เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ธันวาคม 26, 2025, 08:50:35 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Kick down หรือ O/D off ดีครับ  (อ่าน 4728 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 05:26:21 PM »

แถมท้ายอีกนิดครับ...

พวกหลักสูตรขับรถใน USA. มักแนะนำให้ใช้ Kick Down ครับ... โดยให้เหตุผลว่าควรใช้มือจับพวงมาลัย+ตาจ้องถนนเอาไว้ให้มากที่สุด โดยที่บริษัทรถยนต์ เขาออกแบบเครื่อง+เกียร์ เผื่อมาไว้ให้แล้วครับ...
บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 05:27:46 PM »

โอ้... Post ชน อ. รุตครับ... เย้
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #17 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 05:35:43 PM »


     O/D Off ตอบสนองการเร่งแซงได้เร็วกว่า Kick Down และน่าจะประหยัดน้ำมันได้ดีกว่าด้วย เพราะอย่างหลังต้องกดคันเร่งมิด

     อันนี้คิดเอาเองนะครับ ........ ถ้าหลักวิชาการต้องรอผู้รู้มาชี้แจงอีกที



ผมเลือกใช้วิธี ของลุงปู ครับ ถ้าความเร็วต่ำ กว่า ๑๐๐ ผมจะใช้การลดเกียร์ ลงมา
แต่ถ้าความเร็วระดับ ๑๒๐ ขึ้นไปแล้ว..กดคันเร่ง แบบ Kick Down  ก็ผ่านรถยนต์ ที่ขับหาบ้านเช่า สบายแล้วครับ  Cheesy

หากเป็น Jeep .๔ L ถ้าเผลอไป Kick Down น้ำมันจะถูกผลาญลงแบบเห็นเข็มกระดิกทันที  ตกใจ

ต้องเลือก ลดเกียร์ ครับ  Grin

บันทึกการเข้า

berm
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 14
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1196



« ตอบ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 05:38:16 PM »

แถมท้ายอีกนิดครับ...

พวกหลักสูตรขับรถใน USA. มักแนะนำให้ใช้ Kick Down ครับ... โดยให้เหตุผลว่าควรใช้มือจับพวงมาลัย+ตาจ้องถนนเอาไว้ให้มากที่สุด โดยที่บริษัทรถยนต์ เขาออกแบบเครื่อง+เกียร์ เผื่อมาไว้ให้แล้วครับ...
เห็นด้วยครับ ระบบ Kick Down ถูกออกแบบไว้โดยการลดเกียร์ลง 1 ระดับเพื่อสร้างอัตราเร่ง  ในรถรุ่นใหม่ๆสมองกลตอบสนองรวดเร็ว นุมนวลเชื่อถือได้ ส่วน O/D เหมือนการรากเกียร์ให้นานขึ้นในทุกๆเกียร์มากกว่า
บันทึกการเข้า
pimuk
Hero Member
*****

คะแนน 82
ออฟไลน์

กระทู้: 2886


« ตอบ #19 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 05:38:51 PM »

ผมคิ๊กดาวน์ครับ ผมซาดิสต์...   Grin
บันทึกการเข้า
..GlockGlack..
ทำดีไว้ไม่ขาดทุน..... ขาว อวบ. อิอิอิ
Hero Member
*****

คะแนน 48
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3569


ใช้ปืนดี มีพระคุ้มครอง


« ตอบ #20 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 06:19:21 PM »

อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกหลอนๆ เหมือนกับว่าเคยมีและตอบกระทู้แบบนี้ไปแล้วครับ Grin
บันทึกการเข้า

ขอสักกระทู้ที่ไม่เลอะเทอะเลื่อนเปื้อน จนเสียคุณค่าเนื้อความในกระทู้นะครับ Cheesy
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 06:23:52 PM »

อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกหลอนๆ เหมือนกับว่าเคยมีและตอบกระทู้แบบนี้ไปแล้วครับ Grin

อ้าวหรือครับพี่ กิ๊วก๊าว

เวรแล้วตู  ( ยังไม่แก่ทำไมเป็นถึงขนาดนี้  หัวเราะร่าน้ำตาริน )
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #22 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 06:40:40 PM »

แถมท้ายอีกนิดครับ...

