อันนี้เป็นมุมมองหนึ่ง ของผู้ที่อาจไม่ได้ชมขอบเรื่องปืนอย่างเราๆ
คัด link มาไม่ได้ เลยต้องลอกมาแปะ ยาวหน่อย ไม่มีตัดต่อ และไม่ขอวิจารณ์ครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------
จาก นสพ.แนวหน้า วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ คอลัมน์ กวนน้ำให้ใส โดยสารส้ม
-รัฐบาลทักษิณ มีแนวทางจะสนับสนุนให้ครูในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ "ติดอาวุธปืน"
-น่าเห็นใจ ประชาชน ข้าราชการ และทุกชีวิตในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งต้องตกอยู่ในสภาวะที่คุกคามต่อสวัสดิภาพของชีวิตและทรัพย์สินในทุกวินาทีชีวิต!
-มนุษย์ทุกคนล้วนแต่รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น มนุษย์เราจึงมาอยู่รวมกัน เป็นสังคม ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายและข้อตกลงร่วมกัน ยอมจ่ายเงินภาษี ให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อนำไปใช้จ่ายปกป้องคุ้มครองสมาชิกในสังคมให้ดำเนินชีวิต ได้อย่างปกติสุข
-สิทธิพื้นฐานของประชาชน ในประการแรกที่สุด คือ สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยความ รู้สึกมั่นคงปลอดภัย
-แต่ปัจจุบัน ประชาชนและข้าราชการ (รวมถึงข้าราชครู) เกิดความรู้สึก ไม่มั่นคงปลอดภัย ขาดความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจรัฐไม่สามารถ ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองดูแลสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนได้ ดูจากจำนวนครูที่ถูกฆ่าตายในพื้นที่ นับตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมา ปรากฏว่า ถูกฆ่าตายไปแล้ว 24 คน!
-ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าครูหรือประชาชนคนใดในพื้นที่ แสดงความจำนง ต้องการจะมีปืนไว้ปกป้องคุ้มครองตนเอง สังคมย่อมเห็นอกเห็นใจ และคงไม่มีใคร กล้าอวดตัวไปดูหมิ่นดูแคลนใดๆ
-อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อให้ครูในพื้นที่ ได้ "ติดอาวุธปืน" อยู่ในขณะนี้ สะท้อนให้คิดอะไรได้หลายประการ
-ประการแรก เป็นการยอมรับของฝ่ายรัฐบาลเองว่า รัฐบาลสิ้นไร้ความสามารถ ที่จะบริหาร อำนวยการ ควบคุม ดูแล เพื่อปกป้องคุ้มครองสวัสดิภาพและความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ จึงได้โยนภาระบางส่วนกลับไป ให้ประชาชนต้อง "จับปืน" ดูแลคุ้มครองตนเอง
น่าเห็นใจ ประชาชนธรรมดาในพื้นที่ ไม่มีเงินซื้อปืน ไม่มีอำนาจพกปืน แต่ต้องตกอยู่ท่ามกลางกองกำลังติดอาวุธหลากรูปแบบ หลายฝ่ายในพื้นที่ เขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นเพียงไร
-ประการที่สอง น่าคิดว่า "ปืน" เป็นสัญลักษณ์ของ "อำนาจ"
-คนที่มี "ปืน" คือคนที่มีอำนาจ อย่างเช่น ในบ้านป่าเมืองเถื่อน ใครมีปืน คือคนที่มีอำนาจเหนือกว่า จะพูด จะตัดสินใจ จะเอาอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง คัดค้าน และโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว คนที่มีอำนาจ มักจะมีความ "หลง" ในอำนาจ ทำให้มักเผลอไผใช้ "อำนาจ" ไปตามแรงกระตุ้นของอารมณ์
-จะเห็นได้ว่า ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงได้มีกฎมณเฑียรบาลว่า เมื่อใดที่พระมหากษัตริย์ซึ่งถือครอง "อำนาจ" เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อใดที่ทรงโมโหหรือกริ้วโกรธ หากรับสั่งให้ทหารยื่นพระแสงดาบให้ ก็จงอย่ายื่นถวาย ผู้ใดบังอาจยื่นพระแสงดาบถวาย ให้ต้องความผิดตามกฎมณเฑียรบาล ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการใช้ "อำนาจ" ไปโดยแรงกระตุ้นของอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ทันได้คิดตรึกตรองหาทางเลือก ทางออก โดยรอบคอบ
-หรือเมื่อเร็วๆ นี้ ก็มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เหตุเกิดที่จังหวัดเชียงราย เมื่อพ่อค้าและภรรยาขับรถกระบะ เกิดปัญหาโต้เถียงกับตำรวจจราจร มีปากเสียง ด่าทอกับตำรวจจราจรที่มีปืนพกอยู่ข้างเอว จนเกิดอารมณ์โมโหทั้งสองฝ่าย ในที่สุด โดยไม่คาดคิด ตำรวจจราจรได้คว้าอาวุธปืนกระหน่ำยิงพ่อค้าและภรรยาจนตาย คารถกระบะ ก่อนที่จะยิงตัวเองตายในท้ายที่สุด ท่ามกลางสายตาคนจำนวนมาก
-สะท้อนว่า เมื่อคนที่มี "อำนาจ" อยู่ในครอบครอง เผชิญกับปัญหา ก็มักจะนึกถึงการใช้อำนาจ มากกว่าจะใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา เพราะมีความต้องการเร่งเร้าอยู่ในส่วนลึกว่า อยากจะให้ปัญหาจบๆ ไปเสียโดยเร็ว จึงนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในที่สุด
-เป็นด้านที่น่ากลัวของการมีอำนาจ หรือมีอาวุธไว้ในครอบครอง นี่ขนาดว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ยังสามารถลุแก่อารมณ์ ใช้อำนาจปืนก่อเหตุอันน่าสลดขึ้นได้ จึงไม่ต้องเอ่ยถึงประชาชนหรือข้าราชการทั่วไป
-คนเรามีปืนกระบอกเดียว ยังอาจหลงใช้อำนาจแทนการใช้ปัญญาได้ขนาดนี้ กรณีตากใบ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมทหารที่มีอาวุธครบมือถึงใช้ความรุนแรง แทนสันติวิธี
-หรือกรณีปัญหาภาคใต้ก็ไม่ต่างกัน เมื่อผู้บริหารประเทศถืออำนาจเบ็ดเสร็จ มีปืนทั้งกองทัพอยู่ในมือ มีบริวารเป็นแม่ทัพขุนศึก อยากให้เรื่องจบๆ เดินตามแรงกระตุ้น ย่อมใช้อำนาจแทนปัญญา ในที่สุด ก็นำไปสู่ความรุนแรงไม่รู้จบ
-น่าคิดว่า ไฟใต้ยังไม่ยอมดับจนถึงปัจจุบัน ก็เพราะวิธีคิด "การเมืองแบบพกอาวุธ" อย่างนี้หรือไม่
สารส้ม