เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
มิถุนายน 28, 2025, 05:28:39 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 45 46 47 [48] 49 50 51 ... 64
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คลายเครียดกับข้อความดีๆ กินใจ หรือฮาๆ เอามาแบ่งกัน  (อ่าน 141803 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #705 เมื่อ: เมษายน 02, 2005, 08:46:42 PM »

                     ลองอ่านดูนะ อ่านแล้วจะรู้สึกดี......
 
เรื่องมีอยู่ว่า .... มีชาย 2 คน ป่วยหนักทั้งคู่
และเผอิญอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ในห้องเดียวกัน ชายคนแรก จะต้องลุกขึ้น
นั่งบนเตียงวันละ 1 ชั่วโมงทุกบ่าย เพื่อให้ของเหลวไม่ท่วมปอด
ในขณะที่ชายคนที่สองจะต้องนอน อยู่บนเตียงตลอดเวลา
ชายคนแรกได้นอนติดหน้าต่างซึ่งมีอยู่บานเดียวในห้องนั้น
ทั้งสองคนใช้เวลาส่วนใหญ่พูดคุยกัน ในเกือบทุกเรื่อง
ทั้งเรื่องครอบครัว ภรรยา
บ้าน ที่ทำงาน ตอนไปเกณฑ์หาร เวลาไปเที่ยวพักร้อน....
 
ช่วงเวลา 1 ชั่วโมงทุกๆบ่าย เมื่อชายคนแรกได้ลุกขึ้นนั่งนั้น

เขาจะเล่าให้ชายคนที่สองฟังถึงสิ่งต่างๆ
ที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างบานนั้น
นานวันเข้า โดยไม่รู้ตัว ชายคนที่สองก็รอคอยช่วงเวลา 1
ชั่วโมงนั้นทุกวัน
เพราะเป็นช่วงเวลา ที่เขา จะได้รับรู้ถึงความสนุกสนาน
ความรื่นเริงและสีสันของโลกภายนอก
 
นอกห้องของคนป่วย ที่เขาต้องทน นอนอยู่เฉยๆ
มองจากหน้าต่าง จะมีสวนสาธารณะ ซึ่งตรงกลางมีบึงใหญ่
มีเป็ดและหงส์ว่ายน้ำไปมา
เด็กๆก็มาเล่นเรือ ลำเล็กๆที่บึงนี่ รอบๆ
สวนเต็มไปด้วยแปลงดอกไม้หลากสีสัน
คู่รักมาเดินเล่นพูดคุยกันอย่างมีความสุข
มองออกไปไกลๆก็จะเห็นเส้นขอบฟ้า
ที่ตัดกับตึกระฟ้าของเมือง
ทุกๆครั้งที่ชายคนแรกบรรยายสิ่งที่เขาได้เห็นจากหน้าต่างนั้น
 
ชายคนที่สองก็จะหลับตา และจินตนาการ ถึงภาพต่างๆไปด้วยเสมอ
แม้กระทั่งในบ่ายวันหนึ่งที่ชายคนแรกเล่าให้ฟังว่า
มีขบวนพาเหรดผ่านไปชายคนที่สองก็เห็นภาพผู้คนในขบวนพาเหรดในชุดหลากสีสัน
เดินตามจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไป เช้าวันหนึ่งเมื่อพยาบาลจะเข้ามาเช็ดตัวตามปกติก็พบว่า
ชายคนแรกได้จากไปแล้ว อย่างสงบ ไม่นานนัก
ชายคนที่สองก็ได้ขอร้องกับพยาบาลให้เขาย้ายไปนอนติดกับหน้าต่างแทน
ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้อง เมื่อย้ายเตียงเรียบร้อยแล้ว ชายคนแรกก็ค่อยๆ
ขยับตัว
ถึงแม้จะเจ็บเขาก็พยายามยันข้อศอกขึ้น
เขาต้องการจะเห็นสิ่งที่เขาได้รับฟังมาตลอดจากชายคนแรก สิ่งต่างๆ
ที่อยู่นอกหน้าต่างนั้น ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
สิ่งที่เขาเห็นคือกำแพงที่ว่างเปล่า
เขาไม่รีรอที่จะถามกับพยาบาลด้วยความสงสัยว่าทำไมชายคนแรกถึงได้เล่าให้เขาฟัง
ถึงสิ่งสวยงามต่างๆที่เกิดขึ้นนอกหน้าต่างนั้นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
พยาบาลบอกให้เขาทราบว่าชายคนแรกนั้นตาบอดและเขามองไม่เห็นอะไรเลย
แม้กระทั่งกำแพงนั้น "บางทีเขาแค่อาจจะอยากคอยให้กำลังใจคุณนะคะ"
                         