พวกหลักสูตรขับรถใน USA. มักแนะนำให้ใช้ Kick Down ครับ... โดยให้เหตุผลว่าควรใช้มือจับพวงมาลัย+ตาจ้องถนนเอาไว้ให้มากที่สุด โดยที่บริษัทรถยนต์ เขาออกแบบเครื่อง+เกียร์ เผื่อมาไว้ให้แล้วครับ...
เห็นด้วยครับ ระบบ Kick Down ถูกออกแบบไว้โดยการลดเกียร์ลง 1 ระดับเพื่อสร้างอัตราเร่ง  ในรถรุ่นใหม่ๆสมองกลตอบสนองรวดเร็ว นุมนวลเชื่อถือได้ ส่วน O/D เหมือนการรากเกียร์ให้นานขึ้นในทุกๆเกียร์มากกว่า


ใช่เลยครับถ้าไม่  Kick Down
ผม ใช้การลดเกียร์ แล้ว ก็ผลักไปเกียร์สูงเหมือนเดิม. ไม่ลาก เกียร์ต่อ  Grin



อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกหลอนๆ เหมือนกับว่าเคยมีและตอบกระทู้แบบนี้ไปแล้วครับ Grin

แต่นานมากหลายปีแล้ว.. ตอนแรกผมก็นึกว่า เป็นการขุดกระทู้ซะอีก.  Grin
บันทึกการเข้า

ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #23 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 06:47:48 PM »

ข้อมูลจากเวป คนรักฮอนด้า

Overdrive ใช้ตอนไหนถึงจะดี




ความหมายจริง ๆ ของคำว่า “Overdrive Ratio” คือ อัตราทดเฟืองเกียร์ที่ทำให้เพลากลางหมุนได้เร็วกว่าเ พลาขับตัวเมนของเกียร์ จึงช่วยให้ใช้รอบเครื่องต่ำลงและรถวิ่งเร็วขึ้น ซึ่งตามความหมายนี้ก็พอจะถือได้ว่าเฟืองเกียร์ที่มีอ ัตราทดต่ำกว่า 1 นั้นเป็นเกียร์ Overdrive ส่วนผลงานจะเป็นอย่างไร ได้ผลมากน้อยขนาดไหน ก็จะต้องขึ้นอยู่กับกำลังเครื่อง อัตราทดเฟืองท้ายเส้น


รอบวงยาง น้ำหนักและรูปทรงของรถ


จุดประสงค์หลักของการใช้งานเกียร์ Overdrive คือ ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ให้ทำงานน้อยลงกว่าเกียร์อัตราท ดปรกติเมื่อขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่เท่ากัน เพื่อเป็นการลดความสึกหรอและมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเ พลิงน้อยลง อย่างเช่นในเกียร์ 4 ที่มีอัตราทดเกียร์ 1.000 เมื่อวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้รอบเครื่อง 3,400 รอบต่อนาที แต่พอใช้เกียร์ 5 ที่มีอัตราทดเพียง 0.850 ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. เท่ากัน ก็อาจจะใช้รอบเครื่องรถยนต์เพียงแค่ 2,800 รอบต่อนาที ย่อมมีการสึกหรอและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื ่องยนต์ที่ทำงาน 3,400 รอบต่อนาที แต่นั่นหมายถึงว่าเราจะต้องวิ่งด้วยความเร็วคงที่ เพราะถ้ามีการเร่งแซงและเปลี่ยนแปลงความเร็วบ่อย ๆ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าเกียร์ 5 หรือเกียร์ Overdrive จะสร้างความประหยัดให้เสมอไป เนื่องจากเกียร์ 5 จะมีอัตราเร่งน้อยกว่าเกียร์ 4 ดังนั้นเมื่อมีการเร่งแซง คนขับจึงต้องกดคันเร่งลึกและนานกว่าเพื่อเรียกแรงม้า ออกมาใช้งาน




ใช้ให้ถูกวิธี


ในการใช้เกียร์ Overdrive ให้ได้ผลเต็มที่นั้น ประการแรกคือ ต้องใช้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพการจราจร เช่น การขับขี่ในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ มีการเร่งและหยุดบ่อย ๆ แบบนี้ไม่ควรใช้ ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติที่มีปุ่มเปิด-ปิด ให้ใช้จังหวะ OD Off จนกระทั่งเจอทางโล่ง สามารถใช้ความเร็วได้เกินกว่า 60-80 กม./ชม. (ขึ้นอยู่กับกำลังเครื่องยนต์) จึงค่อยกดสวิตช์ OD On เพื่อให้เกียร์เปลี่ยนเป็น Overdrive


