อ่านตามข่าวล่าสุด... รองนายกฯ จาตุรนฯ บอกว่าคณะกรรมการสมานฉันท์ ไม่ได้มีมติแบบนั้นครับ... รายละเอียดอยู่ข้างล่างครับ...
นายสมชายว่าหากไม่ใช่ฉวยโอกาส... แอบอ้างคนอื่น ก็ข้อมูลไม่ตรง... นึกถึงคำขวัญ เสธ. มะขิ่นครับ... "อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน"... แต่ก่อนเห็นเขียนไว้ข้างกำแพงกรมทหารตรงเกียกกาย อยู่ตั้งหลายปี... เดี๋ยวนี้ไม่ได้เขียนไว้แล้ว... แต่ทุกคนจำได้ครับ...
ลอกมาจากนี่ครับ...
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000054916&Keyword=%a8%d2%b5%d8%c3%b9อ๋อยเผยตั้งเขตปกครองพิเศษไม่ใช่มติกก.สมานฉันท์ฯ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 เมษายน 2548 13:55 น.
จาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี หนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.)ภาคการเมือง
จาตุรนต์ระบุ ตั้งเขตปกครองพิเศษเป็นแนวคิดของหมอประเวศ ไม่ใช่มติกรรมการสมานฉันท์ แต่อาจเป็นไปได้แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ส่วนการตั้งกองทุนเยียวยาจนท.-ผู้เสียชีวิตสอดคล้องกับแนวที่รัฐบาลกำลังทำซึ่งต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
วันนี้ (25 เม.ย.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายกรัฐมนตรี หนึ่งในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ภาคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอให้ตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในภาคใต้ว่า ความจริงแล้วกองทุนนี้น่าจะมีประโยชน์ แต่ต้องดูก่อนว่าเป็นข้อสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์หรือไม่ และต้องการให้กองทุนอยู่ที่ไหน ซึ่งคงต้องคุยในรายละเอียดกันอีกที แต่ในส่วนของรัฐบาลได้เตรียมที่จะตั้งคณะกรรมการอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะไปใหญ่โดยจะหารือในวันที่ 28 เม.ย.นี้ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกันเพื่อยกร่างแนวทางการทำงานและเท่าที่ดูโครงสร้างการทำงานของคณะกรรมการสมานฉันท์นั้นจะมีอนุกรรมการเกี่ยวกับด้านการเยียวยาอยู่แล้ว และได้เสนอให้ดำเนินการไปบางเรื่องแล้ว และเสนอแนวทางหลักๆ ไปแล้ว ซึ่งได้ตอบรับไปแล้วบางเรื่อง โดยเฉพาะให้ผู้เสียหายจากกรณีต่างๆ จากเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม โดยให้มีการสำรวจผู้เสียหายทั้งหมด จึงถือว่าแนวทางดังกล่าวสอดคล้องกัน
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า การทำงานกับคณะกรรมการสมานฉันท์ ในฐานะที่เป็นตัวแทนรัฐบาล หลายเรื่องไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ยืดยาด เมื่อเสนอมาก็จัดการให้เลย ส่วนที่เหลือมีบางเรื่องที่รัฐบาลจะต้องอาศัย คณะกรรมการสมานฉันท์ในการไปสื่อสารกับฝ่ายต่างๆ เมื่อถามว่า รัฐบาลมีข้อมูลตัวเลขผู้เสียหายที่จะต้องให้การช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า โดยทั่วไปผู้ที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือนั้นยังพอมีอยู่ แต่ปัญหาใหญ่คือช่วยเหลือไม่ครบถ้วน และการช่วยเหลือยังน้อยไป เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจต่อสู้กับผู้ก่อความไม่สงบจนได้รับบาดเจ็บ แทนที่จะได้ 3-4 ขั้น แต่ได้เพียงขั้นเดียวเท่านั้น เป็นต้น ส่วนประชาชนที่ยังไม่ได้รับการดูแลก็ยังมีอยู่เนื่องจากมองว่าเขาเป็นผู้ก่อความไม่สงบ เช่น ผู้เสียหายจากกรณีกรือเซะ ญาติพี่น้อง พ่อ แม่ ที่ได้รับความช่วยเหลือรายละ 1-2 หมื่นบาทต่อคนที่เสียชีวิต โดยหลักต้องถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นเหยื่อความรุนแรงของสังคม ซึ่งจะต้องให้ความช่วยเหลือมากกว่านี้โดยในการประชุมในสัปดาห์นี้จะมีการตั้งโจทย์ให้ชัดเจน และตั้งเป้าหมายในการช่วยเหลือให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการมองว่าเจ้าหน้าที่ยังขาดการทำงานในเชิงรุก ต้องรอให้ผู้เดือดร้อนมาร้องเรียนด้วยตัวเอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องสร้างระบบขึ้นมาเพื่อทำความเข้าในในวิธีการทำงาน ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องวางเครือข่ายและทำงานเชิงรุกมากกว่านี้ สำหรับตนเองจะอาศัยเครือข่ายภาคประชาชน อาศัยผู้นำศาสนา และประชาชนในท้องถิ่นช่วยรวบรวมข้อมูลและสื่อสารให้ผู้เสียเข้าใจเจตนาที่ชัดเจนของรัฐบาล การเยียวยาไม่ได้หมายถึงการเอาเงินไปให้อย่างเดียว แต่ต้องทำการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ด้วย ซึ่งการแก้ปัญหานี้ต้องเข้าใจสาเหตุความเป็นมาที่แท้จริงและไม่มุ่งที่จะใช้ความรุนแรงเข้าใส่กัน
เมื่อถามถึงกรณีที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เสนอให้ตั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปกครองตนเองโดยให้มีการร่างกฎหมายขึ้นมา นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เรื่องนี้หมอประเวศได้เกริ่นในการรับฟังความเห็นของประชาชนยังไม่ได้ เป็นการเสนอในที่ประชุม ซึ่งคำว่า เขตปกครองตนเอง นั้นหมอประเวศพูดชัดเจนว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งคล้ายกับการปกครองตนเองของท้องถิ่น เช่น กทม. หรือพัทยา
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี หรือสมาชิกกลุ่มวาดะห์หลายคนก็เห็นด้วย นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ประเด็นนี้ทางคณะกรรมการสมานฉันท์คงจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเหมือนกับประเด็นอื่นๆ เมื่อถามว่าด้วยศักยภาพของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คิดว่าจะสามารถปกครองตนเองได้หรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การปกครองพิเศษไม่ได้หมายความว่าจะทำให้แตกต่างไปจากจังหวัดอื่น หรือนอกเหนือรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องศึกษารายละเอียดอีกต่อไป แต่คิดว่าเรื่องแรกที่จะทำใน 3 จังหวัดภาคใต้คือ ต้องบริหารปกครองและดูแล อย่างน้อยต้องให้มีความเป็นธรรม และยุติธรรมเท่าเทียมกับจังหวัดอื่น ต้องคิดว่าจะบริหารอย่างไรให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่[/color]
อันนี้บทวิจารณ์ครับ... http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000055031โอกาสตั้ง"มหานคร"ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดย เซี่ยงเส้าหลง 26 เมษายน 2548 01:03 น.