                                .................................
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #706 เมื่อ: เมษายน 02, 2005, 08:59:41 PM »

                                                                        จดหมายถึงนาย

บทความนี้อาจจะยาวไปซักหน่อย แต่ถ้าใครบอกว่ารักชาติและอยากช่วยชาติจริง อยากแนะนำให้อ่านซักหน่อย เพราะคุณอาจเผลอเลอ รักชาติในทางที่ผิดไป

เนื้อความในจดหมายมีดังต่อไปนี้
======================
จดหมายถึงนาย
ท่านผู้อ่านครับ "จดหมายถึงนาย" ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถ มี ประสบการณ์ในแวดวงการฑูตและแวดวงของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหาได้ยากยุค สมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรงแต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผู้ เขียนบรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา ผมเห็นว่าเป็นข้อเขียนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้น เตือนให้ทุกคนได้ตระหนักถึงพิษภัยที่เรากำลังเผชิญอยู่ เผื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกันหรือแก้ไขให้ดีขึ้น จึงได้นำลงมาไว้ในมุมนี้ เพื่อช่วยกันเผยแพร่

จดหมายถึงนาย
ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลับไปยัง นาย คือ บริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือ บางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า
ในโอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่า ควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุดในระยะยาว ข้าพเจ้าสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้น ๆ ฉบับนี้
"วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๓
นายที่รัก,
ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ ๒๐ ปีแล้วนั้น ข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อ เสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้ ภาพรวมของประเทศไทย: ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้น ฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของคนชาตินี้
แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภาและประชาชนส่วนหนึ่งได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ จำนวนมาก รวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต
ธุรกิจ และ การใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า "ทำได้ตามใจคือไทย แท้" ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย
ในทางกายภาพ กรุงเทพเป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นต้นทุนทาง เศรษฐกิจอย่างมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพแต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยาซึ่งควรเป็นบท เรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ แต่ก็ไม่เป็นหรือเป็นไม่ได้
ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญญลักษณ์ประจำ ชาติก็ว่าได้
การรุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้
แม้แต่หน่วยราชการ ถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพ อย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยราชการตลอดกาล แก้ไม่ได้
ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็ก ๆ ที่เราควรเข้า มากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาสและก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่
ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปก ครองชนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ และเพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา
ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่มีการค้าประเวณีและยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ ทั่วหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ ในวัดซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม
ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทยซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญญลักษณ์สุดยอดของความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน
เห็นได้จากการที่กลไก ของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลย ผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลง อย่างมากเพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยมีเจตนาในทางทุจริตจริง ๆ และโดยสถานการณ์บังคับ
ส่วนผู้นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ชัด ในวงการเมือง สังคมไทยยังคง "ยอมรับนับถือ" นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประวัติไม่ สะอาดหรือมีพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าเลห์เพทุบาย หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคม ให้เกียรติอย่างมากกลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในวงการผู้พิพากษาก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมอง อยู่เนือง ๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้น ที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจัง มีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่ เรียนในกรุงเทพกลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ
ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับระเบียบ ปฏิบัติต่าง ๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่อง ๆ หนึ่ง อาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับและให้อำนาจบุคคลต่าง ๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยตั้งอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #707 เมื่อ: เมษายน 02, 2005, 09:01:52 PM »