รถเกียร์อัตโนมัติที่มีเกียร์ Overdrive จะพยายามอยู่ในตำแหน่งเกียร์สูงสุดเท่าที่จะสามารถทำ ได้ รถบางรุ่นขนาดคลานด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. ยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็นเกียร์ต่ำเลยก็มี แบบนี้นอกจากทำให้แรงบิดเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นแล้ว แทนที่จะเกิดความประหยัดตามความมุ่งหมาย หรือพวกรถเกียร์ธรรมดา เมื่อใช้เกียร์ Overdrive ในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำมาก ๆ จะไม่มีผลเฉพาะอัตราเร่งกับอัตราสิ้นเปลืองเท่านั้น ยังทำให้ชุดขับเคลื่อนและระบบส่งกำลัง ตลอดจนเครื่องยนต์เกิดชำรุดเสียหายได้อีกด้วย


ใช้ในการแซง


เมื่อขับอยู่ในช่วงความเร็วประมาณ 60-100 กม./ชม. โดยขับเคลื่อนอยู่ในจังหวะเกียร์ Overdrive และมีความต้องการแซงรถคันข้างหน้าแบบไม่รีบร้อนเร่งด ่วนอะไรมากนัก ควรกดสวิตช์เป็น OD Off เพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงมาเป็นเกียร์ต่ำก่อน แล้วกดคันเร่ง (เบา ๆ ) เพิ่มกำลังเครื่องแซงขึ้นไป พอพ้นหรือหมดความจำเป็นแล้วจึงค่อยกดสวิตช์เปลี่ยนกล ับมาเป็น OD On ตามเดิม วิธีนี้จะรวดเร็วและประหยัดกว่าการเร่งแซงทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในเกียร์ Overdrive ซึ่งจะอืดอาดใช้เวลาในการแซงนานกว่า วิธีนี้จะทำให้การแซงนิ่มนวลกว่าการกดคันเร่งลึกให้เ กียร์ Kick Down เปลี่ยนกลับเป็นเกียร์ต่ำ เพราะการคิกดาวน์นั้นเครื่องยนต์จะมีรอบสูง อัตราเร่งรุนแรง กระชากกระชั้นเกินความจำเป็น ซึ่งจะนำไปสู่การสึกหรอและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเป ล่าประโยชน์


Overdrive ในที่คับขัน


พวกเกียร์ Overdrive มีอัตราทดเกียร์ต่ำ ทำให้เครื่องยนต์ไม่มีเอนจิ้นเบรก ดังนั้นในการเบรกจะใช้ระยะเบรกยาวกว่าปรกติ ด้วยเหตุนี้เพื่อความปลอดภัยและช่วยให้ใช้ระยะในการเ บรกสั้นลง เวลาที่ขับรถในจุดคับขัน เช่น ขับลงทางลาด ลงสะพาน หรืออยู่ในจุดบอด ไม่เห็นทางข้างหน้า ควรจะเปลี่ยนกลับมาใช้เกียร์ต่ำ โดยกดสวิตช์เป็นตำแหน่ง OD Off อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งละ 10-20 สตางค์ แต่ขอให้นึกเทียบกับค่าซ่อมรถเนื่องจากไปสะกิดบั้นท้ ายคันอื่นแล้วจะรู้สึกว่าคุ้มกว่ากันเยอะ โดยเฉพาะรถที่ใช้ระบบเบรก ABS ซึ่งปรกติระยะเบรกจะยาวกว่ารถที่ไม่มี ABS อยู่แล้ว มาผสมโรงกับจังหวะเกียร์ Overdrive อีกก็จะไปกันใหญ่ เบรกกันไม่ค่อยทัน ในบางครั้งเราจึงควรกดสวิตช์เป็น OD Off ให้ลดลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อใช้เอนจิ้นเบรกมาช่วยลดค วามเร็วของรถด้วยอีกทางหนึ่ง


ทำนองเดียวกัน เวลาขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็ว ถ้าเรากดสวิตช์เป็น OD Off ลดเกียร์ลง จะเกิดเอนจิ้นเบรกช่วยให้การทรงตัวของรถดีขึ้น สร้างความมั่นใจได้มากกว่า อีกทั้งสามารถเร่งเครื่องพาตัวรถออกจากโค้งได้รวดเร็ วกว่าอีกด้วย การลดเกียร์ลงมาจะให้ความปลอดภัยได้เหนือกว่า หรือหากไปเจอเหตุกะทันหันกลางโค้งก็จะสามารถเบรกชะลอ รถและเร่งส่งบังคับควบคุมรถได้ง่ายขึ้น


