความเป็นไปได้ของกระบวนการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นสินบนในมหาวิทยาลัยยุคนอกระบบจะเกิดขึ้นจากความลงตัวด้านผลประโยชน์ของทั้งภาคเอกชนผู้ลงทุนและคณะผู้บริหารฯผู้มีสิทธิขาดในการดำเนินการ โดยการเรียกรับสินบนจะเป็นในแบบผลประโยชน์ upfront หรือมีผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น ๆ ต่อเนื่อง เช่นการดํารงตำแหน่งบริหารหรือที่ปรึกษาบริษัทเอกชนในอนาคต หรือการถือครองหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้ สินบนจะมีมูลค่ามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับโอกาสในการแสวงประโยชน์บนอสังหาริมทรัพย์ ความเป็นจริงแล้วการให้สัมปทานภาคเอกชนเพื่อดำเนินธุรกิจบนอสังหาริมทรัพย์ของจุฬาฯเกิดขึ้นและดํารงอยู่มาช้านานก่อนจะมีร่างพระราชบัญญัติฯฉบับใหม่นี้เสียอีก ไม่ว่าจะเป็นห้างมาบุญครอง(MBK) โรงแรมโนโวเทล สยามแสควร์ สามย่าน ฯลฯ เพียงแต่ผลประโยชน์ที่มหาวิทยาลัยได้รับมาตลอดหลายสิบปีก็ยังมีความคลุมเครืออยู่ตลอด จึงเป็นเหตุให้ผู้บริหารฯมักจะอ้างว่ามหาวิทยาลัยขาดเงินทุนในการพัฒนาการศึกษาและวิจัย ซึ่งเป็นเหตุผลสาคัญอย่างหนึ่งของนโยบายการออกนอกระบบราชการของมหาวิทยาลัยนั่นเอง แนวทางการแปลงทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยให้เป็นสินบนในยุคทุนอสังหาฯข้ามชาติ ย่อมไม่ใช่กระบวนการแปรรูปมหาวิทยาลัยโดยการนำเอาจุฬาฯไปจดเป็นบริษัทมหาชนเพื่อกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เหมือนที่เกิดขึ้นกับบางรัฐวิสาหกิจ แต่อสังหาริมทรัพย์ ณ อำเภอปทุมวันของมหาวิทยาลัยซึ่งสามารถนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจดในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถสร้างรายได้ทั้งจากค่าเช่าพื้นที่และการระดมทุนในตลาดฯได้อย่างมากมายมหาศาล ตัวอย่างเช่นโครงการจัตุรัสจามจุรี (จุฬาฯไฮเทคแสควร์เดิม) ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังก่อสร้างต่อจากที่ค้างเดิม โดยเป็นอภิมหาโครงการบนที่ดิน 21 ไร่ฝั่งตรงข้ามกับตลาดสามย่าน ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน 40 ชั้น พื้นที่ศูนย์การค้า และอาคารที่พักอาศัย 23 ชั้น โดยมีพื้นที่อาคารทั้งสิ้นประมาณ 315,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการประมาณ 5,000ล้านบาท ซึ่งยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่าใครเป็นผู้ลงทุนในดำเนินการต่อ(จุฬาฯหรือบริษัทเอกชน) แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่โครงการนี้น่าจะสามารถนำร่องไปจดจัดตั้งกองทุนอสังหาฯ โดยอาจมีการจัดตั้งร่วมกับเอกชนในลักษณะร่วมทุนก็ได้ตามมาตรา 13 ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าขณะนี้ที่รั้วรอบโครงการนี้ได้มีโฆษณาและสัญลักษณ์ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว
นอกเหนือจากโครงการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีแนวทางการพัฒนาที่ดินของจุฬาฯอีกหลายร้อยไร่ตั้งแต่สามย่านไปจนตลอดแนวถนนบรรทัดทองซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการขับไล่บรรดาผู้เช่าห้องแถวเดิม และอาจจะถูกนำมาจัดสรรเพื่อการให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชน หรือการร่วมทุนทางธุรกิจกันอย่างไรก็สุดแต่จะคาดเดาได้ แต่เมื่อผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของจุฬาฯในอนาคตทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะมีมูลค่ามหาศาลสูงกว่าที่จะสามารถประเมินได้จากเพียงที่ดินและอาคารหลายเท่าตัว จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะมีการอาศัยผลประโยชน์ด้านทุนในรูปแบบสินบนนี้ในการเอื้อต่อการประสานอำนาจต่อกันในหมู่ผู้บริหารฯและสภามหาวิทยาลัยที่มีเพียง 26 ท่านเท่านั้น โดยเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงยิ่งถ้าเราเปรียบเทียบกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองระดับชาติที่ผ่านมา ซึ่งมีการใช้ทุนควบคุมสมาชิกสภาฯส่วนใหญ่ตลอดจนเข้าครอบงำองค์กรอิสระทั้งหลายอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาประกอบกับโครงสร้างอำนาจจากการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยที่ได้ให้อำนาจผู้บริหารฯและสภาฯในการบรรจุ แต่งตั้ง และถอดถอนพนักงานของมหาวิทยาลัยตามมาตรา 31 ตลอดจนอำนาจในการแต่งตั้ง ถอดถอนรองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการ และหัวหน้าส่วนงานต่าง ๆ ตามมาตรา20 (9) หรือแม้กระทั่งอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตําแหน่งทางวิชาการได้อีกด้วยตามมาตรา 20 (

แล้ว คงนับเป็นการสถาปนาระบบอุปถัมภ์ (cronyism) อันมั่นคงในมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน และความหวั่นเกรงเรื่องสถานภาพของบรรดาอาจารย์และพนักงานของมหาวิทยาลัย ตลอดจนอิสรภาพในทางวิชาการก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด