ศึกบัลจ์หรือ Battle of the Bulge นั้นเป็นการรุกครั้งใหญ่ของเยอรมันเรียกว่าเป็นการเข้าตีตอบโต้แบบเทหมดกระเป๋าของเยอรมันเลยทีเดียว เป็นความคิดของฮิตเล่อผู้ยังยึดติดแต่ภาพความสำเร็จในอดีตและคิดว่าการรบด้วยวิธีรุกจะกอบกู้สถานการของเยอรมันในขณะนั้นที่กำลังจะร่วงเต็มทีแล้ว และฮิตเล่อเชื่อว่าการรุกครั้งนี้จะทำให้ฝ่ายพันธมิตรเกิดการแตกแยกกันเอง(อเมริกันกับอังกฤษซึ่งมักจะปีนเกลียวกันเองในระดับสูงๆ)ซึ่งฮิตเล่อคิดว่ามันจะเป็นเหมือนในสมัยของพระเจ้าเฟรเดอริคมหาราช แผนปฏิบัติการครั้งนี้ในตอนแรกมีชื่อว่า"แผนพิทักษ์ไรน์" มีแม่ทัพนายกองหลายคนของฮิตเล่อคัดค้านต่อแผนการซึ่งไม่อยู่ในหลักความเป็นจริงดังกล่าว โดยพยายามขอให้เปลี่ยนจากการเข้าตีแบบเต็มตัวเทกระเป๋า เป็นการเข้าตีแบบจำกัดเขตเพื่อเป็นการดึงความสนใจและเป็นการลดแรงกดดันต่อแนวต้านทานหลักของเยอรมัน แต่ฮิตเล่อไม่ยอมและดึงดันที่จะปฏิบัติการดังกล่าวให้ได้
.......ศึกบัลจ์ เป็นการตีเจาะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของเยอรมัน โดยเยอรมันพยายามที่จะเข้าตีเจาะผ่านป่าอาร์เดนเข้าสู่อันทเวิร์ป เฉกเช่นเมื่อคราวเยอรมันเปิดศึกรุกเข้าสู่ประเทศต่ำในตอนต้นของการเปิดฉากสงคราม โดยฮิตเล่อมั่นใจหนักหนาว่าถ้าสามารถเข้าสู่อันทเวิร์ปได้แล้วจะทำให้เยอรมันพลิกกลับสถานการจากการใกล้แพ้มาเป็นฝ่ายชนะอีกครั้ง โดยฮิตเล่อไม่ได้คิดเลยว่าในขณะนั้นความแข็งแกร่งของกองทัพเยอรมันและข้าศึกต่างจากตอนต้นของสงครามมากเหลือเกิน
......แผนการครั้งนี้ของเยอรมันมีข้อจำกัดหลายอย่าง เยอรมันเลือกเวลาในช่วงที่ในยุทธบริเวณมีสภาพอากาศปิดเพราะเครื่องบินของพันธมิตรจะไม่สามารถขึ้นปฏิบัติการได้(เพราะในขณะนั้น ลุฟวัฟเฟ่ หรือกองทัพอากาศเยอรมันพินาศเกือบหมดแล้ว การเข้าตีของเยอรมันครั้งนี้ปราศจากการสนับสนุนทางอากาศ) ดังนั้นเยอรมันจะต้องรุกให้เร็วที่สุดก่อนที่สภาพอากาศจะเปิดจนเครื่องบินพันธมิตรสามารถขึ้นปฏิบัติการได้
.......ศึกบัลจ์เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16 ธันวา 1944 ถึง 28 มกรา 1945 โดยแผนการเข้าตีเจาะครั้งมโหฬารโดยคร่าวๆมีดังนี้ การเข้าตีประกอบด้วย 3 กองทัพ โดยมี จอมพล วอลเธอร์ โมเดล เป็นแม่ทัพใหญ่ในแผนครั้งนี้ 3 กองทัพดังกล่าวประกอบไปด้วย กองทัพรถถังที่ 6 มีนายพลโจเซฟ ดีทริช เป็นแม่ทัพจะเป็นหน่วยเข้าตีหลัก กองทัพรถถังที่ 6 ประกอบไปด้วย กองพลรถถัง 4 กองพล และกองพลทหารราบ 5 กองพล ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นหน่วยเอสเอสชั้นนำและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นเลิศ กองทัพรถถังที่ 6 