เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
มิถุนายน 20, 2025, 02:40:49 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ยิงตีนแมวย่องเข้าบ้านตาย....โดนหลายข้อหาเลย  (อ่าน 17144 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #60 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 09:26:36 AM »

กฎหมายให้อำนาจในการป้องกันตัว โดยต้องกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ..  กฎหมาย ถือว่าไม่มีความผิด

เพราะความไม่รู้ นั้นน่าเห็นใจ แต่เพราะอยากอวดอำนาจเพราะว่ามีปืนอยู่ในมือ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะยิง อยากจะฆ่า
หรือเพราะเป็นคนชอบตะแบง หัวรั้น ละก้อ.. คนที่เดือดร้อน คือคนเหล่านี้ .. ที่ไปกระทำผิดซะเอง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม.  ตกใจ

 เยี่ยม เยี่ยม

จุดประสงค์ที่ตั้งกระทู้นี้ของผมคือให้รับทราบและเพื่อเป็นประเด็นในการถกกันในเรื่องการใช้อาวุธเพื่องป้องกันตัวเอง...

สมาชิกในเวปมีปืนกันแทบทุกคน....การใช้ปืนในสนามกับในชีวิตจริงต่างกัน......และเมื่อมีคนต้องบาดเจ็บหรือตายจากปืนเรา...กระบวนการทางกฏหมายจะเริ่มหมุน...

ผมเห็นหลายๆกระทู้ ในเวปนี้หรือเวปปืนอื่นๆ...พูดถึงการใช้ปืนป้องกันตัว บางครั้งมีผู้ให้ข้อแนะนําที่สุ่มเสี่ยง.....เพราะสุดท้ายคนที่ต้องรับผล ก็คือคนที่ใช้ปืนเอง...ไม่ใช่คนที่ให้คําแนะนํา...
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
VENDY
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1482
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6755



« ตอบ #61 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 09:31:16 AM »

โอ้ว..ตอนแรกจะถามมากกว่านี้แต่กลัวเป็นการชี้ช่องที่ไม่ควร แต่พี่โร้ดสรุปได้ดีค่ะ  ไหว้
บันทึกการเข้า
koh125
Full Member
***

คะแนน 13
ออฟไลน์

กระทู้: 144



« ตอบ #62 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 09:44:20 AM »

กฎหมายให้อำนาจในการป้องกันตัว โดยต้องกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ..  กฎหมาย ถือว่าไม่มีความผิด

เพราะความไม่รู้ นั้นน่าเห็นใจ แต่เพราะอยากอวดอำนาจเพราะว่ามีปืนอยู่ในมือ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะยิง อยากจะฆ่า
หรือเพราะเป็นคนชอบตะแบง หัวรั้น ละก้อ.. คนที่เดือดร้อน คือคนเหล่านี้ .. ที่ไปกระทำผิดซะเอง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม.  ตกใจ

        เยี่ยมใช้ครับคนเเบบนี้เเหละปัจุบันมีเยอะครับ
บันทึกการเข้า

สำนึกดี  สังคมดี
บูรพา
Full Member
***

คะแนน 20
ออฟไลน์

กระทู้: 187



« ตอบ #63 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 10:26:37 AM »

กฎหมายให้อำนาจในการป้องกันตัว โดยต้องกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ..  กฎหมาย ถือว่าไม่มีความผิด

เพราะความไม่รู้ นั้นน่าเห็นใจ แต่เพราะอยากอวดอำนาจเพราะว่ามีปืนอยู่ในมือ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะยิง อยากจะฆ่า
หรือเพราะเป็นคนชอบตะแบง หัวรั้น ละก้อ.. คนที่เดือดร้อน คือคนเหล่านี้ .. ที่ไปกระทำผิดซะเอง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม.  ตกใจ
รบกวนพี่โร้ดไปอธิบายในเวปเพื่อนบ้านกระทู้เดียวกันนี้ด้วยได้ไหมครับ  เพราะหลายท่านเข้าใจว่าแค่เข้าไปลักทรัพย์โดยไม่มีอาวุธหรือวิ่งหนีไปจนปากซอยแล้วก็ยังตามไปยิงตายโดยคิดว่ามีสิทธิ์ป้องกันได้ขนาดนั้น  หากยังคิดเช่นนี้อยู่จะพาตัวเองเดือนร้อนเอาง่ายๆน่ะครับ
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #64 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 10:51:32 AM »

กฎหมายให้อำนาจในการป้องกันตัว โดยต้องกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ..  กฎหมาย ถือว่าไม่มีความผิด

เพราะความไม่รู้ นั้นน่าเห็นใจ แต่เพราะอยากอวดอำนาจเพราะว่ามีปืนอยู่ในมือ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะยิง อยากจะฆ่า
หรือเพราะเป็นคนชอบตะแบง หัวรั้น ละก้อ.. คนที่เดือดร้อน คือคนเหล่านี้ .. ที่ไปกระทำผิดซะเอง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม.  ตกใจ
รบกวนพี่โร้ดไปอธิบายในเวปเพื่อนบ้านกระทู้เดียวกันนี้ด้วยได้ไหมครับ  เพราะหลายท่านเข้าใจว่าแค่เข้าไปลักทรัพย์โดยไม่มีอาวุธหรือวิ่งหนีไปจนปากซอยแล้วก็ยังตามไปยิงตายโดยคิดว่ามีสิทธิ์ป้องกันได้ขนาดนั้น  หากยังคิดเช่นนี้อยู่จะพาตัวเองเดือนร้อนเอาง่ายๆน่ะครับ

ขอบคุณมากครับ ในเวปนั้น ก็มีนักกฎหมาย บัดเดี๋ยว คงมีมาช่วยเองนะครับ .. สิ่งที่ผมให้ความเห็นไป ก็เพื่อให้เป็นแนวทางไว้ จะได้เกิดการชั่งใจคิด อีกนิดนึง  Cheesy
บันทึกการเข้า

cokho รักในหลวง
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

กระทู้: 62


« ตอบ #65 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 11:40:20 AM »