แม้จะยังไม่ใช่ มติ ของ กอส. คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ที่จะเสนอหนึ่งในแนวทางหลักของการแก้ไขปัญหาวิกฤตจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็น มหานครปัตตานี หรือนัยหนึ่งคือ การกระจายอำนาจการปกครองให้แก่ท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรูปแบบการปกครองพิเศษ หรือตรงไปตรงมากว่านั้นคือ Autonomous Region แต่การพูดของ นพ.ประเวศ วะสี รองประธานกอส. บนเวทีรับฟังความคิดเห็นที่ มอ.ปัตตานี เมื่อ วันที่ 23 เมษายน 2548 ต่อหน้าประชาชนประมาณ 500 คนก็น่าจะ สร้างผลสะเทือนในเชิงลึกระดับสำคัญ เพราะแม้จะเป็นแนวทางที่ ถูกต้อง, เจตนาดีและบริสุทธิ์ แต่ในสถานการณ์ที่ ยังไม่เป็นที่ยอมรับ ของ กระแส ในความหมายของ ความเห็นของประชาชนส่วนข้างมาก ก็น่าจับตาดูอย่างยิ่งว่าถ้าในที่สุดภายใน อีก 9 12 เดือนข้างหน้า นี่คือ หนึ่งในข้อเสนออย่างเป็นทางการของกอส. แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะ เก็บเข้าลิ้นชัก ไว้เหมือนข้อเสนอทำนองเดียวกันที่เคยออกมาจากปาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือไม่อย่างไร กอส. จะ ตอบโต้ หรือไม่อย่างไร ข้าราชการทหารตำรวจและพลเรือน, ประชาชนส่วนใหญ่ จะคิดเห็นอย่างไร สถานการณ์การเมืองโดยรวมจะผลิกผันเพราะการณ์นี้ หรือไม่อย่างไร เซี่ยงเส้าหลง ว่านี่คือประเด็นที่ ล่อแหลม เพราะแนวคิดลักษณะนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรอดพ้นที่จะถูกโจมตีว่าเป็น ขั้นตอนแรกของการแบ่งแยกดินแดน, ยกแผ่นดินให้ เสมอมา
มาตรวจสอบคำพูดของ น.พ.ประเวศ วะสี ชัด ๆ อีกสักครั้ง ...ต้องกระจายอำนาจตามมาตรา 78 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ระบุว่าให้ท้องถิ่นปกครองตนเองให้มากที่สุด กรุงเทพมหานครก็มีการเลือกผู้ว่าฯกทม. และปกครองตนเองแล้ว ในอนาคตอาจมีปัตตานีมหานครที่ปกครองตนเอง มีมหาวิทยาลัย มีสถานีโทรทัศน์ มีโรงพยาบาล ที่ดูแลตนเอง รัฐบาลส่วนกลางต้องมองเห็นความเป็นไปได้ในข้อนี้ สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ประเด็นนี้ถ้าเกิดขึ้นได้ ก็คงไม่มีใครคิดอยากแยกดินแดนไป. ชัดเจน
หรือถ้าพิจารณาประกอบกับคำพูดของ อานันท์ ปันยารชุน ที่แม้จะไม่ได้พูดถึงการกระจายอำนาจ, มหานครปัตตานี แต่การยกตัวอย่างสายเลือดของท่านเองว่า ...ผมก็เป็นคนที่มีแม่เป็นจีน พ่อมีเชื้อสายมอญ เกิดในสังคมที่มีความหลากหลาย ทำให้ได้รู้และเข้าใจปัญหาหลายอย่างว่าการแก้ปัญหาต้องยอมรับความแตกต่างให้ได้. ก็แสดงให้เห็นถึงลักษณะของ กรอบความคิด, กระบวนทัศน์ที่ไม่แตกต่างไปจาก น.พ.ประเวศ วะสี เท่าไรนัก
และถึงที่สุดแล้วก็เป็น กรอบความคิด, กระบวนทัศน์ ที่ไม่แตกต่างไปจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้สังคมไทยโดยรวมเข้าใจว่านี่ ไม่ใช่การยกแผ่นดินให้ใคร ตรงกันข้ามเป็น การปฏิบัติตามกรอบของรัฐธรรมนูญ 2540 และเป็น แนวทางต่อสู้ที่เบ็ดเสร็จ กับเหล่า ขบวนแบ่งแยกดินแดน ด้วยซ้ำ
