บทที่ 24 ฟังธรรม
เสียงเคาะระฆังดังเป๊งๆ เพราะเป็นเพียงระฆังเล็ก ไม่ได้ดังเหง่งหง่างอย่างที่วิหารเซนต์ปอลส ในนครลอนดอน แต่ก็ดังพอที่จะได้ยินกันทั่ววัด เราเดินจากบ้านพักไปที่ศาลา ระหว่างทางพบแม่ชีสูงวัยอีกสามรูป รูปหนึ่งส่งไฟฉายให้ปานฯ กระบอกหนึ่งและร่มอีกหนึ่งคันบอกว่า
ฝนมันตกบ่อย กลางค่ำกลางคืนมันมืดเอาไว้ส่องดูทาง ที่นี่งูมันชุมนัก แล้วถ้าอยากได้อะไรก็หยิบได้ในครัว กาแฟ มาม่า กระติกน้ำร้อนก็มี
ปานฯ ยกมือไหว้แสดงความขอบคุณ หันมาบอกผมว่า
เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาหารค่ำจะทานอะไร
คงมีอย่างเดียวแหละคือบะหมี่สำเร็จรูป พระที่นี่ฉันมื้อเดียว เราจะกินอะไรคงต้องทำเอง
บนศาลา มีเบาะรองนั่งผืนบางๆ วางอยู่ห้าชิ้น แถวหน้าสามชิ้น ถัดลงมาสองชิ้น ตรงหน้ามีหนังสือเป็นบทสวดมนต์วางอยู่ ด้านขวาชิดผนังพื้นยกสูงประมาณหนึ่งฟุต กว้างประมาณสองเมตร ยาวเรื่อยไปตามความยาวของศาลาจนไปจบที่ด้านหน้าพระประธาน มีสันถัตเป็นที่รองนั่งสำหรับพระ วางเรียงรายไปตลอด เฉพาะด้านหน้าเยื้องพระประธานมาเล็กน้อย มีไมโครโฟนตั้งอยู่ ด้านหลังเป็นตู้ใส่เครื่องเสียง
บรรดาแม่ชีนั่งพับเพียบลงบนเบาะแถวหน้า ผมและปานฯ นั่งแถวหลัง เราต่างก้มลงกราบพระสามครั้ง
พระสงฆ์แต่ละรูปเริ่มทยอยตามกันเข้ามานั่งขัดสมาธิตามที่ๆ กำหนดคือตามลำดับของพรรษาที่บวช พระอาจารย์เข้ามาเป็นลำดับสุดท้าย ชำเลืองมองดูเราแวบหนึ่ง ท่านจุดเทียนที่หน้าพระประธาน ก้มลงกราบ พระทุกรูปและแม่ชีต่างก้มลงกราบตาม ปานฯ และผมทำตามอย่างด้วย
พระอาจารย์เริ่มบทสวดมนต์ พระทุกรูปและแม่ชีสวดตาม ผมและปานฯ สวดมนต์ไม่เป็น อย่างมากที่เราท่องเป็นคือบทนะโมฯ เท่านั้น ผมรีบคว้าหนังสือสวดมนต์ตรงหน้าขึ้นเปิดดูสารบัญ เห็นบทสวดทำวัตรเย็นจึงเปิดดูที่หน้านั้นปรากฏว่าตรงกัน ผมช่วยเปิดหนังสือ ชี้ให้ปานฯ ดูหน้าที่กำลังสวดอยู่ เมื่อจบบทหนึ่ง จะสวดบทไหนต่อ พระอาจารย์จะพูดออกไมค์
เปิดไปหน้า..... เป็นต้น
หลังจากที่สวดมนต์เสร็จ ใช้เวลาไปประมาณสี่สิบนาที พระบางรูปเดินออกไปนอกศาลาเพื่อทำกิจส่วนตัว พระอาจารย์พูดขึ้นว่า
นึกว่าโยมทั้งสองจะไปอยู่รีสอร์ทเสียอีก
ผมหัวเราะ ประนมมือขึ้นบอกว่า
เราอยากอยู่ฟังเทศน์มากกว่าครับ
ดี พระอาจารย์ก็เข้าใจนะว่าเวลาโยมทั้งหลายมีวันหยุด มีวันพักผ่อนจากการทำงาน ก็อยากจะพักผ่อนกัน แต่ที่เห็นเลือกไปกันกลับไม่ได้พักผ่อน มัวแต่กินเหล้า เมายา เล่นไพ่ทั้งวันทั้งคืนอดหลับอดนอน พอกลับไปทำงานใหม่แทนที่จะสดชื่นกลับทรุดโทรม หน้าตาดูไม่ได้ บางคนก็ขาดงานต่ออีก แล้วยังต้องเสียเงินเสียทองไปไม่น้อย เผลอๆ ต้องมาเป็นหนี้อีก เขาเรียกว่าคิดไม่ถูก.....
......อย่างที่พระอาจารย์บอกแหละ ที่วัดพักผ่อนจิตใจได้ดีกว่านัก นอนหลับแต่หัวค่ำ ไม่มีเหล้ายาให้เสพ ไม่มีไพ่ให้เล่น บรรยากาศก็ดี อากาศก็ดี เงินทองไม่ต้องเสีย กลับไปทำงานต่อด้วยใจที่เป็นสุขหน้าที่การงานก็จะเจริญก้าวหน้าดี อย่างนี้สิถึงเรียกว่าคิดชอบ.....ใครบอกว่าวัดไม่มีทิวทัศน์งามๆ ให้ดู นี่เดินสวนทางน้ำไหลด้านหลังครัวนั้นขึ้นไป เลยตาน้ำขึ้นไปอีกไม่ไกล มีทิวทัศน์สวยงามให้ชม มีผาใหญ่ ลานหินกว้าง ลมเย็นสบายเหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมนักแล พรุ่งนี้เช้ากินข้าวเสร็จขึ้นไปดูให้เห็นกับตา.....
......วันนี้พระอาจารย์จะสอนวิธีในการปฏิบัตินะ ให้เราตั้งใจฟังให้ดีและปฏิบัติตามไป กำหนดจิต กำหนดใจให้ดี ประโยชน์ทั้งหลายจะตกกับโยมทั้งสองเองแหละ
เมื่อพระทุกรูปต่างเข้ามาในศาลาพร้อมกันหมดแล้ว พระรูปหนึ่งดับไฟในศาลาทั้งหมดลง ความมืดเข้าครอบงำ มีแต่แสงไฟจากเทียนเล่มเล็กสองเล่มที่หน้าพระประธาน ความเงียบเข้าปกคลุม เสียงจักจั่น เรไร จิ้งหรีด กบ เขียด ดังระงมไปทั่ว สายลมโกรกผ่านหน้าต่างเข้ามาตลอดเวลาจนรู้สึกหนาว
พระอาจารย์พูดผ่านไมค์ว่า
การปฏิบัติภาวนา ท่านั่งที่เหมาะสมที่สุดคือการนั่งขัดสมาธิ เท้าขวาทับซ้าย มือขวาทับซ้าย แผ่นหลังเหยียดตรงตามสบาย ปล่อยใจตามสบายและให้นึกถึงลมหายใจเข้าและออกอย่างช้าๆ เมื่อหายใจเข้าก็ให้รู้ว่ากำลังเข้า เมื่อหายใจออกก็ให้รู้ว่ากำลังออก ให้ลมออกจากปอดให้หมด แล้วกลั้นลมหายใจเอาไว้ครู่หนึ่ง ขณะที่กลั้นลมหายใจนั้นให้นึกรู้อยู่ตลอดเวลา ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ.....
...... แรกๆ อาจจะรู้สึกอึดอัด ให้ค่อยปรับจิตปรับใจ วางใจให้เป็นกลางๆ ความเป็นกลางๆ คือความเป็นปกติของใจ หัวใจเต้นเป็นปกติ ถ้าไม่ปกติเช่นเวลาเราวิ่งมาเหนื่อยๆ หัวใจเต้นถี่ๆ อย่างนี้เรียกว่าไม่ปกติ หรือลมหายใจอ่อนเวลาไม่สบายเหมือนคนใกล้ตาย อย่างนี้เรียกว่าไม่ปกติ เมื่อปรับจิตปรับใจได้แล้ว ลมหายใจจะเริ่มเบาลงๆ เบาลงเรื่อยๆ สติจะเริ่มตั้งมั่นขึ้น แต่หากไม่ได้ มีอะไรมารบกวนจิตใจ ให้เริ่มต้นใหม่โดยกำหนดตัวรู้ให้อยู่กับลมหายใจเข้าและออก ไม่นานก็จะตั้งมั่นได้เอง.....