+1คุณRo@dครับ เยี่ยม
บันทึกการเข้า
pisitson
Jr. Member
**

คะแนน 6
ออฟไลน์

กระทู้: 21


« ตอบ #66 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 12:00:35 PM »

                      สืบเนื่องมาจากผมได้นำข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษามาลงไว้เมื่อคืนนี้  ซึ่งมีข้อผิดพลาดมากเพราะไม่ได้เห็นข้อสอบตัวจริง  ผมได้ข้อสอบฉบับเต็มมาแล้วจึงขอลงไว้แทนครับ
                        คำถามข้อ ๙  นายใบกับครอบครัวประกอบอาชีพทำนาในเนื้อที่ ๓ ไร่  และยังเลี้ยงปลาในนาข้าวนั้นควบคู่ไปด้วย  นอกจากนี้นายใบปลูกกระต๊อบไว้ในที่นาเพื่อพักผ่อนและเก็บเครื่องสูบน้ำกับเครื่องมือทำนาไว้  ก่อนเกิดเหตุเคยมีคนร้ายลักทรัพย์ดังกล่าวไป  เพื่อนบ้านก็ประสบเหตุเดียวกันทั้งขณะนั้นข้าวเปลือกก็มีราคาสูงมาก  ต่อมานายใบต้องเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อจัดหาหอพักให้ลูกสาวที่กำลังจะเข้าเรียนเนติบัณฑิต  จึงขึงเส้นลวดรอบที่นาสามด้านเว้นด้านที่มีกระต๊อบซึ่งนายใบขึงลวดล้อมรอบกระต๊อบไว้แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าจากบ้านเข้าเส้นลวดทั้งหมดเพื่อป้องกันคนร้าย  คืนเกิดเหตุนายจกเข้ามาในนาข้าวของนายใบเพื่อจะจับปลา  แต่สัมผัสเส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าถึงแก่ความตาย  ส่วนนายน้อย นายเป็ด และนายห่าน  เข้ามายังที่นาผ่านด้านที่นายใบไม่ได้ถึงลวดไว้เพื่อลักทรัพย์ที่เก็บไว้ในกระต๊อบ โดยนายน้อยเพียงคนเดียวถือชะแลงมาด้วย ๑ อัน  ระหว่างใช้ชะแลงงัดแงะประตูกระต๊อบ  นายน้อยสัมผัสลวดที่มีกระแสไฟฟ้าซึ่งขึงรอบกระต๊อบถึงแก่ความตาย  นายเป็ดและนายห่านเห็นดังนั้นก็หลบหนีไป  ระหว่างนั้นนางส้มภรรยาของนายใบตื่นขึ้นมาเห็นทั้งสองคนวิ่งหนีไปหลังไว ๆ จึงคว้าปืนลูกซองซึ่งเหน็บไว้ที่ฝาเรือนยิงไป ๓ นัด ถูกนายห่านที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ  ส่วนนายเป็ดหลบหนีไปได้
                        ให้วินิจฉัยว่า นายใบและนางส้มมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาฐานใดหรือไม่.
ขออนุญาตลองตอบนะครับ ยังไม่ได้เรียนกฎหมายแต่สนใจ  เหตุการณ์นี้ผมว่าเปิดกฎหมายอาญาตัดสินยาก เรื่องแบบนี้ต้องอ้างแนวฎีกาเก่าๆ เทียบเคียง แต่ผมไม่มีอะไรเลย ลองเดาเอาครับ

นายใบ้ ป้องกันทรัพย์เกินกว่าเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชิวิต(ไม่รู้ว่าอยู่มาตราเดียวหรือสองมาตรา) กฎหมายไม่น่าอนุญาตให้ใช้วิธีป้องกันทรัพย์ที่อันตรายอย่างนั้นในพื้นที่รอบที่ดิน เว้นแต่หน้าต่างห้องนอน ฝ้าเพดาน อาจจะติดลวดไฟฟ้าได้(เดา)

นางส้ม พยายามฆ่า(มาตราเดียว) เพราะเพิ่งตื่นเห็นหลังคนร้ายไวไว เขาอาจหนีภัยอย่างอื่นเข้ามาในที่เราก็ได้ และไม่น่าจะเกี่ยวกับการป้องกันทรัพย์ ทางที่ดีควรยิงขู่ หรือให้เหตุแน่ชัดก่อนว่าเราจะเป็นอันตราย(คงไม่ถึงกับรอให้คนร้ายเอาปืนจี้หัวและนิ้วคนร้ายอยู่ในโกร่งไกปืน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2010, 12:14:18 PM โดย pisitson » บันทึกการเข้า
INTERCEPTER - รักในหลวง
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 155
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 871


ไปช้าๆ.... มองโลกได้เยอะขึ้น


« ตอบ #67 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 12:38:02 PM »

