สมัยก่อนมีชูศรีเชิญยิ้มด้วยเหรอครับ

คงไม่ใช่ ชูศรีเชิญยิ้ม หรอกครับ แต่คงจะเป็น ชูศรี มีสมมนต์

ชูศรีเรียนจบชันมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากโรงเรียนนาฏศิลป์ จากนั้นก็มาเรียนต่อชั้น ม. 6 ที่โรงเรียนขัตติยานีผดุง
ระหว่างที่เรียนทางบ้านได้ขอให้ชูศรีเรียนต่อพยาบาล แต่ชูศรีเวลานั้นใจร่ำร้องอยากจะยึดอาชีพเต้นกินรำกิน
เพราะเรียนมาทางนาฏศิลป์ ในที่สุดก็ปฎิเสธคำขอของทางบ้าน อาจารย์ลัดดา สารตายนต์ แห่งโรงเรียนนาฏศิลป์
สมัยนั้น ได้ตั้งคณะละครชายจริงหญิงแท้ขึ้น และเปิดการแสดงที่โรงละครแหงชาติ ประเดิมด้วยเรื่อง ผกาวลี มี อุโฆษ จันทร์เรือง เป็นพระเอก ชูศรี มีสมมนต์ก็ได้มีโอกาสแสดงกับเขาด้วยในบทตลกติดตามนางเอกและร้องเพลงสลับหน้าเวที
แล้วจากนั้นอาจารย์ลัดดา ก็ใช้ชื่อคณะละครตนเองว่า ผกาวลี ผลการแสดงเรื่องแรกผ่านไปได้อย่างดี
แล้วชีวิตแห่งการแสดงของชูศรีก็เริ่มแต่นั้นมา ความเป็นศิลปินอิสระทำให้ชูศรีแสดงได้กับหลายคณะ อาทิ คณะเทพศิลป์การละคร คณะศิวารมณ์,คณะอัศวินการละคร,คณะวิจิตรเกษม,คณะชื่นชุมนุมศิลปิน,และคณะลูกไทย เป็นต้น
ละครที่สร้างชื่อเสียงให้กับชูศรีมากที่สุดก็คือเรื่อง ขุนเหล็ก ที่ชูศรีแสดงคู่กับดอกดิน กัญญามาลย์ อาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการตลกก็คือ อบ บุญติค ชูศรีได้พบรักครั้งแรกเมืออายุได้ 17 ปี กับชายหนุ่มที่ชือ เชิด โรจนประดิษฐ์
ชูศรีเล่นละครเวทีตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 มาจนถึงปี 2497 ก่อนที่วงการละครเวทีจะซบเซาลง ครั้งสุดท้ายก่อนปิดฉากละครเวทียุคนั้น ส.อาสนจินดาได้รวบรวมนักแสดงทั้งหมดที่เกิดในวงการละครรวมทั้งชูศรี เล่นละครเรื่อง อภัยทศพเนจร แสดงที่โรงภาพยนตร์ศรีอยุธยา หลังจากนี้ ต่างก็แยกย้ายกันไปหาอาชีพ ชูศรีได้ไปสมัครร้องเพลงสลับหน้าม่านกับพยงค์ มุกดาและเชาว์ แคล่วคล่อง เพลง อัดซีบาบา คือเพลงแรกของชูศรีที่ร้อง จากนั้นก็หันมาเล่นหนัง
ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของชูศรีคือเรื่อง ยอดรักคนยาก ของ ส.อาสนจินดา ผลงานการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของชูศรีก็คือเรื่อง แม่ค้าหาบเร่ นำแสดงโดย เติม โมรากุล กับกรองจิต เตมีย์ศิลปิน เข้าฉายที่เฉลิมกรุง ได้กำไรมา 1 หมื่นบาท ทิ้งช่วงไปพักนึงก็กลับมาสร้างอีกครั้งในเรื่อง ในฝูงหงส์ เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จ ชูศรีเลยต้องหันมาเล่นหนังอย่างเดียวไปหลายปี ก่อนจะหวนมาสร้างหนังอีกครั้งเรื่อง สามเกลอเจอล่องหน เช่นเคยแม่จะมีพระเอกนางเอกดังอย่าง มิตร - เพชรา เล่นแต่ก็ไม่เป็นผล
ผลของหนังสองเรื่อง สร้างหนี้ให้ชูศรีเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย เท่านั้นยังไม่พอคู่ชีวิตของตนเองคือเชิด ได้หลบลี้หนีหายไปอย่างไร้ล่องรอย ใครดูหนังหรือเป็นแฟนประจำชูศรี จะเห็นว่ามีบางช่วงชูศรีใช้นามสกุล โรจนประดิษฐ์ แต่ต่อมาก็กลับมาใช้มีสมมนต์อย่างเก่า ต่อแต่นั้นมาชูศรีก็ทำหน้าที่แสดงอย่างเดียว จนปี 2524 ชูศรีได้ล้มป่วยลงเข้าออกโรงพยาลอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2535 ชูศรีได้เสียชวิตลงอย่างสงบ