ไม่ใช่แค่'แม่วงก์'แต่จ่อผุดทั่วไทย21เขื่อน
แฉกรมชลฯยัดไส้หวังใช้งบ3.5แสนล้าน
ส้มหล่นใส่กรมชลประทานเงินกู้โครงการจัดการน้ำ3.5แสนล้าน ไม่ใช่แค่มีเขื่อนแม่วงก์
แต่มีอีก20เขื่อน ครอบคลุม5ลุ่มน้ำ ที่เป็นเขื่อนเดิมของกรมชลประทาน แต่ยังไม่ได้สร้าง
หวังยัดไส้ใช้งบประมาณมากถึง50,000ล้านบาท ชำแหละทีละโครงการพบทั้งที่เป็นประ-
โยชน์กับที่ไม่เป็นประโยชน์ แถมยังส่งผลกระทบทั้งต่อคน ป่าไม้ สัตว์ป่า แต่ชาวบ้านยัง
ไม่รู้ข้อมูล เพราะหลายโครงการยังอยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
หรือEHIA
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์ นำโดย ศศิน เฉลิมลาภ
เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เดินเท้าจากหน่วยพิทักษ์ป่าแม่เรวา อุทยานแห่งชาติ
แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เพื่อคัดค้านรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแ ละสุขภาพ
หรือ EHIA โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งเป็นหนึ่งหลายโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนการ
บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดประเด็นหนึ่ง
ในสังคม แม้ในช่วงแรกของการเดินจะไม่ได้รับความสนใจจากสื่อหลักเท่าไหร่นัก แต่หลัง
การแชร์รูปภาพผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กมาก ทำให้เกิดกระแสคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์
เพิ่มมากขึ้น แม้กระทั่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ออกมาแสดงความคิด
เห็นเรื่องนี้ การเดินเท้าระยะทาง 388 กิโลเมตรของเลขาธิการมูลนิธิสืบฯ และผู้ร่วมอุดม-
การณ์ จึงน่าจะเป็นการเรียกความสนใจจากประชาชนให้กลับเข้าสู่ประเด็นการเดินหน้า
โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านอีกครั้ง หลังจากที่กระแสเงียบหายไปสักระยะหนึ่ง
แล้ว

เดิน 388 กม.อ่านแถลงการณ์ค้าน EHIA แม่วงก์
ประเด็นหลักของการเดินรณรงค์ในครั้งนี้ อยู่ที่การคัดค้าน การอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผล
กระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุน-
แรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โครงการเขื่อนแม่วงก์
จ.นครสวรรค์ โดยในวันสุดท้ายของการเดินรณรงค์ดังกล่าว ได้มีการอ่านแถลงการณ์คัดค้าน
การดำเนินการของรัฐบาล พร้อมระบุเหตุผลต่างๆ ในการคัดค้าน EHIA ฉบับดังกล่าว ระบุว่า
1.รายงานฉบับนี้ไม่ได้ให้ความจริงใจในการศึกษาทางเลือกในการพัฒนาแหล่งน้ำโดยวิธีอื่นๆ
โดยใช้วิธีคำนวณเทคนิคทางเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมให้ไม่คุ้มค่าในการเลือกทางเลือกอื่นๆ
หรือ เทคนิคกำหนดตัวแปรที่เบี่ยงเบนน้ำหนักของการเลือกที่ตั้ง ให้มาก่อสร้างในป่าอุทยาน
แห่งชาติแม่วงก์
2.รายงานฉบับนี้ละเลยข้อมูลความสำคัญของพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ที่ต่อเนื่องกับพื้นที่
มรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ที่เป็นป่าใหญ่อุดมสมบูรณ์ไม่มีการรบกวนระบบ
นิเวศสัตว์ป่าโดยที่ตั้งของชุมชน ดังมีรายงานข้อมูลสำรวจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของการกระจายตัวของเสือโคร่ง ทั้งจากรายงานของกรมอุทยาน-
แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทยและกองทุนสัตว์ป่า
โลกสากล (WWF) ประเทศไทย