                      สืบเนื่องมาจากผมได้นำข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษามาลงไว้เมื่อคืนนี้  ซึ่งมีข้อผิดพลาดมากเพราะไม่ได้เห็นข้อสอบตัวจริง  ผมได้ข้อสอบฉบับเต็มมาแล้วจึงขอลงไว้แทนครับ
                        คำถามข้อ ๙  นายใบกับครอบครัวประกอบอาชีพทำนาในเนื้อที่ ๓ ไร่  และยังเลี้ยงปลาในนาข้าวนั้นควบคู่ไปด้วย  นอกจากนี้นายใบปลูกกระต๊อบไว้ในที่นาเพื่อพักผ่อนและเก็บเครื่องสูบน้ำกับเครื่องมือทำนาไว้  ก่อนเกิดเหตุเคยมีคนร้ายลักทรัพย์ดังกล่าวไป  เพื่อนบ้านก็ประสบเหตุเดียวกันทั้งขณะนั้นข้าวเปลือกก็มีราคาสูงมาก  ต่อมานายใบต้องเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อจัดหาหอพักให้ลูกสาวที่กำลังจะเข้าเรียนเนติบัณฑิต  จึงขึงเส้นลวดรอบที่นาสามด้านเว้นด้านที่มีกระต๊อบซึ่งนายใบขึงลวดล้อมรอบกระต๊อบไว้แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าจากบ้านเข้าเส้นลวดทั้งหมดเพื่อป้องกันคนร้าย  คืนเกิดเหตุนายจกเข้ามาในนาข้าวของนายใบเพื่อจะจับปลา  แต่สัมผัสเส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าถึงแก่ความตาย  ส่วนนายน้อย นายเป็ด และนายห่าน  เข้ามายังที่นาผ่านด้านที่นายใบไม่ได้ถึงลวดไว้เพื่อลักทรัพย์ที่เก็บไว้ในกระต๊อบ โดยนายน้อยเพียงคนเดียวถือชะแลงมาด้วย ๑ อัน  ระหว่างใช้ชะแลงงัดแงะประตูกระต๊อบ  นายน้อยสัมผัสลวดที่มีกระแสไฟฟ้าซึ่งขึงรอบกระต๊อบถึงแก่ความตาย  นายเป็ดและนายห่านเห็นดังนั้นก็หลบหนีไป  ระหว่างนั้นนางส้มภรรยาของนายใบตื่นขึ้นมาเห็นทั้งสองคนวิ่งหนีไปหลังไว ๆ จึงคว้าปืนลูกซองซึ่งเหน็บไว้ที่ฝาเรือนยิงไป ๓ นัด ถูกนายห่านที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ  ส่วนนายเป็ดหลบหนีไปได้
                        ให้วินิจฉัยว่า นายใบและนางส้มมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาฐานใดหรือไม่.
ขออนุญาตลองตอบนะครับ ยังไม่ได้เรียนกฎหมายแต่สนใจ  เหตุการณ์นี้ผมว่าเปิดกฎหมายอาญาตัดสินยาก เรื่องแบบนี้ต้องอ้างแนวฎีกาเก่าๆ เทียบเคียง แต่ผมไม่มีอะไรเลย ลองเดาเอาครับ

นายใบ้ ป้องกันทรัพย์เกินกว่าเหตุทำให้ผู้อื่นเสียชิวิต(ไม่รู้ว่าอยู่มาตราเดียวหรือสองมาตรา) กฎหมายไม่น่าอนุญาตให้ใช้วิธีป้องกันทรัพย์ที่อันตรายอย่างนั้นในพื้นที่รอบที่ดิน เว้นแต่หน้าต่างห้องนอน ฝ้าเพดาน อาจจะติดลวดไฟฟ้าได้(เดา)

นางส้ม พยายามฆ่า(มาตราเดียว) เพราะเพิ่งตื่นเห็นหลังคนร้ายไวไว เขาอาจหนีภัยอย่างอื่นเข้ามาในที่เราก็ได้ และไม่น่าจะเกี่ยวกับการป้องกันทรัพย์ ทางที่ดีควรยิงขู่ หรือให้เหตุแน่ชัดก่อนว่าเราจะเป็นอันตราย(คงไม่ถึงกับรอให้คนร้ายเอาปืนจี้หัวและนิ้วคนร้ายอยู่ในโกร่งไกปืน)



ขอตอบประเด็นแรกก่อนนะครับ
ตาม  ฎีกา 1923/2519 โรงเก็บของของจำเลยอยู่ในบริเวณสวนของจำเลย มีรั้วต้นพู่ระหงปลูกเป็นแนวเขต จำเลยเก็บของอันมีค่าเช่นเครื่องยนต์สูบน้ำและอุปกรณ์อื่น ๆ ไว้ ทรัพย์สินที่จำเลยเก็บไว้ในโรงเก็บของเคยถูกคนร้ายลักไป ในตำบลที่เกิดเหตุมีคนร้ายชุกชุม จำเลยเอาเส้นลวดขึงที่โรงเก็บของและปล่อยกระแสไฟฟ้าจากบ้านไว้เพื่อป้องกันคนร้าย ผู้ตายกับพวกอีก 3 คนบุกรุกเข้าไปที่โรงเก็บของในเวลาวิกาล โดยเจตนาจะลักทรัพย์ ในมือผู้ตายมีเหล็กไขควง 1 อัน แต่ผู้ตายไปถูกเส้นลวดที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ถึงแก่ความตายเสียก่อน มิฉะนั้นผู้ตายกับพวกย่อมลักทรัพย์ของจำเลยไปได้ นับได้ว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่ทรัพย์สินของจำเลยใกล้จะถึงแล้ว ถ้าจำเลยไปพบเห็นเข้า จำเลยย่อมมีสิทธิทำร้ายผู้ตายกับพวกเพื่อป้องกันทรัพย์สินของจำเลยได้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย และพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด

แต่มีฎีกา 6490/2548  มาหักล้าง  มีว่า แม้ขณะเกิดเหตุผู้ตายจะเข้าไปในบริเวณบ่อปลากัดของจำเลยเพื่อลักปลากัด ซึ่งถ้าจำเลยพบเห็นจำเลยย่อมมีสิทธิทำร้ายผู้ตายพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนได้ แต่กระแสไฟฟ้าที่จำเลยปล่อยผ่านเส้นลวดที่ล้อมรอบบ่อปลากัดย่อมเป็นอันตรายร้ายแรงโดยสภาพซึ่งสามารถทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ส่วนทรัพย์สินของจำเลยเป็นเพียงปลากัดมีมูลค่าไม่มากนัก การปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าเส้นลวดกับการป้องกันทรัพย์สินของจำเลยย่อมไม่เป็นสัดส่วนกัน เมื่อผู้ตายถูกกระแสไฟฟ้าที่จำเลยปล่อยผ่านเส้นลวดดังกล่าวดูดถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรกว่าเหตุตาม ป.อ. มาตรา 69
 
 จึงสรุปได้ว่า (ตามคำบรรยายที่เนฯ ส่วนของ อ.เกียรติขจร ครับ ) การป้องกันโดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ตามเส้นลวด  ถ้าเป็นการป้องกันทรัพย์สินราคาเล็กน้อยแล้วคนที่ถูกกระแสไฟฟ้าถึงแก่ความตายเป็นเรื่องการป้องกัน "เกินสมควรแก่เหตุ"