ตัวอย่างที่ดี ก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้อง รับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่าง ๆ เป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัด กระทรวง ปลัดกระทรวงก็จะอ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีก็มักจะกล่าวว่า "เราจะป้องกันมิให้ ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก" โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบต่ออำนาจหน้าที่ของตนตามกฎหมายจริง ๆ เลย และเมื่อมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือเกินนักกฎหมายก็จะตอบด้วย ความภาคภูมิใจว่า "เพื่อกระจายอำนาจและให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ"
ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมาถึงระเบียบจุกจิกสารพัด เรื่องในหน่วยราชการหนึ่ง ๆ ได้กลายเป็น "ต้นทุน" ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ทั้ง ๆ ที่ ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อน ๆ
จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่าย ๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคม แม้เวลาจะผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน
ในทางวัฒนธรรม อะไรเล่าคือ วัฒนธรรมไทย? เมื่อข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เขาจะพาเรา ไปดูการฟ้อนรำที่ซ้ำ ๆ กัน ดูผ้าไหม ดูวัด และพาไปทานอาหารไทย เขาจะพาเราไปเที่ยวดูช้างและ ชาวเขา
ดูเรือในแม่น้ำและการพิธีต่าง ๆ มวยไทยและตลาดน้ำ เราได้ดูพระพุทธรูป ปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่ เป็นอดีต
แต่พวกเขาไม่เคยพาเราไปดูวัฒนธรรมในการศึกษาหาความรู้ของคนไทย วัฒนธรรมในการผลิตสินค้าและ การให้บริการของคนไทย การคิดค้นสิ่งใหม่ ประดิษฐกรรมและศิลปกรรม ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบวัฒนธรรม ที่ดีงามมากนักในธุรกิจของคนไทย และยิ่งพบเห็นได้ยากในระบบราชการของไทยซึ่งเน้นความเป็นเจ้าขุน มูลนายและสายสัมพันธ์มากกว่าการมีวัฒนธรรมที่สร้างจิตสำนึกต่อสังคม
คนไทยไม่สามารถชี้ให้เห็นวัฒนธรรมของพวกเขาในส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงของชาติได้อย่างเป็น รูปธรรม และไม่สามารถอธิบายให้น่าฟังได้ในระดับนามธรรม
ความคิดรวบยอดของคนไทยไม่มี ระเบียบทางความคิดเชิงวัฒนธรรมยังด้อยกว่าญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศสหรือแม้ แต่อินเดียอยู่มาก ทำให้เราชาวต่างชาติ แม้จะชอบความแปลกในเมืองไทย แต่ก็ไม่ค่อยนับถือคนไทยว่าเป็นชาติที่มี อารยธรรมที่เข้มแข็งจริง ๆ เลย ความไร้ระเบียบทางกายภาพและทางศีลธรรม-จริยธรรม และความไร้ระเบียบทางกฎหมายและ วัฒนธรรม ที่สรุปไว้ข้างต้นนี้ นับว่าเป็นข้อดีสำหรับเราซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีอำนาจ
เพราะแสดงให้เห็นว่า คนไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอ และเด็กก็อ่อนแอ คนมีความรู้ก็อ่อนแอ และคนไม่มีความรู้ก็อ่อนแอ คนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็อ่อนแอทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้ว่า
นับเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ที่คนไทยไม่มีผู้นำที่สามารถและเสียสละอย่างแท้จริง (ยกเว้นองค์พระ มหากษัตริย์) อันสะท้อนกลับมาที่ลักษณะประจำชาติของคนไทยเอง
นายท่าน! สังคมไทยเป็นสังคมที่ผุกร่อนมากแล้วรอวันแตกสลายลง เหมือนกับหินปูนซึ่งถูกน้ำกรดกัดกร่อน ทุกวัน ในวันหนึ่งข้างหน้าก็จะไม่มีอะไรให้เห็นเป็นแก่นสารเลย
นายควรที่จะพอใจว่ารัฐบาลและบริษัทข้ามชาติ รวมทั้งมาเฟียต่าง ๆ ของเราชาวต่างชาติเพียงแต่ใช้ กุศโลบายอันแยบยลอย่างเงียบ ๆ หลอกล่อให้คนไทยหลงอยู่ในวังวนของความสุขสบาย
ไร้ระเบียบ หลง อยู่ในความฝันว่าตนมีสติปัญญาเพียงพอแล้วโดยการเลียนแบบฝรั่งก็ใช้ได้ ความไร้ระเบียบจะเพิ่มพูนขึ้น เรื่อย ๆ ในทุกด้าน
สังคมไทยในที่สุดจะตั้งอยู่ได้ด้วยประชาชนที่อ่อนแออย่างหลวม ๆ เพียงอย่างเดียว ไม่มีจุดเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับอำนาจรัฐและอิทธิพลทางจิตใจของผู้นำทางการเมือง สังคม
สถาบันหรือศาสนาใด ๆ เมื่อนั้น เราจะบังคับเอาประเทศไทยเป็นทาสได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น
สิ่งที่เป็นเวทย์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวต่างชาติจะใช้สะกดผู้นำของชาติไทยก็คือ จงหลอกล่อให้พวกเขาหลงใหลเข้าใจว่าพวกเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบ วินัยทางการค้าและ การลงทุนอันเสรี ในกฎเกณฑ์ที่เรานั่นเองเป็นผู้คิดค้นขึ้น เราจะต้องสะกดให้เขาเชื่อว่าเราชาวต่างชาติ จะอยู่ในระเบียบวินัยของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และมนุษยธรรม
ต่าง ๆ รวมทั้งมาตรฐานอันสูงส่งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ผู้นำของชาติไทยคือเด็กที่ถูกเฆี่ยนตีมามากพอที่จะเชื่อฟัง ไม่กล้าโต้แย้ง คัดค้าน หรือใช้กลวิธีที่มาจากมัน สมองของเขาเองในการหลบเลี่ยงเอาตัวรอด อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูงของการลูบหน้าปะจมูกหรือมือถือสากปากถือศีลของชนชาติ เราเป็นอันขาด ช าติเล็ก ๆ ที่น่าสงสารชาตินี้ย่อมอยู่ในอุ้งมือของเราเป็นแน่แท้ แม้คนไทยอยากจะลุกขึ้นสู้ แต่พวกเขาก็มี แต่ความรักชาติเท่านั้น ไม่มีระเบียบวินัยและพลังภายในของสังคม อันเป็นจิตวิญญาณของชาติที่แท้จริงซึ่ง จะผลักดันให้ต่อสู้ได้สำเร็จเลย
สิ่งที่พึงระวัง เราชาวต่างชาติจะต้องระวังย่างก้าวของเราบางประการเพื่อมิให้การครอบงำอย่างเงียบ ๆ นี้สะดุด หยุดลง ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดต่อนายดังนี้
บันทึกการเข้า
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #708 เมื่อ: เมษายน 02, 2005, 09:05:29 PM »

