กรณีนี้ จำต้องดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อนว่าความตาย เกิดขึ้นจากการกระทำโดยเจตนาของผู้เป็นบิดาหรือไม่
เพราะเหตุป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จะมีได้ก็ต่อเมื่อ ความตายหรือความเสียหาย เกิดขึ้นจากการกระทำโดยเจตนาเท่านั้น ก็คือ บิดาต้องตั้งใจยิงผู้ตายนั้นเอง
ซึ่งหากความตายเกิดขึ้นจากการกระทำโดยประมาท (ไม่มีเจตนา) อย่างกรณีนี้คือปืนลั่น ผู้กระทำโดยประมาท ไม่สามารถยกเหตุป้องกันขึ้นเพื่อยกเว้นหรือลดความรับผิดได้
จากข่าว การที่ลูกชายเดินปรี่เข้ามาแล้วปัดกระบอกปืน ทำให้ปืนเกิดลั่นใส่ผู้ตาย ๑ นัด
จึงต้องดูว่าความตายที่เกิดขึ้น บิดามีเจตนาที่จะยิงลูกของตนหรือไม่
หากไม่มีเจตนาที่จะยิง ต้องพิจารณาต่อไปว่าความตายเกิดขึ้นจากความประมาทหรือไม่
มุมมองของผม จากข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ ทิศทางความรับผิดของบิดานั้น
เมื่อบิดาไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย (ไม่ได้ตั้งใจยิง) ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจึงตกไป ( และไม่สามารถอ้างเหตุป้องกันได้ไปในตัวเพราะมิใช่ยิงโดยเจตนา )
จึงยังเหลือความผิดที่สามารถนำมาพิจารณาได้ คือฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
เมื่อกระสุนปืนถูกบริเวณลำตัวผู้ตาย ย่อมแสดงว่าบิดาต้องถือปืนหันไปหาผู้ตาย
ดังนั้น การที่บิดาถืออาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงและหัวปากกระบอกปืนไปทางผู้ตาย
ต่อมา ผู้ตายได้เข้ามาปัดปืนและทำให้เกิดลั่น ทิศทางของความผิดมีน้ำหนักไปในทาง ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ึความตายมากกว่า
แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปว่า ขณะที่บุตรเดินเข้าปรี่มาหา บิดาจึงเล็งแล้วยิงผู้ตาย ๑ นัด เต็มๆ ไม่มีการยื้อแย่ง
ตรงนี้ ถือว่าบิดามีความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้ตายแน่นอน เมื่อความตายเกิดขึ้นจากการตั้งใจยิงของบิดาแล้ว
จึงค่อยมาพิจารณาว่าการยิงของพ่อนั้นเป็นการป้องกันหรือไม่ต่อไปครับ
หลักส่วนใหญ่จะคล้ายกับของพี่สิงห์ครับ เมื่อข้อเท็จจริงตามเนื้อข่าวระบุมาว่าเป็นกรณีปืนลั่นจึงต้องตัดเรื่องฆ่าคนตายโดยเจตนาออก
ไปเพราะไม่มีเจตนาจะยิงตั้งแต่แรก และย่อมไม่เป็นการป้องกันด้วยเพราะการป้องกันตามกฎหมายจะต้องเป็นการกระทำโดยด้วยเจตนาเช่นกัน
จึงไม่เป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตาม ป.อ.มาตรา ๒๘๘ ครับ
สำหรับข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม ป.อ.มาตรา ๒๙๐ นั้น เจตนาเริ่มแรกต้องมีเจตนาทำร้ายก่อนไม่ได้มีเจตนาฆ่า เพียงแต่ผล
ของการทำร้ายทำให้ผู้อื่นนั้นถึงแก่ความตาย ( เช่นกรณีที่อาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใช้ไม้กอล์ฟตีภรรยาจนเสียชีวิต ) แต่กรณีนี้พ่อไม่
ได้มีเจตนาจะยิงทำร้ายตั้งแต่แรกเพราะยกปืนขึ้นขู่เท่านั้น จึงไม่เป็นความผิดข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเช่นกัน
คงมีแต่ข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาทเท่านั้นที่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งตาม ป.อ.มาตรา ๕๙ วรรคสี่ บัญญัติว่ากระทำโดยประมาท ได้แก่
กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำ
อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ซึ่งในเรื่องนี้ผมมีความเห็นแตกต่างจากพี่สิงห์ครับ

เพราะพฤติการณ์ที่ลูกเดินปรี่เข้ามาเช่นนั้นน่าเชื่อว่าจะเข้ามาทำร้ายบิดา
อย่างแน่นอน และไม่แน่ว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงเหมือนกับเหตุการณ์ลูกที่เมายาฆ่าบิดา - มารดา ของตนเองเพราะไม่ให้เงินไปซื้อยาเหมือนที่เรา
ได้ยินข่าวกันอยู่เนือง ๆ หรือไม่ ถ้าเป็นบุคคลทั่วไป ( รวมถึงผม ) หากมีอาวุธปืนอยู่ในมือก็ย่อมจะยกขึ้นมาขู่เพื่อกันไม่ให้เข้ามาทำร้ายตัวเราเอง
อย่างแน่นอน ทั้งเรื่องนี้ลูกเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นแต่แรกและเป็นฝ่ายปัดปืนจนเกิดปืนลั่นขึ้นมาเองหากพ่อยกปืนขึ้นมาเล็งแล้วลูกหยุดทันทีไม่เดิน
ตรงปรี่เข้าไปและไม่เข้าไปปัดปืนปืนอาจจะไม่ลั่นก็ได้ ทั้งวิสัยของผู้ที่ประสบเหตุดังกล่าวนั้นย่อมต้องมีความตื่นเต้น ตกใจ กลัว และไม่สามารถ
บังคับสติและอารมณ์ของตนเองได้ตามปกติ อย่าว่าแต่เหตุจะใช้กำลังทำร้ายกันเลย เอาแค่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ยินเสียงกุกกักตอนกลางคืน แม้จะมี
ปืนอยู่ในมือท่านจะควบคุมสติได้ดีแค่ไหน ดังนั้นจะใช้เกณฑ์ความระมัดระวังของคนทั่วไปในยามปกติมาใช้กับกรณีนี้ไม่ได้ ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า
บิดาได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์แล้วครับ อีกทั้งเรื่องนี้ถ้าดูแล้วบิดาไม่สมควรจะต้องติดคุกครับ สำหรับผมจึงไม่เป็นความผิดฐาน
ฆ่าคนตายโดยประมาทครับ
ซึ่งความเห็นของผมและพี่สิงห์ดังกล่าวข้างต้นไม่มีใครถูกใครผิดครับ เพียงแต่เป็นเรื่องของดุลพินิจที่แตกต่างกันเท่านั้นเองครับ ซึ่งทั้งผม
และพี่สิงห์มีเหตุผลมารองรับการวินิจฉัยซึ่งสามารถอธิบายได้ ซึ่งแตกต่างจากเรื่องการใช้ดุลพินิจโดยไม่มีเหตุผลมารองรับ ซึ่งสำหรับผมเรียกว่า
การสั่งตามอำเภอใจ ( ซึ่งเป็นเหตุทำให้นายทะเบียนหลาย ๆ คนถูกฟ้อง ) และไม่ใช่เรื่องสองมาตรฐานด้วยนะครับ