ตามแผนถูกกำหนดให้เข้าตีจากมอนล์ชอจนถึงช่องลอสเฮม(ช่องลอสเฮมนี้เป็นประตูโบราณที่เปิดจากตะวันออกมาตะวันตก เยอรมันเคยเข้าตีผ่านมาแล้ว 3 ครั้งคือในปี 1870 1914 และ 1940 ซึ่งในศึกบัลจ์นี้ก็จะเป็นครั้งที่ 4 ที่เยอรมันจะเข้าตีผ่านช่องทางดังกล่าว ซึงก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเยอรมันจะเข้าตีผ่านอีกเป็นครั้งที่ 4 ถ้าเปรียบเป็นประเทศไทยก็คงประมาณ ด่านพระเจดีย์ 3 องค์ ที่พม่าเคยเข้าตีผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง) เคลื่อนที่ข้ามสันเขา เอลเสนบอร์น มุ่งเข้าสู่อันทเวิร์ป
.....ในส่วนทางปีกซ้าย(หรือด้านใต้)ของนายพลดีทริช จะเป็น กองทัพรถถังที่ 5 มี นายพล บารอน ฮัสโซ ฟอน มานตูฟเฟล เป็นแม่ทัพ ประกอบกำลังด้วย 3 กองพลรถถัง และ 3 กองพลทหราราบ ที่หมายของ มานตูฟเฟล มี 2 แห่ง โดย กองพลทหารราบ 1 กองพลทางปีกขวาจะเข้าทำการปิดล้อม สันเขา ชนีไอเฟล(ซึ่งที่นี้ 2 กรมของกองพลทหารราบที่ 106 ของอเมริกันถูกปิดล้อมและก็ยอมจำนนในที่สุด)ที่ยื่นเข้ามาในแนว ส่วนกองพลที่เหลือทั้งหมดจะรุกผ่านทางด้านใต้ของชนีไอเฟลและรุกไปยัง กรุงลักเซมเบิร์ก
......ทางด้านปีกซ้ายของ มานตูฟเฟลจะเป็น กองทัพที่ 7 มี นายพล เอินสท์ แบรนเดนเบอร์เกอร์ เป็นแม่ทัพ กองทัพที่ 7 เป็นกองทัพที่เบาที่สุดและส่วนใหญ่เป็นกองพลทหารราบ ได้รับภารกิจให้ยึดพื้นที่บริเวณเมืองฟิอองดัง และเอคเตอร์นัค แล้วผลักดันไปทางตะวันตก เพื่อป้องกันปีกซ้ายของมานตูฟเฟลและป้องกันการเข้าตีจากทางด้านใต้ของแพตตันซึ่งอาจจะวกขึ้นมาก็ได้ นอกจาก 3 กองทัพใหญ่แล้ว ยังมีกองกำลังอีก 2 กองกำลังที่เป็นกองกำลังปฏิบัติการพิเศษเพื่อสนับสนุนแผนดังกล่าว กองกำลังแรกคือ กองพลน้อยปฏิบัติการพิเศษของ พันโท ออตโต สกอเซนี คอมมานโดคนโปรดของฮิตเล่อผู้ซึ่งเคยนำกำลังเข้าจู่โจมชิงตัว มุสโซลินี เพื่อนรักของฮิตเล่อมาแล้ว กองพลน้อยพิเศษของ สกอเซนี่ จะปฏิบัติการตามแผนที่มีชื่อว่า "ไกรฟ์" โดยจะทำการปลอมแปลงเป็นทหารอเมริกันแต่งเครื่องแบบทหารอเมริกันใช้รถของอเมริกัน เล็ดลอดเข้าทำงานหลังแนวอเมริกัน โดยจะทำการแพร่ข่าวลือ ส่งคำสั่งปลอม สลับป้ายบอกทางต่างๆ เพื่อทำความสับสนและความตื่นตระหนกให้กับกองทัพอเมริกัน และกองกำลังพิเศษอีก 1 กองกำลังคือ กองกำลังพลร่มของ พันโท ไฟรดริค ออกัส บารอน ฟอน เดอร์ไฮดท์ โดยพลร่มดังกล่าวตามแผนจะโดดลงบริเวณใกล้ทางแยก บาราค มิเชล ทางด้านเหนือของเมืองมัลเมดี ประเทศ เบลเยี่ยม เพื่อสนับสนุนการเข้าตีของ กองทัพรถถังที่ 6 ของดิทริชที่เป็นกองทัพหลัก