๑. อย่าให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังหวังพึ่งหัวหน้าฝูงและสิ่งที่มีอำนาจ เขายังไม่หวังพึ่งพาตนเองมากนัก หากสังคมไทยได้ผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ
พวกเขาจะกลายเป็นชาติ ที่รุ่งเรืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังเช่นที่ปรากฏมาทุกยุคในประวัติศาสตร์ชาติไทย สิ่งที่เราควรทำคือ ส่งสัญญาณสนับสนุนผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากแม่พิมพ์
(mold) แบบเก่าของไทย เช่น นาย ช. นาย ก. นาย บ. ฯลฯ หรือผู้ที่แสวงประโยชน์สูงสุดจากการเมือง คน พวกนี้จะช่วยให้เราชาวต่างชาติใช้เวทย์มนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

๒. อย่าให้ผู้นำของไทยคิดออกนอกแนวโลกาภิวัฒน์ เพราะโลกาภิวัฒน์คือเวทย์มนต์ของเรา จงทำให้พวกเขาหลงใหลมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าโลกาภิวัฒน์ที่ถูกต้อง คือ การเอาใจท้องถิ่น
(localization of globalization) เพื่อว่าเขาจะได้แคลงใจสงสัยน้อยลงู้ จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขานั้น จะพึ่งพากลไกของรัฐไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพานักคิดแก้ ไขปัญหาอิสระในนามผู้เชี่ยวชาญและเอ็นจีโอบางแห่งที่เราสนับสนุนอยู่ จงจูงมือพวกเขา จงจูงใจพวก เขา และให้อามิสแก่พวกเขา ทำให้เขารู้สึกว่าภาคประชาชนเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียด หยามอำนาจรัฐ พวกเขาจะเกลียดชัง พวกเขาจะเคียดแค้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ความก้าวหน้าของเรา ขณะเดียวกัน เราเองจะต้องสนับสนุนให้อำนาจรัฐพัฒนาประเทศไปในแนวทางที่ประชาชนเกลียดชังมาก ขึ้นทีละน้อยโดยแสร้งทำเป็นว่าอยากช่วยเหลืออย่างจริงใจ

๓. จงเร่งให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เมื่อพวกเขาหลงเชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้น นิสัยประจำชาติของพวกเขาจะพลุ่งพล่าน พวกเขาจะลืมตัว สร้างความไร้ระเบียบมากขึ้นเป็นทวีคูณ เริ่ม จากการเมืองระดับชาติ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ลงมาจนถึงการเมืองท้องถิ่น พระ ตำรวจ ชาวบ้าน พวกเขาจะรีบเร่งออกกฎหมายต่าง ๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ทราบว่าในเรื่องหนึ่ง ๆ
จะใช้กฎหมายใด ในกรณีใด เมื่อใด พวกเขาจะย่อหย่อนต่อวินัยทางเศรษฐกิจ การคลังและการเงิน พวกเขาจะเมิน เฉยต่อศีลธรรมและจริยธรรมจะฟุ้งเฟ้อ ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอเพื่อให้เราชาวต่างชาตินิยมชมชอบ
ดังนั้น พลวัตทางเศรษฐกิจเพราะความเชื่อผิด ๆ ว่าทุกอย่างดีขึ้น จะนำไปสู่จิตวิญญาณของชาติที่เป็น อัมพาตหนักกว่าเดิมในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของพวกเราชาวต่างชาติอย่างแท้จริง