แต่จากคำถาม  ผมว่าควรตอบตามฎีกาแรกในส่วนของคนร้าย...แต่ส่วนของนายจก  ต้องเป็นเจตนาตาม ม. 288 ประกอบ 68 ...และเป็นการกระทำโดยพลาดตาม ม. 60

ส่วนประเด็นที่เจ้าทรัพย์ยิงไล่หลังควรตอบตาม ฎีกา  729/2541  จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เอาสร้อยคอของจำเลยไป  เพื่อติดตามเอาสร้อยคอคืนในทันทีทันใดเป็นการป้องกัน 
สรุปว่า แม้การลักทรัพย์จะเป็นความผิดสำเร็จเมื่อทรัพย์เคลื่อนที่  แต่ภัยแห่งการพาเอาทรัพย์นั้นไปยังมีอยู่ตลอดเวลาที่คนร้ายกำลังพาทรัพย์หนีไป

ตามโจทย์  เมื่อคนร้ายวิ่งหนีโดยไม่ได้เอาทรัพย์นั้นไปด้วย  ภัยแห่งการพาทรัพย์นั้นจึงหมดไปแล้ว  เมื่อนางส้มยิงไปโดยใช้ปืนลูกซอง  จึงเป็นเจตนาฆ่าตาม ม. 288 โดยเจตนาเล็งเห็นผลเมื่อนายห่านไม่ตายจึงเป็นพยายามตาม ม.80
บันทึกการเข้า
SingCring
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #68 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 12:46:25 PM »

                      สืบเนื่องมาจากผมได้นำข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษามาลงไว้เมื่อคืนนี้  ซึ่งมีข้อผิดพลาดมากเพราะไม่ได้เห็นข้อสอบตัวจริง  ผมได้ข้อสอบฉบับเต็มมาแล้วจึงขอลงไว้แทนครับ
                        คำถามข้อ ๙  นายใบกับครอบครัวประกอบอาชีพทำนาในเนื้อที่ ๓ ไร่  และยังเลี้ยงปลาในนาข้าวนั้นควบคู่ไปด้วย  นอกจากนี้นายใบปลูกกระต๊อบไว้ในที่นาเพื่อพักผ่อนและเก็บเครื่องสูบน้ำกับเครื่องมือทำนาไว้  ก่อนเกิดเหตุเคยมีคนร้ายลักทรัพย์ดังกล่าวไป  เพื่อนบ้านก็ประสบเหตุเดียวกันทั้งขณะนั้นข้าวเปลือกก็มีราคาสูงมาก  ต่อมานายใบต้องเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อจัดหาหอพักให้ลูกสาวที่กำลังจะเข้าเรียนเนติบัณฑิต  จึงขึงเส้นลวดรอบที่นาสามด้านเว้นด้านที่มีกระต๊อบซึ่งนายใบขึงลวดล้อมรอบกระต๊อบไว้แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าจากบ้านเข้าเส้นลวดทั้งหมดเพื่อป้องกันคนร้าย  คืนเกิดเหตุนายจกเข้ามาในนาข้าวของนายใบเพื่อจะจับปลา  แต่สัมผัสเส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าถึงแก่ความตาย  ส่วนนายน้อย นายเป็ด และนายห่าน  เข้ามายังที่นาผ่านด้านที่นายใบไม่ได้ถึงลวดไว้เพื่อลักทรัพย์ที่เก็บไว้ในกระต๊อบ โดยนายน้อยเพียงคนเดียวถือชะแลงมาด้วย ๑ อัน  ระหว่างใช้ชะแลงงัดแงะประตูกระต๊อบ  นายน้อยสัมผัสลวดที่มีกระแสไฟฟ้าซึ่งขึงรอบกระต๊อบถึงแก่ความตาย  นายเป็ดและนายห่านเห็นดังนั้นก็หลบหนีไป  ระหว่างนั้นนางส้มภรรยาของนายใบตื่นขึ้นมาเห็นทั้งสองคนวิ่งหนีไปหลังไว ๆ จึงคว้าปืนลูกซองซึ่งเหน็บไว้ที่ฝาเรือนยิงไป ๓ นัด ถูกนายห่านที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ  ส่วนนายเป็ดหลบหนีไปได้
                        ให้วินิจฉัยว่า นายใบและนางส้มมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาฐานใดหรือไม่.

ปีนี้ไม่ได้ไปสอบ แต่ขอลองหน่อย Grin

แม้นายใบ จะมีสิทธิกระทำการใดๆเพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ก็ตาม  แต่่การที่นายใบ้ใช้ขึงลวดล้อมรอบกระต๊อบไว้
แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าจากบ้านเข้าเส้นลวดทั้งหมด เป็นเหตุให้นายจก และนายน้อย สัมผัสเส้นลวดที่มีกระแสไฟฟ้าจนถึงแก่ความตาย
การกระทำของนายใบ จึงเป็นการกระทำป้องกันเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำ

การที่นายใบ ใช้ขึงลวดล้อมรอบกระต๊อบไว้แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าจากบ้านเข้าเส้นลวดทั้งหมดนั้น
ย่ิอมเล็งเห็นได้ว่า หากมีผู้ใดมาสัมผัสสายลวดซึ่งมีกระแสไฟแล้ว ผู้นั้น สามารถได้รับอัตรายถึงแก่ชีวิตได้
นายใบ จึงมีความผิดฐาน เจตนาฆ่า นายจกและนายน้อย อันเป็นการป้องกันเกินกว่าเหตุครับ

ส่วนนางส้ม การที่นายเป็ดและนายห่านวิ่งหนีออกจากกระต๊อบไปแล้วนั้น ต้องถือว่าภยันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีเหตุที่จะใช้สิทธิป้องกันอีกต่อไป
ดังนั้น การที่นางส้มภรรยา ใช้ปืนลูกซอง ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีอานุภาพสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้ ยิงไล่หลังนายห่าน และนายเป็ดไปถึง ๓ นัด
ย่อมถือว่านางล้มมีเจตนาฆ่าผู้อื่น  และไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา ๖๘
เมื่อนายห่าน และนายเป็ดไม่ถึงแก่ความตาย เพราะกระสุนถูกนายห่านที่บริเวณหลังได้รับบาดเจ็บ  ส่วนนายเป็ดหลบหนีไปได้

