ผ่าทัวร์ 2ชั้น'มหันตภัย'ทัศนาจรบทเรียนรถทัวร์พลิกคว่ำใน "มาเลเซีย"ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่หากยังไม่แก้ที่ต้นตอ"ทัวร์ 2ชั้น"
ที่โครงสร้างไม่เหมาะใช้ทัศนาจรรถทัวร์ 2 ชั้น ตกอยู่ในสภาพยับเยิน หลังวิ่งลงมาจากคาเมรอน ไฮแลนด์ มาตามถนน จาลัน
ซิม ปัง ปูไล-กัมปุง ราชา ของมาเลเซีย แต่เกิดเสียหลักไปชนเกาะกลางถนน จนเกิดการพลิกคว่ำ
และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 27 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 25 คน
และมีผู้บาดเจ็บ 10 ราย อาการหนัก 2 ราย
อุบัติเหตุจากรถทัวร์ท่องเที่ยวลักษณะเดียวกันนี้ ไม่แตกต่างอะไรจากเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น
บ่อยครั้งในประเทศไทย ซึ่งถึงตอนนี้ คนในสังคมคงจะเริ่มมีคำถามว่า เหตุการณ์ครั้งต่อไปจะมี
โอกาสเกิดได้อีกหรือไม่ และใครจะเป็นรายต่อไป
ตราบใดที่สาเหตุหลักๆ ของปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคนขับไม่ชำนาญทาง หลับใน
จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ โครงสร้างเป็นรถสองชั้นทำให้เสี่ยงต่อการพลิกคว่ำในพื้นที่ลาดชัน การ
หยุดรถในขณะคับขัน สภาพตัวถังรถและการยึดเกาะเก้าอี้ไม่แข็งแรง ไม่มีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ได้
มาตรฐาน เช่น เข็มขัดนิรภัย เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ คงเกิดขึ้นอีกจนกว่าจะมีมาตรฐานของรถเช่า
ทัศนาจร
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ จากศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรจะมีการพูดถึงมาตรฐานรถเช่าทัศนาจร
จากการสำรวจที่ผ่านมาพบว่า 71% ของการเกิดอุบัติเหตุในรถโดยสารเป็นผลมาจากการขับรถเร็ว
ตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 9% และแซงผิดกฎหมาย 3%
นอกจากนี้ จากการเสียสมาธิ วูบ หรือหลับใน แม้จะเกิดขึ้นเพียง 3-4 วินาที ในความเร็วที่ 100
กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ทำให้รถวิ่งโดยปราศจากการควบคุมไปกว่า 100 เมตร โครงสร้างรถโดยสารที่
ไม่ปลอดภัย ยังเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถทัวร์ 2 ชั้น ที่มีโครง
สร้างรถไม่เหมาะสมกับการใช้ความเร็ว และการหักหลบเลี้ยวโค้ง ทำให้พลิกคว่ำได้ง่าย
"เราพบว่าโครงสร้างรถทัวร์ 2 ชั้น ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ ที่จะใช้เป็นรถโดยสารทัศนาจร เพราะ
มีความเสี่ยงมาก หากหักหลบอาจเกิดการพลิกคว่ำได้ง่ายกว่ารถทัวร์ชั้นเดียว" ความเห็นข้างต้น สอดคล้องกับความเห็นของคณะวิจัยวิศวกรรมความปลอดภัยทางถนน อย่าง
ผศ.ดร.กัณวีร์กนิษฐ์พงศ์ แห่งศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และ
อาจารย์ศาสตราวุฒิ ผลบูรณ์ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
"ไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเข้ามาของรถ 2 ชั้น ในประเทศไทย เพราะในต่างประเทศนั้น มีอยู่หลายประเทศ
ที่ไม่ให้ใช้รถ 2 ชั้น ในการทัศนาจร เพราะอันตราย ส่วนที่อังกฤษ นั้น แม้จะมีรถเมล์ 2 ชั้น ก็ใช้วิ่งเฉพาะ
ในเมือง และในระดับความเร็วต่ำๆ เท่านั้น" อาจารย์ศาสตราวุฒิ ระบุว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงมาตรฐานรถโดยสารทัศนาจร และรถโดยสารสาธารณะ
เพราะตามสถิติการอุบัติเหตุระหว่างเดือน ม.ค.- ส.ค.ที่ผ่านมาพบ ว่า มีรถโดยสารสาธารณะประสบอุบัติเหตุ
จำนวน 186 คัน มีผู้เสียชีวิตจำนวน 148 ราย และบาดเจ็บรวม 1,778 ราย
สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุมากถึง 85% มาจากพฤติกรรมของพนักงานขับรถ อาทิเช่น ขับรถเร็ว ตัดหน้า
ในระยะกระชั้นชิด หลับใน และแซงในที่คับขัน
รองลงมาเกิดจากสภาพรถไม่มั่นคงแข็งแรง เช่น ระบบห้ามล้อชำรุด อุปกรณ์ต่อพ่วงชำรุด หรือพ่วงหลุด
ยางชำรุด ระบบไฟฟ้าลัดวงจร และระบบบังคับเลี้ยวชำรุด
นักวิชาการชุดนี้ เสนอให้รัฐบาลจัดทำมาตรการเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวทัศนาจรที่ได้มาตรฐาน เพราะปกติ
ของการเดินทางไปทัศนศึกษาเป็นหมู่คณะ จะต้องอาศัยรถทัวร์ เพราะนอกจากค่าใช้จ่ายจะถูกกว่ารถประเภท
อื่นๆ และมีความสะดวกสบายแล้ว ยังสามารถจัดกิจกรรมสันทนาการได้ตลอดการเดินทาง