3.รายงานฉบับนี้ได้ระบุข้อมูลผลประโยชน์จากการสร้างเขื่อนว่า ในพื้นที่ชลประทานทั้งหมด
291,900 ไร่ จะเป็นพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนถึง 175,355 ไร่ จึงได้พื้นที่ชลประทานฤดูแล้ง
เพียง 116,545 ไร่ ดังนั้นพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จึงน้อยกว่าสิ่งที่ชาวบ้านเข้าใจว่าน้ำจะไปทั่ง
ถึงทั้ง 23 ตำบลที่ได้ระบุในรายงาน หากพิจารณาเหตุผลที่ต้องสูญเสียพื้นที่ป่า และงบประ-
มาณในการก่อสร้าง
สร้างเขื่อนแม่วงก์ แก้น้ำท่วมไม่ได้
4.รายงานฉบับนี้ระบุชัดเจนว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำที่ท่วมในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมได้ทั้งหมด
และยังไม่ได้วิเคราะห์ข้อมูลน้ำที่ไหลบ่าจากพื้นที่เกษตรกรรมที่เปลี่ยนแปลงจากป่าไม้ในพื้นที่
นอกอุทยาน ซึ่งคาดว่าจะมีน้ำมากถึง 70-80 เปอร์เซนต์ ที่ไหลลงมายังที่ราบอ.ลาดยาว ดังนั้น
ถึงสร้างเขื่อนแม่วงก์ สามารถบรรเทาอุทกภัยได้ไม่มากนักในพื้นที่โครงการ โดยไม่ต้องสงสัย
ว่าโครงการเขื่อนแม่วงก์ จะมีผลต่อการบรรเทาน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตามงบประมาณสร้าง
เขื่อนตามโมดูล A 1 ที่มากับโครงการเงินกู้จัดการน้ำ 3.5 แสนล้านของรัฐบาลได้เพียงไม่ถึง 1
เปอร์เซนต์ ของน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
5.ในการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ไม่มีมาตรการที่แน่ใจได้เลยว่าจะได้ผล ได้แก่ การปลูกป่า
ทดแทนที่ไม่มีการระบุพื้นที่ปลูกป่าว่าอยู่ในบริเวณใด มีแต่การคำนวณว่าจะได้ไม้และผลประ-
โยชน์มากกว่าที่จะตัดไป ทั้งที่ความจริงแล้วพื้นที่นอกอุทยานแห่งชาติแม่วงก์เกือบจะมีแต่พื้น-
ที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน มิได้มีพื้นที่ใดสามารถปลูกป่าถึง 36,000 ไร่ ตามที่ระบุได้ หรือมาตร
การลดผลกระทบจากการล่าสัตว์ ตัดไม้เกินพื้นที่ ในระหว่างการก่อสร้างก็เป็นเพียงมาตรการทั่วๆ
ไปให้เจ้าหน้าที่ดูแลเคร่งครัด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วในขณะก่อสร้างจะไม่สามารถควบคุมการ
ล่าสัตว์ที่จะไปถึงพื้นที่อื่น ๆ รวมถึงห้วยขาแข้ง ได้

6.ในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการผู้ชำนาญการในการประชุมครั้งที่ 1 เมื่อปลายปี 2555
มีมติให้แก้ไขรายงาน และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหลายประเด็น โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องระบบนิเวศ
ของสัตว์ป่า ซึ่งโดยหลักการแล้วต้องใช้เวลาในการศึกษาพอสมควร เป็นไปไม่ได้ที่จะศึกษาข้อมูล
และวิเคราะห์ผลกระทบเพิ่มเติมแล้วเสร็จได้ภายในกรอบระยะเวลา 1 ปี
7.พื้นที่ชลประทานเขื่อนแม่วงก์ เป็นพื้นที่ทับซ้อนกับคลองผันน้ำในโมดูล A5 ซึ่งจะทำให้สภาพ
แวดล้อมและการจัดการน้ำที่ศึกษาไว้ทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปจากโครงการชลประทานเขื่อนแม่วงก์
สผ.ไม่โปร่งใส เปลี่ยนตัวข้าราชการเพื่อรอรับนโยบายรัฐ
8.ในการพิจารณารายงานฉบับนี้ รัฐบาลปรับเปลี่ยนบุคลากรของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพ-
ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และคณะกรรมการผู้ชำนาญการอย่างน่าสงสัย ตั้งแต่ต้นปี
2556 ได้แก่การโยกย้ายตำแหน่งของเลขาธิการอย่าง ดร.วิจารณ์ สิมะฉายา ซึ่งมีชื่อเสียงการยอม
รับในการทำงานวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี มาเป็นนายสันติ บุญประคับ ซึ่งมีภูมิหลังทำ-
งานด้านพัฒนาจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และปรับตำแหน่งประธานคณะกรรม-
การผู้ชำนาญการรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ด้านพัฒนาแหล่งน้ำ จาก
ดร.สันทัด สมชีวิตา ผู้ทรงคุณวุฒิจากบุคคลภายนอกในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ อดีต
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในการทำงานด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มาเป็นข้าราชการ
ประจำอย่างตัวเลขาธิการ สผ.เอง คือ นายสันติ บุญประคับ ซึ่งอาจจะสงสัยได้ว่าต้องเร่งรัดทำงาน
ตามนโยบายที่ได้รับมาจากโครงการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเนื่องจากในขณะนั้น รองนายกรัฐมนตรี
ที่กำกับดูแลงานด้านสิ่งแวดล้อมนี้คือ ปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้รับผิดชอบโครงการจัดการน้ำเช่นกัน