นางส้มจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า นายห่าน และนายเป็ด ตามประมวลกฎหมายอาญาครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2010, 01:16:12 PM โดย นายสิงห์กลิ้ง » บันทึกการเข้า
jine
รักชาติยิ่งชีพ
Full Member
***

คะแนน 13
ออฟไลน์

กระทู้: 144



« ตอบ #69 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 12:49:37 PM »

คือว่าผมได้อ่านหัวข้อ "ยิงตีนแมวย่องเข้าบ้านตาย....โดนหลายข้อหาเลย" แล้วเห็นเพื่อน สมช ได้แสดงความคิดเห็นอันหลากหลาย บางสิ่งถูกบ้างไม่ถูกบ้าง (ทั้งถูกใจและไม่ถูกใจ,ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย)  ผมเลยไปหาอ่าน คำพิพากษาศาลฎีกา เก่าเพื่อดูว่าเมื่อถึงคราวจะเฮงหรือวาระที่ต้องทำผมจะทำอย่างไร ให้ทั้งปกป้องชีวิตคนที่รักและถูกกฎหมายโดยอาศัย คำพิพากษาศาลฎีกา เป็นแนวทางประติบัติ โดยต้องเข้าใจด้วยว่า คำพิพากษาศาลฎีกา ยืนอยู่บนข้อเท็จจริงตามคำพิพากษา (จะพิพาษาเหมือนกันทุกอย่างต้องมีข้อเท็จจริงเหมือน กันด้วยเราจะตัดตอนบางอย่างมาพูดไม่ได้) และหลังจากอ่านดูแล้ว ผมพอจะเข้าใจได้ว่า เราจะทำอะไรก็ตามต้องคิดถึงผลที่จะตามมาด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาว่าเราต้องการป้องกันตัว หาได้ต้องการฆ่าผู้ใด การที่เรายิงปืนไป 1 นัด ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ผิด แต่ เราจะผิดหรือไม่นั้นสำคัญว่าไอ้ 1 นัดนั้นไปถูกที่ส่วนใดของผู้ถูกยิงมากกว่า ผมว่าจะยิงปืนต้องมีสติรู้ทุกครั้งไม่ว่าจะยิงที่ไหนอย่างไร ขอให่โชคดีมีกับทุกท่าน


ปล. ศาลท่านปราณีเสมอ

ตัวอย่าง ฎีกา ครับ

====================================
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3869/2546   พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดทุ่งสง        โจทก์
โจทก์ร่วม        โจทก์
นาย อำนวย ชนะศักดิ์        โจทก์
นาย สมภรหรือสมพร จันทร์เสถียร        จำเลย

 
ป.อ. มาตรา 62, 68
 
          ช่วงเวลาเกิดเหตุใน ละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมและก่อนเกิดเหตุจำเลยถูกคนร้ายเข้ามาลัก ทรัพย์ การที่ผู้ตายเข้าไปในบ้านจำเลยในยามวิกาลโดยปราศจากเหตุสมควร ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายและจำเลยไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ตายจะ มีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จะให้จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยอาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันที และจำเลยยิงผู้ตายไปเพียง 1 นัด เมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยก็มิได้ยิงซ้ำ การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
 
