ขอเห็นต่างหน่อยครับ.....
ถูกต้องครับที่ว่าถือโดยกระทรวงการคลังเกิน 50% ....
แต่อย่าลืมนะครับว่าในรายย่อย เกือบ 20% รู้ได้อย่างไรครับว่าไม่ได้ถือโดยผู้มีอำนาจในรัฐบาล...
สมัยนี้ถือในรูปกองทุน ไขว้กัน ไปมา ดูยาก.... แล้ววงเงินที่เราพูดกันนี่มันหลัก แสนล้าน นะครับ...
การตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ ย่อมต้องเป็นประโยชน์สูงสุดของ ผู้ถือหุ้นแน่นอนอยู่แล้วครับ... จะเป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชนหรือไม่ ผมว่าไม่แน่นะครับ
ด้วยความเคารพครับ....
ยินดีที่เห็นต่างครับ .... ในตลาดหุ้นมีคำว่า "ฝรั่งหัวดำ" ซึ่งหมายถึงคนไทยธรรมดานี่ล่ะ แต่ไปจ้างกองทุนต่างประเทศมาเล่นหุ้นในประเทศ ซึ่งจะเป็นลักษณะเก็งกำไร ... ส่วนฝรั่งแท้ ๆ มักลงทุนในหุ้นที่มีความมั่นคงสูง เพื่อหวังกินในระยะยาวครับ
ดังนั้น ผมคงไม่สามารถไปรับประกันใครได้ว่า ใครถือหุ้นเท่าไร มีผลหรือไม่มีผลอย่างไร .... แต่ที่ผมบอกว่าเจ้าของคือ "รัฐบาลไทย" โดยกระทรวงการคลัง เพราะคนนี้คือคนที่กำหนดนโยบายของบริษัทครับ (กำหนดโดยเลือกบอร์ด ให้ไปจ้างกรรมการผู้จัดการ บริหารบริษัทอีกที) ....
ผมมองว่าการที่บริษัทเป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนในตลาดหุ้น จะต้องมีนโยบายชัดเจน ในเรื่องการดำเนินงาน และการจ่ายปันผล ... แน่นอนว่าบริษัทย่อมคิดถึงผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ... แต่อย่าลืมว่าในการประชุมผู้ถือหุ้นในแต่ละปี คนที่มีเสียงใหญ่ที่สุด ที่จะชี้ทิศทางของบริษัทนั้นคือใคร ....
ผมเคยได้ยินว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจเช่น การไฟฟ้า เขาจะมีโบนัสทุกปี .... เพราะเขาบวกค่าโบนัส ลงไปในต้นทุนของการดำเนินงานแล้ว แล้วมาเฉลี่ยเป็นค่า FT เก็บเงินจากเรา ๆ .... สมมติบางปี รัฐบาลบอกให้ส่งเงินเข้าหลวงมากน่อย เพื่อไปโปะงบประมาณ .... ท่านว่ารัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะทำอย่างไร
ผิดกับบริษัทจำกัดที่ระบุแน่นอนว่า จะนำเงินกำไร จ่ายเป็นปันผลจำนวนกี่ % และปีนี้จะจ่ายเท่าไร ก็ต้องผ่านมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย สมมติ ผู้ถือหุ้นใหญ่คิดว่าน้อยไป ต้องการมากขึ้นอีก ทางบริษัทก็ยังต้องฟังเสียงคัดค้านของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยอีก (ที่อาจจะกลัวบริษัทเจ๊งไปก่อน เพราะเอาเงินสะสมมาจ่ายปันผล) ... ผมเห็นมีสักสองปีก่อน ที่รัฐบาลของ"นักเรียนทุนตำรวจ จบแล้วออกมาตั้งบริษัท" กำลังร้อนรนหาเงินมาโปะงบกลางปี จะไถจากเหล้า-เบียร์ก็ไม่ได้ เพราะให้เขาจ่ายล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ก็เลยไปสั่ง ปตท. ครับ ... บริษัทก็ดีใจหาย ประเมินกำไรทั้งปี แล้วประกาศ "จ่ายเงินปันผลกลางปี" ของ ปตท.และบริษัทในเครือ ... นับเป็นคุณูปการของรัฐบาลดังกล่าว เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ปตท. และบริษัทในเครือ จ่ายปีละหนเดียว .... (ในส่วนนี้ผมมองเป็นประสิทธิภาพในการดำเนินการของบริษัท ที่มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงครับ แสดงว่าลงบัญชีดี ระบบบัญชีดี ไม่ใช่สั่งแล้วบอกทำไม่ได้ ต้องรอปรับระบบก่อน) ....