ได้ทำความรู้จักกับ Overdrive เรียบร้อยแล้ว หากใครที่ยังขับรถอย่างเดิมอยู่ จะเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะจะเป็นการช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นอีกโข ที่สำคัญยังทำให้เหลือเงินไปจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่นไ ด้อีก


http://www.hondaloverclub.com/forums/showthread.php?t=2356
บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #24 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 06:49:55 PM »

http://news.mjob.in.th/economic/cat5/news24444/


มอเตอร์เวิลด์-ขับรถเกียร์ออโต้

หลายๆ คนชอบที่จะขับรถด้วยเกียร์ออโต้เพราะให้ความสะดวกสบายมากกว่าการขับด้วยเกียร์แบบแมนนวล แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่มั่นใจว่าจะขับอย่างไรถึงจะได้ประสิทธิผลสูงสุด

โดยเฉพาะเรื่องอายุการใช้งาน ก็อยากจะบอกว่าเกียร์ออโต้ด้วยตัวของมันเองแล้วก็ไม่ได้เสียหรือต้องซ่อมมากมายนักในระยะเวลาอันสั้น อายุการใช้งานก็ว่ากันได้เท่ากับเครื่องยนต์ทีเดียว และมีอีกหลายคนที่อาจจะถูกค่อนขอดจากผู้รู้ผู้ชำนาญว่ารู้จักแต่ใช้เกียร์ D กับเกียร์ R เท่านั้น แม้ว่ารถรุ่นใหม่ๆ จะมีโหมดแมนนวลให้ขับแบบสนุกๆ ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติและเป็นเรื่องที่ต้องถูกต่อว่าต่อขานที่ใช้กันเพียงแค่นั้น ถ้าจะเถียงก็พูดได้เต็มปากเต็มคำได้ว่า ก็มันเป็นเกียร์ออโต้ (นี่หว่า) จะขับแบบแมนนวลทำไม และที่จริงแล้วในโหมดของออโต้ หรือตำแหน่ง D ถ้ารู้จักใช้เท้าควบคุมคันเร่งก็สามารถขับได้สนุกแบบเกียร์แมนนวลเช่นกัน

คำถามที่มักจะพบได้บ่อยก็คือในรุ่นหรือในยี่ห้อที่มีเกียร์ OD (เดี๋ยวนี้ในรุ่นใหม่ๆ ไม่มีให้เห็นแล้ว) นั้นเมื่อไรถึงจะใช้และไม่ใช้ ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า OD คือตำแหน่งเกียร์สูงสุดที่รุ่นนั้นมีไว้ ส่วนมากแล้วก็คือเกียร์สี่

ตัวผมเองนั้นจะใช้ OD-On ตลอดเวลาไม่ว่าจะขับไปไหน ขึ้นเขาลงห้วย จะใช้ OD Off ก็ต่อเมื่อต้องการใช้เครื่องช่วยเบรกที่เรียกกันว่าเอ็นจิ้นเบรก และเมื่อตอนลงเขาที่ลาดชันเท่านั้น

ถ้าคุณขับในเมือง แล้วOD Off ก็หมายความว่า รถของคุณวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่เกียร์สามเท่านั้น ถ้าลืมปลดมาที่ ON ก็จะเป็นการขับรถลากเกียร์ด้วยเกียร์สามอยู่ตลอดเวลา

ผลเสียก็คือรถกินน้ำมัน เกียร์ร้อน แรงปลายไม่มี เครื่องยนต์ทำงานหนักแต่ใช้กำลังน้อย รถรุ่นที่มีโหมด OD On-Off มาให้ใช้จะไม่มีมีโหมดแบบขับแมนนวลมาให้ แต่ก็สามารถที่จะขับแบบแมนนวลได้โดยเล่นกับคันเกียร์ จาก D ไป สอง ไป L หรือ 1 และ On หรือ Off ก็จะสามารถขับได้สนุกแบบเกียร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีเครื่องหมาย + (บวก) และ - (ลบ)

อีกคำถามที่ถามบ่อยไม่แพ้คำถามแรกก็คือ ขึ้นเขา ลงเขาใช้เกียร์อะไรดี ประสบการณ์ส่วนตัวของผมแล้ว เมื่อขึ้นเขาผมก็จะใช้เพียงเกียร์ D อย่างเดียว เพราะผมรู้ว่า ถ้าเขานั้นสูงเนินนั้นชั้นเกียร์ก็จะทดลงต่ำโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่รุ่นใหม่ๆ ที่มีเกียร์บวกและลบมาให้เลือก

ส่วนในตอนลงเขาถ้าผมไม่ชินกับทางหรือโค้ง หรือเนิน แถบนั้น ผมจะใช้การขับแบบแมนนวล ถ้ามี OD ผมก็จะไปที่ OD Off เอาไว้เพื่อให้รถวิ่งได้แค่สามเกียร์ และก็พร้อมตลอดเวลาที่จะลดลงมาที่ต่ำกว่านั้น