________________________________
 
          โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายชำนาญ ชนะศักดิ์ผู้ตาย 1 นัด โดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้ตายบริเวณใต้สะบักซ้ายและต้นคอ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 ริบปลอกกระสุนปืนและหมอนรองกระสุนปืนของกลาง
          จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
          ระหว่างพิจารณานายอำนวย ชนะศักดิ์ บิดานายชำนาญ ชนะศักดิ์ ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
          โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
          ศาล อุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 2 ปี ริบปลอกกระสุนปืน เม็ดกระสุนปืนและหมอนรองกระสุนปืนของกลาง
          จำเลยฎีกา
          ศาล ฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงนายชำนาญ ชนะศักดิ์ผู้ตาย 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.4 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายที่จะมา ทำร้ายจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายที่จำเลยเข้าใจว่ามีอยู่ จริงนั้นได้ความจากคำเบิกความของนางสาวพัชราวรรณ จันทร์เสถียร เด็กหญิงรัตนาพร จันทร์เสถียร และนางบุญเรือน จันทร์เสถียร พยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากและจำเลยปิดประตูบ้านเข้านอนตั้งแต่เวลา 21 นาฬิกา ของวันที่ 30 ธันวาคม 2540 โดยปิดไฟฟ้าในบ้านหมดทุกดวง ต่อมาเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้นนางสาวพัชราวรรณได้ยินเสียงคนปีนเข้าห้องนอนทางช่องลมและ เสียงคนพูดว่า "อย่าดัง ถ้าดังจะแทงให้ตาย" นางสาวพัชราวรรณมองดูที่ช่องลม เห็นคนกำลังปีนลงมาในห้องนอนจึงฉุดเด็กหญิงรัตนาพรหนีออกจากห้องไปหานางบุญ เรือนผู้เป็นมารดาด้วยความตกใจและตะโกนบอกจำเลยซึ่งเป็นบิดา จำเลยถืออาวุธปืนลูกซองของกลางวิ่งไปที่ห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณหลังจาก นั้นประมาณ1 นาที ก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และจำเลยซึ่งเปิดไฟฟ้าในห้องแล้วบอกว่ายิงถูกผู้ตายซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เห็นว่า แม้พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดโดยเป็นภริยาและ บุตรของจำเลย แต่คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากก็ตรงไปตรงมาและสอดคล้อง กัน ทั้งมีรายละเอียดลำดับเรื่องราวเชื่อมโยงกันสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์ ไกรนรา ไปตรวจที่เกิดเหตุและสอบถามเรื่องราว นางบุญเรือนก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์ทราบใน ทันที เมื่อตรวจสอบฝาผนังบ้านด้านนอก ร้อยตำรวจเอกศิริพงษ์ก็พบรอยดินติดอยู่ที่ผนังบ้าน และเมื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทดลองปีนเข้าทางช่องลมก็ปรากฏว่าสามารถปีนเข้า ห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณได้สมดังที่นางบุญเรือนให้ถ้อยคำและที่ปรากฏตามคำ เบิกความของนางสาวพัชราวรรณ จากลักษณะศพผู้ตายที่ส่วนบนของลำตัวตั้งแต่เอวขึ้นไปพาดอยู่บนเตียงและส่วน ล่างตั้งแต่ช่วงเอวลงมาพาดอยู่นอกเตียงตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกศิริ พงษ์นั้น ก็ส่อแสดงว่าผู้ตายมิได้ถูกยิงในขณะที่นอนอยู่บนเตียงในห้องนอนของนางสาวพัช ราวรรณ จึงไม่ทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามปากมีพิรุธน่าสงสัย และเนื่องจากผู้ตายถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง สภาพบาดแผลของผู้ตายย่อมเป็นไปตามที่ปรากฏในรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสาร หมาย จ.4 นั้นได้ และแม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะมีนายจรวย ไชยพลบาล เบิกความเป็นพยานว่า ในคืนเกิดเหตุเวลาประมาณ 3 นาฬิกา ขณะนายจรวยกำลังจะออกจากบ้านไปกรีดยางในสวนยางพารามีนายเข็บ จันทร์เสถียร บิดาจำเลยและจำเลยไปพบและให้นายจรวยช่วยไปนำผู้ตายซึ่งนอนอยู่ในบ้านจำเลย กลับไป แต่นายจรวยไม่ไป และต่อมาเวลา 5 นาฬิกา จึงทราบว่าผู้ตายถูกยิงตายในบ้านจำเลย ซึ่งส่อแสดงว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยรู้อยู่ว่าผู้ที่ถูกตนยิงเป็น ใครนั้น ก็คงเป็นเพียงคำเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ของนายจรวยเท่านั้น ไม่มีพยานอื่นใดสนับสนุน ทั้งยังแตกต่างขัดแย้งกับคำให้การของโจทก์ร่วมบิดาผู้ตายที่ให้การต่อ พนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.1ว่านายจรวยเล่าให้ฟังว่าบุคคลที่ไปขอให้นายจรวยไปนำผู้ตายกลับออกจากบ้าน จำเลยในคืนเกิดเหตุมีถึง 3 คน คือ นายเข็บ จำเลย และนางบุญเรือนภริยาจำเลย มิใช่เพียง2 คน คือนายเข็บและจำเลยดังที่นายจรวยเบิกความ คำเบิกความของนายจรวยดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อฟัง และไม่ทำให้น้ำหนักคำเบิกความของนางสาวพัชราวรรณเด็กหญิงรัตนาพรและนางบุญ เรือนพยานโจทก์และโจทก์ร่วมเสียไป คดีจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า คืนเกิดเหตุผู้ตายได้ปีนเข้าบ้านจำเลยทางช่องลมในห้องนอนของนางสาวพัชราวรรณ ทำให้นางสาวพัชราวรรณตกใจจึงฉุดเด็กหญิงรัตนาพรที่นอนอยู่ด้วยออกไปหานางบุญ เรือนมารดาที่นอนอยู่นอกห้องและร้องบอกจำเลย จำเลยจึงถืออาวุธปืนไปที่ห้องนางสาวพัชราวรรณและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยไม่ ทราบว่าเป็นผู้ใดเพราะมืดเนื่องจากภายในบ้านจำเลยขณะนั้นปิดไฟฟ้าหมดสมดัง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ การที่ผู้ตายเข้าไปในบ้านจำเลยในยามวิกาลโดยปราศจากเหตุสมควร และได้ความตามคำเบิกความของพันตำรวจโทวรชาติ เหมะ พนักงานสอบสวนว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมและก่อนเกิดเหตุจำเลย เคยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายดังที่จำเลยนำสืบ และในขณะนั้นจำเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าคนผู้นั้นจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยก็อาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันท่วงที และจำเลยก็ยิงผู้ตายไปเพียง 1 นัด เมื่อผู้ตายล้มลงก็มิได้ยิงซ้ำแต่อย่างใด หลังเกิดเหตุจำเลยก็ไปแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมยามสายตรวจประจำ หมู่บ้านและมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนในคืนนั้นทันที ไม่ได้หลบหนี การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น"
          พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

============================================
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  7332/2543   พนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดสว่างแดนดิน        โจทก์
นายบุญเยี่ยม คงเจริญ        จำเลย

 
ป.อ. มาตรา 59, 69, 288
 
          จำเลยยิง ด. ด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นของกลาง โดยอาวุธปืนที่ใช้ยิงเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาด 12 ซึ่งเป็นขนาดที่มีลำกล้องใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ในปัจจุบันแต่เป็นอาวุธ ปืนที่ประกอบขึ้นเอง ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีความแม่นยำ กระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงเป็นกระสุนลูกปรายยิงนัดเดียวถูกหลายคนหลายที่ และเม็ดลูกปรายมีขนาดใหญ่สามารถทำให้กระดูกของผู้เสียหายคนหนึ่งที่ถูกยิง ถึงกับแตกและหักได้ ผู้เสียหายทั้งสามอยู่ห่างจำเลยออกไปไกลพอสมควร ในระยะที่เม็ดกระสุนลูกปรายกระจายตัวขยายวิถีกระสุนบานออกไปแล้ว ระยะยิงน่าจะห่างไม่น้อยกว่า 5 เมตรขึ้นไป หากจำเลยเพียงแต่ใช้อาวุธปืนขู่และห้าม ด.ไม่ให้เข้ามาหรือยิงขู่น่าจะเพียงพอที่จะยับยั้ง ด.ให้เกรงกลัวและหลบหนีไป แต่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพประหัตประหารแต่ควบ คุมวิถีกระสุนไม่ได้ยิงสาดใส่เข้าไปในทิศทางที่มิได้มีแต่ ด. ที่จะเข้ามาทำร้ายจำเลยคนเดียว จึงเห็นว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยยิงเข้าใส่กลุ่มคนต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าบุคคลทุกคนในกลุ่ม นั้น เพราะย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำอยู่แล้วว่า อาจทำให้ทุกคนที่ถูกกระสุนลูกปรายดังกล่าวถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายทั้งสามไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำ ต้องกระทำเพื่อป้องกัน
 
