จะ รักม้า ชอบม้า ชอบขี่ม้า ... ได้ ทั้งนั้น ...
ม้าเทศ:จากสีหมอกสู่อัศวราชา (ตอนจบ)
29 มิถุนายน 2548
จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์ / ศูนย์ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในเอเชีย
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ม้าเทศที่มักกล่าวถึงในเอกสารหรือวรรณกรรมของสยาม หมายรวมม้าที่มาจากอาหรับ เปอร์เซีย และอินเดีย
ซึ่งพ่อค้าแขกนำเข้ามาขายอยู่ตามเมืองท่าในชมพูทวีป เมื่อสยามต้องการใช้จะจัดส่งพนักงานผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งส่วนมากเป็นมุสลิม ไปหาซื้อม้าจากอินเดีย แล้วลำเลียงลงเรือมาพักไว้ที่มะริดหรือตะนาวศรี เมืองท่าการค้า
ริมอ่าวเบงกอลของสยามในสมัยอยุธยา ที่นั่นจะมีพนักงานในกรมพระอัศวราช หรือกรมม้าต้น ทำหน้าที่คัดเลือก
ม้าสำหรับใช้ในราชการต่อไป วิธีการคัดเลือกม้านั้นมีตำราที่เป็นแบบแผนตกทอดสืบมาจนปัจจุบัน
ตำราดังกล่าวมีอยู่ 3 เล่มสมุดไทย ได้แก่ เล่มที่ว่าด้วยลักษณะม้า 1 เล่ม วิธีขี่ม้า 1 เล่ม และตำรายาม้าอีก 1 เล่ม
สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในรัชกาลที่ 3 ต่อมามีผู้จัดพิมพ์รวมเล่มเป็นหนังสืออย่างสมุดฝรั่ง
ชื่อว่า 'ตำราม้าของเก่า และตำราม้าคำโคลง'
ในตำราระบุถึงลักษณะม้าอันเป็นมงคล หรือม้าเอก 7 ประเภท อย่างเช่น ขาวล้วนเศียรดำ ...
ท่านว่าประเสริฐนักสมควรด้วยพระมหากษัตริย์...
ลักษณะของม้าเอกนั้น มักเป็นม้าที่มีสีแซมตามส่วนต่างๆ หรือเป็นม้าด่าง ส่วนม้าโทมี 15 ประเภท
เช่น ม้าชื่อ 'รังคะตา' มีสีขาว หรือ 'ราชวาหนะ' กายยาวพื้นมรกตแซมดั่งเมล็ดงา เป็นม้าให้คุณแก่เจ้าของ
คุณลักษณะต่ำลงมาเรียกว่าม้าตรี หรือม้าโทเสนาราช มี 24 ประเภท เป็นม้าสีพื้นเสียส่วนใหญ่ เช่น
สีนกกระเรียนดำ สีดำล้วน สีหม้อใหม่ ม้าชั้นต่ำสุดคือ ม้าจัตวา 6 ชนิด เช่น ม้าสีหมอกขาวมากแซมแท้
ถ้ายึดตามตำราดังกล่าว สีหมอกของขุนแผนก็มิได้ถือเป็นม้าเอกหรือม้าโท อาจจะตกอยู่ที่ม้าตรีหรือม้าจัตวาเสียด้วยซ้ำ
และเหตุผลสำคัญที่ทำให้สีหมอกต้องสอบตก ไม่ได้รับการขึ้นระวางเป็นม้าหลวง ก็เพราะนิสัยดุร้ายและพยศจนต้องกำราบด้วยอาคม
ราชสำนักสยามเป็นองค์กรที่มีการใช้ม้าจำนวนมากทั้งในช่วงศึกสงครามและยามปกติ ที่ถือเป็นม้าพระที่นั่งสำคัญมีเจ้าพระยาอาชาชาติ
และเจ้าพระยาราชพาหนะ เป็นม้าทรงซ้ายและขวา นอกจากนี้ยังมีม้าทรงตามวันทั้ง 7 โดยแต่ละวันเป็นม้าที่มีสีกายแตกต่างกัน