ผมไม่อยากให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ (ร้อน) เบรกแตกกลางเนิน กลางเขา ยอมให้คนขับตามหลังว่า ว่าขับคลานลงเขา ส่วนในเกียร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีโหมดแมนนวลให้เลือก เมื่อลงเขาผมจะลงด้วยโหมดแมนนวล เพื่อสะดวกในการลดเกียร์ลงช่วยเบรก

ผมจะใช้วิธีนี้กับรถที่เรียกว่าเกียร์อัตโนมัติทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเก่าๆ หือเดิมๆ หรือแบบ CVT หรือแบบใหม่กว่าเช่นแบบไม่มีลูกทอร์ก (ใช้คลัตช์สองแผ่นแทน) หรือแบบเกียร์ธรรมดาที่ไม่ต้องเหยียบคลัตช์ (Automate Manual Transmission) และในรถที่เป็นแบบขับสี่ล้อเช่นกัน ในรถขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเกียร์อัตโนมัติไม่ว่าจะเป็นแบบใด ผมจะใช้ความระมัดระวังและขบคิดนานกว่าปกติก่อนที่จะเลือกใช้ 4H หรือ 4L เพราะเมื่อให้ขับเคลื่อนสี่ล้อทำงานไม่ว่าจะเป็นแบบ 4H หรือ 4L เพราะเมื่อการขับเคลื่อนสี่ล้อทำงาน รัศมีของการหักเลี้ยวจะผิดไปจากเมื่อขับสองล้อ ผมต้องคำนวณถึงความกว้าง หรือโค้งมากโค้งน้อยก่อนตัดสินใจ และแม้ว่ารถขับสี่ในปัจจุบันสามารถจะเข้า 4H ได้ที่ความเร็วสูงๆ (ไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

ครับอย่ากลัวที่จะใช้ อย่ากลัวว่าเกียร์ออโต้จะเสียง่าย มีแล้วต้องใช้ให้คุ้ม ค่อยๆ เรียนค่อยๆ รู้ เอาแม่แบบมาจากคู่มือประจำรถ มาใช้ไม่นานคุณจะสนุกไปกับการขับเกียร์ออโต้ และถ้าอยากรู้เร็วเป็นเร็วอย่างถูกวิธี ก็ต้องหาที่เรียนจากผู้รู้จริงๆ (ผ่านการได้รับการฝึก มีประสบการณ์กับรถทุกแบบมาแล้ว) แล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่ได้รับมานั้น มันคุ้มค่า



เนื้อหาโดย : คม ชัด ลึก

บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
ทัดมาลา ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
มืออ่อน หมัดแข็ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 857
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6569


เตสาหัง สิรสา ปาเท วันทามิ ปุริสุตตเม


« ตอบ #25 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 06:59:30 PM »

 โอเวอร์ไดรฟ์ (overdrive)

TIPS & TECHNIC - วรพล สิงห์เขียวพงษ์ : OVERDRIVE ของเกียร์อัตโนมัติ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 กันยายน 2545 14:37 น.

แม้เกียร์อัตโนมัติจะแพร่หลายในไทยมามากกว่า 20 ปีแล้ว แต่ยังมีคนสับสนกับปุ่ม OVER DRIVE หรือ OD กันมาตลอด ทั้งงงว่าคืออะไร มีไว้ทำไม ทำไมรถยนต์บางุร่นไม่มี ควรเปิด-ON หรือปิด-OFF ในสภาพการขับแบบใด ?