๔. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้คับแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับความ
สามารถทางเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูง ๆ มาให้ จนลืมไปว่าการ สร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง e-mail เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าต่อไปคำว่า "ชาติ" จะไม่มี เพราะ internet ได้ ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม "ความรักชาติ" และแรงปรารถนาที่ จะ "สร้างชาติ" เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนงเช่นเสรีชนอื่น
อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา "คิดอย่างมีจินตนาการ" อย่า ให้พวกเขา "คิดได้" มาก ๆ หรือ "อยากคิด" มาก ๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย "คิดสู้" จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเลคโทรนิคเป็นสำคัญ

๕. หลีกเลี่ยงการวิพากย์วิจารณ์ระบบราชการไทย เพราะระบบราชการไทยนั้นล้าหลังมาก และเป็นทั้ง อุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศพร้อม ๆ กับเป็นเชื้อโรคที่กัดกินสังคมไทยโดยส่วนรวม มากขึ้นทุกที ระบบราชการไทยเต็มไปด้วยความกดดันซึ่งทำลายทรัพยากรบุคคล เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และ ไร้ความสำนึกต่อสังคม ทำให้ระบบราชการไทยเป็นมหามิตรของเราชาวต่างชาติ
อย่าชี้จุดอ่อนของเขา อย่าวิพากย์วิจารณ์ ปล่อยให้มันบ่อนทำลายคนไทยทั้งทางกายและทางใจ ทุกลมหายใจของชีวิต จนกว่าจะหมดลม เมื่อไม่วิพากย์วิจารณ์ มหามิตรของเราก็จะทำงานอย่างขมักเขม้นโดยหลงเชื่อว่าตนนั้นดีเลิศประเสริฐที่ สุดในชาติ มีความชอบธรรมที่จะเขมือบงบประมาณแผ่นดินมากขึ้นเรื่อย ๆ จนชาติไทยทั้งชาติเป็นอัมพาต เพราะมะเร็งร้ายนี้ อย่าลืมว่าเฟืองตัวใหญ่ที่ขึ้นสนิมเขรอะย่อมทำให้จักรกลทั้งหมดหยุดได้ เราชาวต่างชาติไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย นั่งยิ้มให้มหามิตรของเรา และยื่นหัตถ์แห่งมัจจุมิตรแก่พวก เขา จนกว่าเวลาจะมาถึง
๖. จงนำรายงานฉบับนี้ให้คนไทยอ่าน เพื่อทดสอบปฏิกริยาของพวกเขา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพวกผู้นำจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มละไมว่า "เพิ่งได้รับเอกสาร ขอเวลาให้เราแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาก่อน" ส่วนคนไทยทั่วไปจะตอบว่า "ไม่ เป็นไร" แล้วหัวเราะเห็นฟันขาว นายท่านจงตระเตรียมเครื่องปรุงรสให้พร้อมเพื่อลิ้มรสเนื้อสดอันโอชะจากแผ่นดินไทย!!

        รายงานของข้าพเจ้าฉบับนี้มีเพียงเท่านี้ หากรัฐบาล บริษัทข้ามชาติและมาเฟียของเราวางแผนเข้ามาผูก มิตรกับคนไทยโดยมีเป้าหมายเช่นว่านี้แล้ว ข้าพเจ้ารับรองว่า คนไทยจะภาคภูมิใจในการผูกมิตรกับเรา เป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักและไม่ชอบคิดแก้ไขปัญหาด้วยตน เอง พวกเขาชอบการยกยอปอปั้น หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและใช้ชีวิตตามสบาย

ข้าพเจ้าเองก็เริ่มชอบชีวิตแบบไทย ๆ เข้าแล้วซิ!

ลงชื่อ ยามวิกาล

ป.ล. ขอความกรุณาเจ้านายตอบกลับมาด้วยเพื่อทราบแนวคิดของท่าน
บันทึกการเข้า
Tonyman
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 59
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5846


Best Wishes and Many Fast "A's" to You.