ผมไม่ได้คิดว่าการที่ ปตท. เป็นบริษัทจำกัดแล้วจะโปร่งใสมากขึ้น เพราะความโปร่งใส ก็สามารถแสดงให้เกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องมีกฏหมายบังคับ แต่ผมจำได้ว่าตอนช่วงน้ำมันแพงนี่เอง ที่มีการแสดงรายละเอียดค่า FT ให้ประชาชนเห็น (ทั้ง ๆ ที่จ่ายค่าไฟกันมาแล้วทั้งชีวิต) แล้วก็มีการปรับสูตร "เปลี่ยนค่าไฟฐานใหม่" เพื่อให้ค่า FT ดูน้อยลง (หลอกประชาชนไปวัน ๆ สไตล์นักการเมือง+ข้าราชการ)
มาดูหุ้น ปตท. ราคาพาร์ (มูลค่าจดทะเบียน) หุ้นละ ๑๐ บาท ตอนเข้าตลาด ดูเหมือนราคา IPO (ราคาประเมินมูลค่า ตอนเ้ข้าตลาด) ดูเหมือนจะ ๓๔ บาท (จำไม่ได้ แต่ ๓๐ กว่าบาท) ... ราคานี้ยืนอยู่หลายปี จนกระทั่งมีนักลงทุนเริ่มสนใจ อาจเป็นเพราะเห็นรูปแบบการดำเนินการที่เปลี่ยนจากรัฐวิสาหกิจ ไปเป็นบริษัทเอกชน ที่เน้นธรรมาภิบาล และเริ่มมีกำไรต่อเนื่อง ... ทำให้สนใจเข้ามาซื้อลงทุน ในตลาดรอง (ตลาดหลักทรัพย์) ... ทำให้
ราคาซื้อขายสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ... จนปัจจุบัน ๓๐๐ กว่าบาทแล้ว ...
ราคานี้ไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ราคานี้เป็นราคาที่สะท้อนความต้องการหุ้นของนักลงทุนครับ (แพงขนาดนี้ ยังมีคนยอมจ่าย) .... เปรียบเหมือนมีคนเอา SIG P210 มาวางให้ท่าน บอกราคา ๒ แสน ท่านอาจจะมองว่า ยังแพงอยู่ ราคานี้ ซื้อ CZ ได้ ๓ กระบอก เอามาให้ช่างแต่งเนียน ๆ เงินยังเหลือ พอดีผมเดินผ่านมา เห็นราคานี้ท่านลังเล ผมเลยคว้าหมับ จ่ายเงินแล้วเดินจากไป ... อยู่ ๆ ท่านก็คิดได้ ว่า SIG หนาว๊อย ไม่ใช่ CZ ... รีบเดินตามผมไปขอซื้อคืน บอกให้ค่าเดินอีก ๑ หมื่น ให้ขายท่าน ผมบอกไม่ได้แล้ว ค่าเดินผมแพง ขอเป็น ๕ หมื่นละกัน ท่านก็จ่าย .... เป็นต้น

และถ้าทุกคนดูข่าว จะพบว่าบริษัทนี้ เป็นผู้ชี้นำราคาน้ำมันในประเทศอย่างแท้จริง (ตามคำสั่งของรัฐบาล) คือ
ขึ้นช้า ลงเร็ว ... อย่าถามผมว่าทำไมราคาหน้าโรงกลั่นในไทย จึงไปอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นในสิงคโปร์ ... เพราะผมไม่ทราบ .... แต่ผมมองว่า ถ้าเป็นการขายข้าว ถ้าโรงสีใกล้บ้านเรา ไม่ตั้งราคารับซื้อใกล้เคียงราคาที่ท่าข้าวใกล้เคียง ท่าน ๆ คงเอาข้าวไปขายที่ท่าข้าว ดีกว่าขายโรงสีใกล้บ้าน ....