OVERDRIVE คืออะไร ?
การใช้คำนี้นั่นเองที่ทำให้เกิดความสับสน เพราะอ่านแล้วแปลออก แต่ไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้วมีผลอย่างไรในรถยนต์
ไม่ว่าจะมีเกียร์ทั้งหมดกี่จังหวะ ถ้ามีปุ่มเปิด-ปิด OVERDRIVE ก็คือ การเปิด-ปิดเกียร์สูงที่สุด ว่าจะให้มีใช้หรือไม่
ถ้ามีเกียร์ทั้งหมด 4 จังหวะ หากปิด ก็เท่า กับมีแค่เกียร์ 1-2-3 เปลี่ยนขึ้นลงเท่านั้น ไม่ว่าความเร็วจะขึ้นไปสูงเพียงไร ก็ไม่มีการเข้า เกียร์ 4 ให้ ในรถยนต์บางรุ่นมีปุ่ม OVER DRIVE บางรุ่น ไม่มี แต่ก็สามารถเลือกจะไม่ใช้เกียร์นั้นได้ โดยดูที่ฐานคันเกียร์ว่ามีตำแหน่งรองจาก D ลงไปเป็น อะไร ถ้าปกติเป็น D4 รองลงไปเป็น D3 ดังนั้นหากเลื่อนคันเกียร์ไปที่ D3 ก็คือ ปิด OVERDRIVE หรือมีใช้แค่ 3 เกียร์นั่นเอง
สำหรับรถยนต์ที่มี 5 เกียร์ การปิด OVER DRIVE ก็จะเหลือ 4 เกียร์ 1-2-3-4 โดยไม่มีเกียร์ 5 ใช้นั่นเอง
สมมุติถ้าไม่ใช้คำว่าปุ่มหรือเกียร์ OVER DRIVE หากเรียกกันว่าปุ่มเปิด-ปิดเกียร์ 4 หรือเกียร์ 5 ก็น่าจะลดความสับสนลงได้ เพราะก็แค่ไปทำความเข้าใจว่า การเปิดหรือปิดเกียร์ 4 หรือ 5 นั้นจะมีผลเช่นไรในการขับ ไม่ต้องไปงงกับคำว่า OVERDRIVE

ทำไมต้องเปิด ทำไมต้องปิด ?
รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ ส่วนใหญ่ ยกเว้นรุ่นที่เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงจริงๆ เกียร์สุดท้ายหรือเกียร์สูงที่สุด จะเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำ ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ และลดการสึกหรอ ลดความสิ้นเปลืองน้ำมันฯ มีอัตราเร่งในช่วงความ เร็วสูงแค่พอประมาณ แต่ไม่ดีเท่ากับเกียร์รองลงไป และถ้าไม่ได้เน้นการเร่งแซงในช่วงนั้นแบบดุดัน ก็ไม่ต้องปิดOVERDRIVE เพราะไม่ถึงกับไม่มีอัตราเร่งเลย
การปิด OVERDRIVE จะไม่ได้ทำให้อัตรา เร่งในช่วงออกตัวไปจนถึงสุดเกียร์ 3 แตกต่างจาก การเปิดไว้ (กรณีมีทั้งหมด 4 เกียร์) การปิดไว้ เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้ระบบควบ คุมมีการเปลี่ยน เกียร์จาก 3 ไป 4 ในช่วงที่ผู้ขับลดการกดคันเร่ง
ในการขับปกติ ควรเปิด OVERDRIVE ไว้ ดังที่เห็นว่า ในรถยนต์ส่วนใหญ่หากปิดไว้ จะมีไฟ เตือนสีส้มสว่างขึ้น ชื่อก็บอกว่าเป็นไฟเตือน และยังเป็นสีส้มอีก ไม่ใช่สีเขียว จึงหมาย ความว่าเป็น การเตือนแบบไม่ร้ายแรง หากเปิด OVERDRIVE ไว้ จะไม่มีการเตือน นั่นแสดง กว่าเป็นภาวะปกติ นั่นเอง

OVERDRIVE อัตราทดต้องต่ำกว่า 0 ใช่ไหม ?
หลายคนเข้าใจว่าเกียร์ใดที่มีอัตราทดต่ำ กว่า 1 ต้องเป็นเกียร์ OVERDRIVE ทั้งที่ในความ เป็นจริงไม่ใช่ เพราะในรถยนต์แต่ละคัน อาจมีหลายเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ไม่ใช่เฉพาะแค่เกียร์สูงสุดเท่านั้น ในความเป็นจริงเกียร์จังหวะใดจะเป็น เกียร์ OVERDRIVE ก็ต่อเมื่อเกียร์นั้นไม่สามารถเร่งเครื่องยนต์ไปถึงรอบที่มีแรงม้าสูงสุดได้ หากมีถนนว่างและปลอดภัย ให้ลองทด สอบดูก็ได้ว่า ในเกียร์รองลงไปและ OVER DRIVE หรือการปิด-เปิด เกียร์ใดมีอัตราเร่งดีกว่า ลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุด และทำความเร็วสูงสุดได้

