ปัจจุบัน ผมไม่ค่อยยึดติดกับศัพท์ด้านการเมืองที่มีการคิดค้นแปลกๆ ไม่ว่า จะเป็น XXX + ประชาธิปไตย = XXX ธิปไตย หลายๆครั้งผมยอมรับว่าผมอยากให้ ประเทศไทยปกครองในกึ่งลิดรอนสิทธิบางอย่างบ้าง พูดง่ายๆก็คือ " กึ่งเผด็จการ" ผมว่าให้เอาทฤษฎีของฝรั่งมาจับ การเมืองไทย กับพฤติกรรมประชาชน ผมว่าฝรั่งงงครับ นิสัยคนไทยส่วนใหญ่จริงๆแล้วเราไม่ค่อยอดทน ไม่มีระเบียบ ไม่ค่อยมีวินัยและที่สำคัญไม่เคารพสิทธิของตนเอง เราไม่ได้ถูกสอนให้รู้สึกหวงแหนสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง ( มันเลยมีคนชั่วใช้ช่องว่างตรงนี้เป็นโอกาส ) เราอยากได้ประชาธิปไตย แต่เราไม่เคยเรียนรู้เลยว่าประชาธิปไตยคืออะไร? เราก็จำขี้ปากฝรั่งมาแล้วก็นั่งท่องจำ ตามคำกล่าวของ นาย ลินคอร์น์ ท่องจำกันเป็นวรรคเป็นเวร เราเรียกร้อง"สิทธิ"แต่เมื่อมีแล้วเราไม่รู้จะใช้อย่างไร? เราเรียกร้องเสรีภาพ"แต่ก็นั่นแหล่ะ เราไม่รู้อีกว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน? เข้าทำนองประเภท " อยากได้สิทธิแต่ไม่รู้หน้าที่ อยากได้เสรีภาพแต่ไม่รู้ความรับผิดชอบ " ไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนหรอกครับ ที่บอกว่า การเลือกตั้ง เป็นหน้าที่ ที่ต้องออกไปเลือกตั้งและต้องออกกฎหมายมาบังคับ ผมว่าถ้าไม่ใช่ เชิญยิ้ม ก็ต้อง ชวนชื่น หล่ะครับงานนี้... ขอบคุณครับพี่ sake พิมพ์คุยกันยาวเลยครับ สำคัญที่สุดเลยคือคุณสมบัติของประชาชนที่จะปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย คือ การรู้วินัย และหน้าที่ตามสิทธิ ครับ
ตอนนี้คุณภาพประชากรโลกแบ่งได้คร่าวๆ 4 แบบคล้ายๆกับการแบ่งประเภทบัว
แบบที่1 น่าสมเพชมากที่สุด คือ
ประเทศที่ที่มีประชาการไร้วินัยและคลุ้มคลั่งก่อจราจลได้ง่ายอย่างไม่มีเหตุผล คือบางประเทศในแอฟฟริกา และเขมร ที่ก่อจลาจลและสงครามกลางเมืองได้ด้วยการปลุกปั่นง่ายๆ เช่น มีข่าวลือว่าดาราสาวประเทศเพื่อนบ้านกล่าวดูถูกก็กลายเป็นจราจล หรือเอา ego(โง่ๆ) มาหลอกล่อก็ทำตามคำสั่งพวกลุแก่อำนาจได้ง่ายๆ เช่นในโซมาเลีย เซียร่าลีโอน
แบบที่2 น่าสมเพชมาก
คือคนในชาติเหล่านี้จะไร้ระเบียบวินัยแต่ก็ยังไม่ถึงขนาดคลุ้มคลั่งก่อจราจล ไม่พอใจอะไรนิดหน่อยก็เดินขบวนไล่แต่ไร้วินัยที่จะตรวจสอบหรือป้องกันการกระทำผิด ไม่ค่อยมีจิตสำนึกต่อส่วนรวม อันนี้แปลว่าคนส่วนใหญ่จะคิดถึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะตนก่อนส่วนรวม เป็นประเภทที่ใครจะโกงชาติไม่สนแต่ถ้าหากินลำบากหรือข้าวยากหมากแพงหรือโกงจนออกหน้าออกตาก็จะออกมาประท้วงกัน ลองนึกถึงฟิลิปปินส์หรือบางประเทศในละตินอเมริกาดูแล้วกัน ที่คลั่งไคล้ ปธน. เปรอง(สามีเอวิตา)ด้วยการที่ปราศัยสร้างฝันให้ประชาชน ซึ่งเปรองเป็นต้นแบบของนโยบายประชานิยมทีเดียว ซึ่งฟิลิปปินส์เป็นประเทศต่อมาที่ถอดแบบมาจาก อาร์เจนตินาได้แย่กว่า ไล่มาตั้งแต่มาร์กอส ที่คนเดินขบวนขับไล่ จนมาถึงเอสตราดาก็โดนประชาชนขับไล่จากทำเนียบซึ่งทั้งมากอส และเอสตราดา