________________________________
 
          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ป.อ. มาตรา ๓๒, ๓๓, ๘๐, ๙๑, ๒๘๘, ๒๙๗ ริบของกลาง
          จำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ประกอบด้วยมาตรา ๖๘, ๖๙ พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคหนึ่ง, ๗๒ ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ ฐานพยายามฆ่าโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำคุก ๑ ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๓ ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การ พิจารณานับเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก ๒ ปี ริบของกลาง
          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และความผิดฐาน พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและ เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษปรับ ๖,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุก ๘ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตาม ป.อ. มาตรา ๕๖ ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
          โจทก์ฎีกา
          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาเกินเหตุ จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาด ๑๒ จำนวน ๑ กระบอกและกระสุนปืนลูกซองขนาดเดียวกัน ๒ นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันพอสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันหรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าเป็นการทำที่เกิน สมควรแก่เหตุ เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เมื่อ ด. ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ตั้งใจจะยิง เพื่อต้องการฆ่า ด. แต่ยิงไปโดยไม่ได้เล็งปืนว่าจะถูกส่วนใด เป็นการยิงเพื่อป้องกันตัว หากจำเลยไม่ยิง ด. ก็อาจใช้ขวานฟันจำเลยเป็นอันตรายถึงตายได้ จึงถือว่าเป็นการป้องกันตัวพอ สมควรแก่เหตุ ไม่เป็นความผิด ได้ความว่า จำเลยยิง ด. ด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นของกลาง โดยอาวุธปืนที่ใช้ยิง เป็นอาวุธปืนลูกซองสั้นขนาด ๑๒ ซึ่งเป็นขนาดที่มี ลำกล้องใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ในปัจจุบัน แต่เป็นอาวุธปืนที่ประกอบขึ้นเอง ไม่มีมาตรฐาน ไม่มีความแม่นยำและ จากบาดแผลของผู้เสียหายทั้งสามปรากฏอยู่ตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของ แพทย์ท้ายฟ้อง น่าเชื่อว่า กระสุนปืนที่ใช้ยิงเป็นกระสุนลูกปราย เพราะยิงนัดเดียวถูกหลายคนหลายที่ และเม็ดลูกปรายจะต้องมีขนาดใหญ่ เพราะสามารถทำให้กระดูกของผู้เสียหายคนหนึ่งที่ถูกยิงถึงกับแตกและหักได้ กระสุนลูกปรายอย่างนี้ เมื่อเหนี่ยวไกยิง เม็ดลูกปรายก็จะพรั่งพรูออกไป ถ้าเป้าหมายที่ถูกยิงอยู่ใกล้เม็ดลูกปรายยังรวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก ก็ทำให้ถูกเป้าหมาย ณ จุดใดจุดหนึ่งที่จ่อยิงเพียงที่เดียวได้ แต่ถ้าเป้าหมายที่ถูกยิงอยู่ไกล เม็ดลูกปรายกระจัดกระจายบานตัวออกไปแล้ว ก็จะทำให้ถูกกระสุนปืนหลาย ๆ แห่ง หลาย ๆ คนในคราวเดียวกันได้เหมือนอย่างที่ปรากฏอยู่ในคดีนี้ ย่อมแสดงว่า ผู้เสียหายทั้งสามจะต้องอยู่ห่างจำเลยออกไปไกลพอสมควร ในระยะที่เม็ดกระสุนลูกปรายกระจายตัวขยายวิถีกระสุนบานออกไปแล้ว ระยะยิงน่าจะห่างไม่น้อยกว่าที่จำเลยยืนยันคือประมาณ ๕ เมตรขึ้นไป ในระยะห่างดังกล่าวหากจำเลยเพียงแต่ใช้อาวุธปืนขู่และห้าม ด. ไม่ให้เข้ามาหรือยิงขู่น่าจะเพียงพอที่จะยับยั้ง ด. ให้เกรงกลัวและหลบหนีไป แต่การที่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นขนาดใหญ่ที่มีอานุภาพประหัตประหาร แต่ควบคุมวิถีกระสุนไม่ได้ยิงสาดใส่เข้าไปในทิศทางที่มิได้มีแต่ ด. ที่จะเข้ามาทำร้ายจำเลยคนเดียวแต่มีบุคคลอื่นอีกหลายคนรวมอยู่ด้วยเช่นนี้ เห็นได้ว่าอาจทำให้บุคคลอื่นอีกหลายคนนั้นถูกเม็ดกระสุนลูกปรายของจำเลยถึง แก่ความตายไปด้วยได้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การที่จำเลยยิงเข้าใส่กลุ่มคนอย่างนั้น ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าบุคคลทุกคนในกลุ่มนั้น เพราะย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำอยู่แล้วว่า อาจทำให้ทุกคนที่ถูกกระสุนลูกปรายดังกล่าวถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายทั้งสามไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำ ต้องกระทำเพื่อป้องกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
          พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำ ต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ อีกกระทงหนึ่ง จำคุก ๑ ปี คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๘ เดือน โดยไม่รอการลงโทษเฉพาะความผิดฐานนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ .
 