และที่สำคัญคือแนวทางนี้ในการพูดออกมาของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นต้องมี ขั้นตอน, จังหวะก้าว และ เงื่อนไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงื่อนไขบังคับก่อน ขอทบทวนบางประเด็นเพื่อให้บรรดาแกนนำของ กอส. โดยเฉพาะ อานันท์ ปันยารชุน, นพ.ประเวศ วะสี นำไปพิจารณา
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2547 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ไปปราศรัยที่บริเวณ มัสยิดกรือเซะ พูดถึง มหานครปัตตานี ที่อาจจะเป็น เขตปกครองตนเองปัตตานี ในลักษณะเดียวกับ เมืองพัทยา แต่มีสิ่งที่ เซี่ยงเส้าหลง เรียกว่า เงื่อนไขบังคับก่อน โดย ไม่ผูกมัดตนเอง รูปธรรมคือมีคำว่า ถ้า... และ อาจ... เสมือนเป็นการเสนอ ผลิตภัณฑ์ใหม่ -- ที่มีความเป็นไปได้มากกว่า ขึ้นมาเปรียบเทียบกับ ผลิตภัณฑ์เก่า ที่รู้จักกันในนาม ประเทศปัตตานี, รัฐปัตตานี ที่โดยเนื้อแท้ ขายไม่ออก มานานแล้ว
อะไรคือ สารัตถะ รวมทั้ง เงื่อนไขบังคับก่อน ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อน เซี่ยงเส้าหลง ขอให้ดูจากคำปราศรัยส่วนนี้ ...ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างสันติสุข ด้วยการถอยหลังคนละ 3 ก้าว ยุติความขัดแย้ง ยุติความหวาดระแวง และร่วมมือกันพัฒนาปัตตานีให้เป็นเมืองเป็นมหานครปัตตานี หากทุกฝ่ายร่วมมือกันทำให้เป็นบ้าน เมืองที่สงบ ประชาชนมีการศึกษา มีคุณภาพชีวิต มีงานทำ ต่อไป...อาจมีการสถาปนาให้มหานครปัตตานีเป็นเขตปกครองตนเอง เช่นเดียวกับเมืองพัทยา สามารถบริหารจัดการท้องถิ่นได้เอง. รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงวัย 72 ณ วันนั้นยังได้พูดถึง ทฤษฎีดอกไม้หลายสี ที่จะต้องประกอบไปด้วย หลายศาสนา, หลายเชื้อชาติ และให้รายละเอียดว่าจะมี พระราชบัญญัติเฉพาะ ที่ให้อำนาจ เก็บภาษีเอง, เลือกตั้งกันเองทุกระดับจนถึงระดับผู้ว่าราชการจังหวัด โดยฟันธง หัวใจของปัญหา ไว้ว่า ...เราต้องยอมรับว่าความรู้สึกในหัวใจของประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการดูแลปกครองตัวเอง มีอิสระเสรีภาพในการทำทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยผ่านทางการปกครองท้องถิ่น ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข. ท่านพูดเช่นนี้ทั้งที่ มัสยิดกรือเซะ และที่ วัดช้างให้ โดยมีการขยายความว่า มหานครปัตตานี นั้นจะขยายขึ้นมาจาก อบจ.ปัตตานี โดยรวม ยะลา, นราธิวาส และรูปแบบการปกครองตนเองของท้องถิ่นเป็น มหานคร เช่นนี้เป็น นโยบายรัฐบาล ที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายพื้นที่เช่น มหานครภูเก็ต (รวม พังงา, กระบี่) และ มหานครเชียงใหม่ (รวม เชียงราย) โดยจะพัฒนาเป็นขั้นตอนจาก อบจ. เป็น เมือง ก่อนที่จะเป็น มหานคร ไม่ใช่จู่ ๆ ก็จัดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงกันเลย
โดยเนื้อแท้แล้ว ขบวนแบ่งแยกดินแดน นั้น ขายไม่ออก จนกลายเป็นขบวนการไม่ใหญ่ไม่โตอยู่ นอกประเทศ แต่จากความละเลยและความผิดพลาดบางประการในช่วง ปี 2544 2546 และเพียงชั่วระยะเวลา 6 เดือน ของ ปี 2547 ขบวนการที่ไม่มีอะไรนี้สามารถ ยกระดับตนเอง ขึ้นมาได้อย่าง น่าตกใจ ทีเดียว