ถ้าจะเน้นอัตราเร่งช่วงความเร็วสูง ควรปิด
ทำได้หลายวิธี คือ เปิด OVERDRIVE แล้วกดคันเร่งให้จมเพื่อให้มีการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ต่ำเอง กดคันเร่งแช่ต่อเนื่องไป หากสุดเกียร์ 3 จริงๆ แล้วถึงจะถูกเปลี่ยนไปยังเกียร์ 4 หรือ OVER DRIVE เอง แต่ถ้ามีการลดการกดคันเร่งในช่วงใด และอยู่ในเกียร์ 3 ระบบจะเปลี่ยนไปที่เกียร์ 4 ให้เอง อัตราเร่งก็จะไม่ดี หากจะเร่งต่อ ก็ต้องเสียจังหวะการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ 3 อีกครั้ง หรือถ้าความ เร็วสูงแล้ว ระบบก็จะไม่ยอมคิกดาวน์มา ที่เกียร์ 3 ดังนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรปิด OVERDRIVE ไว้ในช่วงที่ต้องการอัตราเร่งที่ดุดันในช่วงความเร็ว เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ในเมืองปิดหรือเปิด ?
บางคนเข้าใจว่า ในเมื่อการขับรถยนต์ใน เมืองที่มีการจราจรติดขัด ไม่สามารถใช้ความ เร็วสูงได้ ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องเปิด OVER DRIVE ไว้ เพราะเกียร์จะต้องเปลี่ยนสลับไปมา และขึ้นไปสู่เกียร์ OVERDRIVE โดยไม่จำเป็น เพราะเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำสลับไปสลับมาซ้ำกันบ่อยๆ คิดว่าจะทำให้เกิด ทั้งการสึกหรอและการกระตุกขณะเปลี่ยนเกียร์สลับไปมา ในความเป็นจริง แม้จะขับในเมือง ก็ควร เปิด OVERDRIVE ทิ้งไว้ตลอดหากตอนนั้นไม่ได้เน้นอัตราเร่งในช่วงความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือถึงจะเน้น แต่ใช้วิธีคิก ดาวน์กดคันเร่งมิดเพื่อลดเกียร์ขณะเปิด OVERDRIVE ก็ยังได้
ถ้าใช้ความเร็วปานกลางขึ้นไป ไต่ไปอยู่เกียร์ 3 แล้ว หากจะมีการเปลี่ยนไปเข้าเกียร์ 4 (กรณีมี 4 เกียร์) แล้วมีการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงบ่อยๆ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเมื่อไรที่อยู่ในเกียร์สูงสุด ก็จะลด ทั้งรอบเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอ และประหยัดน้ำมันขึ้น เมื่อไรที่ต้องการเพิ่มอัตราเร่งก็แค่คิกดาวน์ อย่างรถ ยนต์ที่ไม่มีปุ่ม OVERDRIVE เข้าอยู่ในเกียร์ D หรือ D4 ก็เท่ากับเป็นการเปิด OVER DRIVE อยู่ตลอดเวลา

ปิด OVERDRIVE ช่วยเบรก
เมื่อขับรถยนต์มาด้วยความเร็วแล้วต้อง การเบรก นอกจากจะกดแป้นเบรกตามปกติแล้ว หลายคนได้ใช้วิธีปิด OVERDRIVE หรือเลื่อนคันเกียร์ลงมาที่ D3 เพื่อช่วยในการเบรก หลายคนชอบปฏิบัติเช่นนี้ เพราะต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรก(ENGINE BRAKE) เหมือนการลดเกียร์ต่ำในรถยนต์เกียร์ธรรมดา ซึ่งก็ได้ผลบ้าง เพราะรถยนต์มีอาการหน่วงความ เร็วลงเล็กน้อยเมื่อเกียร์ลดลงต่ำ ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องยนต์สามารถช่วยหน่วงความเร็วในกรณีนี้ได้ก็จริง แต่ไม่มากเลย ไม่คุ้มกับการสึกหรอของชุดเกียร์และเครื่อง ยนต์ที่เพิ่มขึ้นเลย ทดลองได้จาก ขับรถยนต์ด้วย ความเร็วปานกลางบนเส้นทางที่ปลอดภัย แล้วปิด OVERDRIVE โดยไม่ต้องกดเบรก จะพบว่ารถ ยนต์ถูกหน่วง ก็จริง แต่แค่นิดเดียว แล้วเริ่มใหม่ กดแป้นเบรกแรงๆ โดยไม่ต้องยุ่งกับเกียร์ดูสิ หัวทิ่มเลย ควรใช้เบรกตามหน้าที่ ใช้การลดเกียร์ต่ำเมื่อต้องการเร่งความเร็ว หรือลงเขา BRAKE TO SLOW / GEAR TO GO