กล่าวคือ วันอาทิตย์ทรงอาชาสีแดงเตรียมขึ้นระวางไว้จำนวน 8 ม้า ได้แก่ ทินกรรัศมี รพีพรรณ สุริยบรรยงค์ หงสพิมาน โลหิสดางค์
สรรพางครัต กำพลพัสตร และปัสวหล่ำ
วันจันทร์ม้าทรงสีขาว 8 ม้า ได้แก่ สังขรัศมี ศรีประภัศร แสงศศิธร เขจรจันทร์ ดารินทดารา พาหะพิมาน รัตนมัลลา และรูปาภิรักษ์
วันอังคารม้าทรงสีม่วง หรือเรียกว่า 'กะเลียวสีจันทน์' ประกอบด้วย 8 ม้า คือ ชามพูมนัส สหัสสรังสี เกสรศินี ภุมรีรัตน์ อุดมพิลาป
โภสสพัน วิสุโชติ และวิโรทารุง
วันพุธม้าทรงสีแสดหรือสีปลั่ง 8 ม้า ได้แก่ รูปาสวัต ภัทธวิสุทธิ ทิพยโสภา สุธาทิพ ทิพยโอลา ปรณามริต วรุณรัศมี
และศรีเสาวภางค์
ม้าทรงสำหรับวันพฤหัสบดีสีเหลืองจำนวน 8 ม้า ได้แก่ สุพรรณศฤงคาร กาญจนพิจิตร เหมมงคล ไหยรญรัศมี กนกภูษา
จำรูญรัตน จามนิกร จามรมาศ
ม้าทรงวันศุกร์เป็นม้าลายแซมผ่าน มี 8 ม้า ได้แก่ อนันตสีหาสน์ อากาศพิมาน พาหะวดาร์ วายุพาหะ เมฆมาลา เมฆาพิลาป
วิเวกเวหา และพลาหก
วันเสาร์ม้าทรงสีดำอีก 8 ม้า ประกอบด้วย กาฬาคีรี นีลาวรรณ สุยามพรรณ อัญชันโชติ กฤษณาภรณ์ วรวานิล สิงขรินทรรัต
ปัทมกาลา
รวมทั้งหมดมีม้าพระที่นั่ง 58 ม้า
กรมที่มีหน้าที่จัดหา ฝึกและรวบรวมกองกำลังทหารม้าให้กับราชสำนักสยามคือ กรมพระอัศวราช หรือกรมม้าต้น
ซึ่งเป็นกรมสำคัญรองจากกรมพระคชบาลหรือกรมช้างต้น ผู้บังคับบัญชาสูงสุดคือ ออกญาศรีสุริยพาห์ สมุหพระอัศวราช
กรมม้าต้นประกอบด้วยกรมย่อยอีก 4 กรม คือ กรมม้า กรมม้าแซงใน กรมม้าแซงนอก และกรมม้าเกราะทอง
กรมม้าทำหน้าที่เป็นเหมือนเสนาธิการและจเรควบคุมดูแลกรมในสังกัด รวมทั้งมี 'พันหมอ' คอยดูแลรักษาม้า ประหนึ่งหน่วยสัตวแพทย์ประจำกรม
กรมม้าแซงในและกรมม้าแซงนอก ทำหน้าที่เป็นกองทหารร่วมในการถวายอารักขาพระมหากษัตริย์ทั้งในยามศึกและ
ยามเสด็จพระราชดำเนินปกติ หากการปฏิบัติหน้าที่จะต้องขึ้นกับกรมพระตำรวจใน และกรมพระตำรวจนอก
เพราะสองกรมนี้มีหน้าที่ถวายอารักขาพระมหากษัตริย์ ส่วนกรมทหารม้าเกราะทองนั้นน่าจะจัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบ
พระอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ ทหารม้าจะสวมชุดเกราะสีทอง กรมนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกรมทหารอาสาที่เรียกว่า
'อาสาเกราะทอง' มีความเป็นไปได้ที่กรมทหารม้าเกราะทองพัฒนามาจากกองทหารราชองครักษ์ต่างชาติ
ในหนังสือประวัติบรรพชนของขุนนางกรมท่าขวา ซึ่งเป็นขุนนางมุสลิมและสืบสายตระกูลมาจากเฉกอะหฺมัด นักเดินทาง