เว็บไซต์
« ตอบ #709 เมื่อ: เมษายน 02, 2005, 09:07:49 PM »

นักศึกษาสาวทำทุกอย่างเพื่อให้เรียนจบ !!!

แฉจากเรื่องจริงของนักศึกษาสาวของมหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีชื่อ ที่เธอต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันโหดร้าย
เธอยินดีนำมาเผยแพร่เพื่อเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้คนอื่นๆจำไว้เป็นอุทาหรณ์

นักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปหาอาจารย์หนุ่มในห้องทำงาน พอไม่เห็นใครอยู่
หล่อนก็ปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างๆอาจารย์ สะบัดผมอย่างมีความหมาย
แล้วจ้องตาอาจารย์หนุ่มหวานเชื่อม พร้อมอ้อนเสียงหวาน
"หนูยอมทำทุกอย่างที่อาจารย์ต้องการ เพื่อแลกกับการสอบผ่านครั้งนี้"
แล้วหล่อนก็หลิ่วตาให้ "หนูพูดจริงๆนะคะหนูยอม ... ทุกอย่าง"
อาจารย์หนุ่มก้มลงมาใกล้ๆ แล้วถามเสียงนุ่ม  "ทุกอย่างเลยหรือ"
"ค่ะ ทุกอย่างเลย" หล่อนตอบเสียงหวาน

"ถ้างั้น ........












..........ช่วยตั้งใจเรียนหน่อยได้มั้ย"
บันทึกการเข้า

We can either find the way or make one.
Drt2502
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 1
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 330


"มีแล้วไม่ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี"


« ตอบ #710 เมื่อ: เมษายน 03, 2005, 01:36:21 PM »

อ่านข้อความของคุณ E_Mail แล้ว อยากจะเปลียนหัวข้อใหม่เป็น
 Cry Cryเพิ่มความเครียดกับข้อความดีๆ กินใจ หรือเศร้าๆ เอามาแบ่งกัน

Cry :' Grin Grin อิอิ  Grin Grin

บันทึกการเข้า

To be leader is not only " Instructiion " It's " Responsibility "
E_mail
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #711 เมื่อ: เมษายน 03, 2005, 07:41:02 PM »

 ลงข้อความคลายเครียดมาเยอะแล้วครับ เลยลองสะกิดพี่น้องให้หันมามองความเหม็นเน่าหมักหมมที่ฝังตัวอยู่ใต้คำว่า"ความเป็นไทย"ดูมั่ง Wink
บันทึกการเข้า
Nakin
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 115
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3905


รักทุกคนเลย ......


« ตอบ #712 เมื่อ: เมษายน 05, 2005, 04:39:34 AM »

Ha .... Ha ....   Grin
บันทึกการเข้า

Happy   shooting    ......   

พูดจริง     ก็หาว่า    โกหก     ........     พูดตลก    ก็หาว่า     หลอกลวง
Nakin
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 115
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3905


รักทุกคนเลย ......


« ตอบ #713 เมื่อ: เมษายน 05, 2005, 04:42:45 AM »

Continued  :  Ha .... Ha ....    Grin

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 05, 2005, 04:47:53 AM โดย Nakin » บันทึกการเข้า

Happy   shooting    ......   

พูดจริง     ก็หาว่า    โกหก     ........     พูดตลก    ก็หาว่า     หลอกลวง
NaiMai>รักในหลวง
ไม่ว่าจะมีพร้อมทุกสิ่ง แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าความมีสติ
Hero Member
*****

คะแนน 741
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14573


นายใหม่ รักหมู่


เว็บไซต์
« ตอบ #714 เมื่อ: เมษายน 05, 2005, 04:54:27 PM »

๔. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้คับแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับความ
สามารถทางเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูง ๆ มาให้ จนลืมไปว่าการ สร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง e-mail เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าต่อไปคำว่า "ชาติ" จะไม่มี เพราะ internet ได้ ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม "ความรักชาติ" และแรงปรารถนาที่ จะ "สร้างชาติ" เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนงเช่นเสรีชนอื่น
อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา "คิดอย่างมีจินตนาการ" อย่า ให้พวกเขา "คิดได้" มาก ๆ หรือ "อยากคิด" มาก ๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย "คิดสู้" จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเลคโทรนิคเป็นสำคัญ