ผมรู้สึกว่าเมื่อปฏิบัติตามที่พระอาจารย์สอนไปครู่หนึ่ง แม้หูจะได้ยินเสียงของพระอาจารย์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็เหมือนไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าพระอาจารย์พูดอะไร เสียงอื่นภายนอกที่เคยดังระงมก็พลันหายไปด้วย มีแต่ความเงียบสงบเข้ามาแทนที่
ผมไม่รู้ว่านั่งแบบนั้นอยู่นานแค่ไหน แต่รู้ว่าเท้าขวาที่วางทับอยู่ด้านบนเริ่มชาขึ้นและรู้สึกเจ็บปวดไปหมด ความเจ็บปวดเริ่มลามไปถึงเอว กระดูกสันหลัง จนอยากจะขยับตัวเปลี่ยนท่านั่ง พลันก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์พูดขึ้นว่า
อาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นธรรมดา ให้เราวางจิตวางใจให้เป็นกลางๆ พิจารณาไปที่ความเจ็บปวดนั้น แล้ววางจิตให้เป็นกลางๆ ความเจ็บปวดก็จะเริ่มหายไปเอง เมื่อความเจ็บปวดไปเกิดขึ้นที่ไหน ก็ให้พิจารณาไปที่นั่นพร้อมกับวางจิตวางใจให้เป็นกลางๆ ไปตลอด
แปลกแต่จริง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในตอนต้นนั้นผมรู้สึกว่ามันแสนสาหัสเอาจริงๆ จนรู้สึกว่าตัวเองต้องทนต่อสู้อย่างทรหดจนรู้สึกว่าเหงื่อแตกเต็มตัว ทั้งที่อากาศภายในศาลานั้นยังเย็นสบายอยู่ แต่เมื่อทำตามที่พระอาจารย์คือวางใจให้เป็นกลาง เหมือนไม่ใส่ใจกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้น ความเจ็บปวดก็จางหายไป และไปปวดที่ใหม่แทน ผมก็ปฏิบัติไปแบบเดิม แต่ท้ายสุดตัวเองก็ทนไม่ไหว ตั้งท่าจะเปลี่ยนท่านั่งอยู่แล้ว
เสียงพระอาจารย์พูดขึ้นว่า
เอาล่ะ ให้เรานึกแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับคนที่เราเกลียด ให้กับคนที่เรารัก
แปลกแต่จริง พอผมเริ่มแผ่เมตตาให้กับคนที่ผมไม่ชอบหน้า ใบหน้าของคนๆ นั้นลอยปรากฏขึ้นมาเฉยๆ และหันมายิ้มให้กับผม มันเป็นภาพที่ชัดมาก ชัดเหมือนสามารถเห็นด้วยตาเปล่า ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่สำคัญคือผมรู้สึกโล่งใจ ใจเบาสบายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันเหมือนเราได้อโหสิกรรมต่อกัน ไม่ถือโทษโกรธแค้นกันอีก ใจมันก็สบายมากขึ้น จริงสินะ เมื่อใจมันปล่อยวางได้ ใจก็เบาสบาย ความสุขก็เกิดขึ้นกับใจของเรา อย่างนี่เองกระมังที่เรียกว่า อภัยทาน
เสียงของพระอาจารย์ดังขึ้นอีกครั้งว่า
เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้
แสงไฟสว่างติดขึ้นพร้อมกัน ผมแทบขยับขาไม่ได้เหมือนคนเป็นง่อย ตอนแรกกลัวด้วยซ้ำว่าขามันจะขาดออกจากกัน ต้องใช้มือช่วยแงะขาออกทีละข้าง นวดเฟ้นอยู่เป็นนานกว่าเหน็บชาและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะค่อยจางไป เมื่อหันไปมองปานฯ ที่นั่งอยู่เคียงข้าง เห็นเธอขยับเท้าได้สบายๆ ไม่เห็นลำบากยากเย็นแบบผมเลย ผมกระซิบถามว่า
เป็นไงบ้างจ๊ะปานฯ นั่งได้ไหม เจ็บปวดบ้างไหม?
ผมแปลกใจเป็นล้นพ้นเมื่อได้ยินคำตอบว่า
นั่งได้ค่ะ เจ็บนิดหน่อยแต่ทนได้ค่ะ
บอกตามตรงว่าผมรู้สึกอดสูใจเล็กๆ
พระอาจารย์เอ่ยถามว่า
เป็นยังไงบ้างโยมทั้งสอง พอจะปฏิบัติได้ไหม?
พอได้เจ้าค่ะ ปานฯ ตอบ
พอไหวครับ ผมตอบ
ดี เอาล่ะ กลับไปปฏิบัติกันต่อนะ จะเดินจงกรมก็ได้
เวลาแค่สามทุ่มเศษ เรากลับมานั่งที่ระเบียงบ้านใต้แสงเทียนพรรษาเล่มใหญ่ เสียงนกกลางคืนดังแว่วมาเหมือนเสียงหวูดรถไฟ แต่เป็นช่วงสั้นๆ เสียงจักจั่นยังลั่นป่าอยู่อย่างเดิม เมื่อลมกรรโชกมา เสียงกิ่งไม้ ใบไม้ที่เสียดสีกันดังสนั่นซู่ๆ พัดเอาผลของต้นที่อยู่หน้าบ้านร่วงสู่พื้นดังตุบตั้บๆ ก้องไปในราตรี
ผมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า
ปานฯ พอจะนั่งสมาธิได้ใช่ไหม?