การชี้นำราคาของ ปตท. มีผลกระทบหนัก ๆ ก็อยู่ที่ผู้ค้าปลายทาง คือปั๊มน้ำมัน ท่านสังเกตไหมว่า เมื่อน้ำมันราคาแพง ทำไมปั๊มหลายแห่งจึงต้องปิดตัวลง .... ทั้งนี้เพราะไม่สามารถขายเกินราคาที่ ปตท. ชี้นำได้ .... ท่านจะเห็นว่า ปั๊ม Q8 (คูเวต) ก็ขายกิจการหนีประเทศไทยไปแล้ว ล่าสุดก็มี Jet (conoco - อเมริกา) ก็เพิ่งเปิดก้น หนีจากประเทศไทยเช่นกัน ....
ดังนั้นผมจึงเห็นว่า ปตท. เป็นเอกชน ที่ถูกกำหนดนโยบายโดยรัฐบาลครับ
ผมอ่าน
บทวิเคราะห์หุ้นของ PTT แล้ว ยังหวาด ๆ ว่า ผลจะไม่เป็นอย่างที่วิเคราะห์ ... จำได้ว่าช่วงนั้น การเข้าสู่ความเป็นบริษัทของ ปตท. นั้นดูลื่นไหล เพราะบริษัทได้เตรียมการเนื่องนี้มาแล้ว แต่ส่วนของรัฐบาล "ใคร ๆ ก็พูดได้ .. คนทำจริงอยู่ที่พรรคนี้" ไม่สามารถออก พรบ. ต่าง ๆ ได้ครบถ้วน (ในเรื่องของสิทธิ์ต่าง ๆ) และรีบดัน ปตท. เข้าสู่ตลาด เพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์ Globalization และเป็นการเพิ่มขนาดตลาดหุ้นไทย (เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเอาเงินเข้ามาลงทุน - เกื้อหนุนเศรษฐกิจ) และเมื่อเข้าไปแล้ว ผมก็ไม่เห็นพรรค "ขวัญใจแท็กซี่" ได้ดำเนินการเก็บงานให้เรียบร้อยแต่อย่างใด (เหมือนเรื่องหวยบนดิน ถึงจะรีบมีก่อน แต่ก็ควรเร่งออกกฏหมายมารองรับเสียตั้งแต่ยังมีโอกาส)
ปล. ขออภัยที่ตอบยาว เพราะผมรู้สึกขัดใจเล็ก ๆ เวลาคนมองว่า ปตท. เป็นของนักการเมือง ..... มันเป็นของผ๊ม ประมาณ
10 ยกกำลัง ลบเจ็ดเปอร์เซ็น

ปัญหาที่รอการแก้ไข จากรัฐบาลใหม่...
อยากรู้จัง พรรคไหนเอามาเป็นประเด็นหาเสียงบ้าง
ผมเห็นทุกพรรคมีนโยบาย ลด/เลิก การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันครับ (เลิกเลยก็ดี ผมจะได้ใช้น้ำมันเบนซินในราคาที่เหมาะสมเสียที)
ส่วนที่จะยกเลิกกฏหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ และเอาอดีตรัฐวิสาหกิจกลับคืนมา (อย่าลืม รสพ. ด้วยน๊า) ผมเห็นมีพรรคเบอร์ ๑๕ แน่ ๆ พรรคหนึ่งครับ (เพราะมีแผ่นพับอยู่ใกล้ตัว) พรรคอื่นต้องตรวจสอบกันต่อไป