บทสรุป
ถ้ายังงง ให้ลืมคำว่า OVERDRIVE ไป เปลี่ยนเป็นการเปิดใช้หรือไม่ใช้เกียร์ 4 (ในกรณีที่มีทั้งหมด 4 เกียร์) เมื่อไรที่อยู่ในเกียร์นั้น จะช่วยลดรอบเครื่องยนต์ ให้ความประหยัดน้ำมันฯ และลดการสึกหรอ แต่อัตราเร่งจะไม่ดีเท่าเกียร์รองลงไป
ปฏิบัติง่ายๆ เปิด OVERDRIVE ไว้ตลอด เวลา ไม่ว่าจะขับในเมืองหรือต่างจังหวัด หากต้อง การอัตราเร่งดีๆ เมื่อไร ให้กดคันเร่งจมมิดเพื่อคิกดาวน์แล้วแช่ไว้ หรือหากช่วงใดต้องการอัตราเร่งที่ดีในช่วงความเร็วสูงแล้วไม่อยากให้เกียร์เปลี่ยน ไปๆ มาๆ ระหว่าง 3 กับ 4 ก็ให้ปิด OVERDRIVE ขับเมื่อพ้นจากสถานการณ์นั้นแล้ว ให้กลับมาเปิด ใช้ตามปกติหลายเรื่องราวของรถยนต์ ดูเหมือนลึก ลับซับซ้อน แต่ถ้าค่อยๆ ทำความเข้าใจ หลายเรื่อง ไม่ยากเลย
 
.
.
.
.
.
.
สามเรื่อง สามตอน พอจะเพิ่มความรู้ได้ไม่มากก็น้อยครับ
บันทึกการเข้า

บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้า
เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป
      
ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย
อนาคตจะต้องมีประเทศไทย มิยอมให้ผู้ใดมาทำลาย
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #26 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 07:07:15 PM »


 สุดยอดเลยหนุ่มโอ๊ค

แล้วเครื่องบินมี O/D ป่าว   ...^_^"
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
SOAP47 รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 333
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5792



« ตอบ #27 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 07:53:07 PM »

ยกครับ เดี๋ยวมาอ่าน
บันทึกการเข้า

THIS IS MY STEYR.
THERE ARE MANY LIKE IT, BUT THIS ONE IS MINE.
WITHOUT MY STEYR,I AM NOTHING.
WITHOUT ME, MY STEYR IS NOTHING.
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #28 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 09:12:40 PM »

ยกครับ เดี๋ยวมาอ่าน

         ยกเป็นชั่วโมงแล้ว ...... เมื่อยบ้างหรือเปล่าครับน้า .....   คิก คิก คิก คิก


บันทึกการเข้า

                
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #29 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2009, 09:47:28 PM »

นายสมชายมีสองเรื่องครับ...

เรื่องแรก... ตัวนายสมชายเองกลับพบว่าเบรคมี ABS ได้ระยะสั้นกว่าไม่มีครับ...
เพราะเมื่อมี ABS ทำให้เราอัดได้หนักตั้งแต่เริ่มต้นเบรค ไม่ต้องยั้งๆ เพื่อเลี้ยง Fiction จนกระทั่งมีเสียงยางบดกับถนนจึงค่อยถอนเท้า... ซึ่งผิวถนนบางแบบเราจะไม่มีโอกาสได้ยินเสียง ต้องอาศัยดูจากน้ำหนักพวงมาลัย+ทิศทางรถ แล้วหากเราไม่มีเวลาพอสังเกต นั่นแปลว่าแย่แล้วครับ ล้อล็อคและรถไถลแน่ๆ ซึ่งระยะไถลจะยาวกว่าระยะเบรค ABS แน่ๆ...

เรื่องสอง... นายสมชายพบว่ารถรุ่นใหม่มันจำนิสัยคนขับรถได้ ทำให้เปลี่ยนเกียร์ OD ได้ตามความเหมาะสม...

ประสบการณ์ตรงกับรถเมียนายสมชายครับ เป็นรถ Optra 1.8 LT รุ่นแรกกระจังหน้าแรกสุด... เจ้าของรถขับประจำวัน ชอบขับมุดซ้ายขวาตามประสาคนใจร้อน เกียร์ไม่ค่อยได้เปลี่ยนเป็น OD ครับ... เมื่อนายสมชายขับให้เธอนั่งในวันเสาร์อาทิตย์ พยามยามขับให้นิ่มๆเท่าไหร่ มันก็ไม่ค่อยเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงสุด จนกระทั่งผ่านไปหลายกิโลถึงได้ยอมเปลี่ยนครับ... แล้วเช้าวันจันทร์ เมียนายสมชายก็จะพบว่ามันชอบเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงสุดให้คิกดาวน์บ่อยๆ จนเธอรำคาญครับ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.068 วินาที กับ 21 คำสั่ง