 
( อภิชาต สุขัคคานนท์ - ชวลิต ศรีสง่า - รุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ )
 
ศาลจังหวัดสว่างแดนดิน - นางสาวกนกพรรณ คงวรรณรัตน์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 - นางวีรา ไวยหงษ์ รินทร์ศรี
 
หมายเหตุ 

===============================================
ฎีกาตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1333/2543   พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี        โจทก์
นางวรรณา โภชน์พันธ์        โจทก์ร่วม
นางบุญช่วย โตนาม        จำเลย

 
ป.อ. มาตรา 69, 288
 
          ผู้ตายฉุดจำเลยเข้า ไปในป่าข้างทางและปลุกปล้ำเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนที่พกติดตัว ยิงใส่ผู้ตายเพื่อป้องกันตัว แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด บางนัดถูกที่หน้าอกขวาใต้นม ที่ชายโครงขวา ที่หน้าท้องและหน้าท้องซ้าย อันเป็นอวัยวะสำคัญพอที่จะยับยั้งผู้ตายได้แล้วซึ่งจำเลยไม่จำต้องยิงถึง หลายนัด ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงว่า ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง และมีเกรียงเป็นอาวุธ อีกทั้งจำเลยเป็นหญิงอยู่ในภาวะตื่นเต้นตกใจกลัว จึงไม่สมควรลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 69
 
________________________________
 
           
 
 
( ผล อนุวัตรนิติการ - พิชิต คำแฝง - สมศักดิ์ เทวรักษ์กุล )
 
ศาลจังหวัดนนทบุรี - นายธวัชชัย สุรักขกะ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 - นายประจวบ กระจ่างทิม
 
หมายเหตุ 



บันทึกการเข้า

"แผ่นดินมันกำลังอ่อนแอ....อ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเรือนใกล้จะพัง คานใกล้จะขาด เสาผุกร่อน เพราะปลวกมอดมันเจาะกินใน ถ้าพวกเราไม่ช่วยกัน วันนึง ถ้ามันต้องเผชิญกับพายุร้าย แม้นแรงเพียงนิด มันก็ไม่แคล้วต้องพังทลายลง........"
youngnoi7474
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 841
ออฟไลน์

กระทู้: 555


« ตอบ #70 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 01:22:14 PM »

                           ขอขอบพระคุณท่านPisitson  ท่านIntercepter  และท่านสิงห์กลิ้ง เป็นอย่างมากครับที่ให้ความสนใจในกระทู้ข้อสอบผู้ช่วยและร่วมสนทนาด้วย  ความเห็นของแต่ละท่านมีหลักการ มีข้อกฎหมายสนับสนุนและมีฎีกาอ้างอิง ล้วนแต่น่าฟังทั้งนั้นครับ  ขอกราบสวัสดีทุกท่านครับ   ไหว้
บันทึกการเข้า
Choro - รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 214
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3853



« ตอบ #71 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 03:21:19 PM »

 ขอเก็บความรู้จากทุกๆท่านครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า

สุดท้ายชีวิตไม่ขอรวย ขอแค่ไม่ป่วยก็พอแล้ว
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #72 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 05:51:19 PM »

ก่อนอื่นต้องขออภัยจริงๆครับที่ข้อมูลรายละเอียดน้อย  ไหว้    /  ข่าวจาก ฟรีทีวี 09/09/10 (17.30 น.-17.35 น.) แก๊งแขกขาว งัดบ้านเจอสัญญาณกันโขมยดัง พี่ชายเจ้าของบ้านอยู่ห่างไปสองหลังได้ยิน เข้ามาดูพบคนร้ายต่างชาติถือไขควงจะเข้ามาแทง  จึงใช้ อวป.ยิงสวนตายคาที่    ในภาพนอนคว่ำหน้าตายริมกำแพงบ้าน(ผมมองว่าในกำแพง)  ลองค้นหาข้อมูลร่วมด้วยช่วยกันครับ. Wink
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 09, 2010, 07:05:18 PM โดย pasta » บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #73 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 06:22:34 PM »

กฎหมายให้อำนาจในการป้องกันตัว โดยต้องกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ..  กฎหมาย ถือว่าไม่มีความผิด

เพราะความไม่รู้ นั้นน่าเห็นใจ แต่เพราะอยากอวดอำนาจเพราะว่ามีปืนอยู่ในมือ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็จะยิง อยากจะฆ่า
หรือเพราะเป็นคนชอบตะแบง หัวรั้น ละก้อ.. คนที่เดือดร้อน คือคนเหล่านี้ .. ที่ไปกระทำผิดซะเอง ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม.  ตกใจ
รบกวนพี่โร้ดไปอธิบายในเวปเพื่อนบ้านกระทู้เดียวกันนี้ด้วยได้ไหมครับ  เพราะหลายท่านเข้าใจว่าแค่เข้าไปลักทรัพย์โดยไม่มีอาวุธหรือวิ่งหนีไปจนปากซอยแล้วก็ยังตามไปยิงตายโดยคิดว่ามีสิทธิ์ป้องกันได้ขนาดนั้น  หากยังคิดเช่นนี้อยู่จะพาตัวเองเดือนร้อนเอาง่ายๆน่ะครับ

อิๆ.....มีแต่คนไฟแรง.....พร้อมจะยิงทั้งนั้น....

ไม่ฟังกันหรอกครับ.....หลายท่านพยายามอธิบายแล้ว.....

ก็แล้วแต่ความคิดของแต่ละท่าน.....พลาดขึ้นมา...ก็ได้ไปอยู่ที่เดียวกับที่เข้าเก็บพวกตีนแมวไว้นั่นแหละ....ไปกินข้าวหม้อเดียวกันเลย...เห่อๆ
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
tongga
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 72


บูชาคนที่ควรบูชาและมีปืนมีสติ


« ตอบ #74 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 07:54:45 PM »

มาพยายามอ่านให้เข้าใจครับจะเกิดเป็นความรู้ต่อไป
บันทึกการเข้า

".แม้ธรรมะจะงุ่มง่ามบ้างก็ย่อมจะต้องดีกว่าอธรรมที่ปราดเปรียวมิใช่หรือ?  ขอท่านทั้งหลายจงพากันสนใจให้ยิ่งขึ้นไปในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ให้ถูกต้องและพร้อมสรรพ!."...พุทธทาสภิกขุ...
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.145 วินาที กับ 21 คำสั่ง