ชาวอิหร่านที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในสยามราวรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมกล่าวไว้ว่า ขุนป้องพลขันธ์(แก้ว) ทายาทชั้นที่ 5
ของเฉกอะหฺมัด ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ให้ดำรงตำแหน่งพระยาจุฬาราชมนตรีคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ เคยเป็นทหารในกองทหารม้าบ้านคำหยาด
มีหน้าที่ถวายอารักขาพระมหากษัตริย์และยังเคยรบบนหลังม้าร่วมกับพระยาตากด้วย
นอกจากกองทหารม้าในราชการสงครามแล้ว พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยายังทรงมีกองทหารม้ารักษาพระองค์ที่เป็นชาวต่างชาติ
อีกหลายกอง จากบันทึกของชาวฝรั่งเศสและชาวอิหร่านแสดงว่าสมเด็จพระนารายณ์ทรงมีกองทหารม้าชาติต่างๆ ประกอบด้วย
กองทหารม้าโปรตุเกส มัวร์ (อินโด-อิหร่าน) ตาดหรือตาร์ตา (Tartar) อาร์มิเนีย (Armenian) และเปอร์เซีย
ภายหลังมีกองทหารฝรั่งเศสแต่มิได้ทำหน้าที่รักษาพระองค์ เพราะถูกส่งไปประจำอยู่ที่ป้อมบางกอกช่วงปลายรัชสมัย
ทหารม้ารักษาพระองค์เหล่านี้ได้รับค่าจ้างประจำ ในสมัยที่ออกพระศรีเนาวรัตน์ (อกามูฮัมหมัด แอสตะระบาดิ-Aqa Muhammad Astarabadi) ขุนนางชาวอิหร่านซึ่งเป็นหลานลุงของเฉกอะหฺมัดยังรับราชการในตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีผู้ใกล้ชิดของ
สมเด็จพระนารายณ์ (ก่อนที่ฟอลคอนจะเข้ามามีอำนาจแทนที่) ได้ว่าจ้างทหารม้าจากอินเดียและอิหร่าน
เพื่อทำหน้าที่ราชองครักษ์ของสมเด็จพระนารายณ์
ดูเหมือนความชำนาญการใช้ม้าเทศของมุสลิม จะเอื้อประโยชน์ต่อราชสำนักสยามอย่างยิ่ง
ผู้ชำนาญการที่เกี่ยวกับการคัดเลือกม้า การดูแลและฝึกม้า จึงมีมุสลิมจากฝั่งตะวันตกของสยามเกี่ยวข้องด้วย
ดังที่ขุนช้างขุนแผนกล่าวว่า ...ด้วยหลวงศรีวรข่านไปซื้อม้า ถึงเมืองเทศยังช้าหามาไม่...
ก็เพราะหลวงศรีวรข่านเป็นแขกที่ชำนาญการค้ากับแขกนั่นเอง
ความต้องการม้าเทศมีสืบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เห็นได้จากจิตรกรรมรูปม้ามงคลที่ฝาผนังหอพระไตรปิฎกวัดโพธิ์
รวมทั้งตำราม้าต้นในรัชกาลที่ 3 แม้แต่วรรณกรรมพื้นบ้านยอดนิยมอย่าง มณีพิชัย (แก้วหน้าม้า) หรือขุนช้างขุนแผน
ก็ยังสอดแทรกบทบาทของม้าไว้
เรื่องราวของม้าเทศจึงร้อยรัดประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างชาวสยามกับมุสลิมจากฝั่งตะวันตก
ที่สอดประสานเป็นความลงตัวในสังคมไทย ซึมซับสู่งานวรรณกรรมและการรับรู้ของชนชาวสยามมายาวนานนับร้อยๆ ปี
จาก
http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/lofiversion/index.php?t2844.html