>> จากมติชน 27/3/2552กรมราชองครักษ์แจกปืนสั้น-ลูกซอง 4.7พันกระบอก "ครู-อาสามสมัคร" ชายแดนใต้ กรมราชองครักษ์เป็นห่วงประชาชนผู้บริสุทธิ์ ถูกผู้ก่อความไม่สงบฆ่าโดยไม่มีอาวุธต่อสู้ สั่งซื้อปืนสั้น-ลูกซองยาวกึ่งอัตโนมัติ 4,700 กระบอก
แจก ครู ทหาร ตำรวจ อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน ให้มหาดไทยออกใบอนุญาต เป็นปืนส่วนบุคคล หวั่นฝ่ายตรงข้ามยึดได้ไปโฆษณาชวนเชื่อ
ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 ว่า กรมราชองรักษ์ได้หาเงินบริจาคสั่งซื้ออาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ STEYR PISTOL
รุ่น M-A1 และอาวุธปืนยาวลูกซองกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ BAIKAL รุ่น MP 153 รวม 4,700 กระบอก เพื่อให้ ครู ทหาร ตำรวจ และสมาชิกราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) อรบ.
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยืมไว้ป้องกันตนเองและหมู่บ้านโดยให้กระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวกในการขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืนเหล่านั้น
แต่ยังมีปัญหาในข้อกฎหมายและอาจถูกฝ่ายตรงข้ามยึดไปโฆษณาชวนเชื่อ กระทรวงมหาดไทย จึงหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา
ถึงแนวทางการใบอนูญาตให้มีและใช้อาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
ให้แก่กลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า นายทะเบียนท้องที่อาจพิจารณาออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนให้แก่ผู้รับโอนอาวุธปืน
จากกรมราชองครักษ์ได้โดยให้รัฐมมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจในการสั่งห้ามหรือจำกัดการออกใบอนุญาตดังกล่าวได้เพื่อความสงบเรียบร้อย(เรื่องเสร็จที่ 262/2552)
ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าว อธิบดีกรมการปกครองในฐานะนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่กรุงเทพมหานครว่า
กรมราชองครักษ์ขอความอนุเคราะห์กระทรวงมหาดไทยอำนวยความสะดวกในการขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน
ให้กับครู ทหาร ตำรวจ และ อรบ.เนื่องจากเหตุการณ์ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนผู้บริสุทธิ์และครูถูกฆ่าโดยไม่มีอาวุธที่จะต่อสู้
กรมราชองรักษ์จึงได้หาเงินบริจาคสั่งซื้ออาวุธ
ปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ STEYR PISTOL รุ่น M-A1 จำนวน 700 กระบอก เพื่อให้ครูและเจ้าหน้าที่ยืมใช้ป้องกันตัว
และอาวุธปืนยาวลูกซองกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ BAIKAL รุ่น MP 153 จำนวน 4,000 กระบอก เพื่อให้ อรบ. ยืมไว้ป้องกันตนเองและหมู่บ้าน โดยกรมราชองครักษ์จะควบคุมด้วยการตรวจสอบประวัติผู้ยืม ยิงปืนทดสอบ เก็บประวัติอาวุธปืน ฝึกอบรมการใช้อาวุธปืน
จัดทำใบยืมอาวุธปืน ซึ่งจะมีการเรียกผู้ยืมและอาวุธปืนมาตรวจสอบเพื่อต่ออายุใบยืม ปีละหนึ่งครั้ง รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ ทหาร
และตำรวจในพื้นที่รับรู้การขึ้นทะเบียนและกำกับดูแลการใช้ปืน
ต่อมา กรมราชองครักษ์พิจารณาเห็นว่า การให้ยืมอาวุธปืนอาจมีปัญหาในอนาคต จึงมีความประสงค์จะโอนอาวุธปืนทั้งสองรายการดังกล่าวให้กับผู้ยืม
และให้มีการอนุญาตให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ฯ จึงขอหารือไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อขอยกเว้นหรือผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
สำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ซึ่งต่อมากรมบัญชีกลางได้แจ้งให้กรมราชองครักษ์ทราบว่า คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ได้อนุมัติยกเว้น
ให้กรมราชองครักษ์ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 157 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ
โดยให้กรมราชองครักษ์สามารถโอนอาวุธปืนทั้งสองรายการ
จำนวน 4,700 กระบอก แก่บุคคลที่ได้รับการพิจารณาและให้ยืมใช้อาวุธปืนอยู่แล้วได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย แต่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อ
บังคับ หรือมติคณะรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า อาวุธปืนของกรมราชองครักษ์ จำนวน4,700 กระบอก ที่จะโอนให้แก่ ครู ทหาร ตำรวจ และ อรบ. เป็นอาวุธปืน
ของราชการทหารซึ่งได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ นายทะเบียนท้องที่จึงไม่สามารถออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนได้
จึงขอหารือข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติ ในกรณีดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 11) เห็นว่า แม้ว่าการที่กรมราชองครักษ์ได้นำเข้าอาวุธปืนตามข้อหารือมาใช้ในราชการ ซึ่งอาวุธปืนดังกล่าวไม่ตกอยู่ภายใต้
บังคับของ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ แต่เมื่อกรมราชองครักษ์ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ยกเว้นให้ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 157
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ ฯ โดยให้กรมราชองครักษ์สามารถดำเนินการโอนอาวุธปืนทั้งสองรายการ ให้แก่บุคคล
ที่ได้รับการพิจารณาและให้ยืมใช้อาวุธปืนอยู่แล้วได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
ฉะนั้น เมื่อกรมราชองครักษ์ได้โอนอาวุธปืนให้แก่ครู ทหาร ตำรวจ และ อรบ. เแล้ว อาวุธปืนเหล่านั้นก็จะตกเป็นของผู้รับโอน
และไม่เป็นอาวุธปืนของทางราชการอีกต่อไป โดยต้องถือว่า อาวุธปืนนั้นเป็นอาวุธปืนส่วนบุคคลอันนายทะเบียนท้องที่สามารถจะนำบทบัญญัติว่าด้วย
อาวุธปืนส่วนบุคคลของ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาใช้บังคับกับอาวุธปืนนั้นได้ นายทะเบียนท้องที่จึงอาจพิจารณาออกใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน
ให้แก่ผู้รับโอนอาวุธปืนดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นว่า มีความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนสมควรควบคุมปริมาณ
และการใช้อาวุธปืนก็อาจอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯในการออกคำสั่งห้ามหรือจำกัดการออกใบอนุญาตและอาจกำหนดให้ใช้บังคับ
ในบางท้องที่หรือทั่วราชอาณาจักรได้