สิ่งที่รัฐบาล ผู้เกี่ยวข้อง และคณะผู้จัดทัศนศึกษา จะต้องหันกลับมามอง คือ เรื่องของความปลอดภัย ตั้งแต่
การเลือกกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยรถทัวร์ 2 ชั้น เลิกใช้รถทัวร์ 2 ชั้นที่มาตรฐานความปลอดภัยต่ำ
พร้อมทั้งตรวจสอบ มาตรการความปลอดภัยตามรายการต่อไปนี้
พนักงานขับรถ ต้องเลือกที่มีความชำนาญเส้นทาง มีประสบการณ์ในการขับรถ ซึ่งอาจจะเข้มงวดในการ
ออกใบอนุญาตขับขี่สำหรับพนักงานขับรถในกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญ คือ กำหนดให้มีคนขับสำรองในกรณี
ที่ต้องเดินทางไกลๆ โดยเฉพาะระยะทางที่มากกว่า 400 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการติดตั้งระบบจีพีเอส หรืออุปกรณ์ที่ช่วยกำกับพฤติกรรมขับขี่ของคนขับ ว่า มีการ
ขับเร็วเกินกำหนด การออกนอกเส้นทาง ฯลฯ หรือไม่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บริษัทสามารถติดตามพฤติกรรมขับขี่
ได้อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถสั่งการเพื่อให้พนักงานเปลี่ยนมาขับขี่อย่างปลอดภัยได้
ตัวรถ และอุปกรณ์ความปลอดภัย ปัจจุบันมีค่านิยมในการเลือกรถโดยสารประเภท 2 ชั้น แม้จะดูดีมีรสนิยม เพราะ
ขนาดตัวถังมีความสูงกว่า 4 เมตร และใช้กระจกมาเป็นองค์ประกอบหลัก นอกจากนี้ บางคันที่เปลี่ยนมาใช้ก๊าซเอ็นจีวี
จะมีน้ำหนักของถังก๊าซเพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 1 ตัน
ดังนั้น จึงควรศึกษาและกำหนดให้รถทัศนาจร 2 ชั้น ต้องมีอุปกรณ์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น การมีระบบ
ช่วยหน่วง (retarder) ในขณะเบรก หรือกำหนดให้มีเข็มขัดนิรภัยในทุกที่นั่ง
นอกจากนี้ ควรให้ความรู้กับประชาชน เพื่อช่วยการตัดสินใจเลือกประเภทรถในการเดินทาง ซึ่งต้องไม่ดูแต่
เพียงภาพลักษณ์ และความสวยงาม แต่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัย โดยเฉพาะการเดินทางทัศนศึกษา
ที่ผ่านเส้นทางลาดชัน หรือผ่านภูเขา อย่างกรณีของคณะครูจากอุดรธานี ที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างรถลงเขา
ทำให้เกิดพลิกคว่ำ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บกว่า 50 ราย เมื่อปี 2552
เส้นทางที่ปลอดภัย สำหรับคนขับที่มีประสบการณ์ จะต้องศึกษา และเลือกเส้นทางที่มีความปลอดภัยสำหรับ
ผู้โดยสาร แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทางผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้กำหนด โดยมักจะเลือกผ่านเส้นทางที่มีสถานที่แวะพัก
ที่ท่องเที่ยว หรือเส้นทางลัด เพื่อประหยัดเวลา
อย่างไรก็ตาม ในเส้นทางที่มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ โดยเฉพาะรถโดยสารขนาดใหญ่ และรถ 2 ชั้น ควรมีการ
ศึกษาเพื่อกำหนดให้ชัดเจนเป็นเส้นทางใดบ้าง และมีมาตรการป้องกันเพื่อมิให้มีการฝ่าฝืน
การทำประกันภัย ควรมีการกำหนดและระบบตรวจสอบให้รถทัศนาจรทุกคันต้องทำประกันภัย เพราะใน
หลายกรณีพบว่ารถทัศนาจรที่ประสบเหตุเป็นของส่วนบุคคล และขาดการต่อสัญญาประกันภัย
นอกจากนี้ ควรให้ทางบริษัทประกันเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเป็นหลัก แทนการเน้นให้
ใช้สิทธิรักษาพยาบาลประเภทอื่นๆ เช่น สิทธิข้าราชการ หรือ อสม. เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
ไม่สะท้อนต้นทุนของระบบประกันภัย
อุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารสาธารณะในแต่ละปีมีจำนวนมาก และเมื่อเกิดเหตุจะมีผู้เกี่ยวข้องหลายราย
แต่ขั้นตอนในการช่วยเหลือเยียวยา ตลอดจนการฟ้องคดี มักต้องใช้ระยะเวลานาน ถ้าสามารถผลักดันให้
มีกองทุนช่วยเหลือเยียวยา จะเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ประสบภัย จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง
หรือยอมความกันอีกขั้นตอนหนึ่ง
แม้การเสียชีวิตของคณะทัวร์ในมาเลเซียในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ทุกคนคงอยากเห็นรัฐบาล
และผู้เกี่ยวข้อง ให้คำตอบกับสังคมว่า ได้ตระหนักและเข้าใจปัญหา รวมทั้งเริ่มมีมาตรการที่จะป้องกันไม่ให้
เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก
เวบไซด์อ้างอิง