ทั้ง ๆ ที่ ผลิตภัณฑ์เก่า ยี่ห้อ ประเทศปัตตานี, รัฐปัตตานี นั้นเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ในทุกกรณี แต่เพราะอำนาจรัฐส่วนกลางของประเทศไทยก็ไม่มี ผลิตภัณฑ์ใหม่ ออกมา เปรียบเทียบ ข้อเสนอที่ประกาศออกมาจากปาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (และ น.พ.ประเวศ วะสี) ถือเป็น ครั้งแรก ที่ประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะ มีโอกาสเลือก ระหว่าง ชีวิตใหม่ 2 แบบ แบบหนึ่งคือการไม่ให้ความร่วมมือภาครัฐเต็มที่อันจะทำให้ ขบวนการก่อความไม่สงบเติบโต และนำมาซึ่ง ความรุนแรงหลากหลายรูปแบบไม่มีที่สิ้นสุด อีกแบบหนึ่งการให้ความร่วมมือกับภาครัฐเต็มที่เพื่อ กำจัดขบวนการก่อความไม่สงบ เพื่อที่ในอนาคตจะได้มีโอกาส ปกครองท้องถิ่นตนเองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่ง เป็นไปได้สูงกว่า อย่างแน่นอน
แต่จะทำอย่างไรให้สังคมโดยรวมเข้าใจร่วมกันว่ารูปแบบ ปกครองท้องถิ่นตนเอง ในลักษณะ รูปแบบพิเศษ เป็น เมือง, นคร หรือ มหานคร ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (และ นพ.ประเวศ วะสี) เสนอออกมานั้นไม่ใช่ การแบ่งแยกดินแดน, การสูญเสียอธิปไตย หรือ การยอมจำนน หากแต่เป็นปกติธรรมดาของประเทศทั่วโลกที่อาจจะมีรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในลักษณะ Autonomous Region หรือ Local Autonomy คำ ๆ นี้ ศ.ประยูร กาญจนดุล ศาสตราจารย์ทางกฎหมายปกครองและราชบัณฑิตเคยแปลไว้ได้ กระชับอย่างยิ่ง ว่า อัตตาณัติ เป็นคำสนธิที่มาจาก อัตตา แปลว่า การถือตนเองเป็นใหญ่ กับคำว่า อาณัติ แปลว่า การมอบหมายให้ดูแลปกครอง ซึ่งถ้าหากพิเคราะห์ให้ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 282 290 ก็ได้บรรจุ หลักอัตตาณัติของท้องถิ่น ไว้แล้วแต่ยังคง ปฏิบัติไม่เต็มที่ เพราะสังคมไทยยังคงห่วงใยใน ความมั่นคง และติดอยู่ในกรอบของสิ่งที่เรียกว่า รัฐเดี่ยว ใครเสนอ พื้นที่อัตตาณัติ ขึ้นมาเป็นต้อง แตกพ่าย ไปเพราะข้อกล่าวหา แบ่งแยกดินแดน, ทำลายรัฐเดี่ยว และ ทำลายความมั่นคงของรัฐ ทั้ง ๆ ที่ในโลกยุคปัจจุบันนั้นควรหมดยุคของ กฎหมายแนวดิ่ง ควรเริ่มต้นยุค กฎหมายแนวขวาง รูปแบบของ Autonomous ควรจะมี หลากหลายในประเทศไทย ตั้งแต่ เมืองพัทยา ที่ถูกวาดวางแผนไว้ว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของ เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ + กาสิโน ไปจนถึง ภูเก็ต พังงา - กระบี่ ที่สามารถสร้างเป็น แหล่งรองรับนักลงทุนทดแทนสิงคโปร์ รวมทั้ง เชียงใหม่ - เชียงราย และ ฯลฯ หรือแม้แต่ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันก็คือการรวม 2 จังหวัด พระนคร, ธนบุรี และต่อไปจะต้องแตกตัวออกมาเป็น 4 13 มหานคร แล้วแต่กรณีที่มี ลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน อันจะทำให้ กฎหมายลำดับรอง ของแต่ละพื้นที่ แตกต่างกันไป ด้วย