เริ่มต้นด้วยความนิยมชมชอบอย่างไรเหตุผลเช่นเดียวกับที่คนไทยเคยคลั่งไคล้ทักษิณและจบลงด้วยประชาชนขับไล่เช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าทั้งคนไทยและคนฟิลิปปินส์รักชอบโดยไม่มีเหตุอันควรซึ่งอันตรายมากหากปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ใครที่บอกว่าชาติที่ประชาชนไม่พร้อมอย่างไทยควรจะใช้ระบอบประชาธิปไตย แม้จะได้คนไม่ดีมีอำนาจมาก็ไม่เป็นไรถ้าเลวชัดเจนก็ไล่ให้ดู
ฟิลิปปินส์เอาไว้เป็นตัวอย่าง ว่าชาติที่ไร้ระเบียบวินัยหากปกครองระบอบประชาธิปไตยมันจะหายนะและล้าหลังไปเรื่อยเช่นฟิลิปปินส์ไม่มีทางเจริญทัดเทียมชาติอื่นได้ ใครไม่เชื่ออีก 20 ปีข้างหน้ามาดูกันก็ได้ เราจะเป็นประเทศที่เจริญ ในลำดับท้ายๆ ร่วมกับ ฟิลิปปินส์ และ เขมร แม้แต่ลาวซึ่งมีทรัพยากรเมื่อเทียบกับประชากรแล้วอยู่ในอัตราส่วนที่มาก อาจจะไล่ไทยขึ้นมาติดๆและมีแนวโน้มแซงหน้าไทย
แบบที่3 คนในชาติไร้ระเบียบวินัยแต่ก็มีจิตสำนึกพอสมควร ได้แก่กลุ่มประเทศเมดิเตอร์เรเนียนที่เดินขบวนกันง่ายๆ ไม่พอใจก็สไตรท์เผาเมืองเล่นเช่น ที่ฝรั่งเศสและอิตาลี แต่ประชาชนก็มีสติสัมปชัญญะพอสมควรไม่คลั่งไคล้ทรราชที่เก่งโฆษณาชวนเชื่อง่ายๆเช่น มาร์กอส เอสตราดา เปรอง และ ทักกี้
แบบที่4 เป็นพลเมืองในอุดมคติ คือมีระเบียบวินัย มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมสูง ได้แก่เยอรมันหรือ usa ซึ่งคนในชาติเหล่านี้จะไม่เดินขบวนหรือประท้วงกันง่ายๆ นอกจากอยู่ในภาวะที่วิกฤติของชาติเรียกได้ว่าแรงผลักดันในการประท้วงเกิดจากจิตสำนึกต่อชาติเชื้อชาตินั่นเอง ไม่ใช่เกิดจากผลประโยชน์หรือความไม่พอใจส่วนตัว เช่นการล้มละลายจนถึงภาวะสิ้นชาติของเยอรมันจากสนธิสัญญาแวร์ซาย หรือการกดขี่ทางเชื้อชาติในอเมริกา ซึ่งนานจะเกิดขึ้นสักที่เรียกได้ว่าในรอบร้อยปีเกิดไม่กี่ครั้ง แต่หากเกิดแล้วจะรุนแรงมากเกิดการบาดเจ็บล้มตามเนื่องจากมันเป็นเหตุการณ์ที่วิกฤติมากๆ
ซึ่งลองนึกดูแล้วกันว่าไทยเราน่าจะซ้ำรอยกับฟิลิปปินส์หรือเปล่าหากเราคิดกันว่าเป็นประชาธิปไตยแบบนี้นี่แหละ ไม่พอใจคนไหนก็ไล่เอาประวัติศาสตร์เป็นรากฐานของอนาคต และกงล้อประวัติศาสตร์จิตวิทยาพฤฒิการมนุษย์มันก็หมุนไปคล้ายๆกันอย่างนี้แหละแตกต่างออกไปได้ยากครับ ซึ่งโลกทุกวันนี้ถึงไม่รบกันด้วยอาวุธแต่ก็รบกันในเกมส์จำลองสงครามมาเป็นสงครามเศรษฐกิจ ซึ่งหลักพิชัยสงคราม ข้อที่สำคัญมากสุดข้อหนึ่งก็คือ การรู้เขารู้เรา ซึ่งก็หมายถึงการรู้ประมาณตน รู้สถานการณ์ ซึ่งประเทศอย่าง มาเลย์(เผด็จการประเภทที่ยัดคดีให้ฝ่ายตรงข้างรัฐบาลง่ายๆ) เวียดนาม จีน รู้ประมาณตนดีว่าถ้าเลิกระบอบสังคมนิยมมาเป็นประชาธิปไตยแล้ว คงชาติแตกหรือก้าวไปได้ช้ามากจนไม่ทันเขา ซึ่งถ้าพิจารณาตามหลักพิชัยสงครามแล้ว ประเทศไทยผิดตั้งแต่การประมาณตน การรู้สถานการณ์ ซึ่งเป็นข้อหลัก คนไทยไม่รู้จักทั้งเขาไม่รู้จักทั้งเรา ประเทศไทยฝ่าไปยืนแถวหน้าได้ยาก ได้แต่ค่อยๆถอยลงไปรั้งท้ายทำใจกันได้เลยครับ