 Undecided มีใครได้เฉลียวใจบ้างมั๊ยครับว่า ตอนนี้โรงเรียนของรัฐหลายแห่ง "ไม่มีหนังสือเรียนให้นักเรียนได้เพียงพอ" ต้องมีการยืมเรียน แบ่งเรียน หรือกระทั่งซื้อต่อจากนักเรียนรุ่นพี่มาเพื่อใช้เรียน ทำไมเป็นอย่างนั้น การพัฒนาด้านการศึกษาของรัฐคือ.......? Undecided
บันทึกการเข้า

ต่อครับ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 216
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4088


(** ^0^ **)


« ตอบ #715 เมื่อ: เมษายน 05, 2005, 07:15:59 PM »

๔. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้คับแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวก
.....
....
....
อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา "คิดอย่างมีจินตนาการ" อย่า ให้พวกเขา "คิดได้" มาก ๆ หรือ "อยากคิด" มาก ๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย "คิดสู้" จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเลคโทรนิคเป็นสำคัญ

 Undecided มีใครได้เฉลียวใจบ้างมั๊ยครับว่า ตอนนี้โรงเรียนของรัฐหลายแห่ง "ไม่มีหนังสือเรียนให้นักเรียนได้เพียงพอ" ต้องมีการยืมเรียน แบ่งเรียน หรือกระทั่งซื้อต่อจากนักเรียนรุ่นพี่มาเพื่อใช้เรียน ทำไมเป็นอย่างนั้น การพัฒนาด้านการศึกษาของรัฐคือ.......? Undecided

รึพวกเราจะจัดทริ๊ปหาหนังสือไปบริจาคกันดีน้อ
ทริ๊ปกินมีแล้ว
ทริ๊ปยิงปืนมีแล้ว
ทริ๊ป....... ยังบ่มี

 Grin
บันทึกการเข้า

________________________________________

เพื่อชาติ<>ราชบัลลังค์.....ร่วมปกป้องสถาบัน.....
TAZAN
Jr. Member
**

คะแนน 0
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 83

ความสุขเล็กๆ ความสุขน้อยๆ


« ตอบ #716 เมื่อ: เมษายน 16, 2005, 11:53:05 AM »

อย่ามาอ่านตามผม  ผมหลงทางมา
....... หลงรัก หลงรัก หลงรัก....
บันทึกการเข้า

มี   ศรัตรู    เพิ่มขึ้นหนึ่งคน   ก็มากเกินไป
มี   เพื่อน    เพิ่มขึ้นร้อยคน   ยังน้อยเกินไป
PinMEMO
Growww
ชาว อวป.
Jr. Member
****

คะแนน 1
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 82

http://pinmemo.blogspot.com


เว็บไซต์
« ตอบ #717 เมื่อ: เมษายน 16, 2005, 12:17:24 PM »

โห ดีจังเลย
บันทึกการเข้า

carrera
กินลูกเดียวเที่ยวสองลูก
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2329
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 84478


« ตอบ #718 เมื่อ: เมษายน 18, 2005, 05:28:34 PM »