เวลาพูดถึง มณฑล หรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ในรูปแบบ มหานคร อย่าคิดแต่เฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วไพล่ไปพูดถึง การแบ่งแยกทางเชื้อชาติ, การยอมจำนน แต่ควรคิดไปไกลถึง ลักษณะเฉพาะทางสังคมและเศรษฐกิจ ของแต่ละ กลุ่มท้องถิ่น ที่จะต้องมี ลักษณะเฉพาะ และต้องการ กฎหมายเฉพาะ, รูปแบบบริหารเฉพาะ เพื่อ ประสิทธิภาพสูงสุด เป็นสำคัญ
และอย่าลืมว่าเมื่อ มกราคม 2548 รัฐบาลชุดที่แล้วก็ได้ อนุมัติหลักการ ของ ร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งก็คือ มณฑล, เขตปกครองพิเศษ ในรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
และ มหานคร จะมีขึ้นมาได้ก็ตาม สภาพความเป็นจริง และ ความพร้อม แต่ละมณฑลแต่ละเขตต่างมี ลักษณะเฉพาะ, กฎหมายเฉพาะ และ รูปแบบเศรษฐกิจเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน นาทีนี้ตราบใดที่ยัง ไม่ได้รับความร่วมมือเต็มที่จากประชาชน ก็ยังไม่ต้องพูดถึง มหานครปัตตานี ในขณะเดียวกันก็ต้อง แสดงความจริงใจ โดยให้กำเนิด มหานครอื่น ที่ พร้อมกว่า อย่างเช่น มหานครภูเก็ต, มหานครเชียงใหม่, มหานครพัทยา(ใหม่) ให้ดูเป็น ตัวอย่าง ได้
จะพูดว่าเป็น การซื้อความสนับสนุนหรือ เสนอขายผลิตภัณฑ์ กับ ประชาชน ก็ไม่เห็นจะผิดแปลกอะไร เซี่ยงเส้าหลง ว่าสารัตถะในทุก สงคราม ก็คือ การแย่งชิงประชาชน ในอดีตยุคสงครามกับ พคท. - พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย อำนาจรัฐส่วนกลางของเราเคย เสนอขาย ผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ ถนน, สะพาน หรือ การพัฒนา แต่ ไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ปรับเปลี่ยนมา เสนอขาย ผลิตภัณฑ์ใหม่เป็น ระบอบประชาธิปไตย ครั้งนี้จะแปลกอะไรที่เราจะ เสนอขาย ผลิตภัณฑ์ใหม่อีกครั้งเพื่อสู้กับผลิตภัณฑ์เก่าของ ขบวนแบ่งแยกดินแดน, ขบวนการมุสลิมจารีตนิยม ที่ดู เท่ แต่เต็มไปด้วย ทุกข์ยาก น่าคิดไหม
คำตอบเดิม ๆ ที่เคยเป็น สูตรสำเร็จ ว่าปัญหาทั้งหมดเกิดมาจาก ปัญหาเศรษฐกิจ, ความยากจน, การว่างงาน แก้ไม่ยากหาก อัดเงิน, อัด(การจ้าง)งาน ลงไป เซี่ยงเส้าหลง ว่าจนถึงวันนี้น่าจะยอมรับกันได้แล้วว่า ไม่มีทางสำเร็จ กลับจะยิ่ง สร้างปัญหา เพราะต้องเข้าใจว่ารากฐานเดิมของ วัฒนธรรมมุสลิม นั้นยืนอยู่บนโครงสร้างที่พอจะเรียกได้ว่า เศรษฐกิจพอเพียง อยู่กันอย่าง อดออม, อดทน และมีความสัมพันธ์แบบ เครือญาติ เป็นสังคมที่เหมือน สังคมชนบทไทยเมื่อ 40 50 ปีก่อน โดยพื้นฐานแล้ว เป็นปฏิปักษ์โดยธรรมชาติกับการพัฒนาตามตัวแบบทุนนิยม สภาพสังคมเช่นนี้หากเผชิญหน้ากับ เม็ดเงิน, โรงงานอุตสาหกรรม จะยิ่ง แปลกแยก กระทั่งเป็น ปฏิปักษ์ การพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และระบบเศรษฐกิจของที่นั่นจำเป็นจะต้องแสวงหา รูปแบบพิเศษ, รูปแบบเฉพาะ ขึ้นมา
เรื่องในย่อหน้าก่อน พันศักดิ์ วิญญรัตน์ เคยพูดไว้แล้วในระดับหนึ่งกับ ผู้จัดการรายวัน เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาว่าโลกในศตวรรษที่แล้วมัวแต่สาละวนไปหาคำตอบในประเด็น สงครามอุดมการณ์ ระหว่าง ทุนนิยม กับ สังคมนิยม เลยไม่มีเวลามาหาคำตอบถึง รูปแบบที่เหมาะสม ในการอยู่ร่วมกันระหว่าง ทุนนิยม กับ มุสลิม เลย