........การปฏิบัติการตามแผน"พิทักษ์ไรน์" หรือ "ไครส์โรส"นั้นในการปฏิบัติแล้วประสบกับปัญหามากมายทำให้หัวใจหลักสำคัญคือความรวดเร็วไม่ประสบความสำเร็จ หลายกองพลของเยอรมันถูกสกัดกั้น ทำให้การรุกหยุดชงัก กองทัพรถถังที่ 6 ของ ดิทริช ชงักงันไม่สามารถรุกฝ่าไปตามแผนได้ ทำให้ต้องปรับแผนใหม่โดยกองทัพรถถังที่ 6 ต้องย้ายมาเคลื่อนที่ผ่านทางช่องที่ กองทัพรถถังที่ 5 ของมานตูฟเฟลได้เจาะไว้แทน และพลจากการที่ กองทัพรถถังที่ 6 ไม่สามารถเจาะช่องผ่านไปได้ก็ส่งผลให้แผนปฏิบัติการ"ไกรฟ์"ของ สกอเซนี่ที่จะแทรกซึมผ่านทางช่องที่เจาะโดยกองทัพรถถังที่ 6 ไม่สามารถกระทำได้จำต้องแปรสภาพมาเป็นกองพลน้อยเข้ารบตามแบบ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีชุดปฏิบัติการของสกอร์เซนี่เพียงไม่กี่ชุดสามารถแทรกซึมเข้าปฏิบัติการได้ และประสบผลสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยชุดปฏิบัติการเพียงไม่กี่ชุดสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวอเมริกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ หน่วยพลร่มของ ฟอนเดอร์ไฮดท์ ประสบความล้มเหลวในการส่งลง เนื่องจากความใหม่ของนักบินเยอรมัน ฝูงบินลำเลียงที่บินในเวลากลางคืนจำต้องเปิดไฟเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะชนกันเองได้ และจากการเปิดไฟทำให้ถูกกลุ่ม ปตอ. ยิงอย่างนัก นับบินระส่ำระส่าย ไม่สามารถส่งลงพลร่มได้ตาม ดีซี(DZ:Drop Zone) ที่กำหนดไว้ ซ้ำร้ายบางลำถูก ปตอ.ไล่ยิงแตกออกจากฝูงแล้วไปปล่องพลร่มลงในเขตเยอรมันเองด้วยความเข้าใจผิด สุดท้าย หน่วยพลร่มดังกล่าว มีเพียงไม่กี่นายที่สามารถลงได้ตรงตามจุดที่กำหนด แต่ก็มีไม่มากพอที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ
.......หน่วยที่เจาะเข้าไปได้ไกลที่สุดคือ กรมรบของ พันโท โจเชน ไปเปอร์ ซึ่งไปได้ไกลเกือบถึงลำน้ำเมิร์ส แต่เพราะขาดการส่งกำลังบำรุงทำให้ขาดแคลนทั้งน้ำมันและกระสุน ตลอดจนหน่วยของเขาถูกตีตัดและโดนโอบล้อม จึงทำให้ไม่สามารถรุกต่อไปได้ จำต้องถอนตัวออกมาโดยละทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์หนักทั้งหมดเพราะไม่สามารถนำออกมาด้วยได้
.......บาสตอง เป็นเมืองเมืองหนึ่งซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่เยอรมันต้องการ เพราะบาสตองเป็นศูนย์รวมของถนนหลัก 5 สายซึ่งเยอรมันต้องการเป็นที่สุด อเมริกันก็เห็นความสำคัญของเมืองดังกล่าวเช่นกัน จึงจำต้องรีบส่ง กองพลส่งทางอากาศที่ 101 ซึ่งเป็นกองหนุนทางยุทธศาสตร์อยู่ในขณะนั้นและกำลังพักผ่อนปรับกำลังอยู่ กองพลส่งทางอากาศที่ 101 ถูกเรียกตัวเข้าสู่การรบโดยด่วน โดยนั่งรถเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์เพื่อเข้าสู่แนวตั้งรับที่เป็นยุทธศาสตรืสำคัญคือ เมืองบาสตอง นั่นเอง กองพลส่งทางอากาศที่ 101 สามารถเข้าสู่เมืองบาสตองได้ชนิดที่ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะเป็นการตัดหน้าเยอรมันเพียงนิดเดียวทำให้อเมริกันสามารถเข้าสู่เมืองบาสตองได้ก่อนเยอรมัน กองทัพเยอรมันโหมเข้าตีอย่างหนักต่อบาสตองแต่ก้ไม่สามารถหักเอาได้สุดท้ายจึงอ้อมผ่านไปก่อนจึงทำให้บาสตองถูกปิดล้อมมีสภาพกลายเป็นเกาะอยู่กลางคลื่นกองทัพเยอรมันทันที แต่ด้วยการป้องกันอย่างเหนี่ยวแน่นของกองกำลังที่ป้องกันเมืองบาสตองอยู่ซึ่งประกอบไปด้วย กองพลส่งทางอากาศที่ 101 เป็นส่วนใหญ่และมีทหารพลัดหน่วยที่ถูกตีแตกมากระจัดกระจายถอยร่นมายังบาสตองด้วยอีกจำนวนหนึ่ง มีเหตุการสำคัญเหตุการหนุ่งซึ่งเราน่าจะรู้จักกันดี คือ การที่นายพล แมคออลิฟ ส่งคำตอบการยื่นขอเสนอให้อเมริกันที่ตั้งรับอยู่ในบาสตองยอมจำนนของเยอรมันไปว่า "ไอ้บ้า" นั่นเอง
........จนแล้วจนรอดเยอรมันก็ไม่สามารถโหมหักเอาเมืองบาสตองได้
......ในวันที่ 1 มกรา 1945 เยอรมันได้เปิดการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่โดยหมายจะสลายพลังทางอากาศของพันธมิตร เครื่องบินพันธมิตร 200 กว่าลำและสนามบินหลายแห่งเสียหายยับเยินแต่เยอรมันเองก็ต้องแรกด้วยราคาแพงเช่นกัน โดย ลุฟวาฟเฟ่ เสียเครื่องบินไป 300 กว่าลำรวมทั้งนักบินมือดีด้วย
........การยุทธได้ยืดเยื้อโดยที่เยอรมันไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เยอรมันไม่สามารถรุกเข้าสู่อันทเวิร์ปได้ตามต้องการ อเมริกันสามารถตั้งตัวทัน กองทัพของแพตตันวกขึ้นเหนือเพื่อตีตัดการเจาะของเยอรมัน สภาพอากาศดีขึ้น เครื่องบินพันธมิตรสามารถขึ้นปฏิบัติการได้เต็มรูปแบบ ส่งผลให้กองทัพเยอรมันหมดหวังในการเข้าสู่อันทเวิร์ปและเริ่มถอนตัวออกด้วยความสูญเสียอย่างหนัก
........หลังจากศึกบัลจ์แล้วเยอรมันไม่เคยรุกอีกเลยและแนวตั้งรับก็อ่อนแอจากการที่สูญเสียอย่างหนักจากการรุกดังกล่าว ทำให้พันธมิตรสามารถรุกได้อย่างรวดเร็ว และเยอรมันก็พ่ายแพ้ในเวลาอีกไม่กี่เดือนต่อมา
...............มีภาพยนต์เรื่องหนึ่งเป็นภาพยนต์เก่า เนื้อหาเกี่ยวกับการยุทธครั้งนี้มีชื่อไทยว่า"รถถังประจัญบาน" ส่วนชื่อภาษาอังกฤษน่าจะเป็น" Battle of the Bulge " ครับ ลองหาชมกันได้ครับ
http://www.thaifighterclub.org/article_detail.php?articleid=35http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_the_Bulgeจำได้ว่าตอนหนึ่งในหนัง นายพลเยอรมันเจอเสบียงทหารอเมริกัน เป็นเค้กใหม่ๆก้อนหนึ่ง ในขณะที่ทหารเยอรมันเริ่มอดอยาก นายพลเยอรมันถึงกับออกปากว่า
" เราแพ้แล้ว "