นอกจากนี้ยังทราบว่า มีการเปลี่ยนแปลงบุคคลในคณะกรรมการผู้ชำนาญการที่มีความเห็นทาง
วิชาการต่อความบกพร่องของรายงาน อาทิ ดร. อุทิศ กุฏอินทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศป่าไม้
นายสมศักดิ์ โพธิ์สัตย์ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านธรณีวิทยา รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์ประกอบให้ไม่มี
ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อม และผู้แทนประจำของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ
พันธุ์พืช
ดังนั้นการเร่งรัดผ่านรายงานโครงการเขื่อนแม่วงก์ในครั้งนี้จึงมีความผิดปกติอย่างยิ่งต่อมาตรฐาน
ทางวิชาการการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่สามารถช่วยพื้นที่เกษตรได้เพียง 1 แสนไร่ ในฤดูแล้ง และ
สามารถแก้น้ำท่วมในพื้นที่ลาดยาวได้แค่ 20 เปอร์เซนต์ พร้อมทั้งลดปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ
ได้เพียง 1 เปอร์เซนต์ เท่านั้น มันมีความคุ้มค่าหรือไม่กับแหล่งผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดจะหาย
ไป และความคุ้มค่าตรงนี้ใครจะเป็นคนชั่ง เราจะบอกให้ชาวบ้านตัดสินหรือ การตัดสินใจควรเป็นคน
ที่มีความรู้มาตัดสิน เช่น สำนักนโยบายและแผน ไม่ใช่ให้รัฐมนตรีหรือใครมาพูดแทนชาวบ้าน ที่
ออกมาประท้วงในวันนี้ เพราะต้องการประท้วงคนมีความรู้ของหน่วยงานรัฐที่ต่างฝ่ายต่างเงียบ
เฉยกันไปหมด นายศศินกล่าวให้สัมภาษณ์รายการ เสวนา ล้อมวง...ค้านเขื่อนแม่วงก์ โดย
หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

อย่างไรก็ตามแม้ประเด็นหลักของการเดินประท้วงในครั้งนี้จะมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การคัดค้าน
การสร้างเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ แต่หากพิจารณาจากแผนงานของ คณะกรรมการบริหาร
จัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ทั้งหมดแล้ว จะพบว่า ยังมีแผนในการสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือเขื่อน
ในอีกหลายพื้นที่ จำนวนมากกว่า 20 แห่ง ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน ซึ่งใน
บางพื้นที่เริ่มมีการเคลื่อนไหวคัดค้านการดำเนินการของ กบอ.บ้างแล้ว แต่ก็มีอีกหลายพื้นที่ ที่
ชาวบ้านระบุว่ายังไม่ทราบข้อมูลว่าจะมีการสร้างเขื่อน หรืออ่างเก็บน้ำ ในพื้นที่ของตัวเอง และ
ที่สำคัญยังไม่ทราบว่าหากสร้างแล้วพวกเขาจะได้ประโยชน์หรือได้รับผลกระทบอะไรบ้าง และ
นั่นน่าจะเป็นคำถามหนึ่ง ที่ กบอ.ในฐานะเจ้าของโครงการจะต้องตอบ !!!

มีอีกหลายเขื่อนที่ยังไม่มีรายละเอียดผลกระทบจาก กบอ.
สำหรับรายละเอียดแผนการบริหารจัดการน้ำในการจัดการเขื่อนเก็บกักน้ำหลัก และการจัดทำแผน
บริหารจัดการน้ำของประเทศ ในโมดุล A และ โมดุล B มีรายละเอียดดังนี้
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
.jpg)
ที่เลือดูต่อที่
http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=3134ภาพประกอบจากเวบไซด์ทั่วไป