ได้ค่ะ ปานฯ เคยปฏิบัติมาบ้างแล้ว คุณพ่อเป็นคนสอนค่ะ
อ้าวเหรอ ทำไมผมไม่ทราบเลยล่ะ ผมแปลกใจที่ทราบข่าวใหม่
ก็คุณไม่เคยถามนี่คะ
เอ่อ นั่นสิ แล้วยังปฏิบัติอยู่สม่ำเสมอหรือเปล่า? ผมถามต่อ
บ้างค่ะ แต่ไม่ประจำ
แสดงว่าคุณพ่อเป็นนักปฏิบัติสิ ผมถามด้วยความอยากรู้
ถ้าหมายความว่าคุณพ่อปฏิบัติทุกวันเป็นประจำล่ะก็ ใช่ค่ะ
ท่ามกลางแสงสว่างของเปลวเทียน ถ้าปานฯ สังเกตเห็นสีหน้าของผมคงเห็นว่าผมสงสัยเต็มที่ จึงถามต่อว่า
งั้น ผมถามหน่อยว่าแล้วทำไมคุณพ่อถึงต้องบังคับให้คุณแต่งงานกับผู้ชายที่ท่านเลือกให้ล่ะ แสดงว่าท่านยังมีกิเลส ยังอยากให้ลูกอยู่สบายโดยหวังว่าคนที่พ่อเลือกนั้นจะอำนวยให้ได้
คุณไม่เห็นจะน่าถามเลย คนปฏิบัติก็ยังเป็นคน ยังมีกิเลสอยู่ จะมากหรือน้อยเท่านั้น ในด้านอื่น ปานฯ ค่อนข้างจะเชื่อมั่นค่ะว่าคุณพ่อเป็นคนดี แต่เกี่ยวกับลูก แม้ปานฯ จะยังไม่เป็นแม่คน แต่ปานฯ ก็เชื่อค่ะว่าพ่อและแม่รักลูก อยากให้ลูกสบายทั้งนั้น จะว่าไปก็เหมือนห่วงกันอยู่ร่ำไปตั้งแต่เกิดจนกว่าจะตายจากกันไปแหละ
ผมให้คะแนนปานฯ เพิ่มขึ้นอีก และรู้สึกภูมิใจที่เธอมีความเข้าใจอะไรต่อมิอะไรเกินกว่าที่ผมคาดไว้ ใช่เลย มันมาแต่เหตุและผลและความเป็นจริงเท่านั้น ถ้าเข้าใจได้ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นเยอะ จริงอย่างที่เธอว่า ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ เอ่ยถามต่อไปว่า
ถ้างั้น การมีลูกก็เหมือนเป็นห่วงรัดคอไปตลอดน่ะซี ไม่เห็นน่าจะมีเลย
ถ้ามีแล้วจะทำไงได้ล่ะคะ พ่อแม่ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ถ้ายังไม่มีแล้วจะไม่มีก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะคิด
เธอตอบเป็นกลางเสียจนเดาความคิดไม่ออก เลยซักต่อว่า
แล้วปานฯ คิดยังไงล่ะ?
ปานยังไงก็ได้ ถ้าคุณอยากมีก็มี ถ้าคุณไม่อยากมี ปานฯ ก็สบายใจ
ผมไม่พูดอะไร เอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้บีบเบาๆ สบตากันท่ามกลางแสงเทียนในป่าใหญ่ และยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ
ไม่มีการจูบลา ผมส่งปานฯ ที่หน้าห้องนอนของเธอ กลับเข้ามาในห้องของตัวเองที่อยู่ถัดมา จุดเทียนไขแท่งเล็กให้สว่างขึ้น นึกในใจว่าถ้าจะลองนั่งสมาธิดูก่อนนอนคงจะดี ผมยังจำที่พระอาจารย์สอนได้และปฏิบัติไปตามนั้น อีกครั้งหนึ่ง
โปรดติดตามต่อไป
ท่านผู้เขียน เขียนมาถึงแค่นี้ครับ ผมจะทยอยเอาตอนต่อๆ ไปมา Post ให้อ่านกันนะครับ ผม