เคยอ่านยัง Grin Grin Grin Grin Grin Grin Grin

>> > บทเรียนสำคัญ > >
>> >> >1 . บทเรียนสำคัญบทแรก - คนทำความสะอาด
>> >> >
>> >> >เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน
>> >> >อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง
>> >> >ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน
>> >> >จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย
>> >> >
>> >> >"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?"
>> >> >
>> >> >ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่
>> >> >ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง
>> >> >เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50
>> >> >แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?
>> >> >ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย
>> >> >ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า
>> >> >คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่
>> >> >
>> >> >"แน่นอน" อาจารย์ตอบ "เมื่อเธอเข้าทำงาน
>> >> >เธอจะต้องพบกับคนมากมาย
>> >> >ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอ
>> >> >ที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่
>> >> >แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"
>> >> >
>> >> >ฉันไม่เคยลืมบทเรียนนั้นเลย
>> >> >และได้รู้ว่าชื่อของสตรีคนนั้นคือ โดโรธี
>> >> >
>> >> >2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน
>> >> >
>> >> >คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น.
>> >> >สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวง สาย
>> > อลาบามา
>> >> >พยายามต้านฝนที่ตกหนักอยู่
>> >> >รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมาก แม้จะเปียกโชก
>> > เธอตัดสิน
>> >> >ใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา
>> > ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ
>> >> >ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง
>> >> >เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่ 60
>> >>
>> >>ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่
>> >> >
>> >> >แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา
>> >> >และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย
>> >> >เจ็ดวันหลังจากนั้น ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขา
>> > ด้วยความประหลาดใจ
>> >>
>> >>โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบมาด
>> >>้วย
>> >> >ใจความว่า:
>> >> >
>> >> >"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น
>> >> >ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น
>> >> >แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย
>> >> >
>> >> >แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ
>> >> >ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต
>> >> >ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ
>> > สำหรับการช่วยฉัน
>> >> >และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"
>> >> >
>> >> >ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล
>> >> >
>> >> >3. บทเรียนสำคัญที่สาม - ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ
>> >> >ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก
>> >>
>> >>เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่
>> >>โต๊ะ
>> >> >เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า
>> >> >"ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?"
>> >> >
>> >> >"ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสริฟสาวตอบ
>> >> >แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า
>> >> >แล้วก็นับเ หรียญในมือ
>> >> >
>> >> >"งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก
>> >> >
>> >>
>> >>ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน
>> >> >
>> >> >"สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ
>> >> >เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง
>> >> >
>> >> >"ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก
>> >> >แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอา
>> >> >ไอศครีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป
>> >> >เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว
>> > ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสริฟเดินกลับมา
>> >> >เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น
>> >>
>> >>มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่
>> >>อย่าง
>> > บรรจงข้างจานเปล่านั้
>> >> >น
>> >> >
>> >> >เห็นไหมว่า เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเด
>> >> >เพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสริฟสาวคนนั้น
>> >> >
>> >> >4. บทเรียนสำคัญที่สี่ - สิ่งที่กีดขวางทางของเรา
>> >> >ในยุคโบราณ มีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง
>> >> >เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่
>> >> >เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง
>> > เมื่อเสนาบดีในราชสำ
>> >> >นักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมา
>> > ก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป
>> >> >
>> >> >พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานา
>> >> >ที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี
>> >> >แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง
>> >> >
>> >> >จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา
>> >> >เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง
>> >> >แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง
>> >> >หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น
>> >> >ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ
>> >> >
>> >> >เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา
>> >> >เขาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่
>> >> >ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา เขียนไว้ว่า
>> >> >ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน
>> >> >ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้
>> >> >
>> >> >ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้น
>> > ให้กับเรา
>> >> >
>> >> >5. บทเรียนสำคัญที่ห้า - ให้เมื่อมีค่า
>> >> >หลายปีมาแล้ว
>> >>
>> >>เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งฉันได้รู้จักกับเด็กหญ
>> >>ิงคนห
>> > นึ่งชื่อ
>> >> >ลิซ
>> >> >ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น
>> >>
>> >>โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบข
>> >>องเธอ
>> >> >
>> >> >ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่า งปาฏิหารย์
>> >> >จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา
>> >> >หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่า
>> >> >เขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่
>> >> >ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า
>> >> >
>> >> >"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้"
>> >> >เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว
>> >> >ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้ม
>> >> >ของเธอ หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป
>> >> >
>> >> >เด็กชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ
>> >> >
>> >> >"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?"
>> >> >ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป
>> >>
>> >>เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ
>> >> >
>> >> >ตอนนี้คุณมีทางเลือกสองทาง
>> >> >
>> >> >1. ลบข้อความนี้ไป หรือ
>> >> >
>> >> >2. ส่งข้อความนี้ให้ กับคนที่คุณห่วงใย
>> >> >
>> >> >ฉันหวังว่าคุณจะเลือกข้อ 2. และจดจำไว้ว่า
>> >> >
>> >> >"ทำงานให้เหมือนกับคุณไม่ต้องการเงิน
>> >> >รักให้เหมือนกับคุณไม่มีวันจะเจ็บปวดกับมัน
>> >> >และเต้นรำให้เหมือนกับไม่มีใครมองคุณอยู่"
>> >
บันทึกการเข้า

เนื้อร้ายตัดทิ้ง
www.ipscthailand.com
โจ ™
สมาชิกลำดับที่: 41
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 219
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8187


รวมเวลาที่อยู่ในระบบ: 555 วัน 5 ชั่วโมง 55 นาที


เว็บไซต์
« ตอบ #719 เมื่อ: เมษายน 18, 2005, 05:41:00 PM »

ที่ใหนพอทราบป่าวครับ  คงเครื่องร้อนจัด  หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

บางโพ 5
หน้า: 1 ... 45 46 47 [48] 49 50 51 ... 64
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.13 วินาที กับ 21 คำสั่ง